ฉันหัวหมุนกับความคิดเรื่องระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างชายและหญิง แต่เอ็นโจกลับแตะใบหน้าฉันให้หันมองสบตากัน แววตาดูสับสนและประหลาดใจ
“เรย์กะ”
“มะ ไม่ได้อนุญาตให้เรียกชื่อซักหน่อยนะคะ ท่านเอ็นโจ”
“เรย์กะฝันแบบเดียวกับผมใช่มั้ย”
“พะ พูดเรื่องอะไรกันคะ ไม่เห็นเข้าใจเลย”
“งั้นเหรอ” สายตาของเอ็นโจที่ใช้มองในตอนนี้ทำฉันต้องหลบตาไปมองที่อื่น รู้สึกร้อนผ่าวตรงที่ถูกจ้องมอง “...นั่นสินะ คนเราจะฝันแบบเดียวกันได้ยังไงล่ะเนอะ”
พอเอ็นโจทำท่าจะปล่อยผ่าน ฉันก็ถอนใจออกมาแบบโล่งอก แต่พอกำลังจะยันตัวออกจากอ้อมแขนนั่น เอ็นโจก็โพล่งขึ้นมา
“แต่รู้มั้ย ในฝันของผมน่ะ เรย์กะขี้อ้อนมากเลยนะ”
“เอ๋”
“เดี๋ยวก็เข้ามาซุกแล้วก็กอด เรียกชูคะ ชูขา แถมยังชอบขโมยจุ๊บผมตอนเผลอด้วย...”
เฮ้ยๆๆๆๆ พูดอะไรของนายยะ!! ฉันไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้วในฝันน่ะกว่าจะเรียกชื่อคุณชูสุเกะได้ก็ตอนเข้าห้องหอโน่น แถมตอนเรียกก็ยังไม่ชินปากอีกต่างหาก
หน้าฉันร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงความทรงจำในตอนนั้น เอ็นโจก็เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆทำฉันหัวหมุนวนสับสนไปหมด
“....แล้วเรย์กะก็ชอบอ้อน ชูคะ คิดถึงจังเลยค่ะ เป็นห่วงชูนะคะ รักชูที่สุดเลยค่ะ”
“มะ ไม่ได้เรียกชูเฉยๆซักหน่อยนะคะ เรียกคุณชูสุเกะต่างหาก แล้วก็ไม่ได้พูดแบบนั้นเลยด้วย”
ฉันตัวเย็นวาบ รีบตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทันเมื่อได้สติว่าเผลอพูดอะไรออกไป เห็นแววตาของเอ็นโจที่ส่องประกายวิบวับก็รู้ตัวว่าตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว
“เห…” เอ็นโจยิ้มละมุนละไม “...ผมพูดถึง ‘เรย์กะ’ ที่อยู่ในฝันของผมต่างหาก แต่คุณคิโชวอินแก้ต่างให้อย่างนี้ แสดงว่าคุณคิโชวอินก็คือเรย์กะที่อยู่ในฝันของผมใช่มั้ยนะ”
“....”
