ผมก้มลงมองจาน ทำเป็นง่วนอยู่กับการคีบกับข้าวใส่ปากตัวเอง แต่ในใจคิดว่าจะหาทางออกอย่างไรดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
“...ก็ไม่นะ”
“ข่าวสุดท้ายที่ฉันรู้คือผู้หญิงคนนั้นกลับเกียวโตไปพึ่งพิงญาติที่นั่น”
“อื๋อ...แล้วยังไงล่ะ”
“ก็เวลาผ่านไปนานขนาดนั้น ผู้หญิงคนนั้นอาจจะวางแผนอะไรอยู่ก็ได้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนั้นจะยอมอยู่เฉยๆ”
“กังวลเหรอ”
“ก็นิดหน่อย” มาซายะยักไหล่แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “งานเลี้ยงที่จะมาถึงนี้คืองานใหญ่มาก มีแขกจากหลายประเทศแล้วก็ยังท่านทูตอีก ฉันอยากให้วาคาบะเปิดตัวในฐานะคู่หมั้นของฉันกับคู่ค้าทางธุรกิจชาวต่างชาติให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด และคิโชวอิน เรย์กะคนนั้นก็อาจจะมาป่วนงานก็ได้”
“เธอจะเข้ามาได้ยังไงล่ะ ไม่มีบัตรเชิญ”
“ก็ไม่รู้สิ อาจจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่งแอบเข้ามาก็ได้” มาซายะเบ้ปากเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่ดูน่ารังเกียจ “วิธีสกปรกก็เป็นเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นถนัดอยู่แล้วนี่”
“คิดมากไปแล้วน่า”
“มันก็ต้องคิดเผื่อไว้ก่อน วางแผนกันตั้งแต่เนิ่นๆ เกิดมีอะไรผิดพลาดมาก็จะได้รับมือทันยังไงล่ะ”
“ไม่เอาน่า ไม่เชื่อมั่นในระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมเหรอ” ผมส่งยิ้มให้เขาขัดตาทัพ “อีกอย่างนะ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะยังอยู่เกียวโต ไม่รู้ข่าวงานเลี้ยงที่ว่านี่ก็ได้”
เงียบไปพักหนึ่ง เขาก็พยักหน้าเนิบๆคล้ายกับคล้อยตามผม
“นั่นสินะ…ฉันคงคิดมากไปเอง”
ผมแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่มาซายะปล่อยผ่านไปในเรื่องนี้ แต่ก็ต้องมาสับสนอยู่ในใจว่าทำไมผมถึงช่วยปกปิดเรื่องคิโชวอิน เรย์กะกลับมาโตเกียว เป็นเกอิชาอยู่ในร้านหรูหราย่านอาซากุสะ พยายามอ่อยคู่ค้าทางธุรกิจของตระกูลเอ็นโจ มีแผนจะทำลายล้างตระกูลคาบุรากิ ติดอยู่ที่ว่ายังไม่มีปัญญาทำได้
ไม่เข้าใจตัวเองเลย
หรือจะเป็นเพราะช่วงนี้มาซายะก็วุ่นๆ ผมเลยไม่อยากเอาเรื่องหนักใจไปเพิ่มให้เขากันนะ
อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นก็คงยังไม่สามารถทำอะไรในช่วงนี้หรอก และผมก็ยังจับตาดูอยู่ ยังไม่มีอะไรร้ายแรงน่าเป็นกังวลให้บอกกล่าว
หลังทานข้าว มาซายะชวนผมไปรับของขวัญที่สั่งจองให้คุณวาคาบะไว้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เป็นชุดเครื่องเพชรที่มีสร้อย ตุ้มหู แหวน กำไลเข้าชุดกัน เห็นว่าจะให้เอาไว้ใส่ในงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง เขาดูวางแผนว่าจะกลับไปรับคุณวาคาบะให้ทันเวลาเลิกงาน
คุณวาคาบะเดินออกมาส่งดีไซเนอร์จากออร์แกไนซ์จัดงานอีเวนท์เจ้าประจำของตระกูลคาบุรากิขึ้นรถที่ด้านหน้าโรงแรมอยู่พอดี พอหันมาเห็นพวกผมเธอก็ยิ้มกว้าง เดินตรงเข้ามาทักทาย
มาซายะเปิดฉากบ่นเรื่องที่แม่ใช้แรงงานของคุณวาคาบะหนักเกินไป แต่คุณวาคาบะก็ส่งยิ้มแบบอ่อนโยนและปลอบให้เขาสงบลง
เมื่อสองคนนั้นสร้างบรรยากาศหวานแหวว ผมที่เป็นส่วนเกินเกะกะก็ขอตัวกลับก่อน แต่ไม่ลืมที่จะแซวให้สองคนนั้นเขินอายกันบ้าง มาซายะชูกำปั้นใส่ผม ส่วนคุณวาคาบะก็หน้าแดง
เมื่อมองกระจกหลังก็เห็นทั้งคู่โบกมือส่งผมแล้วจูงมือเข้าไปด้านในโรงแรม คุยอะไรกันก็ไม่ทราบ แต่เห็นสองคนนั้นมีรอยยิ้มกว้างที่ดูมีความสุข ผมก็ยิ้มตาม
ระหว่างที่รถติดไฟแดงอยู่ ผมเคาะนิ้วลงกับพวงมาลัย คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับสองคนนั้น เห็นแล้วก็อดที่จะนึกถึงตัวเองไม่ได้
ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ผมจะสู้เพื่อรักได้แบบสองคนนี้มั้ยนะ หรือจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ทางบ้านเห็นว่าเหมาะสมคู่ควร
ไม่น่าถามเลยนี่นะ
ผมหัวเราะหึๆให้ตัวเองแล้วก็ปัดเรื่องนี้ออกไปจากสมอง ความคิดไร้สาระแบบนี้ไม่ควรจะมีอยู่ในหัวผมด้วยซ้ำ
ความรักอะไรนั่นมันไม่จำเป็นชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้วหรอก
.
.
.
.
งานเลี้ยงรับรองท่านทูตเป็นงานใหญ่สมอย่างที่มาซายะว่าไว้จริงๆ มีคนใหญ่คนโตจากคณะรัฐบาลกับ ข้าราชการกระทรวงต่างๆเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง มองไปทางไหนก็เห็นคนคุ้นหน้าในแวดวงการเมืองทั้งนั้น
ผมทักทายกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีคอนเนคชั่นกับตระกูลเอ็นโจจนทั่ว เป็นคู่สนทนาให้กับกลุ่มคนเหล่านั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะปลีกตัวมายืนเป็นไม้ประดับข้างกำแพง จิบเครื่องดื่มมองคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงหน้า
พระเอกและนางเอกของงานวันนี้คือมาซายะที่กำลังเต้นวอลซ์คู่กับภรรยาของท่านทูตอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ และคุณวาคาบะที่มีคู่เต้นเป็นท่านทูตที่ดูจะคุยถูกคอกับเธอเป็นอย่างยิ่ง