Last posted
Total of 1000 posts
>>538 กูว่าอาจจะดองเมลล์ด้วย อารมณ์เม้าท์ไม่ต่อเนื่อง พอเจอเจ้าแม่ที่ข่มขู่ให้ตอบเมลล์ไวได้ อาการขี้เม้าท์แตกเลย
>>535 กูว่าคาบุเป็นสาวน้อยขี้อวดด้วยนะมึง เหมือนเพื่อนบางคนกู อิดอกกก อวดผัวจนเอือม ถ้าเล่นไอจีสตอรี่นางอาจจะทีของกินเลิศหรูกับของกินขากบ้านวาคาบะแหง ระดับคาบุ ขยันไปมองหลังคาบ้านสาวแน่นอน
อุหวาาาา โดนคำสาปคนกลายเป็นสาวน้อยกันซะแล้ว
ขนาดท่านพ่อกะเลขายังต้องมาช่วยปักตุ๊กตาเลย ถถถ
นี่ไม่ได้เข้ามานาน กระทู้ที่ 27 แล้วดิ เวิ่นรอตอนใหม่มานานละ
นี่เรารอตอนใหม่มากี่กระทู้แล้ววะ
กูเหนื่อย กูตากฝน กูอยากอ่านเจ้าแม่ กูคิดถึงเอ็นโจ ฮือออออออออออออออออออ
หมดประเด็นเฮฮาก็กลับมาลงแดง เดี๋ยวนี้กูลงแดงหลายเรื่องมาก กูรอเจ้าแม่เสมอ ฮรืออออออววว
#กระต่ายน้อยกับเสียงฟ้าผ่า#
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้
ฝนตกหนักเสียจนทุกอย่างคล้ายอยู่ภายใต้ม่านหมอก กลบภาพของเด็กสาวแต่งตัวดีสองคนซึ่งเป็นภาพที่ดูแปลกตาในตรอกแคบ ๆ ของย่านซบเซาแห่งนี้ ตกหนักเสียจนกลบเสียงกรีดร้องแหลมลั่นของเด็กสาวไปจนหมดสิ้น ตกหนักเสียจนชะล้างคราบเลือดที่ไหลจากบาดแผล ไม่เหลือร่องรอยให้สืบสาวอีก
ร่างหนึ่งนอนอยู่ท่ามกลางกองขยะราวกับตุ๊กตาหุ่นขี้ผึ้งถูกทิ้ง เส้นผมแนบลู่ติดใบหน้าอ่อนเยาว์ ชุดเดรสที่ถูกตัดเย็บอย่างดีเปียกโชก กระโปรงสั้นเลิกขึ้นสูงจนเห็นกางเกงชั้นในทว่าเจ้าตัวไม่อาจใส่ใจหรือขยับมือเอื้อมลงมาปกปิดร่างกายของตนเองได้อีกแล้ว พอ ๆ กับคนมองที่ไร้สติเกินกว่าจะคิดถึงเรื่องความสุภาพ เพราะดวงตาที่เต็มไปด้วยแววหวาดกลัวสุดขีดจ้องมองดวงตาที่ไร้ชีวิตตรงหน้า
ร่างที่ยืนอยู่สั่นเทา แม้ความหนาวเหน็บยามฝนเม็ดใหญ่กระทบร่างจะส่งอุณหภูมิที่เย็นเฉียบ ทว่ายังไม่เท่ากับความยะเยือกจับขั้วหัวใจของเหตุการณ์ตรงหน้า
.....
ในอดีต คิโชวอิน เรย์กะ คิดว่าหากเธอทำตัวสงบเสงี่ยม ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เธอจะไม่พบกับบทจบที่เลวร้ายอย่างเช่นถูกคนประณามหรือบ้านล้มละลาย
หากแต่เธอคิดผิด
ชีวิตในชาตินี้ของเธอไม่ราบรื่น แต่ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องวิตกกังวล พ่อไม่ได้ทำเรื่องทุจริต พี่ชายของเธอคอยดูแลกิจการที่นับวันก็รุ่งเรืองขึ้นทุกที เธอเป็นเพื่อนกับวาคาบะนางเอกของเรื่อง และยังเป็นเพื่อนกับคาบุรากิที่เป็นพระเอกอีก
ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างน่าจะเป็นไปได้ด้วยดีแล้ว แต่ซึรุฮานะกลับลักพาตัวเธอ
เย็นวันนั้นเป็นเย็นวันหยุดธรรมดาวันหนึ่งที่เธอไม่ต้องไปงานสังคม เรย์กะคิดว่าคงจะดีถ้าหากว่าเธอได้ไปเดินเล่นหาอะไรกินในที่ห่างไกลผู้คน ดังนั้นเธอวางแผนหาสถานที่เดินเล่นตั้งแต่วันศุกร์และเมื่อถึงบ่ายวันเสาร์ เธอก็จับรถไฟออกไปนอกเมืองด้วยหัวใจที่พองโต
