ลำดับชนชั้นเรียงสูงสุดไปล่างสุด
-กษัตริย์
-แกรนด์ดยุค, อาร์ชดยุค (ใช้ในบางประเทศเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็คือพวกเจ้าชายเจ้าหญิง)
-ดยุค
-มาร์ควิส
-ไวท์เคานท์
-เคานท์(เฉพาะเกาะอังกฤษเรียก เอิร์ล)
-บารอน
-อัศวิน
-ชาวบ้าน
-ทาส
เพราะเป็นรองแค่คิงไง เลยคิดว่าเป็นแล้วดูเท่ ให้ราชาแต่งตั้งให้มั่วๆ เฉยเลยก็มี บ้าบอ
ไหนๆ มาถึงนี่แล้วจะลากยาวไปเรื่องจักรวรรดิ์ด้วยมั้ย?
มาด้วยก็ดี กูอ่านแล้วเพลินว่ะ
กูก็รออ่านนะ มีใครใจดีเล่าให้ฟังบ้าง มาเก็บเอาไปเป็นข้อมูลเขียนนิยาย
โอเคงั้นเพิ่มเรื่องจักรวรรดิให้นิดหน่อยละกัน
ก่อนอื่นเลยก็คือนิยามของจักรวรรดิ ฟังดูเหมือนจะยิ่งใหญ่นะแต่ในความเป็นจริงแล้วจักรวรรดิ์มันก็แค่ระบอบการปกครองที่มีหลายๆ ประเทศมารวมตัวกันโดยที่มีตัวจักรวรรดิเป็นศูนย์กลางก็เท่านั้นล่ะ ซึ่งไอ้เจ้าประเทศทั้งหลายนี่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังมีระบบการปกครองเป็นของตัวเองอยู่ และนั่นก็หมายถึงอาจจะมีกษัตริย์และขุนนางเป็นของตัวเองอยู่ด้วย แต่การปกครองประเทศหลายๆ แห่งให้มาร่วมมือกันเป็นหนึ่งนั้น นั้นก็จำเป็นต้องมีผู้นำที่เป็นศูนย์กลางซึ่งในที่นี้ก็คือ องค์จักรพรรดิ นั่นเอง
ยกตัวอย่างจักรวรรดิที่สังเกตง่ายๆ ก็คือ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman empire) ซึ่งเจ้าจักรวรรดินี้ก็มีสมาชิกหลักๆ อยู่ด้วยกันก็คือ เยอรมัน , โบฮีเมีย (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐเช็กเกียและสโลวาเกีย) , อิตาลีเหนือ (มิลานไปถึงกรุงโรม) และบางส่วนของฝรั่งเศสและโปแลนด์ ซึ่งการรวมหลายประเทศเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองเดียวกันแบบนี้นี่ล่ะ ถึงเรียกว่าระบบจักรวรรดิ
ส่วนการตั้งเป็นจักรวรรดินั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีหลายประเทศรวมกันก็ได้ บางทีแค่ 2-3 ประเทศรวมกันก็เป็นจักรวรรดิได้แล้ว ยกตัวอย่างก็คือจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง ตอนน้ันญี่ปุ่นมีพื้นที่ปกครองหลักๆ ก็คือตัวญี่ปุ่นบนเกาะ , ไต้หวัน , แมนจูเรีย และเกาหลี ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นตรงกับการปกครองส่วนกลางและกลายเป็นจักรวรรดินั่นเอง
เรื่องเขตแดนนั้นไม่ยากสำหรับจักรวรรดิ แต่เรื่องที่ปวดหัวที่สุดก็คือเรื่องระบอบการปกครองในจักรวรรดิและการเลือกจักรพรรดินั่นล่ะ
ที่บอกว่าปวดหัวเพราะบางจักรวรรดินั้นมีการเลือกไม่เหมือนกัน บางแห่งก็เลือกใช้วิธีสืบทายาทโดยที่จักรพรรดิจะส่งต่อตำแหน่งให้กับรัชทายาท แต่บางแห่งก็จะใช้ระบบการโหวตของสภาขุนนางเลือกว่าจะให้ตัวแทนของประเทศไหนขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ และบางแห่งจักรพรรดิก็มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเลยก็ยังมี ซึ่งอันนี้ขอพูดแค่คร่าวๆ ละกัน รายละเอียดเบื้องลึกนี่คงต้องไปหาอ่านกันเอง
นี่กูพูดถึงเรื่องนี้แล้ว อีกหน่อยกูต้องพูดถึงเรื่อง Galactic federation ด้วยมั้ย?
ตามความเข้าใจของกู ภายในประเทศ จักรวรรดิมียศสูงกว่าราชอาณาจักร จักรพรรดิมียศสูงกว่าราชา (HRE) แต่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จักรพรรดิและราชามีศีลเสมอกัน จักรวรรดิจะต้องเป็นมหาอำนาจ (มหาอำนาจกลาง WW1) มีการขยับขยายดินแดน (จักรวรรดิ Roman) และปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ แต่ไม่จำเป็นต้องเรียกตัวเองเป็นจักรวรรดิหรือจักรพรรดิ (จักรวรรดิสเปน ที่กษัตริย์เป็น King ไม่ใช่ Emperor ) ที่สำคัญสุดเลย จักรวรรดิมันฟังดูชั่วและโครต Cool กว่าราชอาณาจักร
ผิดตรงไหนแก้ให้ด้วย
ก็เอาระบบฟิวดัลมาเทียบก็ได้ แค่เพิ่มตำแหน่งจักรพรรดิไปอยู่บนสุดแค่นั้น ในเกมที่เล่น กุก็ชอบตั้งราชามาปกครองดินแดนใหญ่ๆแทนจะมาเสียเวลาเอาใจเหล่าลอร์ดทั้งหลาย
Ky กูเห็นเพจเกม identity v จองไทย เขาโพสชื่อทีมกัน หนึ่งในนั้นมีชื่อที่เตะตากูมาก
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=437418963450711&id=433877867138154
โม่งใช่มั้ย นั่นใช่โม่งรึเปล่า~
ky กูกำลังเขียนตลคที่เป็นเด็กอยู่ เป็นเด็กผู้หญิงที่มีมารยาท วางตัวดี เป็นลูกคุณหนู แล้วกูไม่รู้จะแบ่งสัดส่วนระหว่างนิสัยเด็กกับการวางให้ยังไงดี เพื่อนโม่งว่ากูทำไงดี หรือกูต้องหาแนวโลลิอ่าน
>>526 การเมืองไง ง่ายๆ สมมุติว่ามึงมีประเทศของตัวเองเป็นประเทศเล็กๆ พอจะปกป้องตัวเองได้บ้างแหละ แต่ชายแดนมึงอีกประเทศที่การทหารแม่งเหนือกว่ามึง แถมผู้นำบ้าๆ บอๆ จะยกคนมาตีบ้านมึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ บางทีการยอมไปอยู่ใต้ร่มเงาของจักวรรดิที่ยิ่งใหญ่กว่าก็เป็นกันชนได้อย่างดี แถมผลประโยชน์อีกนับไม่ถ้วน แลกกับเงือนไขอะไรก็แล้วแต่จักวรรดิจะขอมา คุ้มไม่คุ้มไม่รู้แต่ดีกว่าแยกตัวเองแล้วโดนรุมยำเละแน่ๆ อะ
สมัยนั้นแม่งล่าดินแดนกันป่าเถื่อนไร้เหตุผลสัสๆ ถ้าตัวเองไม่แข็งจริงก็ไปขออยู่ ขอเป็นพวกเดียวกับคนที่เขาแข็งกว่าเหอะ
แล้วพอรอบข้างมันเริ่มอ่อน + ตัวเองเริ่มแข็งก็จะคิดแยกตัวออกจากจักรวรรดิเอง ปรัสเซีย เป็นต้น
จักรวรรดิก็แค่คำคำหนึ่ง อย่างช่วงก่อนสงครามโลกเกาหลียังอัพเกรดตัวเองขึ้นมาเป็นจักรวรรดิเกาหลีเลยทั้ง ๆ ที่ก็มีอยู่ประเทศเดียว ชนชาติเดียว
จักรวรรดิเดิมมันใช้เรียกประเทศที่ปกครองหลาย ๆ ชนชาติพร้อม ๆ กันเช่นรัสเซียที่ขยายอำนาจลงไปทางใต้ กับตะวันออกกลาง
อังกฤษที่มีอนานิคมทั่วโลก
ส่วนหลัง ๆ มันใช้ผิดความหมายกันไปเรื่อยแต่ก็ไม่มีใครซีเรียสอะไรก็แค่ชื่อ
เหมือนญี่ปุ่น ชื่อประเทศคือ State of Japan แต่มีตำแหน่งจักรพรรดิเฉย
หรืออย่างควีนวิคตอเรียเป็นพระราชินีของสหราชอาณาจักร พร้อม ๆ กับเป็นจักรพรรดินีแห่งอินเดีย
ky ยศดยุค มาควิส บารอนอะไรพวกนี้แต่ละคนได้ตอนไหนนะ เกิดมาแล้วได้เลยเหรอ แล้วมันมีกรณีที่สามารถเลื่อนขั้นได้ไหม อย่าเช่น เลื่อนจากมาควิสเป็นดยุคงี้
ปล.พวกเกร็ดยิบย่อยพวกนี้โม่งหาข้อมูลจากไหนบ้าง กูอยากหาอ่านบ้างนะ แต่งนิยายแล้วรู้สึกข้อมูลไม่แน่น
ตามความเข้าใจกุนะ ปรัสเซียน่าจะอยากขึ้นเป็นผู้นำในHRE มากกว่าแยกตัว แต่ HRE ล่มไปก่อนหลังจากนั้นก็เลยเป็นเกมแผ่อิทธิพลชิงอำนาจเหนือดินแดนHREเดิม โดยมีคู่แข่งคือออสเตรีย
>>540 ถ้าสั้นๆ ก็นับแต่ช่วงยุคกลางมาจนถึงปัจจุบันจะเป็นเกิดมาแล้วได้เลย ยศมันสืบผ่านสายเลือด
.
ให้อธิบายจริงจังยาวๆ ก็ระบบสืบราชสมบัติของยุโรปมันผูกกับศาสนาคริสต์ ถ้ากูอธิบายก็จะบอกว่ามันเริ่มจากการที่เชื่อว่า pope ได้อำนาจจากพระเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของโลกทั้งใบ และ pope ก็ส่งอำนาจในการปกครองให้เจ้าผู้ปกครอง ส่วนใหญ่เป็นกษัตริย์ แต่ก็มีบางครั้งที่เป็นดยุก ผ่านการสวมมงกุฎ (พิธีราชาภิเษกนั้นเอง) หากพูดแบบรูปธรรมมันเป็นการฮั้วกันระหว่าง pope กับกษัตริย์ที่เป็นคนเถื่อน pope จะได้รับการคุ้มกะลาหัวโดยกษัตริย์จากภัยอย่างพวกโรมันที่อยู่คอนสแตนติโนเปิล ส่วนพวกคนเถื่อนจะได้ความชอบธรรมจากการปกครองโดยการให้อำนาจผ่าน pope ตามหลักการที่กูเข้าใจเมื่อกษัตริย์ได้ที่ดินจาก pope ก็เอาที่ดินไปแจกต่อให้กับพวกลูกน้องตัวเองเป็นตำแหน่งต่างๆ และเมื่อพวกนี้ออกลูกออกหลานตำแหน่งก็จะตกถึงท้องต่อไปเรื่อยๆ แต่ที่สำคัญของยุโรปมันคือ มันใช้ระบบสืบราชสมบัติแบบลูกคนโตได้หมด กรณีไอคนที่ถือครองตำแหน่งไม่มีทายาท มันจะใช้วิธีการสืบค้นสายที่ใกล้ที่สุด แล้วคนที่ใกล้สุดนั้นแหละจะได้ไปทั้งหมด ถ้ามีตำแหน่งอยู่แล้วก็ได้ตำแหน่งควบไปเลย ทำให้เราเห็นบ่อยที่กษัตริย์ยุโรปมันมียศตามติดยาวเป็นพรืดอย่างอังกฤษช่วงหนึ่งนี้ยาวโคตรพ่อโคตรแม่ยาว
>>543 ต่อ เจ้าของยุโรปถ้าสืบสายจริงๆ ส่วนใหญ่เลยมักจะสืบกลับไปถึงพวกยุคกลางได้ทั้งนั้น เพราะวิธีสืบราชสมบัติแบบนี้ อย่างของอังกฤษก็เชื่อกันว่าสามารถสืบย้อนกลับไปถึงวิลเลี่ยมผู้พิชิตได้ หรือของฝรั่งเศสเห็นมันมีหลายราชวงศ์ แต่ถ้าสืบไปจะเริ่มที่ราชวงศ์กาแปทั้งนั้น (ยกเว้นพวกโบนาปาร์ตไว้ในฐานที่เข้าใจ) ส่วนที่ >>540 ถามว่าเลื่อนขั้นได้ไหม ถ้ายุคใหม่หน่อยเหมือนจะมีเปลี่ยนชื่อตำแหน่งเอาดื้อๆ อย่างออสเตรียก็เปลี่ยนชื่อจากอาร์คดยุคเป็นจักรพรรดิ แต่ถ้ายุคกลางทำแบบนี้มันยากโคตร ส่วนใหญ่วิธีเลื่อนขั้นที่กูเข้าใจน่าจะเป็นการแต่งกับตระกูลที่ยศสูงๆ คอยแช่งให้ตายโดยไม่มีทายาท แล้วค่อยกินตำแหน่งหลังจากนั้น
>>554 ไบแซนไทน์ไม่มีจริง เป็นคำเรียกของคนยุคหลังมากกว่าคนยุคนั้นก็เรียกตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิโรมัน หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออกก็ว่าไป ไบแซนไทน์นี่เป็นคำที่เพิ่งมีในยุคหลัง
ส่วนที่ในจักรวรรดิมีรัฐที่ทรงอำนาจสองรัฐคือ ออสเตรีย กับปรัสเซียกูว่า เพราะแม่งอยู่ริม ๆ จักรวรรดิไง เลยสามารถแผ่ขยายดินแดนออกไปนอกจักรวรรดิได้ อย่างปรัสเซียไปตีเอาดินแดนของโปแลนด์มา ส่วนออสเตรียก็ในโชคร้ายมีโชคดีได้ฮังการีมาหลังออคโตมันยำให้แล้ว ส่วนที่อยู่ติดริม ๆ ฝั่งแม่น้ำไรน์ติดฝรั่งเศสที่เป็นรัฐที่แข็งแกร่งมากอีกรัฐหนึ่งจะให้ไปตีกินฝรั่งเศสคงยาก
ส่วนตอนรวมชาติที่ทุกแคว้นหันไปรวมกับปรัสเซียเห็นว่าเป็นเพราะเกมส์การทูตของบิสมาร์ก น่าเสียดายลุงแกอุส่าทำเอาไว้ดีไกเซอร์พลาดทีจบเลย
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือการแต่งงานครอสกันไปมาของราชวงศ์ในยุโรปยิ่งยุคควีนวิคตอเรียนี่ไขว้กันไปมาจนแบบ คิงอังกฤษ กับซาร์รัสเซียแม่งหน้าคล้ายกันยังกับฝาแฝด
>>554 เสริมอีกนิดเพิ่งนึกได้ว่าที่ย้ายเมืองหลวงเพราะก่อนหน้านี้มันมะรุมมะตุ้มแย่งอำนาจกันจนกรุงโรมเละเป็นโจ๊กไปแล้ว อีกอย่างทางฝั่งตะวันออกก็เป็นฐานอำนาจของคอนสแตนตินด้วย แล้วเรื่องแบ่งจักรวรรดินี่คือทำมาก่อนหน้านี้แล้วแบ่งเป็น 4 ส่วนด้วยซ้ำเพราะยุคก่อนการสื่อสารมันยังไม่ดีจักรวรรดิใหญ่ขนาดนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่เดียวเกิดเรื่องทีกว่าเรื่องจะมาถึงกว่าจะตัดสินใจกว่าจะส่งกลับไปไม่ทันกันพอดี
จากลำดับชั้นขุนนาง มาเป็นเรื่องจักรวรรดิ กุว่าพอก่อนดีกว่ามั้ยเดี๋ยวจะออกทะเลไปไกลกว่านี้
โอ้โห ยุโรป-ยุคกลางพรึ่บๆ เลย จู่ๆ มู้ก็มีสาระ หลังจากบ่นกันเรื่องม้า
ไหนๆแล้ว ขอถามหน่อยดีกว่า ยุคกลางมาสิ้นสุดกันตอนไหน อาณาจักรไบแซนไทน์โดนพวกออตโตมันยึดรึเปล่า หรือยังไง
อันนี้กูสงสัยส่วนตัว ทำไมไม่ค่อยมีคนแต่ง Gunpower Fantasy วะ
>>563 เออ ลืมคอนสแตนติโนเปิลสนิท เดี่ยวต้องกลับไปดูสารคดีใหม่แล้ว
>>565 นั้นสินะ
>>564 งั้นต้อง Steampunk เป็นได้ทั้งไซไฟกับแฟนตาซี เริ่มมีการอัพเกรดดินปืนเป็นปลอกกระสุน โดนน้ำไม่เป็นไร อาจจะมีการคิดค้นซองแมกกาซีน ออกแบบตัวปืนหรู ส่วนดาบกลายเป็นอาวุธรอง แต่ถ้าพูดเฉพาะเด็กดีหรือนิยายไทยเนี่ย ที่คนไม่ค่อยแต่งกัน เพราะคนไม่ค่อยดูกันมากกว่า ยุควิตอเรียนมีความใกล้เคียงสุด
แหล่งสับชั้นดีย์---------------- https://www.dek-d.com/board/view/3884937/
อันนี้สงสัยมานานล่ะ ทำไมปืนเเม่งถึงไปopในยุคเเฟนตาซีได้วะ ลูกตะกั่วเเม่งไม่น่าเเรงไปกว่าเวทเเน่ๆอะ
ปืนยุคแรกจริงๆ อะมันไม่เท่าไหร่หรอก โหลดช้า ความแม่นหาไม่เจอ แถมระยะยิงโครตสั้น แต่พวกต่างโลกมีปืน เสือกใช้ปืนในยุคที่แม่งเริ่ม OP แล้ว...และปืน ใครๆ ก็ใช้ได้ แต่จะใช้ให้มีประสิทธิภาพมันยากนะ ถามพวก รด. ก็ได้ ยิ่งปืนคาบศิลานี่ ใครๆ ก็ยิงได้จริง แค่เหนี่ยวไก แต่กว่าจะบรรจุ กว่าจะยิงให้โดน นี่มันไม่ง่ายเลย นี่ยังไม่ทันได้พูดถึงการจัดกระบวนทัพ บลาๆ แต่มันใช้เวลาฝึกน้อยกว่าดาบและไม่เปลืองแรงแบบธนู ติดดาบปลายปืนทีก็ใช้แทนหอกได้
ถ้ามีปืนคาบศิลา น่าจะมีปืนพกติดตัวบ้าง ปืนพกมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ปี 1500 แล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=wrtWWY5-ZaA
แนว Steam Punk บ้านเราคงหายากหน่อย เพราะวัฒนธรรมบ้านเรามันไม่มีอะไรแบบนั้น
ส่วนแนว Gunpowder เท่าที่เห็นมีแต่แนวที่เขียนให้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่าง ยุคกลาง > เรเนซองค์ ซึ่งเป็นยุคที่คนเริ่มเอาปืนคาบศิลามาใช้
ส่วนความ OP ของปืนในยุคแฟนตาซีส่วนใหญ่ที่กูเจอมักใช้มุกประมาณ Surprise Attack ว่ะ พอลองคิดว่าทำไมถึงทำงั้นก็ได้คำตอบว่า มันเป็นยุคที่คนยังไม่รู้จักปืนกัน ถึงรู้จักก็รู้น้อย พอโดนพวกตัวเองหยิบมาใช้ปุ๊บ พวกตัวร้ายก็จะตกใจร้อน Nani!? ก่อนโดนเก็บแล้วลงไปนอนร้อง Baka ...na นั่นเอง
ซึ่งถ้าอิงตามความจริงแล้วปืนในยุคนั้นมันไม่ได้น่ากลัวเท่าไรเลยถ้ารู้ว่ามันทำงานยังไง ยกตัวอย่างก็สงครามยุคเซ็นโกคุ ระหว่างโอดะ กับ ทาเคดะ นั่นอะ ฝั่งโอดะใช้ปืนคาบศิลามายิงสู้เอาชัยมาตลอด แต่ฝั่งทาเคดะรู้ว่าปืนเป็นยังไงมีจุดอ่อนยังไง ก็เลยเอาทหารม้าวิ่งชาร์จจนเละไปเลยน่ะ
OP คือ over power ?