“อื๋อ ว่ายังไงล่ะ”
ปลายนิ้วของเอ็นโจเกี่ยวเข้ากับนิ้วของฉัน เข้ามาเกาะกุมมืออย่างช้าๆ สายตาสบประสานกันในระยะประชิดแบบนี้พาให้รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดเป็นลม
“คุณคิโชวอินคือเรย์กะของผมใช่มั้ย”
“คิดไปเองแล้วล่ะค่ะ”
ฉันตั้งใจว่าจะยืนกรานปฏิเสธไปอย่างนี้ ถ้าไม่พูดซะอย่าง เอ็นโจก็คาดคั้นฉันไม่ได้อยู่แล้ว
“ความฝันก็คือความฝัน ไม่ใช่ความจริงซักหน่อย เขาว่ากินมากก็ฝันมากไม่ใช่เหรอคะ แล้วก็ไม่มีใครบนโลกที่จะฝันเหมือนกันได้หรอกนะ ท่านเอ็นโจน่ะคิดไปเองแล้วล่ะค่ะ ฉันไม่ใช่เรย์กะในฝันหรอกนะคะ”
“งั้นเหรอ”
มือของเอ็นโจปล่อยมือฉันออกจากการเกาะกุมได้ในที่สุด
ขณะที่กำลังจะโล่งใจ แต่พอเงยหน้ามองก็เห็นเอ็นโจยิ้มเศร้าๆเหมือนกำลังขมขื่น ท่าทีหลุบสายตามองพื้นเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงทำให้รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
“กลับกันเถอะ” เอ็นโจพูดเสียงเบา แล้วก็ออกเดินนำหน้าไป
ทั้งที่ควรจะยินดีที่ทุกอย่างมันจบ แต่ในใจฉันกลับรู้สึกสับสนไปหมด
จะว่าไปนี่มันเหมือนฉากในหนังตอนที่คุณชูจิอ้อนวอนขอความรักจากเรย์นะเป็นครั้งสุดท้าย แต่เรย์นะเอาแต่ปฏิเสธ ผลักไสคุณชูจิให้ออกไปห่างๆด้วยคำพูดทำร้ายจิตใจ
คุณชูจิทำแค่ยิ้มเศร้าๆ ปล่อยมือออกจากเรย์นะ เดินจากไปด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
ฉันแทบจะกรี๊ดออกมาตอนที่อยู่ในโรง ทั้งคู่รักกันแล้วแท้ๆ แต่ยัยเรย์นะเอาแต่ปฏิเสธความรู้สึกตัวเองอยู่ได้ หล่อนจะกลัวอะไรนักหนายะ ยัยบ้าเอ้ย!!
...กลัว…อย่างนั้นเหรอ
ก็แหงอยู่แล้ว อีตาเจ้าเล่ห์นี่น่ากลัวจะตายไป จะไม่ให้กลัวได้ยังไงกันล่ะ ทั้งรอยยิ้มและสายตาที่อ่านใจคนได้ เดี๋ยวก็พูดจากดดันข่มขู่ เดี๋ยวก็หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ เดี๋ยวก็ฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวทำรุ่มร่ามใส่ ต่างจากเอ็นโจที่เป็นเจ้าชายผมสีน้ำผึ้งผู้อ่อนโยนใน Kimi Dolce ลิบลับ เจ้าชายคนที่ฉันชอบในการ์ตูนไม่ใช่จอมเจ้าเล่ห์แบบนี้
ไม่สิ ไม่ๆๆๆ ฉันจะเอาหนังมาปะปนกับความเป็นจริงไม่ได้ นั่นมันเรื่องของคุณชูจิกับเรย์นะ ไม่ใช่ฉันกับเอ็นโจซักหน่อย
ฉันมองคนที่เดินนำหน้าแบบสับสน แล้วก็พยายามจะไม่คิดถึงเนื้อหาของหนัง แต่กลับจำได้ทุกรายละเอียด
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เรย์นะได้เจอกับคุณชูจิ เพราะหลังจากนั้น คุณชูจิก็ปฏิเสธการพบเรย์นะในทุกทาง โหมทำงานหนักบวกกับตรอมใจจนร่างกายอ่อนแอ แล้วก็ป่วยตายไปในที่สุด
กรี๊ดดด!! ไม่นะ!! อย่าให้ทุกอย่างมันสายไปแบบนั้นสิ
ฉากที่เรย์นะนั่งร้องไห้อย่างหนักเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าสูญเสียคนรักไป แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วสร้างความสะเทือนใจให้ฉันอย่างรุนแรงจนต้องร้องไห้ตาม ถ้าเพียงแต่เรย์นะจะกล้าเปิดใจให้คุณชูจิ เรื่องราวคงไม่ลงเอยเป็นโศกนาฎกรรมแบบนั้น
ฉันเผลอยื่นมือออกไปดึงชายเสื้อเอ็นโจเอาไว้ไม่ให้เดินจากไป
-----------------------------
ตอนหน้าจบชัวร์