หากแต่ตอนที่กำลังนั่งกินขนมในสวนสาธารณะอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ปล่อยตัวตามสบายเพราะไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาเห็นคิโชวอิน เรย์กะ นั่งกินขนมบ้าน ๆ ผู้ชายที่แต่งตัวธรรมดาสองคนก็พุ่งเข้ามาจับตัวเธอ กว่าเรย์กะจะได้ทันคิดว่าเธอไม่ควรนั่งในที่ลับตาคนก็สายไปเสียแล้ว ร่างของเธอถูกจับยัดลงไปในกระสอบ แล้วโยนเข้ากระโปรงท้าย ก่อนที่รถจะขับออกไป
เรย์กะนึกโกรธตัวเองสารพัดที่มาเที่ยวคนเดียวแล้วยังเลือกนั่งในที่ลับตาคน เธอไม่ได้บอกที่บ้านเอาไว้ว่าจะไปไหน สวนสาธารณะที่นั่นก็ดูท่าทางจะไม่มีกล้องวงจรปิด ซ้ำข้าวของทุกอย่างและโทรศัพท์มือถือของเธอก็ตกอยู่ในสวนนั้นด้วย
เธอลองทุกอย่างเท่าที่จะนึกออก ทั้งพยายามถีบล็อค โวยวายกรีดร้อง ทว่าทำอะไรก็ไร้ผล หลังจากที่รถวิ่งมาได้พักใหญ่ มันก็หยุดลง จากนั้นก็มีเสียงเปิดฝากระโปรงและคนคุยกัน
ทันทีที่ได้ยินเสียงสบถหยาบคาย เรย์กะก็นอนนิ่งตัวแข็ง เธอไม่รู้ว่าทั้งสองคนจับเธอมาเพราะอะไร พวกเขารู้รึเปล่าว่าเธอคือใคร ถ้าหากพวกนี้แค่อยากจะจับตัวเธอเรียกค่าไถ่ก็แล้วไป แต่ถ้าพวกเขาคิดจะค้ามนุษย์หรือขายอวัยวะ...
กระสอบที่บรรจุร่างของเธอถูกแก้ปมออก พวกนั้นเทร่างของเธอลงบนพื้นราวกับว่าเธอเป็นพืชผัก ทว่าก่อนที่เธอจะได้ทันพูดอะไรหรือร้องขอความเมตตา เสียงสบถด่าของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น ผ้ากระสอบถูกโยนลงปิดหน้าเธอ แต่ยังไม่เร็วพอที่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นจะพ้นจากสายตาของเรย์กะ
แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่โครงหน้าที่คุ้นเคยเมื่อรวมเข้ากับน้ำเสียงที่คุ้นหู เรย์กะก็เดาได้ทันที
ซึรุฮานะ
เรย์กะไม่ได้เห็นเด็กสาวมาพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่ตระกูลซึรุฮานะมีปัญหาทางด้านกิจการอย่างหนักจนต้องลาออกจากซุยรัน
เสียงทะเลาะกันดังลั่น เรย์กะตะกายตัวขึ้นจะวิ่งหนี รองเท้าส้นสูงเตะอัดเข้าที่ปลายคางของเธอทันที ทว่าไม่แรงพอที่ทำให้เธอสลบ ใครซักคนกระชากผมของเธอ เรย์กะหันไปทั้งข่วนทั้งกัด เธอปัดมือไปทั่ว คว้าอะไรได้ก็หวดใส่คนที่ทำร้ายเธอ
ผู้ชายคนที่โดนเธอคว้ารองเท้าส้นสูงของซึรุฮานะร้องลั่นเมื่อส้นรองเท้าเรียวแหลมปักเข้าไปในลูกตา เรย์กะไม่มีเวลาที่จะให้ตกใจ พอหลุดจากการเกาะกุมได้ เธอก็ลุกขึ้นวิ่งหนีทันที
เสียงกรีดร้องของซึรุฮานะดังลั่น สั่งให้ผู้ชายอีกคนจับเธอเอาไว้เพราะรู้ดีว่าหากเรย์กะหลุดไปได้ ไม่เพียงแต่ตัวของซึรุฮานะเอง แม้แต่ตระกูลของเธอก็ต้องพบกับจุดจบด้วยฝีมือคิโชวอินอย่างแน่นอน
เรย์กะสลัดรองเท้าคัชชูทิ้งแล้ววิ่งเท้าเปล่า เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองว่าผู้ชายที่วิ่งตามเธอมาวิ่งมาใกล้ขนาดไหนแล้ว ปอดของเธอร้อนผ่าวจนเหมือนจะฉีกขาด สีข้างปวดร้าวหากแต่เธอไม่สามารถหยุดวิ่งได้ ฝนที่เริ่มตกลงมาทำให้พื้นลื่นซะจนเรย์กะเกือบหกล้มหลายที เธอภาวนาให้เจอใครซักคน หรืออย่างน้อยก็วิ่งไปในที่ชุมชน
