มาซายะปล่อยให้พี่ชายของเธอเอสคอร์ทเธอไปหากลุ่มสาวไฮยีน่า ดวงตาจับจ้องอยู่บนสะโพกที่ผ้าไหมสีเมทัลลิกทิ้งตัวแกว่งไกวตามจังหวะการเดิน เขามองสะโพกที่กลมงอนแล้วสงสัยว่าข้างใต้นั่นเธอใส่ชุดชั้นในอะไร บางทีอาจจะเป็นจีสตริงตัวเล็กจิ๋วสีชมพู บางทีอาจจะเป็นชั้นในลูกไม้ที่เรียบลื่นไปกับผิวจนแทบไม่เห็นรอย
แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางงานเลี้ยง แต่ชูสุเกะก็อดจินตนาการไม่ได้ถึงตอนที่เขาอาศัยช่วงเวลาที่พี่ชายของเธอวุ่นวายกับคุณโมโมโซโนะพาเธออกไปในที่ลับตาคน มุมคฤหาสน์ที่มีเพียงแสงไฟสลัว เขากับเธออยู่กับเพียงลำพังในระเบียงแคบ ๆ แผ่นหลังของเธอติดกำแพง เบื้องหน้าคือร่างของเขาที่ค่อย ๆ รุกคืบเข้าไปใกล้ จนกระทั่งเธอทำได้แค่เพียงเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่สับสน ราวกับไม่รู้ว่าเธอยั่วยวนให้เขาคลุ้มคลั่งมากแค่ไหน
เธอเหลือบมองไปด้านข้างเพื่อหาทางหนีเหมือนที่เธอชอบทำสมัยอยู่มัธยม เธอมักจะหนีเขาเสมอ และนั่นกลับยิ่งกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของผู้ชายในตัวเขาให้ออกไล่ตาม เขาล้อมกรอบเธอไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเธอถึงความปรารถนาที่ชั่วช้าโสมมของเขา มองใบหน้าขาวเนียนแดงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความอับอาย
ร่างกายของเขาแนบชิดจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงอกอวบอิ่มที่ทะลักออกมาจากคอเสื้อลึก เขาจะบอกกับเธอว่าในค่ำคืนนี้มีคนกี่คนที่มองเธอแล้วเปลื้องผ้าเธอในสมองของพวกเขา มีคนกี่คนที่อยากจะฟอนเฟ้นหน้าอกนุ่มหยุ่นเต็มมือของเธอ มีคนกี่คนที่อยากจะแยกขาคู่นี้ของเธอออก ชำแรกร่างเข้าไปในช่องทางของเธอแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า หากแต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำแบบนั้นกับเธอได้
เธอบอกให้เขาหยุดพูดจาลบหลู่เธอ มือทั้งสองข้างของเธอพยายามยกขึ้นอุดหู เพราะคำพูดของเขาสกปรกเกินกว่าที่หญิงสาวไร้เดียงสาอย่างเธอจะทานทนไหว หากแต่เขาไม่ยินยอมให้เธอทำเช่นนั้น เขารวบข้อมือของเธอแล้วตรึงไว้กับกำแพง มืออีกข้างลากผ่านส่วนนูนของทรวงอก เรื่อยลงไปจนถึงหน้าขา เขาเลื่อนมือเข้าไปยังใจกลางระหว่างต้นขาเนียน หัวเราะออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชิ้นที่ซึมผ่านชุดชั้นใน
‘อืมม์ ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้รังเกียจสิ่งที่ผมพูดอย่างที่ปากว่าซักเท่าไหร่นะครับ คุณคิโชวอิน’ เขาหยอกเธอ มองใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความขัดแย้งในตัวเอง เธอเป็นสุภาพสตรีที่แสนอ่อนหวาน หากแต่ร่างกายของเธอกลับเรียกร้องสิ่งที่หยาบช้าไม่ต่างจากสัตว์ในฤดูผสมพันธุ์
ในจินตนาการของเขา เธอร้องไห้ด้วยความอับอาย แต่สะโพกกลับบดเบียดเมื่อเขาแทรกท่อนขาของตัวเองเข้าไประหว่างขาทั้งคู่ของเธอ ร่างของเธอคร่อมลงบนขาของเขา เสียดสีท่อนล่างที่แฉะเยิ้มกับกางเกงสูทของเขาอย่างเย้ายวนและไร้เดียงสา เขาก้มลงชิมรสหวานจากกลีบปากคู่นั้น เธอเผยอริมฝีปากออกตามสัญชาตญาณเหมือนครั้งที่พวกเขาจูบกันครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงสะอื้นและเสียงครวญครางของเธอถูกกลืนหายไปในปากของเขา ดังนั้นเขาจึงถอนห่างออกมาเพื่อฟังเสียงร่ำร้องของเธอ
‘ได้โปรดเถอะค่ะ ท่านเอ็นโจ’ เธอร่ำร้อง ราวกับว่าการเสียดสีร่างของเธอลงบนขาของเขาอย่างเชิญชวนนั้นไม่เพียงพอ เขา—
เขาควรจะหยุดคิดก่อนที่จะทำให้ตัวเองขายหน้า ชูสุเกะยิ้มให้กับมาดามที่เขามาทักทายเขา ก่อนจะเริ่มบทสนทนาอย่างไม่ติดขัด แม้ว่าในช่องท้องของเขาจะร้อนผ่าว แต่สูทเบลเซอร์ที่กลัดกระดุมไว้นั้นเพียงพอที่จะปิดปังปฏิกริยาทางร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม
เขาเฝ้ามองเธอที่ดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ สีหน้าของเธอมีแววหงุดหงิด เธอไม่ได้พูดคุยไปทั่วเหมือนปกติ เขาสงสัยว่าเธอรู้สึกได้ถึงสายตาที่จาบจ้วงของคนอื่น ๆ ในห้องหรือไม่ ระหว่างงานมาซายะแทบไม่ได้คุยกับเธอเพราะมัวแต่คุยงาน ทว่าพี่ชายของเธอกลับแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากดูแลเธอ แม้ว่าเขาจะเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เข้าไปคุยกับเธอ แต่ก็ยังดีกว่าใครซักคนพยายามเข้าใกล้เธอเกินกว่าการพูดคุยตามมารยาท
และในตอนเที่ยงคืน เขาก็เห็นเธอเดินไปหามาซายะอีกครั้ง จังหวะการเดินที่ค่อนข้างแข็งตลอดทั้งงานนั้นกลับมานุ่มนวลลากสายตาคนในงานให้หันมองเธอเป็นตาเดียว ทว่าสายตาของเธอจ้องมองแต่มาซายะเท่านั้น ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าเธอหยุดบทสนทนากี่บทของคนในงาน หรือทำให้หัวกี่หัวหันตามร่างที่เดินนวยนาดราวกับว่าเธอเป็นราชินีผู้ปกครองโลกใบนี้ ร่างของเธอบดเบียดเข้ากับร่างของมาซายะ คนเบียดอาจไม่รู้แต่คนถูกเบียดความคิดกระจุยกระจายไปไหนต่อไหน