>>577 ปืนสมัยก่อนมีจุดอ่อน 4 ข้อ
1.ดินปืนไม่ทนความชื้น เจอน้ำเมื่อไร ปืนจะกากลง
2.รีโหลดช้ามาก ใช้เวลาบรรจุกระสุนนานกว่าเล็งเป้าหมาย เห็นว่ารีโหลดนาน 50-60 วิแล้วแต่ความชำนาญ
3.การทำความสะอาดปืนสมัยก่อนลำบากกว่า เพราะยิงแล้วเขม่าดำจนคุณภาพลดลง
4.ก่อนมีปืนลูกโม่ ยิงได้ทีละนัด ยิงรัวไม่ได้
Ky กูลองไปหาข้อมูลเล่นๆ เกี่ยวอาวุธยุคกลางของพวกฝรั่งกลุ่ม HEMA มา เหมือนว่าเขาจะยกให้ หอก เป็นเจ้าสนามรบยุคกลางเพราะ
1. ใช้งานง่ายที่สุดในบรรดาอาวุธทั้งหมดในยุคนั้น เพราะไม่ต้องใช้สมองหรือไหวพริบมาก แค่ยื่นหอกแทงไปข้างหน้าก็พอ
2. ระยะที่ยาว เพิ่มโอกาสรอดให้ผู้ใช้
3. ผลิตง่ายและราคาถูก
ทหารม้าเกราะฟูลเพลทที่เห็นๆกันก็ไว้ใช้บู๊กับพวกพลปืนนี่แหละ แต่ปืนมันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆส่วนเกราะทำให้หนาไปคนใส่ไม่ไหวเลยเลิก
เดกดวกมีมาเควี่ยตัวใหม่แล้วหรอวะ คอยเม้นแขวะแดกดันบูลลี่พวกที่มึนงงๆเข้าบอร์ดมาถาม เบ่งกร่างอวดตัวว่าเก่งโง้นงี้ลูกหาบตามเลียแพลบๆ มึงไม่ชอบไม่ต้องตอบเค้าก็ได้จะทำตัวเป็นเจ้าที่แรงทำไมวะ เดกดวกสังคมคุณตะพาบขริงๆ กูบ่นแล้วก็จากไป
KY ขอความช่วยเหลือหน่อย
ตอนนี้ ด้วยความไม่ตั้งใจ พระเอกของกูกลายเป็นพวก ผลประโยชน์ > ความรู้สึกในสายตาคนอ่านไปละ
นางเอกของกูเป็นคนซื่อ แต่ไม่ได้ไร้เดียงสา และยังไม่รู้ว่าโดนพระเอกเก็บโกยผลประโยชน์จากตัวเองอยู่
เซตติ้ง แฟนตาซียุกลางที่กำลังจะข้ามไปยุคถัดไป มีเกมการเมืองระหว่างตัวละครหลัก
แต่...กูไม่ได้เขียนนิยายดาร์ก หรือธีมมืดมน พระเอกชั่ว หรือตัวละครตายรัวๆ นะอย่างน้อยก็ยังติด tag รัก อยู่ กูอยากให้ 2 ตัวนี้มันมารักกัน แต่กูต้องทำยังไงดีวะ กูคิดไม่ออก ที่คิดออกแม่งก็ไม่ใช่ความรัก มันออกแนวชาวนากับวัวอ่ะ
มิติใหม่แห่งการขายตรง ขา่ยกันข้ามค่าย แถมขายยังไงให้ขึ้นท๊อปบอร์ดวะ ถ้ากูจะไม่ชอบมันเป็นการส่วนตัวกูจะผิดมั้ยเพราะกูไม่ชอบแม่งจริงๆ นะเนี่ย
https://www.dek-d.com/board/view/3885163/
>>592 จริงๆมันก็ไม่ยากนะ(หรือเปล่า) อันดับแรก ตลค. ต้องมีเหตุได้เจอกันบ่อยๆก่อน จริงๆแบบชาวนากับวัวอย่างที่มึงว่าก็โอเคนะ เจอกันมันก็ไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายหนึ่งรักอีกฝ่ายหนึ่งทันทีนะ ส่วนใหญ่ที่กูเห็นถ้าคล้ายๆมึงก็ พระเอกตั้งใจมาหลอกนางเอก ส่วนนางเอกใสสื่อไม่รู้ แต่พอเวลาผ่านไป ฝ่าฟันอุปสรรค ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รู้ตัวอีกทีอีพระเอกที่สนใจแต่ผลประโยชน์กลับเผลอชอบนางเอกไปแล้ว ส่วนที่พลาดไม่ได้(ไม่ได้บอกให้มึงทำนะ อันนี้คือที่กูเห็นประจำ) พอจะรักกัน นางเอกรู้ความจริงว่าทีแรกพระเอกตั้งใจมาหลอก ดราม่าไปอีก
สรุปก็คือ ให้ตัวละครมีเหตุให้ต้องมาเจอกัน ให้มันมีเวลาพัฒนาความสัมพันธ์ จะเริ่มต้นแบบไหนไม่สำคัญหรอกว่ะ ถ้านักเขียนอยากให้มันได้กันมันต้องได้สิน่า
ถ้าตอบไม่ตรงประเด็น ซอรี่
เห็นเว็บเด็กดวกเป็นอะไรกันวะเนี่ย
โม่งที่จะมานินทาบุคคลหรือคุยเรื่องในบอร์ดในนี้มันผิดหมวดนะ มู้นี้ตอนนี้เขาถกเรื่องนิยายกันดีแล้ว ได้ความรู้และสาระมากมาย แต่โม่งบางพวกก็ลากเข้าเรื่องบอร์ดซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับนิยายอะไรเลย Toxicity มากมาก แถมมู้นินทาก็มีอยู่แล้วด้วย Netwatch เด็กดวกไง ทำไมไม่ไปเล่นที่นั่นกัน? เราขอความร่วมมือนะ เคารพผู้อื่นหน่อย อย่าก่อกวนเลย คุณใช้ Fanboi ผิดที่ผิดทางอยู่นะ
เบื่อประวัติศาสตร์เบื่อพวกบ้าสงคราม เอานิยายมาสับเถอะขอร้อง จะม้าก็ช่าง
กระทู้นินทาใน netwatch แม่งก็จมไปไหนต่อไหนแล้วมั้ง
เอาเป็นว่าจะคุยต่อก็ไปขุดเอาแล้วกัน หรือใครอยากเปิดหน้าบวกในบอร์ดก็ไปเลย เดี๋ยวกูตาม
>>429 https://www.dek-d.com/writer/50551/ นี่ไงนิยายล่าสุดของแตมรี่ ยังคงความล้ำของชื่อนางเอกไม่เปลี่ยน เธอมีชื่อว่า เส้นด้าย
>>606 เรื่องล่าสุดคือนางเอกชื่อยูแอล ในเซ็ต 7'x นะ กูตามนางอยู่ แต่ก็อ่านๆ ไปงั้น ไม่รู้จะอ่านอะไร เลิกซื้อมาสักพักแล้ว ยิ่งอ่านยิ่งรับนิสัยนางเอกบางเล่มไม่ได้ ล่าสุดกูรู้สึกเสียใจ แถมเสียดายเงินมากกก อ่านไปอ่านมา กลางเรื่องนางเอกแม่งยอมผู้ชายไปหมด ส่วนกูที่เป็นคนอ่าน นี่แทบจะอยากเอาตรีนเหยียบหน้าพระเอก #ไม่ได้จะเหยียบหนังสือนะ แค่รำคาญไอ้พระเอกเฉยๆ กูก็มโนว่าเหยียบไปงั้นแหละ Sorry +กราบ ตอนนี้โยนหนังสือเข้าคลังมืดไปละ จะพยายามกลับมาอ่านในสักวัน
เส้นด้าย กูนึกถึงพยาธิ
ทำไมวันนี้มันเงียบๆ วะ ก่อนหน้านี้ไหลยังกะน้ำลงท่อ
กูว่าชื่อเส้นด้ายยังธรรมดานะ แต่จำได้ว่าเจ้าตัวเคยพูดไว้มั้งว่าตั้งชื่อแปลกๆ คนจะได้จำได้ เอ้า จำได้แค่ชื่ออ่ะดิ แต่ตัวละครมาแบบเดียวกันหมด เหมือนเอาตัวเก่ามาเปลี่ยนชื่อ 555
ข้างบนกูจิ้มอ่านแล้วมีแต่เรื่องน่าเบื่อว่ะ บางเรื่องเขียนพออ่านได้ก็จริงแต่มันไม่สนุกสำหรับกูเลยไม่รู้จะทนอ่านทำไมซอรี่ด้วย ไปเข้าบอร์ดหาประเด็นหนุกๆแม่งก็มีแต่กระทู้ถามเรื่องซ้ำซากกับกระทู้ไร้สาระเยอะจังวะ
กู 614 จะมาสับนะ แจ้งไว้ก่อน กูอ่านเท่าที่อยากอ่าน แต่จะแจกแจงส่วนที่กูรู้สึกแหม่งๆ กูอาจเขียนผิดบ้างเพราะพิมพ์ในมือถือ
https://my.dek-d.com/Lavenderblues/writer/view.php?id=1874240
Rosemary(สถานะ : ยังไม่จบ และกูก็อ่านไม่จบ)
เซ็ตติ้งยุโรป กูอ่านไปถึงตอน 5 ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงปูพื้นอยู่เลย เส้นเรื่องก็เลยยังไม่รู้ แต่เท่าที่อ่านในหน้าแรกน่าจะเกี่ยวกับตัวเอกที่ไปทำโน้นทำนี้กับตลค.อื่นประมาณนั้น ถ้าถามว่าทำไมกูไม่อ่านให้หมด ขอบอกตามด้านบนกูอยากหยุดเมื่อไรก็หยุด
ตอนที่ 1
เล่าเรื่องของครอบครัวตัวเอกชื่อโรสแมรี่ โดยปูพื้นจากพ่อไปพบรักแม่ยันมีลูก(โรสนี้แหละ) ซึ่งกูคิดว่ามันเขียนเกินจำเป็นไปบ้าง การบรรยายก็เหมือนเขียนเรียงความ กูไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไร ต่อ คือวันนี้เป็นวันเกิดหนูโรส(มันบรรยายว่าเธออายุได้ 5 ขวบแล้ว และวันที่ 14 มีนา เป็นวันเกิดหนูโรส กูเลยงงๆว่า 5 ขวบหรือ 6 ขวบกันแน่) ต่อ แม่เล่านิทานให้โรสฟังก็แบบ เออ แม่เลือกนิทานโหดดีเนอะ(นิทานอารมณ์โรมิโอจูเลียต ตัวเอกตายตอนจบ) โรส 5-6 ขวบ ก็พูดเลย หนูจะไม่มีคู่ครองค่ะแม่ (ตรงนี้ส่วนตัวกูว่าใช้คำว่าคนรัก แต่งงาน อะไรแบบนี้ดีกว่า คู่ครองมันอารมณ์เจ้าหญิงไงไม่รู้) แล้วเรื่องก็บรรยายว่ามีคนปริศนาเข้ามา(กูนี้เลิกคิ้ว เล่นงี้เลย?) คนที่เขามาเป็นแม่นม เข้ามาก็ทำนู้นทำนี้ จบ
เป็นบทนำที่ยังไม่เห็นจุดประสงค์ของตัวโรสแม้แต่น้อย แต่พอได้ ที่ดีคือชื่อยังเป็นชื่อที่มนุษย์ใช้กัน ไม่ใช่ยูเรีย เรเดี่ยน หรือชื่อแตมรี่สไตล์ ส่วนสองแม้บรรยายจะบรรยายแข็งๆ แต่ก็ยังพอเข้าใจ มีจุดงงบ้างประปราย ดังนั้นไปต่อ
ตอน 2
งานวันเกิดผ่านพ้นไป มีบรรยายแม่เข้ามาหาโรสที่ห้องนอน ก๊อก ก๊อก โรสหันไปต้นเสียง(กูจั๊กจี้ มีความนิทานภาพเบาๆ) โรสถามว่าพ่อไปไหน แม่บอกไปรบ(เออ พูดตรงๆเลยเหรอ ไม่มีแบบพ่อไปทำธุระ ยุ่งนิดหน่อยไรงี้ บอกตรงๆเลย? ไม่เป็นไร แม่อาจเป็นคนตรงๆ) ต่อ โรสขอให้แม่ร้องเพลง แม่ก็ร้องแล้วก็ขึ้นเนื้อเพลงมาด้วย(กูไม่แน่ใจว่าคนเขียนแต่งเองเปล่านะ) จบ
บทนี้ไม่ค่อยมีอะไร
ตอน 3 เดี๋ยวมาต่อ...