ฝนค่อย ๆ ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เรย์กะยังคงวิ่งแม้ว่าเท้าของเธอจะเหยียบถูกอะไรซักอย่างจนรับรู้ได้ถึงเท้าที่อุ่นขึ้นเพราะเลือด และเมื่อเธอวิ่งมาจนถึงตรอกหนึ่ง เธอก็วิ่งต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว จึงหยุดซ่อนตัวในนั้น
ทั้ง ๆ ที่เธอคิดว่าน่าจะหลบพ้น แต่ซึรุฮานะก็ตามหาเธอจนพบ ในมือของอีกฝ่ายมีมีดพับเล่มหนึ่ง ต่อหน้าซึรุฮานะที่ดูเหมือนจะเป็นบ้า เรย์กะพบว่าเธอไม่ใช่คิโชวอิน เรย์กะ ที่มีอำนาจสูงส่งเหนือเด็กคนอื่น ๆ ในซุยรันแล้ว เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
เรย์กะพยายามจะกล่อมอีกฝ่าย หากแต่ซึรุฮานะไม่ยอมฟังเธอเลยแม้แต่น้อย แม้เรย์กะจะพยายามบอกว่าถ้าเลิกราตั้งแต่ตรงนี้เธอจะไม่ติดใจเอาความ แต่เด็กสาวกลับบอกว่าเธอไม่เชื่อ ถ้าเรย์กะไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ ทำไมคาบุรากิถึงได้เล่นงานธุรกิจของบ้านซึรุฮานะ
แม้ว่าเรย์กะจะพยายามบอกว่านั่นไม่เกี่ยวข้องกับเธอ แต่ซึรุฮานะก็ไม่ฟัง
มีดคมกริบบาดเข้าที่แขนของเธอจนเลือดโชก เรย์กะพยายามเบี่ยงตัวหลบมีด แผลบนตัวของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเลือดโชกไปหมด ในขณะที่เธอคิดว่าคงจะต้องตายแน่แล้ว ซึรุฮานะก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจด้วยอะไรบางอย่าง เรย์กะจึงฉวยโอกาสผลักอีกฝ่ายออกไป
ร่างของซึรุฮานะไถลไปตามพื้นลื่น ๆ ถูกหยุดลงเมื่อกระเด็นไปกระแทกเก้าอี้ออฟฟิศ เก้าอี้ที่เก่าพังและน้ำหนักตัวที่กดทับทำให้ขาเก้าอี้ที่เป็นเหล็กเสียบทะลุท้องของอีกฝ่าย
หัวใจของเรย์กะคล้ายจะหยุดเต้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ซึรุฮานะพยายามยันตัวขึ้น หากไม่สามารถลุกขึ้นได้ เลือดท่วมทะลักอย่างรวดเร็ว แต่ไม่เร็วพอที่ฝนจะซะล้างออกไปได้
“ช่วย—“
เรย์กะยกมือขึ้นปกปิด ได้แต่ยืนสั่นมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง หากทว่าซึรุฮานะไม่แม้แต่จะสามารถพูดคำว่า ‘ช่วยด้วย’ ได้จบ มือของเธอที่พยายามยกขึ้นกดแผลตกห้อยลง แล้วร่างก็แน่นิ่งไป
มือที่เอื้อมมาจะสัมผัสทำให้เรย์กะกรีดร้อง เธอหมุนตัวเตรียมจะวิ่งหนีอีกครั้งหากแต่มือนั้นคว้าแขนของเธอไว้ได้ก่อน เรย์กะตะโกนลั่น ทั้งถีบทั้งกัด แต่ร่างนั่นก็กอดเธอไว้แน่น
“คุณคิโชวอิน ปลอดภัยแล้วนะครับ”
ร่างที่กอดเธอไว้พูดซ้ำ ๆ แบบนั้น เรย์กะร้องไห้โฮขอร้องให้อีกฝ่ายปล่อยเธอไป แต่เขาก็ยังคงไม่ปล่อย
“อย่าฆ่าฉันเลย ได้โปรดอย่าฆ่าฉันเลย ฉันยังไม่อยากตาย”
เรย์กะคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เธอร้องไห้สะอื้นจนเหมือนจะหายใจไม่ทัน ร่างของเธอเจ็บไปทั้งร่าง ทั้งจากเท้าที่เลือดออกและลำตัวที่เต็มไปด้วยแผลมีดบาด
“คุณปลอดภัยแล้ว คุณปลอดภัยแล้วนะ เรย์กะ”
น้ำเสียงนั่นกระซิบอย่างอ่อนโยน แขนแข็งแรงกอดเธอไว้แน่น แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะทุบตีเธอ
”ท่าน...เอ็นโจ?”
