ฉันมองดูพวกเขาแข่งม้า และดื่มชาอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งพวกเรากลับถึงบ้าน
ในตอนที่พวกเรากำลังจะเดินแยกย้ายเข้าห้องนอน ฉันเรียกคาบุรากิเอาไว้ คาบุรากิที่เล่นในสนามแข่งทั้งวันจนผมยุ่งกว่าปกติแต่ก็ยังคงดูหล่อเหลาหันมามองฉันแล้วเลิกคิ้ว ฉันมองหน้าเขาแล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
“สิ่งที่ฉันบอกท่านคาบุรากิในคืนแต่งงาน ตอนนี้ฉันก็ยังคงยืนยันคำเดิมนะคะ”
คาบุรากิทำหน้างง เหมือนไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร เขามองหน้าฉันด้วยสีหน้า ‘เป็นบ้าอะไรของเธอน่ะ คิโชวอิน’ อย่างที่เขาชอบทำ ฉันจึงพูดต่อ
“ฉันไม่รังเกียจหรอกนะคะ ถ้าท่านคาบุรากิจะมีคนรัก ฉันจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ไม่ขัดขวางอย่างเด็ดขาดค่ะ”
คาบุรากิขมวดคิ้วแล้วทำหน้าโกรธ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างแล้วชะงักไป
เขามองหน้าฉัน ในหัวสมองบ้าบอแต่ปราดเปรื่องของเขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าของคาบุรากิเคร่งเครียดขึ้นทันที ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่รู้สึกตัวเลยซักนิดว่าตัวเองคิดยังไงกับคุณชิสึกะ
ฉันยิ้มให้กับเขา ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องของตัวเอง ตราบใดที่เรื่องนี้ไม่ไปถึงหูนักข่าว หรือรู้ไปในวงสังคม เรื่องส่วนตัวของคาบุรากิเป็นเรื่องที่เขาต้องจัดการเอาเอง ฉันไม่มีวันเอาคอไปพาดเขียง ยุ่มย่ามกับความรักของคนอื่นอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่ร่ำ ๆ จะปักธงมรณะให้ฉันได้ตลอดเวลาอย่างคาบุรากิ
หลังจากนั้น คาบุรากิก็หลบหน้าฉัน ฉันเข้าใจดีเลยไม่ได้ต่อว่าอะไร ตอนออกงานสังคม พวกเราเดินเคียงข้างกันอย่างสง่างาม แต่พอกลับถึงบ้านก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอนของใครของมัน เสมือนเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่ดี
ในคืนนี้ก็เป็นงานสังคมอีกคืนหนึ่งที่ฉันจะต้องออกไปพร้อมกับคาบุรากิ ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อคาบุรากิมาเคาะห้อง แล้วให้คุณเมดที่ทำหน้าที่แต่งหน้าออกไป ฉันยิ้มแล้วยอมรับสัญญาสงบศึกชั่วคราวของเขา งานในคืนนี้เป็นงานที่มาดามคาบุรากิเป็นคนจัด ถ้าพวกเราไม่แสดงละครให้แนบเนียน รับรองว่าไม่มีทางพ้นสายตาของมาดามอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะเป็นงานทานาบาตะ แต่ก็จัดสไตล์ยุโรป ดังนั้นฉันจึงใส่ชุดเดรสยาวสีแชมเปญของเอลี ซาบ เพราะว่าเป็นเดรสที่โชว์ไหล่และอกค่อนข้างมาก ดังนั้นเลยต้องใส่สร้อยคอเพื่อไม่ได้คอดูโล่งเกินไป