เดี๋ยวนะ อีนางเอกชื่อยูเรียกูคุ้นมากเลย เรื่องไรวะ
>>620 ได้ฤกษ์มาต่อ
โรสแมรี่ ตอนที่ 3
กูลืมเล่าจุดหนึ่งของตอนที่สอง คือตอนท้ายโรสเดินลงมาเจอแม่ร้องไห้ พอตอนสามก็เฉลย พ่อนางตายแล้วจ้า โรสก็น้ำตาไหล แล้วก็ตัดไปหลายวีนต่อไป จัดงานศพพ่อแล้ว บรรยายว่ามีงานศพอย่างสมเกียรติ(พวกคนตวต.จัดงานศพสมเกียรติด้วยหรือ ไม่ใช่ว่าเข้าโบถส์ ฝัง คนมาร่วมไว้อาลัยแค่นั้น?) ต่อ ตอนนี้ค่อนข้างมีสำนวนไทยๆเข้ามา โรสปลอบแม่ที่ร้องไห้คิดว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา(หนูลูก เด็ก 5 ขวบ บ้านแฮปปี้ รู้จักคำนี้แล้วหรือ คือเด็กอาจจะฉลาด แต่กูคิดว่าอารมณ์เด็กอะ มันยังบริสุทธิ์ ยังไม่น่าเข้าใจการเศร้าจากความตาย กูแนะนำว่าเป็นอารมณ์ไม่ซับซ้อน หนูจะไม่ได้เจอพ่อแล้วหรือ แง แบบนี้มากกว่า) ต่อ แล้วโรสก็นึกถึงพ่อที่นั่งศาลาด้วยกัน(ตวต.มีศาลา?) นึกถึงคำสัญญาต่างๆนานาของพ่อ แม่ก็เข้ามากอด โรสบอกว่าพ่อผิดสัญญากับหนู ประมาณว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปอะนะ
โรส : พ่อผิดสัญญาหนู(ได้ข่าวว่าตอนพูดกับแม่ตอนแรกแทนตัวเองว่า'ข้า' เด็กลำเอียงงงง)
แม่ : แล้วหนูให้อภัยพ่อไหมจ้ะ
โรส : หนูให้อภัยค่ะ
(...แล้วพูดขึ้นมาเพื่อ ก็นึกว่าแกจะโกรธ)
แม่ก็บอกดีมากจ้ะ แล้วก็บอกว่าพ่อไม่ได้ไปไหน พ่อเขายังอยู่ในนี้~ ชี้ไปที่อกข้างซ้าย(ควรเอาคุณแม่ไปโรงพยาบาลด่วน เสียใจจนสติหลุดแล้ว)
ต่อตอน 4 เลยนะ เพราะเนื้อเรื่องมันเชื่อมกัน(กูไม่รู้ว่าเขาจะซอยตอนทำไม)
แม่ลูกก็ซึ้งๆกัน แล้วก็ตัดไป 11 ปี ตอนโรสโตเป็นสาวสวย(อายุ 16-17 กูยังไม่แน่ใจ) พวกนางเล่นเปียโนกัน ร้องเพลงเดิมกับที่แม่เคยร้องให้ตอนเด็ก(จะมีปมไรเปล่าวะ) แม่นมมา โรสเข้าไปกอด แม่นมชมว่าโตแล้วสวย(แม่นมดูจะไม่ค่อยอยู่บ้าน)
แล้วคำว่า'บุคคลปริศนา'ก็โผล่มาอีกแล้ว คร่าวนี้เป็นหมอ หนูโรสเห็นหมอแล้วตกใจสุดขีด(อะไร หนูโรสมีอดีตฝังใจกับหมอหรือ) โรสบอกว่าเธอกลัว แล้วหมอก็บอกว่า แม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อยู่ได้อีก 2 สัปดาห์(ว๊อท เดอะ... โรสแม่งอ่านใจคนได้ พีคในพีค พีคยิ่งกว่า ถ้าลองกลับไปอ่านคำโปรยมันมีทั้งคำว่าเจ้าชาย แม่มด คือยุคแนวนั้นมันมีคำว่ามะเร็งด้วย?แถมหมอเก่งขนาดบอกเวลาตายแน่นอนได้เหมือนหมอปัจจุบัน เก่งตั้งแต่ยุคนั้นคงไม่มีกาฬโรคระบาด อหิวา ลักปิดลักเปิด) ต่อๆจากนั้นแม่ก็คิดว่าถึงโรสจะโตแล้วแต่ในสายตายังเป็นแค่เด็กอายุ 6 ขวบ(เลี้ยงฉลอง กูรู้อายุนางแล้ว) จากนั้นกูตามเสต็ปแม่ก็ตาย
สรุป ความรู้สึกอยากอ่านของกูหยุดแค่ตรงนี้(ตั้งแต่รู้อายุหนูโรส ผิดๆ) แต่ก็ลองไปเปิดตอนหน้าๆคร่าวๆบ้าง เขียนขอเสียเป็นข้อๆดังนี้
-บทนำไม่ทำให้รู้ว่าตัวเอกกำลังทำอะไร และเรื่องกำลังดำเนินไปทางไหน ที่จริงมันก็สามารถเล่าไปเรื่อยๆได้แต่การเขียนแบบนั้นต้องมีการบรรยายที่มีแรงดึงดูด แนะนำให้ไปหาเรื่องสั้น นิยายลึกลับ นิยายslice of life อย่างเรื่องสั้นของสรจักร อันนั้นเล่าจากหนึ่งไปสิบได้น่าติดตามมาก
-การนำเสนอไม่ค่อยกระชับ มีน้ำด้วย แต่ที่กูอยากบอกคือให้เอาการบรรยายบ้างส่วนไปใส่ไว้ช่วงอื่นๆ เช่น อย่างในเรื่อง ถ้าเล่ามาว่าพ่อแม่มารักกัน หลังจากมีโรสปุ๊ปกูจะตัดเขาประเด็นหลักเลย อาจจะไปบ้านญาติ ไปเจอผีผู้หญิงก็ว่าไป แต่ช่วงนั้นกูก็จะบรรยายไปว่าพ่อแม่ตายยังไง โรสเสียใจแบบไหน คนอ่านจะได้เห็นแกนหลักของเรื่อง กูมั่นใจว่าเรื่องพ่อแม่ตายนักเขียนไม่ได้อยากเอามาเป็ประเด็นหลักหรอก แค่อยากให้ตัวเอกของตัวเองมีปมเฉย พ่อแม่เป็นแค่ตัวประกอบ การใช้ตัวประกอบที่ดีก็คือหยอดมาทีละนิดนานๆครั้ง ไม่ใช้แล้วทิ้ง
-ภาษาไม่คงที่ บางคำไม่เข้ากับเซ็ตติ้งนิยาย ซึ่งส่วนนี้ถ้ามันชัดเจนมากๆ(อย่างศาลา)ค่อนข้างกระทบกับความอยากอ่าน
-ตัวละครอารมณ์กลับไปกลับมา อย่างหนูโรสจากตอนแรกที่คิดว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาในตอน 6 ขวบ กลับมากลัวหน้าหมอของแม่(แบบวิตกจริต)ในวัย 17 ปี
-ตัวละครเด็กเป็นตัวละครที่ต้องใส่ใจกับความคิดหน่อย เพราะเด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ ควรศึกษาพฤติกรรมเด็กดีๆ(ตรงนี้กูอาจบอกอะไรไม่ได้มากเพราะกูก็ศึกษาอยู่)
-ใช้ภาษาแข็ง หลายครั้งอ่านแล้วสดุด
-ทำไมต้องบรรยายว่าเอามือแตะอกข้างซ้ายบ่อยๆ แล้วเป็นหลายตัวละครไม่ใช้ความเคยชินของตัวละครเดียว
ข้อดี
-ชื่อไม่น่าปวดเฮด
-นอกจากโรส คาร์แม่กับแม่นมค่อนข้างคงเส้นคงวา
-เขียนค่อนข้างรู้เรื่อง มีไม่ชัดเจนในบ้างจุดเท่านั้น
-ไม่มีบรรยายสีผมสีตาพรำเพรื่อ (แต่ตอนบรรยายพวกสีผมสีตาใช้ภาษาแข็งไปหน่อย)
-(คิดไม่ออกแหละ)
งั้นจบแต่เพียงเท่านี้ ว่างๆจะมาสับเรื่องอื่นเพิ่ม บาย
มันเงียบเหงา นี่ปิดเทอมหรือเปิดเทอมจ๊ะ น่าจะเอามุกสูบบุหรี่จากมู้ที่แล้วมาเล่นอีกรอบ แม่ง มู้เดินเพราะไอ้สูบบี่หรี่นี่แหละ
เคนชิโร่ไง ยูเรีย
ช่วงนี้เนือยๆจริงว่ะไม่มีนิยายสนุกๆให้สับ กระทู้โง่ๆโผล่เต็มบอร์ดหาสาระไม่ได้ ดราม่ามันๆก็ไม่มีให้เผือก ว่าไปไอ้แข่งเขียนนิยายติดท็อปไปถึงไหนแล้ววะ
อยากอ่านแนวสืบสวนหรือทริลเลอร์มีแนะนำบ้างป่ะในเด็กดีอ่ะ
อาทิตย์หน้าจะเปิดเทอมแล้ว กูจะมีเวลาว่าสับรึเปล่าวะ
พี่ถุยฝากสับ 2 ตอนงับเพื่อนโม่ง
>>637 ตอนแรกต้นๆ คำฟุ่มเฟือยยังเยอะอยู่ เวลาบรรยายแบบตั้งใจเป็นทางการนิดมันไม่กระชับไม่ทันใจนักอ่านสมัยใหม่แล้ว ช่วงหลังก็ดูไหลลื่นขึ้น แต่เนื้อเรื่องยังไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรมาก ยังไม่ถึงกับน่าติดตาม ใช้บทสนทนาโต้เถียงไร้สาระกันเยอะไปหน่อย เนื้อเรื่องเอาจริงๆ ยังจับไม่ถูกว่าต้องการสื่ออะไร นักอ่านปกติเขาเปิดมาไม่ได้ตั้งใจอ่านมากหรอก ต้องมีจุดที่ทำให้คนอ่านโฟกัสให้มาก เท่าที่อ่านจำได้แค่หีบทอง ทรยศ ไพ่ แค่นั้นแต่ในความรู้สึกมันเป็นอะไรที่โดดออกมาไม่เชื่อมต่อกับเนื้อเรื่อง ควรจะเขียนให้อ่านง่ายขึ้น การจะส่งข้อมูลอะไรให้นักอ่านไม่ควรรีบร้อนอัดเข้าไป ค่อยๆ ป้อน ทีละเล็กทีละน้อยให้นักอ่านจำได้ ถ้าอัดเร็วไปนักอ่านจำไม่ได้เขาก็จะเชื่อมโยงเนื้อเรื่องหรือความต้องการของคนเขียนไม่ได้ จุดไหนจะเชื่อมกับเนื้อเรื่องต่อก็ย้ำไว้ ทำให้เด่นไว้ ทำให้หาง่าย พอเนื้อเรื่องใหม่มาถึงนักอ่านจะได้ร้อง อ้อ อย่างนี้เอง ถ้าอ่านอันแรกไม่รู้เรื่อง อ่านอันหลังก็จะไม่รู้เรื่องตามไปด้วย
สำนวนไม่ถึงกับแย่นะ มันก็พอไปได้ แต่การเล่าเรื่องต้องปรับปรุงสักหน่อยให้อ่านง่ายเข้าใจง่ายขึ้นกว่านี้ หรือจริงๆ มันยังไม่มีอะไร สู้กันกับอธิบายระบบเฉยๆ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็ปูนานเกินไป อาจจะมีความพยายามสร้างจุดพีคเล็กๆ ในตอนด้วยบทสนทนา แต่รู้สึกว่ายังฝืดอยู่หน่อยแล้วมันกลบเรื่องระบบหรืออะไรที่อยากอธิบายในตอนนั้นๆ พวกการเล่าเรื่องนี้มันยืดหยุ่นไม่ตายตัวหรอก เล่าแบบที่เป็นอยู่นี้ก็ได้แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดที่รู้สึกว่า ว้าว สนุกจัง แต่ก็ต้องมองจุดประสงค์การแต่งด้วยแหละนะว่าต้องการให้ไปถึงไหน บางคนอยากแต่ง บางคนอยากได้รับการยอมรับ บางคนอยากตีพิมพ์ บางคนอยากขายออก งานสามอย่างหลังมีจุดร่วมเหมือนกันอย่างคือต้องให้คนอ่านสนุกไปกับงานด้วย ดังนั้นมุมมองคนอ่านกับคนเขียนอาจจะไม่เหมือนกัน ถ้ายังไม่ได้มีงานออกเป็นชิ้นเป็นอัน เวลาคนเขียนคิดว่านี่มันโอเคแล้ว แปลว่า มันกลางๆ ดาดๆ ไม่ได้มีดีอะไร ต้องเขียนจนรู้สึกว่า นี่มันเจ๋งไปเลย มันอาจจะเข้าขั้นดีขึ้นหน่อย ถ้าอยากวัดระดับจริงๆ ก็วัดกับงานที่ออกเล่มแล้วขายดีนั่นแหละ ถ้ามีความรู้สึกว่างานเราสู้ได้ ตอนนั้นงานน่าจะโอเคระดับหนึ่งแล้ว (ถ้าไม่อคตินะ) แต่ถ้าเห็นแต่ข้อเสียนั่นนี่เต็มไปหมด ทำไมเขาได้พิมพ์เล่มแล้วขายดีวะ แบบนั้นไม่ต้องคิดแล้ว กลับไปเขียนตามใจตัวเองดีกว่า ถ้าปรับทัศนคติไม่ได้มันยากจะเข้าใจมุมของคนอ่านทั่วๆ ไป
>>645 ถ้าขี้เกียจอ่านก็ข้ามไปก็ได้ เห็นเจ้าของเรื่องแวะมาเล่นบ้างก็เขียนความเห็นไว้ให้เจ้าของเรื่องอ่าน คนเราถ้าอยากให้คำวิจารณ์ก็ต้องบอกรายละเอียดของปัญหาเขาบ้าง จะให้สรุปสั้นๆ ว่า สำนวนพอได้แต่เขียนยังไม่ดี จบแค่นี้ก็ได้แต่คนเขียนจะเห็นปัญหาหรือเปล่า วันๆ นึกแต่ว่าโม่งคนนั้นคนนี้เป็นใคร คนนี้ม้าไหม ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเองหรอก หรือว่าถ้าได้คิดได้เดาแล้วมีความสุขก็ทำไปก็ได้นะ จะพยายามเข้าใจแล้วกัน
กุอ่านแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์ดี ขอรับไปใช้กับนิยายของตัวเองแล้วกัน แต้งส์
เรียนผู้วิจารณ์ที่เคารพ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตามแต่
อย่างแรกขอขอบคุณมากครับ ผมคือ Louis Forest เองนะครับ เบื้องต้นผมเห็นปัญหาตามที่แนะนำมาแล้วครับ แต่ก็สบายใจครับ เพราะจากที่คะเนดูทุกอย่างดูแล้วไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ผมจะเอาไปปรับแก้แน่นอนครับ อธิบายเล็กน้อย ตัวผมเขียนนิยายมาสามปี ก็แล้วจากคนที่เป็นเด็กนอกวาดรูปลงบอร์ดแล้ว มีมาม่าก็หลายชาม แต่ผมสรุปได้ว่านี่น่าจะเป็นสำนวนที่ผมจะใช้จากนี้ไปครับ มันจะศัพท์ฟุ้งและคำสิ้นเปลืองหน่อย แต่ว่าผมคิดว่ามันมีพลวัตและเป็นกิจจะลักษณะดีครับ คงไม่เหมาะกับคนยุคดิจิตัลเท่าไหร่ แต่ผมคิดว่า 'voice' มันเป็น Louis Forest ดีครับ พอดีผมเป็นคนยุค 90s
ก็เลยมีอะไรถ่ายทอดออกมาตามประสบการณ์ จะไปปรับหาเด็กยุคใหม่ มันก็จะเหมือนขนุนออกผลย่อกิ่งให้ลิงเก็บเสียมากกว่า แถมมีคนทักบอกว่าผมเขียนเหมือน Season Cloud ผมไม่รุ้จักแฮะ ก็เพิ่งเข้ามาที่นี่สามปี ก็กะว่าจะไปค้นดูสักหน่อยว่าเป็นใครและเขียนยังไง หรือป่าพนาจะเทียมเท่าเมฆเมฆาได้แล้ว?
>>646 ผมก็แวะมาอ่านบ้างจริงจริงนั่นแหละครับ ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบมุกม้านะ พอดีเป็นคนชอบปล่อยมุกควาย
กูสงสัย นักเขียนเข้ามาตอบโม่งนี่โอกาสมีมากน้อยแค่ไหน แบบถูกพูดถึงปุบก็โผล่มาทันที ต้องส่องทุกวันหรือมีใครส่งข้อความไปบอกหรอ ม้ามั้ย?