“ผมเอง ผมเอง”
เรย์กะไม่รู้ว่าจะหัวเราะดีเมื่ออีกฝ่ายตอบด้วยมุขที่เธอเคยกล่าวหาเขา หรือว่าร้องไห้ดีเมื่อนึกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอหัวเราะไม่ออก จึงร้องไห้แล้วกอดเขาแน่น
“ท่านเอ็นโจ ท่านเอ็นโจ” เธอร้องไห้โฮ
“ไม่เป็นไรนะ ผมจัดการคนไม่ดีหมดแล้ว พวกเขาทำร้ายคุณไม่ได้อีกแล้ว เรย์กะ”
หลังจากนั้นเธอจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จำได้เพียงใครซักคนพยายามแกะเธอออกจากอ้อมกอดนั้น เธอได้ยินเสียงไซเรนและกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ใครซักคนพยายามจะพูดกับเธอ หากแต่ทุกอย่างผ่านไปอย่างมึนงง
เรย์กะกรี๊ดลั่นเมื่อในความฝันเธอโดนไล่ล่าอีกครั้ง ใครซักคนพยายามปลอบเธอ หากแต่เธอต่อสู้เต็มที่ เธอจะไม่มีวันยอมให้พวกนั้นจับตัวเธอได้ หากเธอโดนจับตัวแล้ว ซึรุฮานะต้องแทงเธอได้อย่างแน่นอน
เธอตะโกนเรียกใครซักคน หากแต่ใครคนนั้นไม่ยอมตอบกลับมา เรย์กะขดตัวแน่นบนเตียง เลือดซึมออกจากปากแผล หากแต่เธอกลัว กลัวว่าถ้าเธอถูกจับตัวได้ซึรุฮานะจะฆ่าเธอ
“ผมไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำร้ายคุณได้อีก” เสียงที่อ่อนโยนนั่นกระซิบข้างหู พอเธอจำได้ว่าเป็นเสียงของใคร เธอก็คว้าร่างของเขาแล้วกอดไว้แน่น เอ็นโจยอมให้เธอกอดด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่โดยดี เขาพูดปลอบเธอซ้ำ ๆ จนเธอหลับไป
.....
เรย์กะหลับไปแล้ว พี่ชายของเธอก้มหัวขอบคุณเขา สีหน้าของชายหนุ่มขมขื่นเพราะตัวเองช่วยเหลือน้องสาวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาบอกกับครอบครัวคิโชวอินว่าไม่ต้องเกรงใจหากมีเรื่องต้องการให้เขาช่วยเหลืออีก
ประตูห้องพักพิเศษถูกปิดลง เอ็นโจกดลิฟต์ขึ้นไปยังเพนท์เฮาส์ด้านบนของโรงพยาบาลในเครือธุรกิจเอ็นโจ ทว่าก่อนลิฟต์จะปิด ร่างบอบบางราวภูติพรายก็แทรกตัวเข้ามา
”ชู เหนื่อยแย่เลย ตีสองแล้วยังต้องลุกขึ้นมาปลอบคุณคิโชวอินอีก”
ชูสุเกะยิ้ม “คุณคิโชวอินได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจมาก ผมในฐานะเพื่อนและผู้ช่วยเหลือเธอถ้าทำอะไรเพื่อเธอได้ผมก็อยากทำ”
“ก็ลงแรงไปขนาดนั้นแล้วนี่เนอะ จะเก็บเกี่ยวซักหน่อยก็ไม่น่าแปลก” ยุยโกะเงยหน้าขึ้นปรายตามองเขาอย่างรู้ทัน
ชูสุเกะยิ้มด้วยรอยยิ้มขื่น ๆ “อา มองผมในแง่ร้ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”
“ถ้าไม่มีคนให้ความหวังกับคุณซึรุฮานะ เธอก็คงจะไม่รังแกคนรักของท่านคาบุรากิขนาดนั้นหรอก เฮ้อ คุณซึรุฮานะนี่ไม่รู้จะเรียกว่าโง่หรือน่าสงสาร แค่ชูบอกกับเธอคำเดียวว่าคุณคิโชวอินสนับสนุนเธอ ก็กร่างได้ถึงขนาดนั้น แต่พอสุดท้ายกิจการทางบ้านล้มละลาย แต่บ้านคิโชวอินกลับลอยชาย เป็นใครก็คงแค้นทั้งนั้นแหล่ะ”
“อืมม์ เป็นข่าวลือที่มีสีสันจังเลยนะ”
“ก็ดูน่าเชื่อกว่าการที่จู่ ๆ บุตรสาวบ้านคิโชวอินถูกลักพาตัว แล้วบุตรชายคนโตบ้านเอ็นโจ ‘บังเอิญ’ โผล่ไปแถวนั้นก็แล้วกัน”
“แล้วผมจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันล่ะ มาซายะก็เพื่อนผม คิโชวอินก็เพื่อนผมเหมือนกัน”
