ผมได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ ไม่ชอบทุกอย่างที่รวมออกมาเป็นผู้หญิงคนนี้ ไม่ชอบที่เธอแต่งหน้าทาปากเสียเข้มจนเหมือนผู้หญิงจัดจ้านกร้านโลก ไม่ชอบชุดเดรสสีแดงนั่นที่เปิดเนื้อหนังใต้ร่มผ้ามากไป ไม่ชอบสร้อยไข่มุกเส้นยาวที่อยู่บนลำคอของเธอ ไม่ชอบรองเท้าส้นสูงที่โผล่มาแว้บๆตรงชายกระโปรง ไม่ชอบถุงมือยาวถึงข้อศอกที่เธอใส่ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดชะมัด
“เรื่องนั้นช่างเถอะ….” ผมมองทั่วตัวเธอเหมือนกำลังหาข้อตำหนิ “คุณใส่ชุดบ้าอะไรของคุณน่ะ โชว์เนื้อหนังขนาดนี้เนี่ยนะ น่าเกลียดชะมัด”
“แล้วมีปัญหาอะไรไม่ทราบคะ ฉันจะใส่อะไรมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับท่านเอ็นโจซักหน่อย” เธอเหยียดยิ้ม ม้วนปลายนิ้วเล่นกับสร้อยไข่มุกที่สวม
ให้ตายสิ เธอไม่คิดว่ามันจะโป๊ไปหน่อยเหรอ เกาะอกที่มันเกาะแบบหมิ่นเหม่นั่น ถ้าหลุดขึ้นมาจะทำยังไง
“อ้อ แต่คนที่ซื้อชุดนี้ให้เขาก็ไม่เห็นจะบอกน่าเกลียดตรงไหนเลย บอกว่าเหมาะกับฉันออกนะ รสนิยมคุณมีปัญหาแล้วล่ะ”
“คนที่ซื้อให้…” ใคร...ผู้ชายคนไหน แขกในร้านหรือที่อื่น เธอไปหลอกลวงผู้ชายคนไหนมาได้อีก
คุณคิโชวอินแย้มรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียด มองผมด้วยสายตาที่เหมือนมองไอ้โง่คนหนึ่ง
“ก็ท่านอิมาริยังไงล่ะค้า”
ชื่อที่ออกจากปากนั่นทำให้ผมตกใจ พอเธอเห็นแบบนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะแหลมสูง ค้อมหัวลงอย่างล้อเลียน
“ต้องขอบพระคุณท่านเอ็นโจมากเลยนะคะที่ช่วยแนะนำท่านอิมาริมาเป็นแขก ฉันก็เลยได้ลูกค้ากระเป๋าหนักที่ยอมจ่ายไม่อั้น อย่างสร้อยไข่มุกแพงๆเส้นนี้เขาก็ซื้อให้อีกนั่นล่ะ แหม... ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยล่ะค่ะ”
“คุณคิโชวอิน อย่าไปยุ่งกับเขานะ ผู้ชายคนนั้นน่ะ…” ผมรีบเอ่ยปากเตือน บางทีคุณคิโชวอินอาจจะไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ของคุณโมโมโซโนะในด้านของความเจ้าชู้ก็ได้
“ถ้าเรื่องที่เขาเป็นคนแบบนั้นน่ะฉันรู้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องเตือนหรอก” เธอตอบกลับมาอย่างเย็นชา แล้วก็มองผมขึ้นๆลงๆด้วยสายตาดูถูก “คุณเองก็เถอะ เที่ยวตามก้นแฟนเพื่อนสนิทไปทุกที่อย่างนี้มันไม่งามนะคะ คงไม่ใช่ว่าคุณก็แอบเล็งทาคามิจิคนนั้นอยู่หรอกนะ เห็นเป็นห่วงเป็นใยกันดีเหลือเกินนี่ แต่แย่หน่อยน้าที่เธอก็ไม่เอาคุณอยู่ดี”
