หลังจากช่วยกันทานและปรึกษาหารือเรื่องการขอแต่งงานและวิธีการทำให้ชีวิตคู่ตื่นเต้นมากขึ้น จนในที่สุดก็ได้เวลาที่ต้องแยกย้าย แต่ก่อนจากกัน ซากุระจังก็หันมาหาพร้อมกับดีดหน้าผากฉันเสียงดัง
“อุกี้!!” ฉันเผลออุทานเสียงประหลาดออกมา ลูบหน้าผากป้อยๆ ซากุระจังมือหนักเหมือนเคยเลยนะ จะเป็นรอยมั้ยเนี่ย “เจ็บนะ ซากุระจัง”
ตอนที่ส่งสายตาไปถามอย่างไม่เข้าใจว่าทำไม ซากุระจังก็เชิดหน้าขึ้น
“ถ้าอีตานั่นไม่เอาด้วยก็หาคนใหม่ ทำตัวสวยๆให้ตาคนนั้นเสียดายไปเลยว่ามีตาหามีแววไม่่”
“เอ๋!!”
“เธอน่ะคือคิโชวอิน เรย์กะไม่ใช่เหรอยะ แค่ผู้ชายที่ไม่เห็นค่าก็หาเอาใหม่สิ จะมาหดหู่ให้ได้อะไรกัน ถ้าถูกปฏิเสธก็ทำตัวสวยๆเชิดๆใส่ไปเลยย่ะ ไม่ต้องง้อ”
นี่คือการให้กำลังใจในแบบของซากุระจังอย่างนั้นเหรอคะ...
พอฉันนิ่งไป ซากุระจังก็กล่าวคำอำลา หมุนตัวกลับหลังหันไปขึ้นรถที่อาคิสะวะคุงมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“ซากุระจัง”
ฉันตะโกนไล่หลังไป ซากุระจังก็หันมาเป็นเชิงเหมือนจะถามว่าอะไรอีกล่ะ
“ขอบคุณนะ”
ซากุระจังหัวเราะหึๆในลำคอ โบกมือไปมาเล็กน้อยก่อนจะขึ้นรถ ฉันยืนมองตามไปจนลับสายตา
คำพูดซากุระจังก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวจนกระทั่งกลับถึงบ้าน ฉันทิ้งตัวลงนอนกับเตียง ครุ่นคิดถึงเรื่องขอแต่งงานแบบที่ซากุระจังพูด ถึงชายหญิงจะสิทธิเท่าเทียม ผู้หญิงเอ่ยปากขอผู้ชายแต่งงานมีให้เห็นเยอะแยะในสมัยนี้ แต่ก็ยังอดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี
หรือเอ็นโจจะลืมคำสัญญาในวันนั้นไปแล้วนะ...
มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วเนอะ ตอนนั้นเราก็อยู่ในสังคมแคบๆอย่างซุยรัน แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่ได้ออกสู่โลกกว้าง เอ็นโจก็อาจจะเจอใครที่ดีกว่า เพียบพร้อมกว่า เลยอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์เราก็ยังไปไม่ไกลเกินกว่าจูบเลยด้วย…
ที่จริงเราก็มีสถานการณ์ที่เป็นใจและเอื้อต่อการชวนกันขึ้นเตียงก็หลายหนอยู่ แต่ฉันขอไว้ว่าอยากทำเรื่องนั้นหลังแต่งงานมากกว่า เอ็นโจก็รับปากโดยดีว่าจะหยุดแค่จูบ หรือไม่ก็กอดนิดๆหน่อยๆ แต่จะไม่เกินเลยไปกว่านั้น
ถ้าเกิดไปเจอสาวสวยเซ็กซี่ที่สามารถตอบสนองความต้องการให้ได้ เอ็นโจอาจจะคิดว่าฉันคือผู้หญิงน่าเบื่อเลยอยากบอกเลิกก็ได้นะ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการหดหู่ ชื่อที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าจอทำให้ฉันลังเลนิดหน่อย แต่ก็ตัดสินใจรับในที่สุด