ใบหน้าสวยหวานเอียงคอน้อย ๆ ราวกับกำลังครุ่นคิด “กระต่ายที่ขี้กลัวไม่ยอมให้จับ ต้องให้ฟังเสียงฟ้าผ่าหน่อยถึงจะกระโดดเข้ามาให้กอดไม่ยอมปล่อยน่ะสิ”
ชูสุเกะยิ้ม หากแต่ใบหน้าไม่เปลี่ยนสี “เอ ยังไงกันน้า”
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นบนสุด ชูสุเกะเอามือง้างประตูลิฟต์ไว้แล้วหันหน้ามาหาเด็กสาว “ดึกขนาดนี้รีบกลับไปนอนเถอะครับ คุณยุยโกะเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ถ้าจู่ ๆ เกิด ‘ไม่สบาย’ เป็นอะไรไปล่ะก็แย่แน่เลย”
ประตูลิฟต์ปิดลงแล้ว พื้นผิวโลหะที่ขัดมันส่องให้เห็นเด็กหนุ่มที่ไม่ได้ยิ้มอีก บ้านของเขาคิดจะควบรวมกิจการกับอุริวเลยพยายามให้เขาผูกสัมพันธ์กับเธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยื่นจมูกเข้ามาส่อในเรื่องของเขามากเกินไปแล้ว
ในอดีตเขาพยายามอดทน หากแต่วันนี้ความอดทนของเขาลิมิตต่ำกว่าปกติมาก แม้ว่าเขาจะให้คนเฝ้าสะกดรอยทุกฝีก้าวของซึรุฮานะ แต่คนของเขากลับพลาดตอนที่ไล่ตามรถของคนที่ลักพาตัว เนื่องจากรถคันที่ใช้เป็นคนละคันกับที่แอบติด GPS ทำให้เขาไปถึงช้ากว่าที่ควร
ชูสุเกะหยิบคีย์การ์ดจากกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแตะประตูห้อง มือที่ยื่นออกไปนั้นแขนเสื้อเลิกขึ้นเผยให้เห็นรอยช้ำจากนิ้วมือเกาะกุมไว้แน่น
กระต่ายที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าจะกระโดดเข้ามาให้กอดไม่ยอมปล่อย
รอยยิ้มของลูกชายคนโตบ้านเอ็นโจขยายออก เขายกข้อมือที่มีรอยช้ำแนบริมฝีปาก
พืชผลที่เขาอุตส่าห์หว่าน รอคอยอย่างอดทน ในที่สุดก็เติบโตให้เก็บเกี่ยวแล้ว
จบ
จะว่าไป ฉายาจอมมารของท่านพี่ กับเอ็นโจนี่ มาจากตอนไหนนะ ลืมไปแล้ว
พูดถึงสีผมน้ำผึ้งของเอ็นโจ กูนึกถึงสีผมที่ควรจะเป็นสีขาวของนายตัวสำรอง ซึ่งตอนนี้เป็นผมดำกันทั้งคู่ กูเริ่มคิดเกี่ยวกับความน่าจะเป็น
ในโลกนี้หลายๆ อย่างดำเนินไปตามเนื้อเรื่องที่ท่านเรย์กะเกริ่นไว้ก็จริง แต่มันไม่ได้ตรง 100% โดยเฉพาะนิสัยตัวละครที่ผิดแปลกไปจากความจริง เป็นไปได้ไหมวะ ว่าเหตุการณ์บริษัทล้มละลายจะไม่เกิดขึ้น
เพราะกูเชื่อใจท่านพี่เว้ย ระดับท่านพี่ถ้าตรวจดูแบบละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มันก็น่าจะไม่มีอะไรจริงๆ ท่านพ่อก็ดูเป็นคนดีออก แต่กูไม่กล้าฟันธงว่าจะไม่เกิดขึ้น นี่ก็ลุ้นอยู่ว่าจะเป็นตามเนื้อเรื่องไหม
ถ้าจัดตัวละครในเรื่อง ก็มีพวกไม่ใสที่เห็นชัดเจนไม่กี่คนนะ ท่านพี่ ท่านอิมาริ ซากุระ เอ็นโจ ริรินะ สองสาวผู้พิทักษ์ อืม ประมาณนี้ป่าววะ ส่วนยูกิโนะน้องยังใสอยู่ 555
เป้นตัวสำรอง คนวาดเลยขี้เกียจถมดำแค่นั้นแหละ
>>580 เป็นงึีสินะ 5555
http://img.in.th/image/5K2TVw
A - Arrangment Marriage
สุดท้ายแล้วฉันกับคาบุรากิก็ถูกจับแต่งงานกัน
"ทำอะไรน่ะ"
คาบุรากิถามอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นฉันเปิดม่านมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหาทางหนี แน่นอนว่าพอเห็นความสูงของชั้นที่พวกเราอยู่ ฉันก็คิดว่าห้องใหญ่ขนาดนี้อันที่จริงเราแบ่ง ๆ กันอยู่ก็ไม่เสียหายอะไร