กูเองก็เป็นขาประจำบอร์ดคนหนึ่งเหมือนกัน แต่กูมาที่นี่บ่อยกว่าไม่รู้ทำไม 555555
เขียนแฟนตาซีเว็บแต่จะไม่รู้จัก Season clound ซักหน่อยเลยจริงดิ ถ้าพูดถึงนักเขียนแฟนตาซีที่ดังขึ้นมาจาก ดด แล้วยังมีผลงานออกมาต่อเนื่องนี่มันมีไม่กี่คนเองนะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะรุ่นเดียวกับมาซารันแต่มาหลังกัลฐิดา สามคนนี้นี่สถาพรแทบจะเลียไข่ให้ออกหนังสือ เขียนห่าอะไรก็ขายได้หมด
>>656 ถุยมันเขียนนิยายได้สามปี ครึ่งหนึ่งของระยะเวลานั้นก็ป่วนบอร์ดกับวาดรูปเป็นส่วนใหญ่
ให้กูเดามันคงรู้จักแค่คนในบอร์ดนั่นแหละ
อีกอย่างเปรียบสำนวนกับของ Season Cloud ความเห็นของกูนะ แสดงว่าไม่ได้ดีอะไรหรอก เพราะ SC พึ่ง บก เยอะ มันไม่ใช่นักเขียนที่มาจากการเป็นคนอ่าน ออกจะเป็นพ่อค้าขายพล็อตมากกว่า
ห๊ะ กูป้าเอง กูไม่ได้เข้าเด็กดีมาสองปีละนะ ในโม่งก็ไม่ได้มากแสดงความคิดเห็นอะไร จู่ๆโดนพาดพิง งงเลยกูกูไม่ได้ใช้ชื่อป้านานจนลืมไปแล้วเนี่ยว่าสำนวนการพิมพ์เป็นยังไง คือถ้ากูจะด่ากูไม่ยาวเยิ่นเย้อนะ กูด่าตรงๆเลย ในนี้ที่กูสับไว้ก็มี ถถถถ
>>659
ม้าไม่ม้ากูไม่รู้ แต่ออกตัว
1. กูไม่ได้เข้าเด็กดีบ่อยๆ
2. ไม่เคยอ่านงานเขาด้วย
3. และอวยว่า: กูยังรู้จักเลย ดังพอตัวนะนั่น
4. แล้วรู้จักชีวิตความเป็นมาเขาด้วย: เคยออกงานกับสถา ส่วนตอนนี้ย้ายออกมาทำเองในนามของแฟนตาเซียที่ร่วมกับอดีตนักเขียนสถาคนอื่นๆอย่างกัลฐิดาหรือวีรอนเดลแล้วนะ
ตรวจฉี่ก็พบสีม่วงเมิง
กุจำได้แต่ เซวีน่า บารามอส ไวท์โร้ด
>>661 เซวีน่ามันก็กัลฐิดามั้ยล่ะ บารามอสก็แรบบิทเลิกแต่งนิยายไปเป็นสิบปีได้แล้วมั้ง ส่วนไวท์โร้ดก็เป็นอันรู้กันหรือมึงตกข่าวไม่ได้อ่านว่าแม่งได้รับคำสรรเสริญชื่มชมขนาดไหน
ที่มึงยกมานี่ ดด รุ่นโคตรเก่ามาก ใจคอจะอ่านแต่นิยายยุคนั้นอย่างเดียว ไม่ไปเดินงานหนังสือ เข้าร้านหนังสือยุคปัจจุบันหน่อยเลยรึ
สมัยนี้เด็กดีอ่านในมือถือได้ด้วยนะแก รู้ยัง เก๋ไก๋อ่ะ ไอโฟนออกมาสิบรุ่นแล้วด้วยแต่สตีฟจ๊อปอยู่ไม่ทันเห็นอ่ะ เขาเสียแล้วนะเผื่อแกยัังไม่รู้...
ดะไวท์โร้ดนี่เป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตวัยเด็กของกูเลยนะ พอโตขึ้นมาหน่อยเป็นวัยรุ่นแล้วสำนึกได้ว่านิยายนี้โคตรเหี้ย กูต้องแอบเอาไปทิ้งที่ห้องสมุดประชาชนหมู่บ้านข้างๆ เลยทีเดียว
>>666 จริงๆ ถ้าเอาไปเทียบกับนิยายเว็บเด็กเขียนสมัยนี้ก็พอๆกันแหละ แต่สิ่งที่เหี้ยคือแม่งก๊อปฉากต่างๆ สถานการณ์ในเรื่องมาจากพวกเมะ พวกมังงะแบบแทบจะตัดแปะเกือบทั้งเรื่อง แล้วที่เหี้ยกว่าคือเสือกเป็นลูกคนรวยมีคอนเนคชั่นไง ออกหนังสือมาผู้หลักผู้ใหญ่ นักเขียนรุ่นเก่าชมกันเกลียวว่าไอ้เด็กนี้แม่งอัจฉริยะ คิดฉาก คิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้ (เพราะไม่เคยอ่านการ์ตูน) แต่แม่งก๊อปตัดแป๊ะมาอย่างกะแฟนฟิค!! กูถือว่าเป็นหนึ่งในความระยำขั้นสุดครั้งหนึ่งของวงการหนังสือเลย แต่คนแทบจะลืมไปหมดแล้ว จริงๆ ห้องเน็ตวอชก็เคยพูดถึงนะด๊อกปอบเนี่ย
เดี๋ยวแม่งก็ม้าโฟเบียกันอีกรอบหรอก
>>669 ไม่ม้า แต่เป็นแฟนขับเดนตาย ฮรือ ฮรือ ฮรือ
https://my.dek-d.com/ri-ne/writer/view.php?id=1376803
https://my.dek-d.com/ri-ne/writer/view.php?id=979871
https://jamshop.jamsai.com/product/3572-curse-of-lost-heaven-สาป-ล่า-สวรรค์-1
https://jamshop.jamsai.com/product/2419--who--call-for-hero---ช่วย--กลับไป--ที-คุณฮีโร่--
แถม ๆ ของคนนี้ก็ชอบมาก งานเขียนเค้าเอกลักษณ์จริง ๆ
https://my.dek-d.com/lawit/writer/view.php?id=1346435
https://my.dek-d.com/lawit/writer/view.php?id=1699927
>>663 แอพเด็กดีแม่งกากหมามาก ขอระบายหน่อย กูมีเน็ตที่เล่นได้ทั้ง pubg , fate go อ่าน webtoon หรือท่องเว็บเล่นแอพอื่นๆ ได้ลื่น ไม่มีสะดุด แต่เปิดแอพเด็กดีกูต้องลุ้นแล้วลุ้นอีกว่ามันจะโหลดหน้าอ่านนิยายให้กูไหม ซึ่ง 8 ใน 10 แม่งจะโหลดไม่ขึ้นเหมือนเน็ตกูหมด ทั้งที่กูใช้เน็ตไม่จำกัดอีเหี้ยเอ๊ย
มึงว่านิยายเด็กดวดยุคนี้มีอะไรน่าจดจำอีกมั้ย นอกจากงานเขียนพวกคนเก่าเนี่ย
เรื่องอีถุยน่ะ ปล่อยเบลอมันบ้างเถอะ สับนิยายก็พอไม่ต้องไปสับภาพวาดมันอีกหรอก
Dear fanbois,
I skipped those comments. My purpose of posting was all about my narrative choice, not my drawing, that's all I care. Although I understood what those two, or three, tried to convey earlier. I knew that It's not about abstract art, surreal art, or even figure proportion (anatomy). It's about me. Sadly, I know what is poisonous and what is venomous. Because, both poison and venom are considered toxins. Simply put: toxin is a biologically produced chemical that alters the normal function of another organism. Having said that I know what is a forum toxicity and what is a constructive criticis.
Please keep your rice to youself, giving them to me doesn't make them mine, get it? And it's good to be Louis Forest, I don't if it sux to be you or not. Peace.
Sincerely,
Louis Forest
Typo: Constructive Criticism**
เจ้าตัวมาแล้ว อินดี้ไม่สนโลกขนาดไหนมึงก็ลองคิดดูเอาเอง ล่อตอบมาเป็น Eng ในเว็บไทย ที่มีแต่คนไทยแถมใช้ภาษาไทยสื่อสาร กูไม่เข้าใจพอยต์นการใช้อังกฤษของมึงจริงๆ กูเข้าไม่ถึงว่ะ เอาเป็นว่าจะกูทำเป็นมองข้ามเรื่องที่บอกว่ามึงไม่แคร์แต่อธิบายกูซะเป็นเรียงความสามพารากราฟไปละกัน โอเคๆ แยกย้ายๆ
ปล.Reply นี้ก็ Toxic ข้ามไปๆ อย่าแคร์ ให้เหามันอยู่บนหัวกูนี่่แหละอย่าเก็บใส่หัวตัวเองมันจะคันเนาะ ถถถถถ
ย้อนกลับมาเรื่องนิยายดด. ถ้านักเขียนหน้าใหม่นี่อย่างปราปต์(คนเขียนกาหลฯ) นี่นับเปล่าวะ
เออกูลืมคนนี้ไปได้ไง แตปราปต์ไม่ใหม่นะ เป็นรุ่นแรกๆ ของ ดด เลยด้วยซ้ำ เคยเขียนมาตั้งแต่สมัย ดด เพิ่งจะเปิดเว็บอ่ะมึงแต่ตอนนั้นเขียนนิยายรักใส มาพีคจริงๆ ก็ตอนเปลี่ยนมาเขียนแนวจริงจังแบบกาหลฯ กับนิราศมหรรณพนี่แหละ โดยเฉพาะเรื่องหลังส่งซีไรต์แต่กูไม่แน่ใจว่าเข้าถึงรอบไหน
พวกในบอร์ดที่วาดรูปไม่ได้ดีเด่หรือห่วยกว่าถุยมันก็มีอยู่เยอะนะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มั่นหน้ามั่นโหนกแบบถุยเลยไม่โดนว่ากัน
พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้วสินะๆ
5555 โคตรจูนิเบียว พิมตอบเป็นอังกฤษ
รู้รึเปล่าว่า คนที่เก่งจริงกับคนที่อวดเก่งน่ะต่างกันยังไง?
คนที่เก่งจริงน่ะเขาสามารถนำเสนอประเด็นที่ตัวเองต้องการจะสื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ โดยไม่เกี่ยงว่าอีกฝ่ายมีความรู้ในเรื่องที่นำเสนอหรือไม่
ส่วนพวกที่อวดเก่งน่ะ มักจะใช้ภาษาเฉพาะทางสละสลวย ดูมีภูมิ แต่ในความเป็นจริงเหมือนคุยกับตัวเองเพราะไม่สนว่าใครจะเข้าใจบ้าง
เหมือนถ้ามึงจะอธิบายหลักการทางฟิสิกส์ให้คนๆหนึ่งฟัง
คนเก่งจริงเขาจะรู้ว่าควรใช้ภาษา ควรใช้วิธีการนำเสนออย่างไร ให้คนที่ไม่มีความรู้เรื่องฟิสิกส์สามารถเข้าใจหลักการของมันได้
ส่วนพวกที่อวดเก่งก็จะยัดแต่ภาษาเฉพาะทางของมันให้คนอื่นฟัง จะเข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ กูดูมีภูมิเป็นพอ
มึงว่าคนไหนฉลาดจริง คนไหนฉลาดวอนนาบีกันล่ะ?
>>695 I'm not going to talk about myself. How about... Let's talk about your damn logic. First of all, I'm not here to debate you about who I am or what I am capable of, ok? I have said it already, I only care about my new narrative choice. I guess that you haven't read any of my stuff, my comment , my novel, my shit, wow what a piece of shit. Hey... without collecting the truth, and you started judging, is it fair? Is it fucking fair? Don't put words in my mouth anymore, don't be an idiot, please? Here goes.
Why do you establish a claim here anyway? You hope that an act of denigration will tarnish my gloomy reputation further? What a moron. Don't you realize that your definition of "คนที่เก่งจริง" and "คนที่อวดเก่ง" are debatable. If you didn't have a clue and talking about this subject only make you a pure imbecile, sir! For Example: คนที่เก่งจริงน่ะเขาสามารถนำเสนอประเด็นที่ตัวเองต้องการจะสื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ โดยไม่เกี่ยงว่าอีกฝ่ายมีความรู้ในเรื่องที่นำเสนอหรือไม่. Dear sir, Are you fucking stupid? Have you heard of Dunning Kruger Effect? Go read it and tattoo some knowledge to your brain now!
My comment , myself ,and my new novel has nothing to do with what this guy said. If you can't see a hint of truth from this statement, all I can say is: the hell with you.
>>696 I knew that since kindergarten.
>>697 If you were a male, you'll need to get a bf and a job quick. Don't see a doctor.
I'm not here to fight, but I can do this all day people. Winning or losing, if bitches ain't thinking of stopping, I will make them. It's only Monday.
เขวี้ย กูอ่านไม่ออก
พอเถอะ กลับเข้าประเด็นสักที เดี๋ยวเราอาสาสับสักเรื่องให้ ถ้าว่างมากพอ
>>698 Dear sir.
I never really participated in gossiping about you and your works or even read your novels; however, if you want to debate with fanboi, I really would like to suggest you that you should type in Thai. Arguing in English, might seem fancy to you and the passerby but aside from showing your superior in second language (which I kinda impressed and really think that you are cool.) do not get you any further to the point.
Nevertheless, fanboi is like any gossping website and you should be glad they are talking about you. Shitty stuffs or not, they DO interested in you and your works which put you into the pro position. You should be glad, I, as a author, would freaking love critics to stirred up my stuffs so people might taking some interests and visit my page.
You might think it’s not fair that fanboi talking shit about you, they HAVE liberty to do that and do you really think anyone could exist without being gossiped at? Go improved your novels and arts, it’s not that bad and you shouldn’t spend your time arguing here. Prove them wrong by making your work better. But if you sir still likes to has a chit-chat, you might as well type in Thai, I think you are capable of doing that.
Dear >>700 ,
I am >>698 Please allow me to explain my claim further. There are two sides of Dunning Kruger Effect. One which an unskilled usually think of oneself as skilled. I guess you understand it only one side since you claim that my claim is not related. Leave out the question of whether or not I am skilled or unskilled. Let me show you the other side of it: the skilled is usually be uncertain of himself, and always explaining things with what he familiar hoping that everyone is as the same level as him. Therefore, under>>695 , his claim
shows that I I fall into the number 2 category. I explain shit in words that I understand and familiar with, I only expect people to know as much as me.
To retort my claim, you can say that I am unskilled and thinking of myself as a skilled individual. Prove that. Because I believe that I am under the second category in Dunning Kruger Effect.
Is it related now sir?
Sincerely,
Louis Forest.
>>703 I don't mind they talking about me. I just think it's unfair to judge a person, any person without understanding him or her. It is not right. Talking about anyone's work and anyone's drawing is fine, mine included. But to put claims into my facts without knowing me is rather shameful, like >>695 . His logic/definition of acting superior, arrogant, condescending are unacceptable. It attacked me on my communication skill. I merely explain it that I am fucking trying my best to communicate with everyone. But are you trying as hard as me to understand what I say?
Lastly, I communicate in English when I am under an influence of a morning coffee. It's just me being me.
Sincerely,
Louis Forest
เอาความขยันตอบของมึงไปเขียนนิยายหรือฝึกวาดรูปให้งานมันดีขึ้นเหอะ ถุยเอ้ย
>>704
Since this matter is quite complicated, it take me quite too much time
Even with that side, I still see it unrelated that much. Let me explain that >>695 said "the expert use the words that people will understand easily but boast one will use the word that's technically right but didn't care whoever will understand it" and from your word about that side of dunning kruger "the skilled is usually be uncertain of himself, and always explaining things with what he familiar hoping that everyone is as the same level as him." The matter >>695 said is about 'how different type of people communicated' not ‘how different type of people react with thing’. Even it’s indirectly related to how people get thing done, It’s surely doesn’t related to whether category you’re in dunning kruger effect.
I think a bit of example should work? “John is able to teach basic physics to kids but Bob isn’t.”. This example doesn’t care whether John and Bob is in which category of dunning kruger since it’s about how they communicated to kids and make them know basic physics. It’s extractly as >>695 word and condition. But what about your own word? Now, will you still claimed that it’s related to dunning kruger effect?
ดิ้นพลาดๆ เป็นหมาโดนน้ำร้อนละ นี่คือคนบอกว่าไม่แคร์นะ แต่เข้ามาอ่านมาตอบตลอดเวลา หัวร้อนฟลัดกระทู้อีกต่างหาก 55555 น่าสมเพชชิบหาย
>>708 ปรบมือสิครับเพื่อนโม่ง รออะไรกัน ชนด้วยข้อมูลล้วนๆ ไม่ไล่ให้ไปตีความเรื่อง Dunning–Kruger effect เองด้วย ยกมาอธิบายแม่งเลย แถมไม่หลุดหยาบคาย ไม่มี Logic งงๆ
กูไม่ได้ศึกษาเรื่อง DK effect อะไรขนาดนั้นนะแค่เคยอ่าน แต่ยิ่งอ่านเรปบนๆ กูยิ่งรู้สึกเหมือนพี่ถุยยก DK effect มาแล้วเข้าตัวยังไงก็ไม่รู้
>>708 I see where you are coming from,"how different type of people communicated' not ‘how different type of people react with thing’. It seems you have studied about this effect quite a bit. But the question is how many source have you been through?
Please note that I believe wholeheartedly that I am a fool. I know nothing I create nothing but simply copy other people ideas and paraphrasing. Here goes.
I can easily agree with you on this nuance of the interpretation. And I will? No I won't. Do keep in mind that you only drew a "fresh" conclusion from a single source or two. So you came up with that notion, one that I have been through. A quick research often do that to everyone. Let me entertain you with some of my notes from my hard-drive.