“สวัสดีค่ะ ท่านเอ็นโจ”
“สวัสดี คุณคิโชวอิน” น้ำเสียงนุ่มนวลของเอ็นโจดังมาจากปลายสาย “ที่ญี่ปุ่นตอนนี้ดึกแล้วสินะ ผมรบกวนเวลาพักผ่อนรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ ไม่เลย…” ฉันพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ที่โทรมามีอะไรรึเปล่าคะ”
“ผมจะกลับถึงญี่ปุ่นตอนเช้าวันเสาร์ของอาทิตย์หน้าน่ะ เราไปทานข้าวกันตอนเย็นดีมั้ย”
“เอ๋!!” วันเสาร์ของอาทิตย์หน้า..ก็ตรงกับวันคริสต์มาสอีฟไม่ใช่เหรอ “ก็ได้นะคะ”
“ขอบคุณนะ”
“แต่จะไหวเหรอคะ ถึงญี่ปุ่นตอนเช้าแล้วตอนเย็นก็ออกไปข้างนอกอีก จะไม่พักผ่อนก่อนเหรอ ฉันไม่ซีเรียสอะไรหรอกนะถ้าไม่ได้ไปไหนวันคริสต์มาสน่ะ”
“ไม่ได้หรอก ก็อยากเจอคุณนี่นา”
“แหม” อายุขนาดนี้แล้วยังมางอแงเป็นเด็กๆไปได้นะยะ ไม่ได้น่ารักเลยซักกะนิด
นั่งคุยกันอยู่พักหนึ่งเรื่องในวันนี้ของแต่ละคน เอ็นโจก็ขอตัวไปทำงานต่อ แต่ไม่ลืมที่จะหยอดคำหวานส่งท้าย
“คิดถึงนะ”
“คิดถึงก็รีบกลับมาเจอสิคะ”
“เอ..โดนอ้อนขนาดนี้ งั้นกลับวันนี้เลยดีมั้ยนะ” คำพูดทีเล่นทีจริงนั่นทำเอาฉันต้องปรามไว้ก่อนเพราะกลัวว่าเอ็นโจจะทิ้งงานแล้วกลับมาจริงๆ
หลังวางสายฉันก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดออกมาเลือกจากราวด้านในสุดก่อน
ซากุระจังบอกให้หัดยั่วยวนบ้างหรือเป็นฝ่ายรุกก่อนบ้าง เพื่อการเพิ่มความตื่นเต้นให้ชีวิตรัก แต่ฉันผู้เป็นกุลสตรีมายี่สิบเจ็ดปี จะให้ทำท่าแบบสาวเซ็กซี่ที่เห็นตามหน้านิตยสารก็จะดูเป็นการพยายามมากเกินไป แถมไม่เป็นธรรมชาติอีก
สรุปคือ...ไอ้เรื่องเซ็กซี่นี่...ทำไม่เป็นง่ะ
ฉันหาตัวช่วยด้วยการเปิดนิตยสาร ดูคอลัมน์ที่น่าจะเป็นประโยชน์ ศึกษาวิธีในนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ เปิดอินเตอร์เน็ตดูคำแนะนำอื่นๆบ้าง เห็นอันไหนน่าสนใจก็กดเข้าไปอ่าน
ในตู้ก็มีชุดที่ดูเซ็กซี่นิดๆแบบมีรสนิยมอยู่หลายชุด ฉันหยิบออกมาเลือก แล้วก็ตกลงใจที่ชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มแบบคล้องคอ โชว์ร่องอกและแผ่นหลังแต่ดูไม่โป๊มาก ถ้าไปถึงขั้นนี้ฉันก็พอรับไหวนะคะ
ลองสวมชุดดูก็ติดสะโพกหน่อยๆแต่ยังพอยัดตัวเองเข้าไปได้อยู่ แต่ถ้าจะให้ดูสวยเป๊ะเพอร์เฟคคงต้องออกกำลังกายเพิ่มอีกนิด
ฉันพยายามโพสต์ท่าให้เซ็กซี่หน้ากระจก แต่ดูแล้วไม่เห็นเซ็กซี่ตรงไหนเลยอะ ถ้าออกไปในสภาพนี้มีหวังโดนว่าอีนี่บ้าอ๊ะป่าวแหงๆ
หนทางการเป็นสาวเซ็กซี่ทำไมมันยากเย็นขนาดนี้ล่ะ
.
.
.
.