"ด...ดูวิวน่ะ"
ฉันแก้ตัว หันไปมองคาบุรากิในชุดเจ้าบ่าวสีขาว ใบหน้าของเขามีร่องรอยเหน็ดเหนื่อย ฉันเองพอคิดอย่างนั้นก็รู้สึกเหมือนขาจะทรุดเช่นกัน
งานแต่งงานระหว่างบุตรชายของตระกูลคาบุรากิและบุตรสาวตระกูลคิโชวอินคือข่าวใหญ่ที่สุดในรอบปี บรรดาแขกเหรื่อและนักข่าวมากันอย่างคราคร่ำ ไม่มีงานสังคมคราวไหนที่ฉันจะรู้สึกเหนื่อยเหมือนครั้งนี้
ในงานแต่งงานฉันเห็นคาบุรากิมองไปทางวาคาบะจังบ่อยครั้ง วาคาบะเองก็ยิ้มให้กับพวกเราและแสดงความยินดีออกมาอย่างใจจริง ฉันรับฟังแล้วอยากจะร้องไห้
สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่คำยินดี แต่เป็นบทสวดปัดเป่าให้แคล้วคลาดปลอดภัย
ฉันมองเตียงนอนขนาดพิเศษในห้องสวีทของโรงแรมเจ็ดดาวที่แสนจะหรูหราในเครือคาบุรากิ ในห้องชุดขนาดใหญ่มีทุกสิ่งเท่าที่เงินจะสรรหามาได้ ทั้งชาสมุนไพรแบรนด์ดังจากอังกฤษที่ทำพิเศษเพื่อชนชั้นสูงเท่านั้น ตู้ไวน์ทั้งตู้เรียงรายไปด้วยไวน์ฝรั่งเศสที่ฉันเคยดื่มแล้วบอกว่าชอบ
แม้ว่าฉันจะไม่ได้ชนกับแบดเอนในตอนประกาศหมั้น แต่แต่งงานไปแล้วก็ไม่ได้การันตีว่าฉันจะไม่ได้เจอแบดเอน เพราะการแยกคู่พระเอกกับนางเอกนั้นถือเป็นลางร้ายที่นำไปสู่ธงแห่งความตาย ในอนาคตถ้าไม่ระวังให้ดี ฉันอาจจะตายไปอย่างลึกลับ หรือโดนฟ้องหย่าโดยไม่ได้เงินค่าเลี้ยงดูซักเยน หรือบ้านคิโชวอินโดนยึดกิจการ แค่คิดฉันก็รู้สึกปวดท้อง...
นั่นหรือไม่ก็ตลอดทั้งงาน ฉันไม่ได้กินอาหารซักคำ เพราะต้องทำตัวให้ผอมที่สุดเพื่อที่จะยัดเข้าไปในชุดแต่งงานที่ท่านแม่มีพระราชเสาวนีย์ว่าจะเป็นตายยังไงก็จะไม่แก้ไซส์เด็ดขาด
แล้วท้องทรยศของฉันก็ส่งเสียงคำรามเหมือนสิงโตในสารคดี ท่ามกลางห้องที่เงียบกริบ มันชัดเจนซะยิ่งกว่าทีวีที่มีสเตริโอครบชุดเปิดเร่งเสียงจนสุด
คาบุรากิมองฉันด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนจะถอนหายใจ ดูเหมือนเขาเองก็ไม่ได้กินอะไรในงานเช่นกัน พวกเราเลยคุ้ยห้องและพบว่าในตู้เย็นมีถาดเค้กหลากชนิด อัดแน่นเสียจนถ้าหากไม่รู้ว่านี่คือห้องสวีทสำหรับบ่าวสาว ก็คงนึกว่าพวกเราเตรียมจะจัดปาร์ตี้น้ำชาสำหรับแขกสามสิบคน
พอคาบุรากิเรียงเค้กบนโต๊ะ พวกเราก็ลงมือกินอย่างหิวโหย ทว่ากินไปได้ไม่กี่คำ ฉันก็น้ำตาไหลออกมา
คาบุรากิทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก คั้นอยู่นานฉันก็สารภาพว่าคอร์เซ็ตมันรัด ดังนั้นถึงจะหิวจนกระเพาะแทบจะย่อยตัวเอง ฉันก็ไม่สามารถกินอะไรได้ คาบุรากิสั่งให้ฉันไปถอด แต่ฉันจะถอดได้ยังไง ในเมื่อบิดตัวไปด้านหลังเพื่อแก้เชือกก็ยังแก้ไม่ได้
สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นคาบุรากิที่คลายชุดแต่งงานและคอร์เซ็ตให้กับฉัน แต่มันไม่ได้มีความอีโรติกเหมือนในนิยายเลยแม้แต่น้อย เพราะคาบุรากิด่าฉันว่าถ้าไม่มีปัญญาลดน้ำหนัก ก็ควรจะแก้ชุดให้หลวมกว่านี้ ในตอนนี้ฉันดูเหมือนหมูชาชูที่ถูกมัดลงไปต้มไม่มีผิด