A Lack of Metacognition
1- The Dunning-Kruger effect is also related to difficulties with metacognition, or the ability to step back and look at one's own behavior and abilities from outside of oneself. People are often only able to evaluate themselves from their own limited and highly subjective point of view. From this limited perspective they seem highly skilled, knowledgeable, and superior to others. Because of this, people sometimes struggle to have a more realistic view of their own abilities.
2- The Dunning–Kruger effect is a cognitive bias in which low-ability individuals suffer from illusory superiority, mistakenly assessing their ability as much higher than it really is. Dunning and Kruger attributed this bias to a metacognitive incapacity, on the part of those with low ability, to recognize their ineptitude and evaluate their competence accurately. (Source: https://medium.com/@johnhawks/excellent-comment-with-many-great-suggestions-6f64c6b872e2)
That statement implied:
Senior scientists are low-ability science communicators who think they are great a scientific communication. There is an assertion, and many do disagree. Most scientists are painfully aware of how hard it is to communicate their science properly, this including myself. And many do not want to communicate with non-expert people in fear of being misunderstood, or their words being taken out of context.
Most part scientists would be much happier if there is a scientific literate journalist who discusses with them about their research before he gets it to the public. Science communication/outreach coming directly from scientists is rare, precisely because proper communication is not something you can do with little practice. I agree that the communications skills of scientists should be at least so good that they can communicate with a scientific literate person/journalist, but anymore than that is asking the scientists to become journalists.
I do not think the solution to bad science coverage is to shift all responsibility on the scientists, because after all, they have to think about the problems in science, and not about the problems of how to reach people or sell it.
I did get you. But you got what I am saying now?
>>710 Don't compare me to your parents like that kiddo.
>>711 Bitch please. Did you even read? You wanna place a bet? How much do you have on you right now? Yo, It's never about winning or losing for me, kid. I do it because it's fucking fun to slap bitches with facts.
>>709 Doing this two days straight doesn't make it everyday, are you retarded?
Like Captain America. I can do this all day.
Seriously man. You think I started this shit? Bitches started this. Acting like you all are all that and walk away with shit? Is this Brazil? Oh shit! It's Thailand! You people started shit . And what do a man like me do? Ignore and runaway? Nigger please. Grab an antidote my rhymes and facts will intoxicate your innate sheep-like brain.
Remember that I do this shit alone since day one. I never give a fuck of how many you have. Pick you poison, facts or lies. Pick your places, on the main forum or in here. Come at it. Conventional or unconventional, I'll accept all challenge. Cocksuckers.
Oh... Please enlighten me, sir. I would like to understand more on this subject. Oh I'm so lacking of profound understanding on this matter. How shameful of me. I should go cry in a corner. Please show me the light. Please show me the way. Please show me the truth.
Come to think of it, there is a quote from Einstein saying "If you can't explain it simply, you don't understand it well enough." - Albert Einstein.
If this statement helps. You can use it. But is it only a claim? Yes. Well, It's from Einstein... so it's must be true. Well, really?
This is a book.
เออ มึงจะว่าง จะไล่ตอบเป็นอิ้งทั้งวันก็เรื่องของมึง แต่กูไม่อ่านละ รำคาญ ไปทะเลาะกันเองละกัน ไว้มึงไปเมื่อไหร่ค่อยกลับมามู้อีกที
Dear Louis Forest
I'm not sure what did they talking about your work and illustrations. But I think when someone had commented your works you should read it carefully and use it to improve yours not being childish like this.
By the way, if some feedback on fanboi.ch were too rude to you, just pass over it as you say on your first reply that you don't care. You said that but look what you did.. what did we called? Overtly agree but coertly oppose? LMFAO
P.S I actually got C in English classes when I was grade 12. I really don't mind if no one read my message because I trying to be like Louis Forest! You are my idol! YAY!! Louis YOLO! YAYAYAYAYAYA!!!
XOXO
Your love
Your mom did it nicely. I gave her 5-stars on Yelp.
>>729 Make this clear. It is not about my work and my illustrations. No... I'm talking about Dunning Krugger Effect and my way of communication. But I get you. Because from the context, anyone could misunderstand this mess since it is somewhat related to my previous novel, the sci-fi one, but I can assure you this is not about my current one that I asked in Dek-d's board. It's a whole day apart, it is a different work, different style of writing. I wanna know if my improvement going as I hope. One could call this a confirmation bias. The way that I keep asking around, to find someone to confirm of what I have in mind. I did not react to those comments and suggestions at all. I even answered them in Thai, politely.
I cherish all of those comments and whoever sacrifice their valuable time to read my novel. I don't see them as adversaries.
A day later. >> 695 This person still have this notion of me writing complex and dense novel. Started to judge me right way. It just got me thinking, wow this dude didn't even care and attack me. How awesome of him.
เห็นคุยอิ้งกันกูรู้เลยเจ้าไหนมาประทับที่มู้
เฮ้ย เข้าเรื่องแล้วยัง กูสนใจนิยาย ไม่ใช่ภาพวาด
Shit. typo: If there is nothing to discuss further on Dunning Kruger effect***
So, what to do again? At first, I only come to imply that your statement is not logically right and with your additional claiming, it still doesn’t right since both of your additional statement doesn’t related to >>695statement because at first, the two group example is only ‘who can explained it simply’ and ‘who explained it technically right but don’t care whoever will get it’ but you argue that they claimed you to be in either ‘expert who underestimated themself’ and ‘low-abillity people who overestimated themself’. And then, you claimed that to be subset of those above.
Ah, yes.
I totally lost a word.
Who said that it’s okay to talk about sub topic while talking about main topic!
It’s not like that I don’t understand you, but instead, I feel lost a word like I’ve said.
You’re technically right but that’s logically wrong in debating.
Well, Your claiming about scientist is right. But that’s 2 sub topic needed to be explained.
1st, they’re a great scientific communicator. This one is right since they’re expert in this field.
2nd, they’re low-abillity communicator. This one is both right and wrong since scientific word is specific word used in specific field. In case that’s right, If they’re easy to understand in several time, how can it be specific word? And in case that’s wrong, it’s because different level of language Whether they’re going to communicate with non-expert or not is their own choice.
And from 1st sub topic, is it not common to talk with someone who’s in same field? If it’s me, I also sure prefer talking with someone who’s in same field since they’ll also know scientific word so there’s no need to adjust the word again( I’m sure it’s also waste of time if It’s me and I need to adjust the word so common people understand it easier and I would also rather leave the adjustment to others). But if it’s talking with non-expert, I sure that it’s better to talk with other about how to get through it smoothly.
I think it’s better to describe this as ‘common people use language level 1’ ‘officer use language level 2(-X)’ and ‘expert use level 3-X’ (level is how specific the word is and X is shown for which field the world is specific for). People usually use the word they’re simillar with. (As you said in above but this is still not related to the matter because the two group example didn’t care how highly your skill are but instead it care whether you can made communicate with target successful or not, leading to decide whether you’re in which group of two example group )
I sorry for taking too much time rearrange it to make smoothly but it’s not bad to have my time do critical thinking here
Ah forget to edit headline, sorry for leaving it like that
Ah I forget to add that "it's not like they're low-abillity communicator because they're expert but instead it's because they're maniac who interested and dedicated themselves to their field and then acknowledge something that can only be also talking with other who're also the same."
>>738 Ok... for the main topic: erm... here is the thing. First, I have adjusted in my new novel but it's >>695, who didn't seem to care about my novel or my new narrative choice, instead he attacked and made a false claim right there, mentioning physics and scientific stuff and all, claiming that I'm still doing that same just like my past. If I did not try to fix my way of communication, I would gladly accept that claim. He drew physics and science into this mess, suggesting that I'm still with the narrative that dense and complex. Hence, in the past, it was either the first or the second side of Dunning Kruger Effect. Am I dumb and thinking that I am smart, or I'm capable but struggling to communicate with what I know.
You said Dunning Kruger Effect has nothing to do with this argument. The curse that I am having. Look how I communicate to people. Is it a problem? Yes! Am I trying to fix it? Yes! I am no Richard Feynman. I'm not a great explainer. I'm just Louis Forest. And look how I communicate. Look how I tried to fix shit.
Just ignore the sub topic, the hell with it. My strategy is not trying to confuse you with sub topics. I just answered and further explained the second side of Dunning Kruger Effect. It seems to be pointless to go deeper into it now, i think. Sub topic or not, it's about communication. The one that I'm having the same problem just any other specialist.
The point here should be: I have a problem, I'm trying my best to fix it. Did it improve? Or you want to talk about the past.
Am I making it clear now? Mr. Lost of Words. Oh dear...
เยอะกว่าที่กูคิดอีก
Noted: if you needed to go into sub topics I can come back and explain some more.
And if you lost of words again I can bring a dictionary. There are plenty of words there.
ไปเปิดมู้ใหม่เลยมะ Talking with P' Tui (English only) หรืออะไรก็ว่าไป กูเข้ามาดูหวังเจออะไรน่าสนใจ เจอแต่มานั่งเถียงกัน...
มึงเถียงกันภาษาเกาหลีได้มะ กูจะได้เข้าใจด้วย
ลงชื่อ จองกุก แห่งบังทัน
>>746 กูอ่านเป็น พี่ตุ๋ย คำนี้ https://th.wikipedia.org/wiki/ตุ๋ย
อีถุยมึงควรไปหาหมอ กะอีแค่โม่งด่ามึงส่งเดชแล้วเสือกเอามาใส่ใจมันไม่ดีกับสุขภาพจิตมึงเลย กูยืนยันว่าไม่ดี แต่กูไม่ได้เป็นห่วงมึงนะ กูสะใจ นี่ก็ทำตัวไม่ต่างอะไรกับไอ้วิดสวะที่กูตบเลยสักนิด สวะพอๆกับแจกันลูซิเฟอร์ ไม่รู้จะเถียงไปทำห่าอะไร กูนึกว่ามึงจะสตรองกว่านี้หน่อย คือมึงกะจะให้เขาม้านิยายมึงหรือไงวะ ถึงมึงไม่แปะเอง แต่มึงทำเหี้ยอะไรก็มีแต่คนด่านะ จะโดนแบนในดวกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คนในนี้เขาไม่ฮรี่ๆกุบๆกับๆหรอก มันทุเรศ ให้บรรดาลูกหาบของมึงเข้าใจมึงเถอะ
ตอนแรกกูตั้งใจจะสับนิยายให้มึงนะ แต่มาเจอแบบนี้กูเปลี่ยนใจละ มึงควรเป็นมิตรกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากกว่านี้ แล้วอย่าไปหวังว่าสักวันหนึ่งจะเปลี่ยนใจโม่งให้กลับมารักมึงได้ ที่นี่มันเป็นด้านมืดของพวกกลายพันธุ์อย่างกู
มึงมันแค่บ้านะถุย แต่กูโรคจิต ระดับความคูลมันต่างกัน
ลงชื่อ จองกุก แห่งวงบังทัน
ดีจริงที่วันนี้ส่องโม่ง เหมือนได้ฝึกภาษา
พี่ตุ้ยยังไม่เลิกหายคึกจากแฟตอนเช้าอีกหรอคะ คุยภาษาไทยกันเถอะค่ะ
Ky พวกมึงมีวิธีเขียนสิ่งที่มึงไม่เคยสัมผัสในชีวิตจริงยังไงให้เนียนวะ อย่างการใช้อาวุธ ฯลฯ
>>756 อย่าให้คนที่รู้จริงอ่าน พูดจริงๆ นะ คนไม่เคยเจอของจริงเขียนยังไงก็ไม่จริง ที่มึงทำได้ก็แค่เขียน infodump ให้คนอ่านเข้าใจว่ามึงรู้จริงก็พอ พวกอาวุธนี่ง่ายมาก มึงแค่บรรยายความกว้างยาวสูงหนักรูปร่างก็พอ
อย่างเรื่องขบวนการหมาป่าของสยาม เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ว่าคนเขียนไม่เคยไปอยู่กับกองทหารรับจ้างหรือเคยจับอาวุธพวกนี้หรอก แต่คนเขียนยัด infodump เรื่องอาวุธมาทั้งย่อหน้าได้ คนก็เชื่อแล้วว่าอาวุธนี้เป็นอย่างนี้
พูดอีกอย่าง คือเขียนให้คนอ่าน "พอเข้าใจ" แต่ "ไม่รู้อะไรเลย" นั่นละ มึงอธิบายเข้าท่าคนอ่านก็เอออห่อหมกไป แต่อย่าให้มีจุดขัดกันมากก็พอ คนอ่านส่วนใหญ่พร้อมจะมองข้ามอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สำคัญได้เสมอ แต่ถ้ามันใหญ่และสำคัญ คนจะเอามาด่ามึงยันเขียนเรื่องใหม่เลยละ
ลงตอนใหม่ ไม่ได้คนติดตามเพิ่มแถมหายไปอีก 2 คน..เฮ้อ....