ผมขบกรามแน่น ต้องนับหนึ่งถึงสิบตั้งสติอยู่ในใจเป็นการสะกดกลั้นอารมณ์โกรธก่อนจะพูดตอบออกไป
“คุณคิโชวอิน...เลิกพูดอะไรต่ำๆแบบนั้นได้แล้ว ผมไม่ได้คิดอะไรทำนองนั้นกับคุณวาคาบะเลยซักนิด”
“นั่นพูดแก้เก้อรึไงคะ” เธอหัวเราะเสียงแหลมสูงเหมือนกำลังเย้ยหยัน “แต่ก็อย่างว่าล่ะ...ท่านคาบุรากิสุดแสนจะเลิศเลอออกขนาดนั้น เป็นฉันก็เลือกท่านคาบุรากิอยู่วันยังค่ำ ไม่มาคว้าเอาตัวรองๆหรือกรวดหินไร้ค่าข้างทางหรอก”
คงเป็นเพราะความโกรธ ผมถึงได้รู้สึกจุกแน่น พูดไม่ออก เจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ แถมเนื้อตัวก็เหมือนจะไร้เรี่ยวแรงได้อย่างน่าประหลาด
คุณคิโชวอินยิ้มเยาะที่เห็นผมพ่ายแพ้ในการโต้เถียง ยกกระโปรงถอนสายบัวให้อย่างงดงามอ่อนช้อย
“ฉันต้องขอตัวล่ะค่ะ ป่านนี้ท่านอิมาริคงรอแย่แล้ว...ไปก่อนนะคะ”
คงเป็นเพราะความโกรธ ผมถึงได้ก้าวตามเธอไป ดึงแขนไว้จากด้านหลัง ฉีกยิ้มให้ดูเป็นคนเลือดเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แล้ว... คุณคิโชวอินไม่อยากรู้เหรอ ว่าวันนี้คุณวาคาบะมาที่นี่ทำไม”
เธอดูตกใจที่ผมเข้าใกล้ขนาดนี้ แววตาเริ่มปรากฎร่องรอยของความหวาดหวั่น แต่ยังคงเชิดหน้าเหมือนไม่ได้กลัวเกรง
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่ได้อยากรู้”
ผมยิ้มมุมปาก นึกแต่คำพูดที่จะทำให้เธอเจ็บปวดบ้าง ผมรู้จุดอ่อนของเธอ ไม่ได้ยากอะไรเลยสำหรับการทำร้ายจิตใจใครซักคน
“มาซายะพาคุณวาคาบะออกงานสังคมในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการยังไงล่ะ” ผมไม่ได้เหลือบมองสีหน้าเธอ “คุณคงไม่ได้ตามข่าวสินะ แต่มาซายะน่ะเพิ่งจะหมั้นหมายกับคุณวาคาบะไปเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง คุณอิมาริก็ไปงานมาด้วยนะ...เขาไม่ได้บอกคุณเหรอ”
พูดไป ผมก็หัวเราะไป ทำเหมือนมันเป็นเรื่องตลกขบขันที่ไม่สำคัญ
“มาซายะนี่ก็ใจร้อนจริงๆ คุณวาคาบะบอกให้เรียนจบแล้วค่อยหมั้นกันแบบเป็นทางการก็ได้ แต่ยังไงมาซายะก็ไม่ยอมท่าเดียว บอกว่าประกาศไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็ต้องทำให้เรียบร้อย...อ้อ...ตอนนั้นที่ว่าก็ตอนที่ยกเลิกการหมั้นกับคุณเพื่อคุณวาคาบะไงล่ะ”
ผมก้มลงไปกระซิบข้างหูเธอ เอาคำพูดที่พูดเมื่อครู่นี้คืนกลับไปให้
“แย่หน่อยน้า ที่เขาก็ไม่เอาคุณเหมือนกัน”