ถึงแม้จะเจ็บใจ แต่ก็เถียงไม่ออก พอสูดหายใจได้เต็มปอด ฉันก็นั่งซัดเค้กทั้ง ๆ ที่ชุดแต่งงานหลุดลุ่ยแบบนั้น คาบุรากิเองก็กินเหมือนอดอยากมาทั้งสัปดาห์เช่นกัน พอกินเสร็จแล้วทุกอย่างก็กลับเข้าไปสู่สภาพเดิม นั่นคือความเงียบ ความเงียบที่ทำให้ฉันอึดอัดจนกระทั่งโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกมาในที่สุด
"ฉันไม่รังเกียจหรอกนะถ้าท่านคาบุรากิจะแอบพบกับคุณทาคามิจิอย่างลับ ๆ"
นอกจากจะไม่รังเกียจแล้ว ฉันยังจะสนับสนุนเต็มที่ด้วย ฉันยอมเป็นภรรยาที่แห้งเหี่ยวดีกว่าถูกฆาตกรรมอำพรางหรือทำให้กิจการทางบ้านล่มสลาย อีกอย่างอาจจะมีผู้ชายคนไหนที่มองทะลุผ่านถึงเปลือกนอกอันรักใคร่คู่สามีภรรยาคาบุรากิ-คิโชวอิน มีความรักอันผิดศีลธรรมกับฉัน เขาผู้นั้นอาจจะรู้สึกทุกข์ตรมในตอนแรก แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยว่าพวกเราแต่งงานบังหน้ากันเท่านั้น และคาบุรากิก็มีคนรักอยู่แล้ว สุดท้ายพวกเราก็หย่าขาดกัน แต่ยังคงความสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจและเพื่อนเอาไว้ แฮปปี้เอนดิ้งกันทั้งฉันและคาบุรากิ
"พูดอย่างงั้นคิดจะดูถูกฉันรึไง คิโชวอิน"
น้ำเสียงโกรธจัดของคาบุรากิทำให้ฉันชะงัก ทั้ง ๆ ที่ตอนที่บ้านของพวกเราประกาศหมั้น และตอนที่คาบุรากิพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อความรักของตัวเอง ฉันยังไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้
"ฉันไม่ใช่ผู้ชายที่คิดจะนอกใจภรรยาตัวเองหรอกนะ" คาบุรากิพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงคาบุรากิจะนิสัยเด็กมาก โรคจิตเข้าขั้นสโตรกเกอร์แถมยังมีนิสัยสาวน้อย แต่ในเรื่องหลาย ๆ เขาเป็นสุภาพบุรษ ดูสมกับที่ถูกบ้านคาบุรากิเลี้ยงดูมา
ฉันอึ้งไป พอคิดได้อย่างงั้นแล้วก็รีบขอโทษ คาบุรากิวางส้อมลง ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
"ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้รักกัน แต่ยังไงก็แต่งงานกันแล้ว ในระหว่างที่เธอใช้นามสกุลคาบุรากิ ฉันจะไม่มีวันทำเรื่องขี้ขลาดสกปรกแบบนั้นเป็นอันขาด เธอวางใจได้ ในตอนนี้...ฉัน...ตัดใจจากวาคาบะไปแล้ว ถ้าฉันจะรักใครซักคน ฉันก็ไม่อยากให้เธอคนนั้นกลายเป็นคนรักลับ ๆ ที่ต้องแอบไปหาเหมือนกัน"
ในคืนนั้นคาบุรากินอนในห้องนั่งเล่น ส่วนฉันนอนในห้องนอน บนเตียงนอนที่สั่งทำใหญ่พิเศษ ฉันมองเพดานที่แกะสลักลายฉลุวิคตอเรียนงดงามแล้วคิดว่า ตัวฉันเองก็เคยผ่านการทะลุมิติมายังโลกในการ์ตูนแล้ว ทำไมจะผ่านชีวิตแต่งงานกับคาบุรากิไม่ได้
ฉันหลับตาลง นึกถึงใบหน้าของใครคนหนึ่งที่มักจะมีรอยยิ้มเสมอ แต่คน ๆ นั้นก็แต่งงานไปแล้ว
ตัวฉันเอง...ก็ควรจะตัดใจเช่นกัน
จบ
ขอบคุณสำหรับฟิคคค
อ่านตอนจบแล้วอยากเข้าไปกอดท่านเรย์กะเลย ฮือ บากะรากิฝากดูแลลูกเมียของเจ้าให้ดี แทนไก่อ่อนเพื่อนเจ้าด้วยนะ
อืม........ จะว่าไป บ้านเอ็นโจเขาก็หาว่าที่คู่หมั้นให้ลูกชายแล้ว บ้านคาบุรากิก็เล็ง ๆ หญิงที่เหมาะสม (ท่านเรย์กะ) ให้ แล้วบ้านคิโชวอินนี่ ไม่เคยพูดถึงลูกสาวบ้านอื่นกับท่านพี่เลยนะ พูดแต่ลูกชายบ้านอื่นกับลูกสาว ซึ่งก็แปลกนะ คืออย่างน้อยน่าจะมองหาสะใภ้ก่อนลูกเขยไม่ใช่เหรอ