สอบถามหน่อย พอดีว่าแต่งไลท์โนเวลไว้ แล้วอยากได้คนมาวาดภาพประกอบให้ ควรจะไปติดต่อที่ไหนดี งานขาวดำมี ref ให้ว่าอยากได้ท่าประมาณนี้ๆ พร้อมพูดคุยบรีฟงานก่อนเริ่มวาด มีแนะนำมั้ยว่าเพจไหนอะไรยังไงดี
ไลท์โนเวลต่างกับนิยายยังไง
>>764 มันไม่มีนิยามตายตัวอะ อย่างที่กูแต่งแล้วมาหาคนวาดรูปให้ก็เป็นความต่างอย่างนึงแล้ว เพราะนิยายปกติจะไม่มีภาพประกอบคั่นตามบทต่างๆ อย่างมากก็เห็นเป็นภาพเล็กๆ ข้างใต้ชื่อตอนแบบแฮร์รี่พอตเตอร์
ความแตกต่างอย่างอื่นจากที่กูเขียนอยู่ก็มี
-ใช้ภาษาง่ายไม่เวิ่นเว้อ อธิบายแต่ไม่ลงลึก ชอบอ่านแบบย่อยง่ายกูก็จัดให้
-มีไวฟุให้อวย หัวดำ หัวทอง เอลฟ์โลลิ ออคซึน เจ้าหญิงขาสวย พี่สาวอ้ปไป ใครจะวอร์กันก็เอาเลย
-มีเพื่อนชายในกลุ่มตัวละครหลัก ไม่ได้แต่งให้ดูดปากเด้าตูด แต่สนิทกันจนพอใช้เป็นยาโอยแมททีเรียลอ้อมๆ ได้
-เซอร์วิสมีบ้างนานๆ ที มีโมเมนต์ชวนจิ้นให้ทำคะแนนทั้งสาวๆ และพระรอง (ใครสายโอจิ กุมีน้องชายของอาจารย์ให้ด้วย)
-พระเอกกินเนื้อแต่ไม่ถึงขั้นเย มีเหตุผลบางอย่างทำให้พระเอกเสียตัวไม่ได้ มากสุดคือใช้นิ้วเฉยๆ
-องค์ประกอบอื่นๆ ที่คนอ่านจะเซลฟ์อินเสิรท์ได้ จิ้นได้ เอาไปจูนิเบียวก็ได้
เป็นไลท์โนเวลสายพลีชีพ เขียนแบบไม่กลัวคนหาว่าขยะ (ก็จงใจให้เป็นงี้) ใครตามหาเจอ ก็อย่าว่ากูเป็นม้านะ
>>766 เงินกูอะมีเพราะทำงานแล้ว นิยายก็ไม่ได้แต่งกะตีพิมพ์ด้วย แต่งออกมาแบบนิยายแดกด่วนไม่ตามขนบเท่าไหร่ กูเลยไม่สนเรื่องยอดขายหรือกำไรหรอก (บ่องตง ขนาดภาพปกยังไม่มีเลย 55555)
คุณภาพงานเอาเป็นแบบ รัฟ-สเก็ตช์ ก็ได้ ถมดำไม่ต้องเนี๊ยบฉากปกติมีแสงเงานิด ฉากบู้มีเส้นสปีดหน่อย ไม่ได้วอนเอางานระดับไฮเอนด์
กูขอถามหน่อย ไม่ว่าเกมดัง การ์ตูน และนิยายออกใหม่แล้วดังพูดปากต่อปาก อย่างล่าสุด ก็อบลินสเลเยอร์ เรดเดดรีเด็มชั่นสอง เกิดใหม่สร้างประเทศของคนไทยที่พระเอกดันหน้าสวยกว่านางเอก มีผลต่อกระแสนิยายเด็กดีแค่ไหน อยากรู้จริงๆ
>>769 มีผลไม่มากเท่าไหร่หรอก เพราะนิยายในเด็กดวกมันตามกระแสเป็นหลัก กอบสเลมันเป็นเว็บโนก่อนจะมาเป็นไลท์โน เรดรีเด็มนี่กุไม่รู้เหมือนกัน แต่แทร็ปสร้างชาตินี่ มันเป็นไลท์โนเวลที่ไม่ใช่ยุ่นเสินเจิ้น เขียนด้วยเซตติ้งไทยก่อนข้ามโลกไป มันเลยดูแตกต่างจากนิยายที่เด็กๆ พยายามแต่งให้ดูญี่ปุ่นแต่ทำได้ปลอมเปลือกมาก ชอบอ่านไลท์โน ชอบดูมังงะ แล้วพยายามเอามาแต่งให้เหมือนนิยายของชาวยุ่น ดูยังไงก็ดูออกว่าคนไทยแต่ง มันก็มีอยู่เหมือนกันนะที่แต่งแล้วญี่ปุ๊นญี่ปุ่นจนเกือบดูไม่ออก แต่ก็จำนวนน้อยอะ
ตอนนี้ไลท์โนยุ่นที่กำลังแทรกเข้ามาแบบเงียบๆ คือแนวแก้แค้น แต่มันไม่เหมือนแก้แค้นของจีนที่ต้องโดนดูถูกก่อน ของยุ่นมันมักจะบัดซบแล้วก็ดาร์คแบบยัดเยียด พอมาแก้แค้นก็เอาคืนแบบเถื่อนมาก ปัญหาคือกูคิดว่ามันคงไม่ได้แก้แค้นไปทั้งเรื่องหรอก เหมือนผู้กล้าโล่ที่ตอนแรกต้องสู้ชีวิตชิบหาย กลางเรื่องพลิกกลับมาได้รับการยอมรับ แล้วจบแบบมหาเทพ กูรอดูอยู่ว่าจะมีเรื่องไหนบ้างที่เอาคืนอีกฝ่ายจนถึงตอนจบบ้าง เพราะมันไม่ง่ายที่จะผูกเนื้อเรื่องอยู่กับการแก้แค้นได้จนจบ
How to แก้แค้น
"เย็ดมันซะสิ"
ผู้กล้าฮีลจากนิยายยุ่นเรื่องหนึ่งไม่ได้กล่าวไว้ แต่ตรรกะ+การกระทำของมัน ตีความได้แบบนี้
>>771 >>771 แก้แค้นนี้มันไม่ควรจะใช้เป็นประเด็นหลักของนิยายยาวๆ แบบ LN เลยนะ ขนาดนิยายจบในเล่มยังมีน้อยเรื่องที่เอาไปเป็นสาระสำคัญของเรื่อง มันควรเป็นแค่ส่วนย่อยๆ ของเรื่อง มากกว่า เพราะถ้าใช้การล้างแค้นมาเป็นแกนหลักเลยคือล้างแค้นเสร็จเมื่อไหร่ โทนเรื่องพังทันที แถมจะเลี้ยงอารมณ์ระหว่างพยายามล้างแค้นไปเรื่อยๆ แม่งก็จะโดนคนอ่านด่าอีกว่ายืด
ส่วนตัวกูว่าผู้กล้าโล่เป็นตัวอย่างที่ดีว่าพอล้างแค้นเสร็จแล้วโทนเรื่องพังเป็นยังไง แถมกูว่าแม่งแก้ปมได้จังไรมาก คือมึงสู้ชีวิตด้วยเองมาอย่างนาน แต่พอบทจะแก้ปมก็เสือกโยนราชินีเข้ามาแก้ให้ซะเฉยๆ ง่ายๆ แถมความ่ justice แบบโคตรเรียบแบนของราชินีแม่งทำกูเลิกตามต่ออีกเลย กูเลยไม่รู้ว่าตอนจบแบบมหาเทพที่มึงว่าเป็นยังไง ต้องขอโทษจริงๆ
ของจีนนี่อย่าเรียกเเก้เเค้นเลย ทุกเรื่องอะ เเรกๆโดยดูถูกก็พอเข้าใจ อยากจะขิงจะล้างเเค้นไรก็ทำไป เเต่หลังๆมานิสัยพวกเเม่มจะส้นตีนขึ้นเรื่อยๆ ทำตัวกวนตีนหาเรื่องเขาไปทั่ว ชนะก็เหยียดเขาเเบบที่ตัวเองเคยโดน เเพ้ก็ร้องไห้โทษฟ้าดินเเล้วบอกจะล้างเเค้น ถุยเถอะ
ตัวอย่างชัดๆก็อสูรพลิกฟ้าอะ พระเอกส้นตีนอันดับหนึ่งในใจเลย
>>774 ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว ส่วนใหญ่เลยแหล่ะ สุดท้ายแม่งกร่างซะเอง บางเรื่องคิดว่าตัวร้ายเหี้ยแล้วหลังๆ พระเอกเหี้ยกว่าเยอะ เย็ดแล้วทิ้ง พอได้เค้าแล้วตัวหญิงนั่นก็ไม่มีบทเหมือนโดนรีมูฟออกไปจากเรื่อง ขึ้นช่วงใหม่หาเรื่องชาวบ้านก่อนไข่แล้วหนีวนลูปเป็น 1,000 ตอน ให้คนอ่านด่าเล่น
ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าชาวเด็กดวกชอบกันไปได้อย่างไร ถถถ
แก้แค้นเป็นแกนหลัก กูว่าทำเป็นเกมเป็นหนังจะเหมาะกว่านิยายวะ จอนวิคงี้ coj gunslinger งี้
คุยถึงพล็องล้างแค้นแล้วยอยากเขียนบ้างว่ะ ท่าจะมันส์
แก้แค้น... ต้องดื่มน้ำ
ลงชื่อ ไผ่ พงศธร
ky คือกูกำลังแต่งนิยายแนวๆ spin-offs อยู่ กูอยากรู้ว่าคำว่า spin-offs มันควรอยู่หน้าหรือหลังชื่อเรื่องอะ แบบว่า [(ชื่อเรื่อง) spin-offs] งี้หรอ?
ก็เห็นด้วยว่าพระเอกนิยายจีนแม่งเหี้ยขึ้นหลังจากได้เอาคืนครั้งแรก ไม่รู้คนแต่งถูกล้างสมองจากผลพวงของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตุงรึเปล่า มันถึงมีความคิดเอาตัวเองอยู่ศูนย์กลางจักรวาลให้พระเอกเนี่ย
พี่เจียงกำลังร่ำไห้
ไม่ใช่ซุนหรอกเหรอ
God of war แก้แค้นมาสามภาค เพิ่งจะมาคิดได้ตอนภาคสี่ แล้วพระเอกนิยายจีนจะคิดได้ตอนไหนวะ แนวคิดแม่งอย่างกับจอมมารกลับชาติมาเกิด
เท่าที่อ่านมาก็นิสัยงั้นไปจนตายนั่นเเหล่ะ
>>788 พระเอกนิยายจีนแม่งแค่โดน Bully กูให้มากสุดก็พ่อแม่โดนฆ่าอ่ะ แต่ลุงโล้นแม่งโดนล้างสมองให้ฆ่าล้างโคตรครอบครัวตัวเอง แถมวาง Symbolic เตือนใจไว้ตั้งแต่แรกว่าเนื้อหาจะอยู่แค่กับการล้างแค้น แบนๆ ตรงๆ ไปเลย
ที่บอกว่าเพิ่งมาคิดได้ภาค 4 นั่นกูว่าไม่ได้คิดหรอก แต่มันล้างแค้นเสร็จไปแล้วตอนภาค 3 ไง อีกอย่างถ้าจะขายตัวละครแบนๆ ฆ่าแม่งอย่างเดียวแบบ123เกมมันจะกร่อยน่ะ สมัยนี้เกมเนื้อเรื่องมันแข่งกันโหด ถ้ามีเนื้อเรื่องแต่เสือกแบนราบเหมือนเมื่อก่อนก็บอกลา game award ได้เลย
กูว่าภาคสี่ทำมาโคตรดีย์
not be like me, you must be better โคตรคมอะคุล
เห็นพวกมึงบ่นกัน แล้วอยากเขียนจังวะ ทำไมกูเป็นคนแบบนี้ ก๊ากๆ
>>771 เอาจริงๆแนวแก้แค้นนี่ทำเป็นเนื้อเรื่องหลักได้นะ แต่ตัวที่จะแก้แค้นแม่งต้องเป็นบอสใหญ่ ตีเสร็จพร้อมปิดเรื่องไม่ใช่ยืดต่อ
>>773 กรูไม่ทันอ่านสามเล่มแรก(กรูอ่านมังงะถึงจุดนึงแล้วย้ายไปอ่านwnเอา) แต่กรูเห็นด้วยส่วนนึงนะ คือ แม่งพอเคลียร์ปัญหาเสร็จแล้วจะให้แค้นต่อนี่มันก็ไม่ใช่นั่นแหล่ะ เลยต้องเปลี่ยนโทน ยังดีที่แม่งต่อพล็อตได้ยันจบ
กูจะหาแรงบันดาลใจจากไหนได้บ้างวะ นอกจากเมะเกมละก็นิยาย
นิยายจีนแบบ wtf แม่งมีหลายเรื่องมาก เขียนกันแบบเหี้ยสัสๆ แต่เสือกดัง เช่นไอ้เรื่องที่ทะลุมิติเข้าไปในจักรวาลมาร์เวล ไอ้เหี้ย โคตร edgy แถมเอามาติดเหรียญขายได้แบบไม่กลัวโดนฟ้องด้วย
>>795 ขอ ky นิดนึง เกี่ยวกับโทนเรื่อง ไม่เกี่ยวกับการล้างแค้น
SAO คืออีกเรื่องที่ยืดจนเพี้ยน หลังได้ฆ่าตัวการและล็อคเอ้าท์เกม จากนี้จะไม่ใช่การเอาตัวรอดแล้ว พอช่วยเมียตัวเองและตบเกรียน GM หัวหมอ NTR แล้วสร้าง SAO บนโลก AFO ซึ่งประมาณเล่ม 4 หรือจบซีซั่น 1 หลังจากนี้เป็นต้นไปโทนเพี้ยนไปเรื่อยกู่ไม่กลับ จากเกมออนไลน์เอาชีวิตรอดมาสู่การเก็บสาวเข้ากิลด์เหมือนหนังคนละม้วน Alicization แม่งยังกะเขียนเรื่องใหม่เอาชื่อ SAO หากินอีก
ก็นั่นแหละฮะทั่นผู้ชม คือถ้าเป็นคนที่ติดตามตัวละครมากกว่าเนื้อเรื่องก็คงโอมั้ง ที่มันจะยืดเรื่องไป ขอแค่อ่านเพลินๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่ามันควรจะเปลี่ยนชื่อเรื่องไปเลยนะตอนขึ้นภาคใหม่ เพราะตัวเกมที่ชื่่อ Sword Art Online มันจบไปตั้งแต่ภาคแรกแล้ว
แนวเรื่อง อารมณ์ของเรื่องก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย เสือกแปะหัวว่า SAO มันทุกภาค เหมือนกลัวคนจำไม่ได้
กูจะยกตัวอย่าง City Hunter กับ Angel Heart ละกัน คือใช้ตัวละครเดิม แต่โทนเรื่องคนละขั้วเลย นิสิัยตัวละครก็ต่างกันในหลายๆแง่ด้วย คือมันเป็นคนละเรื่องไปแล้วล่ะ ก็เปลี่ยนชื่อ ไม่ใช้ City Hunter ต่อให้ระคายเคืองผู้อ่านเก่า แบบนี้อะถูกต้อง
>>805 "เหมือน"จะต่อกัน แต่จริงๆเป็นโลกคู่ขนานมากกว่า
คือถ้าดูการเชืื่อมโยงเพียวๆ อาจนึกว่ามันเป็นเนืื้อเรื่องต่อจาก City Hunter ซึ่งก็เหมือนจะใช่
แต่ถ้ามึงไปดูตัวละคร จะพบว่า มีตัวละครหายสาปสูญไปเยอะมาก ไม่เอ่ยถึงเลย และทำเหมือนไม่เคยมีตัวตน
เช่นฟอลคอน เมียหาย ซาเอโกะมีน้องสาวอยู่สี่คน ไม่พูดถึง (เล่มหลัังๆพูดถึงบ้างมั้ยไม่แน่ใจ) และตัวละครขาจรขาประจำอีกมากมายที่เคยมีในภาค City Hunter ก็ถูกตัดออกไปหมด จนกูรู้สึกว่ามันเป็นโลกคู่ขนานมากกว่า
อยากลองเขียนนิยาย ราชาปกครองประเทศเป็นแกนหลัก ดูบ้าง มีนิยายแนวๆ นี่แนะนำมะ จะดูเป็นตัวอย่างหน่อย
ปล. เอาประวัติศาสตร์มา mock up ได้ปะวะ
>>808 เน้นการเมืองการปกครองลองอ่านไตรภาคสุยถังดู นิยายไทยไม่ค่อยมีหรอก แทรปเกิดใหม่กูไม่ได้อ่าน แต่น่าจะพอไหว
เอาจริงเรื่องการปกครองมันยากนะ เขียนให้สนุกนี่ยากยิ่งกว่า หาหนังสือปวศ.อ่านง่ายกว่าเยอะ ถ้าอยากได้มุมมองด้านตัวบุคคลและนโยบายเชิงเปรียบเทียบ กูแนะนำหนังสือของมติชนเรื่อง ราชสำนักจีนหันซ้าย โลกหันขวา สนุกสุดๆ
โหลๆ คือกูกำลังหาเว็บอธิบายรายละเอียดของชุดผู้ชายอะ คือมันจะเป็นแบบอธิบาย ว่าชุดนั้นชุดนี้เรียกว่าอะไร ที่กูกำลังหามันเป็นชุดแนวแฟนตาซีหน่อยๆ ด้วย มียศ มีอะไรประดับแบบหรูๆ หน่อย ทีนี้กูควรจะหายังไงดี ไม่รู้จะเสิร์ซว่ายังไง โม่งช่วยแนะนำหน่อยนะ อยากได้จริงๆ กูค่อนข้างโง่เรื่องแฟชั่น
ราชปะแตน มาจาก ราช แพตเทิร์น... Raj Pattern
ไปรเวท... มาจาก ไพรเวต... Private
-ยุคกลาง ออกแนวแฟนตาซี มีความทันสมัยหน่อยก็ได้ พวกชุดของผู้ชาย เกราะอัศวิน ชุดเครื่องแบบประดับยศ
-ชาติก็ ยุโรป-อังกฤษ ประมาณนี้แหละ
ไม่รู้จะหารูปจากไหน จากเกมละกัน ก็น่าจะประมาณนี้ https://pin.it/6hhpylpjwbmijh
https://pin.it/j4g7vz6xullpsa
พูดถึงแล้วก็แอบติดปัญหาเรื่องนี้หน่อยๆ เหมือนกัน
นิยายที่กูแต่งมันเป็นแฟนตาซีแต่อิงเซ็ตติ้งวัฒนธรรมให้คล้ายกับประเทศที่มีในโลก (ตัวอย่างเช่นแทนที่ประเทศอังกฤษว่าอาณาจักรA) ทีนี้มันมีตัวละครที่แต่งตัวด้วยชุดประจำถิ่นอย่างยูคาตะหรือชุดมิโกะอยู่ แต่เพราะโลกในเรื่องมันไม่มีประเทศญี่ปุ่นอยู่ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะเขียนยังไงดี จะบรรยายเลี่ยงๆ ก็อาจนึกภาพไม่ออกด้วย
>>820 ไม่ๆ กูหมายถึงการแต่งกายเด่ะ
คือในเรื่องที่กูเขียนมันมีประเทศญี่ปุ่นที่สมมติชื่ออยู่แล้ว แต่ด้วยการที่มันไม่ใช่ญี่ปุ่นแบบในโลกของเราจริงๆ ชื่อสิ่งของที่เป็นชื่อเฉพาะอย่างยูคาตะก็เลยต้องไม่มีด้วย และปัญหาที่ตามมาคือกูจะบรรยายลักษณะของยูคาตะยังไงให้คนรู้ว่าเป็นยูคาตะ โดยไม่ใช้คำว่ายูคาตะตรงๆ
เขียนมาแบบนี้กูก็นึกเพิ่มได้อีกอย่าง พวกหน่วยวัดสมัยใหม่ที่กำหนดโดยมนุษย์ (กรัม เมตร) ในโลกแฟนตาซีมันก็ไม่ควรมีนะ กูอ่านเรื่องนึงเจอโลกเวทมนตร์ใช้หน่วยไมล์วัดระยะทางแล้วรู้สึกแหม่งๆ ขึ้นมาทันที
>>821 บางทีมันพูดยากนะ ถ้าแฟนตาซีจริง ๆ หลา นิ้ว เอเคอร์ ก็ต้องห้าม แต่จะให้เรียนทั้งหมดใหม่เลยนี่ลำบากมาก เช่นถ้าจะแสดงให้คนอ่านเห็นว่าไกลเท่าไหร่ แล้วต้องใช้หน่วยใหม่นี่ลำบากคนอ่านอีก
เช่น มังกรกัลลิวัลล์หนัก 22 รานัต เดินทางได้ 250 นาลีต่อคาเด ดำน้ำลึกได้ 750 พาเซ คนอ่านคงแบบ แล้วกูจะรู้กับมึงไหม ต้องทำตารางเทียบให้ทั้งหมดเหรอ อีกอย่างเรื่องเวลาก็เหมือนกัน อันนี้รุนแรงกว่า ถ้าเป็นดาวคนละดาว วันต่อปี ฤดูกาล ชั่วโมงต่อวัน ไม่เท่ากับโลก ถ้าต้องอธิบายใหม่หมด ทุกหน่วยวัด กูว่าคนอ่านหนีอ่ะ คือบางอันก็เปลี่ยนได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดว่ะ
ระยะทางหรือน้ำหนักกูใช้วิธีเปรียบเปรยแบบอื่นเอาอ่ะ อย่างพระเอกโดนตัวร้ายถีบจนกระเด็นไปหลายสิบก้าว ดาบที่มีความยาวใบมีดประมาณสองช่วงแขน
จริงๆ ถ้าพูดแบบนี้ การนิยามจำนวนตัวเลขในโลกแฟนตาซีมันก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมดตั้งแต่การนับ 1-10 เลย แต่พอดีกว่าเดี๋ยวยาว
ถ้ามึงแต่งแฟนตาซียุโรปก็ใช้มาตรฐานยุโรปไปเลยก็ได้ แต่ถ้าต่างโลกแบบเพียวๆ แล้วอยากสร้างมาตรวัดใหม่ก็ไม่เป็นไร
>>821 กูไม่มีปัญหานะถ้าจะใช้คำพวกนั้น ประเด็นไม่น่าใช่เซตติเงแต่น่าจะเป็นยุคมากกว่า คือต่อให้เป็นแฟนตาซีมันก็ต้องมียุคสมัยของมัน ถูกมะ ถ้ามันเป็นแฟนตาซีที่ติดกลิ่นโบราณๆ ก็เลือกใช้คำที่เฉพาะกับยุคหน่อย แต่ถ้าเป็นแฟนตาซีโลกอนาคต กูก็ไม่ติดใจที่จะใช้คำที่มีอยู่แล้วนะ ในฐานะคนอ่าน กูรู้สึกว่าถ้ากูต้องมาจำคำเรียกใหม่หมด บางทีมันก็น่ารำคาญเหมือนกัน ยิ่งอีพวกมาเป็นตารางๆ คือกูโบกมือลาก่อนเลย ไม่ใช่ทุกคนที่อยากมานั่งท่องตารางคำศัพท์ใหม่ว่ะ
มันก็ไม่ต่างกับชื่อตำแหน่ง หรือลำดับชั้นหรอก กุว่า
เอางี้มั้ย หน่วยมาตราอะไรก็ตาม
100 เมล็ด = 1 โกโก้
100 โกโก้ = 1 ช็อคโกแล็ต
100 ช็อคโกแล็ต = 1 มอคค่า
4 มอคค่า = 1 ลาเต้
4 ลาเต้ = 1 คาปูชิโน่
4 คาปูชิโน่ = 1 อเมริกาโน่
4 อเมริกาโน่ = 1 เอสเพรซโซ่
ตำนานราสปูตินมีใครเอามาเขียนนิยายหรือยัง?
