เห็นกระทู้เงียบๆเลยมาลงฟิคให้
กาลครั้งหนึ่งในฝัน ตอนพิเศษ 1 >>>/webnovel/6114/357-359
---------------------------
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปถึงเจ็ดปีแล้ว
ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลย เจ็ดปีเชียวนะที่คบกันมาในฐานะแฟน เอ่อ...จริงๆก็ไม่ถึงเจ็ดปีหรอก เพราะฉันก็เพิ่งจะตกลงยอมรับคำขอเป็นแฟนจากเอ็นโจไปเมื่อสองสามปีที่ผ่านมานี่เอง
แต่ก่อนหน้านั้นเอ็นโจเทคแคร์ฉันเหมือนที่เทคแคร์แฟนทุกอย่าง ไปรับส่งถึงที่ ช่วงเทศกาลก็ซื้อของขวัญพิเศษๆให้ พาไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ในช่วงวันหยุด หรือชวนไปกินอะไรด้วยกันหลังเลิกเรียน บางทีก็พ่วงคาบุรากิกับยูกิโนะคุงไปด้วย บรรยากาศก็คล้ายๆกับช่วงมัธยมที่เราสามคนจะไปกินนั่นกินนี่หลังเลิกเรียน ก็เลยไม่รู้สึกเกร็งอะไรอะนะ
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่การจับมือ คล้องแขนหรือโอบเอวกันคือเรื่องปกติ แต่มันก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ที่นั่งข้างๆเอ็นโจก็จะเป็นที่ของฉัน จนบางทีคาบุรากิก็กลอกตาขึ้นมองเพดาน อะไรยะ!! ทีนายหวานแหววกับวาคาบะจังต่อหน้า ฉันยังไม่เห็นบ่นอะไรเลยซักคำ
อ๋อ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคเลยนะ มีเยอะกว่าที่คิดด้วยซ้ำ
อันดับแรกเลยคือทางบ้านของเอ็นโจที่เตรียมการหาคู่หมั้นคู่หมายเอาไว้ให้แต่งงานหลังเรียนจบ
พอเราขึ้นปีสี่ เอ็นโจก็พาฉันไปที่บ้าน บอกกับพ่อและแม่ว่าฉันคือคนที่เขารักมาตลอดและอยากอยู่ด้วยกันตลอดไป
ท่าทีของเอ็นโจในวันนั้นดูเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่เหมือนคาบุรากิในตอนที่พาวาคาบะจังไปพบกับมาดามคาบุรากิไม่มีผิด แถมยังถึงขั้นยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ให้แต่งก็จะพาหนีตามกันไปด้วย ตระกูลเอ็นโจจะเป็นยังไงก็ไม่สน นี่เอาจริงดิ เตรียมใจไว้ถึงขั้นนั้นแล้วเหรอ….
ฉันแอบถามเอ็นโจเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง ก็ได้รับคำตอบว่าจริงทุกอย่างที่พูด
เอ็นโจเตรียมทรัพย์สินไว้ที่ต่างประเทศมากพอสมควร เราสองคนอาจจะไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้ลำบากยากแค้นอะไรขนาดนั้น ตอนที่พูดก็ท่าทางเอาจริงเอาจังจนฉันไม่กล้าแหย่เล่นเลยล่ะ
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเอ็นโจจะเป็นผู้ชายร้อนแรงได้ถึงขนาดนั้น ฉันคิดว่าการอยู่ใกล้คาบุรากิมากเกินไปจะทำให้เอ็นโจติดเชื้อบ้ารักมาได้ น่ากลัวชะมัด
อีตานั่นก็ไปยื่นคำขาดกับมาดามคาบุรากิในเรื่องความรักของตัวเองเหมือนกัน แต่คนที่ซวยน่ะคือวาคาบะจังไม่ใช่เหรอยะ
วาคาบะจังเองก็ต้องเจอเรื่องทดสอบมากมายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด แต่สองคนนั้นก็ยังเชื่อใจและไม่ยอมปล่อยมือออกจากกันไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายๆแค่ไหน ฉันเองก็ต้องเอาอย่างบ้างล่ะเนอะ
จะว่าไป ฉันเองก็รอดจากการถูกจับหมั้นหมายกับคาบุรากิไปอย่างฉิวเฉียด ด้วยเพราะฉันยืนกรานหนักแน่นกับท่านพ่อและท่านแม่ในเรื่องที่คบหากับเอ็นโจ และขอร้องให้ท่านพี่ช่วยพูดด้วย บีบน้ำตาอีกเล็กน้อยท่านพ่อก็ใจอ่อนยวบยาบ ยินยอมให้เราคบหากันได้แบบเปิดเผย
และอาจจะเพราะเกรงว่าตระกูลเอ็นโจจะไม่มีผู้สืบทอดสายตรงหรืออะไรก็ตามแต่ ประธานเอ็นโจก็ยอมรับการคบกันของเราสองคน ล้มเลิกการหมั้นหมายที่เคยเอ่ยไว้กับตระกูลอุริว ผลที่ตามมาคือหุ้นของเอ็นโจกรุ๊ปตกลงอย่างมหาศาล ซ้ำยังมีข่าวร้ายหลุดออกมาเรื่อยๆจนนักลงทุนไม่เชื่อมั่นพากันถอนทุน อาจเป็นวิกฤตหนักในรอบสิบปีเลยก็ว่าได้
ฉันถามไถ่เรื่องนี้ด้วยความเป็นห่วง แต่เอ็นโจก็ยิ้มน้อยๆ บอกว่านี่คือสิ่งที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ก็ต้องค่อยๆแก้ปัญหากันไปทีละอย่าง
แต่ท่าทางเหนื่อยขนาดนั้น จะไหวแน่เหรอ
ฉันรู้ว่าเอ็นโจทำงานหนักมากและเครียดมาก แต่ฉันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยซักอย่าง ก็เจ็บใจตัวเองอยู่เหมือนกันนะ
พอเห็นฉันทำท่าสลดหดหู่ เอ็นโจก็หัวเราะแล้วดึงแก้มฉันเบาๆ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ คุณน่ะเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่านะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันอาจจะโมโหนิดหน่อยที่ถูกแหย่เล่นแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันกลับยื่นมือออกไปหา ดึงเอ็นโจเข้ามากอด
“ฉันช่วยอะไรไม่ได้เลยก็จริง แต่ถ้าเป็นการส่งกำลังใจให้ก็พอจะทำได้อยู่นะคะ” ก็นะ เขาว่ากอดกันก็เหมือนกับการส่งกำลังใจให้นี่นา
นิ่งไปซักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆข้างหู เอ็นโจซุกหน้าลงกับไหล่ฉัน กอดตอบกลับมาแนบแน่นเหมือนคนต้องการที่พึ่ง
“ใครบอกล่ะ นี่ช่วยได้เยอะเลยต่างหาก”
อืมม เห็นว่าทำงานหนักขนาดนี้ ฉันจะให้กำลังใจอะไรได้อีกนะ
….งั้นคงได้เวลาของข้าวกล่องแห่งรักโดยเชฟเรย์กะจังแล้วล่ะเน้อ