ฉันมองไปรอบๆ เผื่อจะเจออะไรที่เข้าท่าหรือน่าสนใจอีก เห็นชูสุเกะก้มหน้าอ่านตัวอย่างหนังสือเล่มที่คิโชวอินแนะนำให้ ท่าทางจะน่าสนุก ฉันก็เลยไปยืนข้างๆ ดูว่าชูสุเกะอ่านอะไรอยู่
พอลองกวาดตาคร่าวๆ มาแนวแอบหลงรักคนใกล้ตัวของตัวเองอีกแล้วแฮะ
ฉันกำลังจะเลิกสนใจแล้วไปหาอย่างอื่นก็ต้องสะดุ้งนิดๆตอนที่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ในท่าแบบไหน
ชูสุเกะยืนอยู่ข้างๆฉัน เราอยู่ใกล้กันมากจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย ทั้งๆที่เราก็ยืนข้างกันมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยมีครั้งไหนใกล้เท่าครั้งนี้ เพราะฉันก้มหน้า เขยิบตัวไปอ่านหนังสือเล่มเดียวกับชูสุเกะรึไงกัน
ฉันได้แต่ตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ เพราะถ้ามีคนขยุกขยิกแม้แต่นิด ปากชูสุเกะได้ชนแก้มฉันแหงๆ
บ้าเอ้ย!! ทำไมเราต้องตัวสูงเท่ากันด้วยฟะ มันจะสะดวก(?)เกินไปแล้วนะ
มองหาความช่วยเหลือจากคิโชวอินก็เห็นยัยนั่นไปยืนห่างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำเป็นเลือกหนังสือจากชั้น แต่ฉันเห็นว่าหล่อนแอบอมยิ้มอยู่นะเฮ้ย!!
“เป็นอะไร มาซายะ”ชูสุเกะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เลิกคิ้วแบบสงสัย
“ปะ เปล่า” ฉันรีบผละตัวออกมายืนห่างๆ “เราไปจ่ายเงินกันเถอะ”
เราสามคนเดินผ่านหน้าพนักงานที่กำลังปีนบันไดเพื่อจัดเรียงหนังสือขึ้นไปบนชั้น ใกล้ๆกันมีเด็กประถมสองคนกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันในร้าน เฮ้ย!! มันอันตรายนะเจ้าเด็กพวกนี้ เดี๋ยวก็หกล้มกันหรอก
ไม่ทันขาดคำ เด็กที่เหมือนจะเป็นหัวโจกก็วิ่งชนบันไดที่พนักงานเอาหนังสือมาเรียงไว้เตรียมจัดขึ้นชั้นอยู่ หนังสือที่กองอยู่บนนั้นก็เกิดร่วงลงมา กำลังจะหล่นใส่หัวชูสุเกะ
“อันตราย!!” ฉันรีบพุ่งเข้าไปผลักให้พ้นทาง ชูสุเกะเลยรอดพ้นจากการโดนหนังสือหล่นใส่หัวไปฉิวเฉียด ส่วนฉันถูกหนังสือตกใส่สองสามเล่มตรงไหล่ โชคดีที่เล่มไม่หนามากมายเลยไม่เจ็บเท่าไหร่
คิโชวอินหันหลังกลับมามองอย่างตกใจ “ท่านเอ็นโจ!! ท่านคาบุรากิ!! …เป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“ฉันไม่เป็นไร” ฉันส่ายหน้าแล้วก็มองสำรวจชูสุเกะ “ชูสุเกะเป็นอะไรมั้ย”
“ผมไม่เป็นไร” ชูสุเกะกระพริบตาปริบๆเหมือนยังไม่เข้าใจเหตุการณ์
พอรู้สึกโล่งอก ฉันก็เลยถอนหายใจออกมา แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในท่วงท่าแบบไหน
ฉัน….กำลังกอดชูสุเกะอยู่นี่หว่า!!
นี่มันกอดแบบช่วยเหลือคน ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยนะ ชูสุเกะก็คงไม่คิดอะไรเหมือนกัน มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ เข้าใจมั้ย อุบัติเหตุ!!
ฉันรีบผละตัวออกห่าง ยกมือทั้งสองข้างชูขึ้นเหนือศีรษะเหมือนกำลังจับของร้อน ชูสุเกะเลิกคิ้วแบบสงสัยนิดๆ พอหันไปมองคิโชวอินก็เห็นยัยนั่นกำลังเหมือนพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองยิ้ม
สังหรณ์ใจไม่ดีเกี่ยวกับรอยยิ้มนั่นยังไงชอบกล
ผู้จัดการร้านก็ตรงเข้ามาหาพร้อมพนักงาน ก้มหัวขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ ส่วนเด็กประถมสองคนนั้นก็ก้มหัวขอโทษด้วยเหมือนกัน สีหน้าดูจ๋อยแบบเห็นได้ชัด
เราสามคนยืนยันว่าไม่มีใครเป็นอะไร ส่วนเด็กสองคนนั้นก็ให้คำสัญญาว่าจะไม่วิ่งเล่นซนกันในร้านอีกแล้ว เรื่องก็จบลงด้วยดีและแยกย้ายกันไปคนละทาง
เป็นหนึ่งวันที่เหนื่อยชะมัด
.
.
.