กุเพิ่งรู้ว่าหมวดบู๊แอคชั่นแม่งเงียบขนาดนี้ ลงไปไม่กี่ตอนขึ้นท็อป
เว็บเด็กดวกชอบตั้งหมวดใหม่ให้หมวดที่คนเขียนเยอะจนดันเเนวอื่นที่ใกล้เคียงตกหมดน่ะ
หมวดร้างมันก็ร้างจริงๆ นั่นล่ะ
ข้อดีอย่างนึงคือนิยายจมยาก ลงนิยายผ่านไป 2-3 วันยังคาอยู่หน้าแรกของหมวดอยู่เลย
วิวหลักพันเนี่ย ถ้านิยายไม่ห่วยจริงๆ และจำนวนตอนเยอะพอ เขียนยังไงมันก็น่าจะถึงมั้ง
ลงหมวดแฟตาซียังไงก็ถึงพัน
ยอดวิวนิยายที่กูเขียนจบไปแล้วนี่ 40k แต่ไม่รู้สึกเลยว่าประสบความสำเร็จว่ะ
เพราะคนแม่งอ่านกันแค่ 10 กว่าตอนแรก ยอดอ่านตอนละ 3000+ แต่พอมาตอนหลังๆ ยอดอ่านลดเหลือตอนละ 200-300 คนเอง
>>847 กูจบภาคแรกไปที่ 30k ก็รู้สึกไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ (กูไม่ได้ลงหมวด ฟตซ. นะ) แต่ของกูก็พอขายอีบุ๊คได้นะ กูแบ่งเป็นสองเล่ม เดือนนึงรวมก็ 30+ เล่ม อาจไม่เยอะสำหรับคนที่เขาประสบความสำเร็จ แต่สำหรับกูมันคือรายได้เสริมที่โอเคและมีความสุข
ของกูเหมือนมึงอ่ะ ตอนแรกๆ 3-4 พัน+ ปัจจุบันภาคสอง เหลือ 200ต้น ๆ กว่าจะจบคงลดลงกว่านี้อีก แต่พอขายได้แบบนี้เรื่อยๆกูก็พอใจในระดับหนึ่ง
กูทำมือฝากในร้านขายการ์ตูนแถวบ้านขายได้สิบเล่มละ
ว่าไปก็อยากรู้ว่าบางคนเริ่มแต่งเรื่องแรกยอดวิวไม่ได้เยอะมาก แต่เสนอ สนพ ผ่านแล้วได้พิมพ์นี่ มันใช้วิธีเสนอยังไง
>>850 บางคนพอผ่านค่อยเอานิยายลงเน็ตเพื่อโปรโมต บางเรื่องเขียนจนจบแล้วส่งถูกจังหวะ สำนวนดีพลอตโอเคบก.ชอบก็ได้รับโอกาสแล้วเพื่อน นักเขียนบางคนถึงพูดไงว่ายอดวิวไม่ได้เป็นตัววัดว่าจะได้ตีพิมพ์เสมอไป แต่เรื่องขายออกรึไม่ออกขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ เพราะบางเรื่องไม่เอาลงเน็ต ขายแค่ตัวเล่ม คนซื้อก็น้อยเพราะเขาไม่อยากลงทุนกับนักขียนใหม่แล้ว นิยายกากเยอะ ถ้ามีฐานมาก่อนนักอ่านที่เขาชอบเห็นชื่อก็จัดเลยก็มี
สำหรับกูเอาลงเน็ตเพราะอยากให้คนมาอ่านแล้วแสดงความคิดเห็น บางทีอาจได้ข้อเสนอแนะที่กูพลาดไปด้วย เหมือนหาเพื่อนคุยกลายๆ เขียนเงียบๆไม่เอาลงเน็ตเลยกูทำได้ แต่กูเหงา บิบิ
ebook ต้นทุนน้อยกว่าเล่มรึเปล่า
>>852 น้อยกว่าเล่มแน่นอน แค่ลงทุนจ้างวาดหน้าปกงามๆ อาจเสียค่าโปรโมตเพจในเฟซสักนิด ไม่ต้องเสียค่ากระดาษค่าพิมพ์ บลาๆ
>>853 ทำเถอะ โอกาสขาดทุนต่ำมาก ถ้ามีเรื่องที่เคยเขียนจบแล้วก็เอามารีไรต์แล้วทำซะ ไม่ยากเลย ส่วนตัวกูจ้างวาดปก ปกละ 2500 สองปกก็ 5000 ทีแรกกูก็เสียวๆ อยู่นะว่าจะไม่ได้ทุนคืน แต่คือแป๊บเดียว แป๊บเดียวจริงๆก็ได้แล้ว (กูไม่ใช่แนวกระแสนะ) แล้วเปิดเติมเหรียญตามเว็บไซต์ที่ลงด้วย รายได้เข้าหลายทาง ลงทุนครั้งเดียว กินได้เรื่อยๆ ควรลองทำนะ สู้ๆ
>>855 ใช่แล้ว แต่แนะนำนะ ถ้าฝีมือยังไม่ถึงขั้นจริงๆ อย่าวาดเองเลย ปกสวยปกดี มีโอกาสขายออกมากกว่า ยิ่งนิยายแฟนตาซีควรจ้างนะ กว่าจะขายได้มันต้องผ่านหลายชั้น
สมมตินักอ่านเห็นอีบุ๊คเราจาก meb
เริ่มจากประทับใจแรกพบ คือปกและชื่อเรื่อง แล้วเขาก็จะเลื่อนมาอ่านโปรย ถ้าโปรยเข้าท่าอ่ะโหลดตัวอย่าง เฮ้ยตัวอย่างดีงาม จะซื้อ โอ้พิจารณาราคา (บางคนอาจดูราคาตั้งแต่แรก) เห็นป่ะ ผ่านตั้งหลายชั้น ถ้าด่านแรก(ปก) ไม่เวิร์ค ต่อให้อย่างอื่นดี ก็ไม่มีประโยชน์
Test net ais
ถามหน่อย นิยายพระเอกเทพเเบบชนะโดยไม่มีอะไรต้องลุ้น เนี่ย มันสนุกตรงไหนอะ เห็นคนชอบเยอะ ส่วนตัวอ่านเเล้วบอกเลยว่าโคตรน่าเบื่อทุกเรื่องเลย
เพื่อนในเฟซกูที่ชอบแนวนี้ให้เหตุผลว่าเพราะมันไม่เครียดนั่นแหละ แบบเจออะไรในชีวิตจริงมาเหนื่อยๆ จะมานั่งอ่านอะไรซีเรียสหรือหดหู่อีกก็ใช่ที่
แต่ถ้าถามกู กูก็ไม่ชอบหรอกนะ
ถ้าเป็นพวกเมพเเบบทุกอย่างเป็นไปตามเเผนนี่ชอบนะ เเต่เทพเเบบเอาพลังเทพเข้าว่านี่รับไม่ได้อะ ไปอ่านเรื่องนึงในนมสวยมา เชี้ยมพวกเเม่งเสกสกิลเองได้ เละเทะฉิบหาย
ประเด็นนี้ นึกถึงนักดาบแกรี่คนแรกเลย คนเขียนช่วยเยอะเกิน
Ky กูถามไรหน่อย
พวกมึงเคยเข้าไปคอมเม้นแซะนักเขียนที่ชอบกันมั๊ยวะ
คือกูมีนักเขียนที่ตามอ่านมาตั้งแต่สมัยม.ต้นจนตอนนี้จะจบมหาลัยแล้วคนนึง
ชาตินึงจะอัพที อัพทีกูน้ำตาแทบไหล มาแบบผลุบๆ โผล่ๆ นักอ่านคนอื่นเม้นขอร้องอ้อนวอนดีๆไม่ตอบ
กูเลยเข้าไปคอมเม้นแซะ แซะให้นักเขียนกระเตื้องActiveขึ้นหน่อย ปรากฎว่ามีปฏิกิริยากับเม้นกูเฉย
แซะแบบnegative อ่ะ แซะเสร็จอัพเลย พวกมึงว่ากูควรแซะต่อไปมั๊ยหรือกลับไปเป็นนักอ่านน่ารักเด็กน้อยดี
แซะมากๆ ก็กลัวนักเขียนนอยด์หายไปเป็นชาติอีก
หมวดสืบสวนมีไรน่าอ่านบ้างอะ แนะนำหน่อย
ใครสับนิยายกูที่ไม่ต้องเกรงใจด่าอะไรรับได้
https://my.dek-d.com/kate-matc5/writer/view.php?id=1843046
ปล.แม่งนิยายตอนโครตสั่นวะ บรรยายห่าไรไม่รู้
ใครเเม่มส่องคำถามในนี้เเล้วไปตั้งทู้ในบอร์ดฟะ5555
https://www.dek-d.com/board/view/3889743/
Ky มีนักอ่านคนนึงบอกว่าไม่อยากได้นางเอกคนปัจจุบัน...แต่ทั้งเรื่อง 50 กว่าตอนกูปูให้คนนี้เต็มที่ ถ้าไม่เอาคนนี้จะให้เอาคนไหนแฟะ...
กูกำลังเขียนนิยายผจญภัยแฟนตาซีเล็ก ๆ (
เล็กจริง ๆ นะ)
แต่พอกูไปดูจำนวนคนอ่านในหมวดผจญภัย พบว่าน้อยยิ่งกว่าหมอยแมว
ถ้ากูเอาไปลงหมวดแฟนตาซีจะมีคนมาด่ากูไหมวะ
ได้แหละ แต่ถ้าแต่งเรื่องอื่นแล้วมีแฟนคลับมาก่อน ก็น่าจะมีฐานเสียงอยู่บ้างนะ
ลงแฟนตาซีนี่เสี่ยงทั้งดวงทั้งการแข่งขัน ดวงไม่ดีพอนิยายมึงจะจมหน้า 3+ ภายในหนึ่งชั่วโมงโดยที่คนอ่านขาจรยังไม่ทันเห็นด่วยซ้ำ
กูเป็นคนเดียวเหรอวะ ที่ชอบระบบหมวดหมู่ แต่เปลี่ยนก็ดีเหมือนกัน ฮ่าฮ่า
>>888 ไม่หรอก ระบบแบ่งหมวดหมู่ก็ดี แต่ของเด็กดวกมักห่วย
มึงคิดดูนะ คำว่านิยายแฟนตาซีแม่งเป็นอะไรที่โคตรจะกว้างเลย สามารถแบ่งยิบย่อยได้หลากหลาย ทั้งแฟนตาซีแนว Sword & Magic แนว Resurrection แนว Isekai แนว Game Online ไหนยังมีแนว Love Fantasy กับแฟนตาซีสืบสวนอีก ซึ่งทั้งหมดมันเป็น Sub-set ของแนวแฟนตาซีทั้งสิ้น
แต่เด็กดวกแม่งดันแยกไอ้ Sub-set ทั้งหลายนี่ออกมาเป็นหมวดใหม่ไง แทนที่จะให้คนอ่านไปกระจุกรวมอยู่ในหมวดแฟนตาซี เพื่อให้กลุ่มผู้อ่านทั้งชาย - หญิง เด็ก - ผู้ใหญ่ มาอยู่หมวดเดียวกันแล้วแยกหาตาม Tags ที่ตัวเองชอบ แทนที่จะกระจายไปอยู่หมวดโน้นที หมวดโน้นที
อย่างปัจจุบันเนี่ยแม่งแยกชัดเจนมาก หมวดแฟนตาซี เป็นกลุ่มผู้อ่านวัยรุ่ย หมวดรักแฟนตาซี และอดีต - ปัจจุบัน - อนาคต เป็นกลุ่มผู้อ่านหญิง และหมวดเกมออนไลน์เป็นกลุ่มผู้อ่านเด็ก แถมยังแยกกันแบบเด็ดขาดอีกต่างหาก ทำให้การลงนิยายทีต้องคิดหนักเลยว่าจะเล็งกลุ่มผู้อ่านกลุ่มไหน ทั้งที่บางทีนิยายแม่งอ่านได้ทุกเพศทุกวัยไง
>>889 จริงว่ะ มึงนี่พูดได้ตรงใจดูเลย ทุกวันนี้กูอยู่ในเด็กดวกยากมาก นิยายกูเป็นรักชายหญิงที่มีความแฟนตาซี กูจึงลงรักแฟนตาซี แต่พระนางกูเป็นวัยที่ค่อนข้างโต ซึ่งรักแฟนตาซีมีแต่ 'เด็ก' ผู้หญิง อายุผู้อ่านกูเหมาะกับหมวดซึ้งกินใจ แต่หมวดนั้นก็จะนิยมนิยายที่มันไม่แฟนตาซีอีก เฮ้อ กูช่างอยู่ยากแท้หนอ
แต่พอไปลง ฟชล. คนอ่านเยอะแบบผิดกัน คือดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ อ่ะคิดดูนี่มันเพราะอะไร
ปัญหาของระบบ Tag คือคนไทยใช้ tag มั่วชิบหายเลย หาดูตามเฟสหรือเด็กดวกบางเรื่องได้
กูเห็นหลายเรื่อง เน้นจำนวน Tag เข้าว่า นอกนั้นไม่สนห่าไรเลย
ระบบ tags มันควรมี tags ที่ทางเว็ปจัดให้เว้ย ดูอย่าง pantip ดิ มีการจัดหมวดไม่พอยังมีจัดแยก tags เพื่อหาแนวที่เราชอบอีกต่างหาก
แต่ถ้าถามว่ากูชอบระบบ tags ไหนที่สุดนะ กูขอตอบว่าแบบ Novelupdate อะ เข้าใจง่ายดี
นิยายภาษาอังกฤษล้วนในเด็กดี คนเขียนแม่งเดือดมาจากไหนวะเนี่ย
เหมือนจะคนละคนกันว่ะ คิดว่านะ
กูว่าเขาไม่ได้อินดี้ ถึงขนาดเขียนนิยายให้เป็นภาษาอังกฤษขนาดนั้น ถึงจะรัวอังกฤษกับอะไรที่ไม่ใช่นิยายก็เหอะ 55
มันก็แค่อยากอวดสติปัญญาตัวเองให้คนอื่นเห็น แต่เสือกไม่ทำให้คนอื่นรู้เรื่อง ผลก็เลยแม่งควรไปพบจิตแพทย์
และประเด็นคือคนที่ก็รู้ว่าใครนี่แกรมม่าผิดกระจุย 55555
https://writer.dek-d.com/pleumfortune/story/view.php?id=1886284 ก็พอใช้ได้อยู่นะ
การเเก้ปัญหาสร้างสรรค์ดีวุ้ย เขียนบรรยายไทยเเย่ก็เขียนเป็นอังกฤษเเม่มเลย555
//ใช่เหรอวะ....เอาเหอะ
แต่งนิยายอีงกฤษต้องใช้ past tense บรรยายมั้ย
ใช่เล่นนะนั่น รูปประกอบอีกเรื่องก็ฝีมือพอตัว
แต่เห็นยอดวิวแล้วก็แอบสงสาร ว่าเรื่องแบบนี้ดันแพ้อีพวกนิยายตามกระแสโง่ๆ ไม่เห็นฝุ่นเลย
กูไม่รู้ว่าหมายถึงใครง่ะ แต่ถ้าหมายถึงคนที่กูไม่อยากเอ่ยชื่อรายนั้นไม่เขียนนิยายภาษาอังกฤษ แต่ถ้าหมายถึง 905 กูว่าไม่นะ เข้าไปลองอ่านเรื่องหลักที่เป็นภาษาไทยมานิดหน่อยละ ถ้าจะให้สับก็สับได้ มีเรื่องให้สับเยอะแหละ แต่งานแม่งจัดว่าชั้นดีเลย เสือกไปหลบอยู่ในซอก
His rugged voice uttered the words in urgent as they sounded so confusing, while outside... Outside uttered only the voice of chaos and that 'war technology', "The age of magic is bad, but this... Catapult? This is far worse. The Castle of Red Hills never fell in the times of Cordelia. I can't believe I have to go farther south".