ช่วงนี้ฉันออกงานค่อนข้างบ่อย ดังนั้นเลยเอาสร้อยออกจากเซฟมาไว้ที่บ้านหลายเส้น ในขณะที่กำลังคิดว่าจะใส่เส้นไหนดี คาบุรากิก็เปิดกล่องที่เขาเอาติดมือเข้ามาในห้องด้วยต่อหน้าฉัน
ในกล่องที่บุอย่างดีคือสร้อยคอเส้นหนึ่ง มันเป็นสร้อยเพชรของคาร์เทียแบบที่ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้าน แต่มาจากงานประมูลเท่านั้น ฉันมองเพชรจำนวนมหาศาลบนสร้อยแล้วพูดไม่ออก
“ท่านคาบุรากิคะ สร้อยเส้นนี้ยืมมาจากมาดารึเปล่าคะ?” ฉันถาม อันที่จริงพอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
คาบุรากิยักไหล่ “เปล่า ฉันไปประมูลเอง”
แม้ว่าฉันจะชอบเครื่องประดับ แต่ที่มีอยู่ก็มากพอใส่เวียนได้ไม่ซ้ำทั้งปีแล้ว หากเป็นสร้อยเส้นเล็ก ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่สร้อยชุดใหญ่ขนาดนี้เห็นแล้วรู้สึกปวดใจ
“ประมูลมาเท่าไหร่คะ?” ฉันถาม ใจหนึ่งอยากรู้คำตอบ อีกใจไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่
”เจ็ดล้านกว่า” เขาตอบราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันสูดหายใจเฮือก เงินเจ็ดล้านกว่าดอลล่าร์ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ ฉันมองเครื่องเพชรที่หนักเกือบสองร้อยกะรัตแล้วรู้สึกเหนื่อยใจ เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำ ในเมื่อเงินก็ไม่ใช่เงินของฉัน แล้วจะเดือดร้อนไปทำไมกัน
คาบุรากิสวมเครื่องเพชรให้ฉัน ฉันมองกระจกแล้วคิดว่าแค่สร้อยเส้นเดียวก็เหลือแหล่ ไม่ต้องมีเครื่องประดับอะไรอีก เลยทำผมง่าย ๆ คาบุรากิแต่งหน้าต่อจากคุณเมดให้กับฉัน ก็เป็นอันว่าพร้อมออกงาน
พวกเราไปงานทานาบาตะที่โรงแรมในเครือของคาบุรากิ มาดามเดินเข้ามาหาฉันทันทีที่พวกเราเดินเข้างาน เธอชมฉันว่าเหมาะกับสร้อยเพชรเส้นนี้มาก ไม่เสียแรงที่เธออุตส่าห์บินไปประมูลเป็นเพื่อนคาบุรากิ
ฉันยิ้มขอบคุณมาดาม แล้วบ่นเสียดายเงิน แต่มาดามบอกว่าคาบุรากิอยากให้ของขวัญฉัน เงินแค่นี้เป็นเงินเล็กน้อยเท่านั้น ฉันที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งปีควรจะได้อะไรตอบแทนบ้าง
พวกเราเข้าไปยังงานเลี้ยงในห้องโถงที่ค่อนข้างกว้าง ด้านหนึ่งเป็นมุมอาหาร อีกด้านเป็นฟลอร์เต้นรำกับแกรนด์เปียโน ฉันเจอคนรู้จักหลายคนในงาน รวมถึงเอ็นโจด้วย จนแล้วจนเล่าเอ็นโจก็ยังไม่ทิ้งนิสัยปากหวาน เขาชมฉันอยู่หลายคำ บอกว่าฉันสวยที่สุดในงาน ถ้าเขาเป็นหนุ่มเลี้ยงวัวก็คงจะปวดใจที่ได้เจอฉันแค่ปีละครั้ง
ฉันทำเป็นไม่ได้ยินคำชมนั่น นับวันเอ็นโจก็ยิ่งเจริญรอยตามท่านอิมาริเข้าไปทุกที เจอหน้าทีไรก็เอาแต่ป้อนคำหวานใส่ ดีที่ฉันยังจำได้ว่าเขามีคุณยุยโกะอยู่แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเท่าไหร่นัก
คาบุรากิหายจากข้างตัวฉันไปคุยธุระ ฉันกวาดสายตามองหาเขาแต่ดันไปเจอกับคุณชิสึกะเสียก่อน