เขียนได้ดีเขียนได้ถูกต้อง เราอ่านแล้วเราชอบมาก
กูเขียนนิยายแล้วจะหลบอยู่ในหลืบ คำโปรยอะไรไม่ใส่ แต่แม่งสบายใจดี
ว่าเเต่เอจจี้นี่เเปลว่าอัลไลวะ
โอเค พอจะนึกภาพออกละ555
นิยายซอมบี้ควรไปหมวดไหน?
ซาสึเกะเอจจี้เหรอวะ ไม่รู้สึกตัว 55
พระเอกละครไทยก็ edgy เหมือนกัน แต่เสือกหูเบาเกินมนุษย์
อยากศึกษาเรื่องความ edgy ไปดูไอน์ซามะในโอเว่อร์หลวมเลย edgy lord เหี้ยๆ
ซีนี้ก็ก็อบสเลนั่นไง
บากิ edgy ไหมวะ?
ตกลง antihero แม่ง edgy ทุกตัวเลยเรอะ งั้นใครเป็น hero ไม่ต้องเป็น edgy ล่ะสิ
>>935 จากที่กูเคยอ่านมา Anti-hero มักออกออร่า edgy ชัดเจนมากกว่า Hero ปรกติ สงสัยเพราะธีมที่มักออกมาโทนหม่นๆ ค่อนทางดาร์ก เวลาพวกนี้โผล่เลยมักจะยืนเก๊กกอดอกแล้วมองอยู่มุมนอก บางคนก็หลับตาด้วยนะ แต่ถามว่า Hero มันมีที่เป็น edgy ไหม ก็ขอตอบเลยว่า มี เพราะเคยเห็นอยู่ในเด็กดีซึ่งกูมักจำชื่อเรื่องไม่ได้อ่ะนะเพราะอ่าน 3 ตอนเลิก
ฮีโร่เอจจี้น่ะเรอะ ไรเดอร์คาบูโตะไง
มีอะไรไม่เอจจี้บ้างวะ 55555
อวด Edgy กันเข้าไป เอาให้หมดมู้เลยจะได้ตั้งมู้ใหม่
ใกล้จะขึ้นภาคใหม่แล้ว มีใครโหวตชื่อกระทู้รึยัง เอาภาคเด็กดวกสายดาร์คหนุ่มแกรี่มืดมนคนเอจจี้ ไปเลยดีมั้ยเห็นพูดถึงกันดีนัก
นิยายเด็กดี บทที่ 20 (DDN XX) ภาคนิยายสมัยนี้ พระเอกต้อง EDGY เบียวซู ทำอะไรไม่เคยผิด ใครไม่ได้เป็นพระเอก สมควรตายห่าซะ
นิยายเด็กดี ตอนที่20 ภาค เเม้สิ่งที่มันคิดกับสิ่งที่มันทำจะคนละเรื่อง ราวกับระยะทางเเข่งวิ่งมาราธอน50กิโล เเต่มันเป็นพระเอกอ่ะ จะทำไม
นิยายเด็กดี บทที่ 20 ภาคนักหลวมแห่งเด็กดวก เจ้าหนุ่มแกรี่กับชายฉกรรจ์ EDGY และเหล่าตัวละครที่มีแต่ความเบียว แม่รี่ซู แต่ทำไมยังมีคนอ่าน
ก่อนปิดมู้ กูขอสรุปประเด็นของหัวมู้นี้ก่อน เพราะวันนี้ครบรอบสองเดือนของ "กิจกรรมแข่งกันติดท๊อป" พอดี กูจะขอสรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดเลยนะ
คือ เจ๊งไม่เป็นท่าจ้า ไม่มีใครซักคนเดียว แม้แต่อีคนต้นเรื่องที่เอื้อมไปแตะท๊อปหมวดได้ ตอนนี้กลายเป็นบุคคลสาบสูญ ตั้งกระทู้สุดท้ายทิ้งทวนรับสับนิยายเมื่อเดือนที่แล้วแล้วไม่โผล่หน้าเข้ามาในบอร์ดอีกเลย
ขึ้นท๊อปมันจะยากซะแค่ไหนกันเชียวมั้ยล่ะมึง ถถถถ
กูเคยเป็นขาประจำบอร์ดคนหนึ่ง ปัจจุบันส่องเฉยๆ แล้วว่ะ เพราะตอบบอร์ดไปแม่งคนอ่านก็ไม่เห็น กูเลยเอาเวลาไปแต่งนิยายแทนให้มันมีความคืบหน้าบ้าง ดีกว่ามาฝอยแต่ไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน Mil**** ไรนี่ก็เหมือนกัน บอกดองมา 10 ปีแล้ว ก็เอาเวลาไปแต่งต่อดิวะ มามัวโม้ทำไมในบอร์ดที่มีแต่เด็กขอชื่อตัวละคร ขอพล็อต บ่นนิยายกระแสเนี่ย
กิจกรรมนั่นทำจริงจังกันด้วยหรอวะ กูนึกว่าตั้งกระทู้เล่นๆ เฉยๆ ซะอีก
กูอยู่ในบอร์ดตอบกระทู้เรื่อยๆ นะ แต่กูแอบไม่เข้าใจว่าทำไมมีกระทู้ชวนคุยทุกวัน เยอะสัสๆ
เดี๋ยวนี้นิยมนินทาในนี้แล้วเหรอวะ หรือมู้นินทาเด็กดวกร้างจนไม่ไป
ก็ไม่ตกขนาดนั้น แต่มันเริ่มร้าง https://fanboi.ch/netwatch/5647/recent/#reply
>>962 อายุมากขึ้นจะให้มาเล่นบอร์ดเหมือนแต่ก่อนมันก็ยังไงๆ อยู่วะ
ก็มีชีวิตทำงานทำการ ออกไปมีกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ได้นังเฝ้าหน้าจอ
เหมือนนีทติดเกมนี่หว่า ดูหนัง เที่ยวห้าง เล่นกีฬาอะไรก็ว่าไป
บางคนก็มีธุรกิจเป็นของตัวเองต้องไปบริหารค้าคงค้าขาย หรือแต่งงาน
มีลูกแล้วต้องดูแล ถ้าไม่ได้แต่งนิยายเป็นอาชีพหลักก็คงต้องมีห่างๆ ไป
ไม่เหมือนยุคนิยายโรงเรียนเวทมนตร์ที่คนอายุ 35+ ก็ยังแต่งเพราะกระแส
มันแรงนะเว้ย
มาเฟียคืออะไร ใช่พวกที่มีอิทธิพลป่ะหรือพวกที่ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจป่ะ กูเห็นคนที่ตั้งกระทู้คุยเล่นกับขอบคุณนักอ่านรัวๆรกฉิบเข้าข่ายมั้ย แล้วที่แปะลิ้งค์ไปหน้านิยายตัวเองทุกกระทู้เป็นมาเฟียมั้ย ออกตัวก่อนกูไม่เข้าใจจริงๆเพิ่งเล่นเด็กดี
>>964 เรื่องมันยาวมากเด็กใหม่
มาเฟียบอร์ดเป็นชื่อใช้เรียกขาประจำยุคโบราณมากหลายๆ คน ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเริ่มมา
จากเมมเบอร์ชื่อ "เคเซย์" ยุคนั้นถ้าใครตั้งกระทู้ไร้สาระ เกรียน หรือขอให้ช่วยทำการบ้าน
จะมีขาประจำเข้าไปด่า แขวะ หรือจงใจพูดข่มเพียบ บางทีพวกกระทู้ที่ดราม่ามันก็สมควร
โดนจริงๆ เช่น แนะนำนิยาย NC หรือจงใจใช้ภาษาวิบัติในบอร์ดนักเขียน แยกร่างอวยนิยาย
ตัวเองออกสื่อ ฯลฯ
ความมาเฟียมันมาหนักขึ้นตอนที่จู่ๆ เคเซย์ก็พูดเหมือนว่าอยากจะตั้งกลุ่มผู้คุมกฏในบอร์ด
ขึ้นมาเอง(จำไม่ได้ว่าไปคุยกับเว็บมาสด้วยรึเปล่า) ตอนนั้นกระแสต่อต้านมีเยอะมาก บางที
ก็มีนอนเมมมาตั้งกระทู้โจมตีมาเฟียเหมือนกัน อย่างวัฒนธรรมที่ชอบเรียกกันด้วยคำนำหน้า
ว่า "ท่าน" (-sama) แทนการเรียกชื่อเมมปกติ
ปัจจุบันที่เห็นขาประจำพวกนี้ บอกได้เลยว่าขี้ตีนมาก เหมือนเป็นแค่คนที่โผล่หัวในบอร์ดถี่
แล้วคุยกันไปมากับเมมที่รู้จักกันเฉยๆ ไม่ถึงกับมาเฟียหรอก เพราะยังไม่ได้มีการโหวตลบ
กระทู้ที่ไม่เข้าตา เข้าไปด่าคนที่ใช้ภาษาไทยผิด หรือบังคับให้สมาชิกหน้าใหม่ต้องเคารพ
สมาชิกหน้าเก่า (ถึงขั้นมีการตั้งกระทู้ให้หน้าใหม่มารายงานตัวเลยนะมึง)
ยุคมาเฟียนี่เด็กใหม่อยู่ยาก ตั้งกระทู้อะไรทีถ้ารกบอร์ดก็จะเจอเข้าไปบอกเลยว่ากระทู้แบบนี้
รกบอร์ด อย่าตั้งแบบนี้อีก หรือใครโฆษณานิยายตัวเองบ่อยเกินจะเจอดีถึงหน้า My iD เวลา
จะขอชื่อตัวละคร ขอให้ช่วยแต่งชื่อเรื่อง จะไม่มีคนเข้ามาแนะนำ แต่เจอด่าว่าคิดเองไม่ได้?
ถ้าเป็นเมมเก่าแต่ช่วยเด็กใหม่ พูดดีๆ ด้วย ก็ไปหาว่าเขาโลกสวย พูดอะไรสวยหรูปลุกใจทั้งๆ
ที่นิยายตัวเองก็ไม่จบ โอ้ยสารพัดสารเพเป็นยุคเกือบมืดเลย ปัจจุบันนี้ Easy mode มากๆ
ไม่มีการกดดันเด็กใหม่ ถึงจะมีขาประจำชวนรำคาญอยู่บ้าง แต่มันไม่หนักขนาดเมื่อก่อน
ยิ่งตอนมีเมมเบอร์เกรียนๆ จงใจเปิดวอร์นี่นะมึง ดราม่ากัน 4-5 วันไม่หลับไม่นอนก็มี ดูตอนนี้ดิ
โคตรสงบสุข
เรื่องคำว่ามาเฟียเนี่ย อย่าไปคิดอะไรมาก กูให้คำนิยามพวกในบอร์ดได้แค่ อวดภูมิ โชว์พาว แต่ไม่เคยเห็นผลงาน พวกที่มีผลงานจริงๆ เขาไม่พูดเยอะหรอก แต่งจบเอาไปขายกี่เรื่องไม่รู้แล้ว
>>965 กูทันยุคนั้น แต่ไม่ค่อยเข้าบอร์ดเท่าไหร่ เคเซย์นี่ เคยเขียนนิยายออกกับสนพ.ฟิสิกส์เซ็นเตอร์ด้วยใช่ป่ะ จะยิ่งกร่างก็คงไม่แปลกเพราะแบบตัวเองมีผลงานแล้วไง กูยังจำได้ว่าเพื่อนร่วมชั้นมัธยมของกูก็ท่าทางเคยเป็นหนึ่งในมาเฟียด้วยมั้ง ไม่รู้ดิ เห็นนางเป็นคนดังเหลือเกินในบอร์ด แต่สุดท้ายก็หายไปตามกาลเวลาซะละ 555
เคย์เซย์เนี่ยเป็นหนักมาก ไม่ใช่แค่ในเด็กดี แต่ในบอร์ดอื่นที่นางอยู่ด้วย กูเคยอยู่บอร์ดวายเดียวกับนาง ภาษาวิบัติ พิมพ์ผิด จะโดนจับผิดตลอดเวลา เหมือนนางเคยทำงานพวกพิสูจน์อักษรอ่ะ
แล้วนางก็เรื่องมากสุด ปีนึงบอร์ดมีกิจกรรมให้แต่งเรื่องสั้น/นิยาย ธีมนายโลม ตอนแรกมีนักวาดคนหนึ่งที่รู้เรื่องจีนเยอะเป็นแม่งาน แล้วนางมาเป็นด้วย ตอนแรกกิจกรรมคนสนใจเยอะมาก แต่พอประกาศออกมา คซ เล่นวางกฎละเอียดแบบห้ามแหก ห้ามนั่นห้ามนี่ จะต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่วางเอาไว้ สรุปถึงเวลาจริงมีคนร่วมแค่ 3-4 คน กิจกรรมร้างสุด นี่ยังไม่นับความเบียวในแชทบอร์ด เหมือนช่วงนั้นนางก็สถาปนาตัวเป็นขาใหญ่เด็กดีเช่นกัน แต่เรื่องหลายปีละ 6-7 ปีได้มั้ง
ไอ้หมอนี่รึเปล่า เคเซย์
https://my.dek-d.com/keisei/
https://my.dek-d.com/keisei/writer/
มู้ใกล้เต็มแล้วนะเว้ย ชื่ออะ ติดสินใจกันยัง
ย้อนวันวานกันเหรอ ท่านโม่ง
คิดถึงช่วงที่ห้องในเน็ตวอชยังอยู่นะ ปสดดี เหมือนถูกสังคมบุลลี่ เครียด หดหู่ไปหลายวัน เป็นประสบการณ์ที่รว้าย ๆ แต่ทำไมคิดถึงก็ไม่รู้ นึกย้อนไปแล้วก็ตลกดีอะ 555555
จะขึ้นมู้ใหม่ละเหรอ ยินดีด่วยนาจา
ใช้ท่านยังพอทน แต่ซามะนี่มึงจงใจเบียวแน่ๆ
คนมีงานมีการทำเขาไม่เรียกใครท่านเล่นๆหรอกนะ ส่วนใหญ่ที่ใช่ท่านทั่วๆไปที่เห็น มันไม่ได้มีความท่านอยู่จริงเลย เวลาจะเรียกใคร ท่านครับ ท่านคะ คุณท่าน ไม่เคยต้องมีชื่อตามนะออเจ้า
ท่านเครื่องบิน ท่านเคเซย์ ท่านเดธ ท่านโนวัน เบียวเกินเยียวยาทุกตัว
กูว่าคนที่ชอบเรียกท่านๆๆๆๆ ในชีวิตจริงไม่น่าจะเรียกท่านหรอก โลกไซเบอร์คือสังคมหน้ากาก อยากเล่นจูนิเบียวก็เรื่องของเขา ใครจะไปรู้ว่าชีวิตจริงจะมีนิสัยเบียวเหมือนในบอร์ดกับเกมรึเปล่า เพราะไม่มีทางจับได้ว่าตัวจริงเป็นคนยังไง
ท่านกูก็ใช้เรียกเล่นๆ เบียวๆนั่นแหละ แต่คงไม่เอาไปใช้ในชีวิตจริงถ้าไม่จำเป็นจริงๆ 555
นับถอยหลังสู่ความเอจจี้ใน 9...
8....
7...
6....
5....
4....
3.....
2.....
1.....
เพื่อ?
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.