ท่านพ่อท่านแม่อาจจะทำใจเรื่องท่านพี่แล้วก็ได้มั้ง เลยไม่เซ้าซี้
กูโม่งฟิค 584-585 นะ คือกูกะจะแต่งต่อ แต่ใครก็ได้โยน Prompt คำสั้น ๆ ที่ขึ้นต้นด้วยตัว B มาให้กูที ขอ 1 คำ ตามคนแรกที่แปะ
B - Begging You
"ท่านคาบุรากิ ได้โปรดเถอะค่ะ" ฉันส่งสายตาแบบที่มักจะใช้ออดอ้อนท่านพี่ไปหาคาบุรากิ แม้รู้ว่าจะไม่ได้ผล แต่อย่างน้อยก็ขอลองซักนิด
"คิโชวอิน ไหนเมื่อสามวันก่อนเธอบอกว่ายังไง" คาบุรากิติงเสียงเข้ม ส่งสายตาเย็นชามาให้ฉัน
สมัยมัธยม คาบุรากิเคยเป็นโค้ชลดน้ำหนักให้กับฉัน ซึ่งก็ได้ผลค่อนข้าง...ไม่เลวเท่าไหร่ เนื่องจากแม้ว่าฉันจะออกกำลังกาย แต่ก็ห้ามใจไปกับของกินอันแสนอร่อยไม่ได้ เวลาคาบุรากิสั่งให้ถ่ายรูปอาหารที่กินไปเพื่อคำนวนแคลอรี่ที่ได้รับต่อวัน แน่นอนว่าฉันถ่ายไปแต่ของที่แคลอรี่ต่ำ ๆ ทั้งนั้น ส่วนพุดดิ้ง ข้าวปั้น แครกเกอร์ข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เจลลี่น้ำผลไม้น่ะเหรอ ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน
"แต่ท่านคาบุรากิคะ ฉันได้กินแต่ข้าวกล้องกับเนื้อปลาแล้วก็ผักสลัดไม่ใส่น้ำสลัดมาสามวันแล้วนะคะ"
เนื่องจากโดนคาบุรากิด่าตอนที่คลายคอร์เซ็ตของฉันว่าเป็นหมูชาชู ดังนั้นฉันเลยบอกเขาว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้จะไดเอ็ทเต็มที่ คาบุรากิก็เลยอาสาเป็นโค้ชให้ฉัน
แน่นอนว่าฉันอยากจะปฏิเสธข้อเสนอนั่น แต่พอโดนกดดันหนัก ๆ เข้า ก็ต้องรับอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ เพราะตอนสมัยมัธยม ฉันไม่ค่อยได้เจอกับคาบุรากิบ่อยนัก ก็เลยแอบหาของกินเสริมระหว่างมื้อได้ แต่ตอนนี้พวกเราติดแหง่กอยู่ในช่วงฮันนีมูน ดังนั้นคาบุรากิที่เป็นสโตรกเกอร์โดยสันดานจึงตามติดฉันทุกฝีก้าว เริ่มต้นจากการให้คุณแม่บ้านเก็บเค้กและไวน์ทั้งหมดออกจากห้อง เหลือเพียงชากับน้ำเปล่าเท่านั้น อาหารแต่ละมื้อก็แสนจะคลีน ส่วนมากเป็นข้าวกล้องก็ปริมาณน้อยนิดกินไม่อิ่มท้อง เนื้อปลาก็เป็นแบบนึ่งไม่ปรุงรส สลัดก็มีแต่ผักใบ แถมซุปยังเป็นซุปใสแบบโซเดียมต่ำอีก
เท่านั้นยังไม่พอ แทนที่ฉันจะได้ไปสปานวดตัว คาบุรากิกลับลากฉันไปฝึกหนักในห้องออกกำลังกายส่วนตัวที่อยู่ในห้องสวีท ตกเย็นฉันถึงกับต้องเกาะแขนคาบุรากิเดินตอนที่ลงไปทานอาหารเย็นที่ภัตตราคารด้านล่าง มาดามคาบุรากิถึงกับเข้าใจผิดไปไกล มากระซิบบอกฉันว่าจะให้สาวใช้เตรียมยาบำรุงกำลังไปให้ที่ห้อง และดุคาบุรากิว่าอย่าหักโหมเกินไป
ฉันเกือบสำลักซุปคอนโซเม่เมื่อคาบุรากิตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า
'วันนี้ยังแค่วอร์มอัพครับท่านแม่ พรุ่งนี้จะเริ่มฝึกจริงจัง ฝึกบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินเอง ท่านแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ'
มาดามคาบุรากิถึงกับหัวเราะโฮะ ๆๆ ยาว ๆ ใช้พัดตีแขนคาบุรากิ แล้วบอกว่าให้อ่อนโยนกับภรรยาของตัวเองหน่อย ส่วนฉันก้มมองซุปไม่ได้สบตากับใคร และทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
"วันชีทเดย์ของเธอมีแค่สัปดาห์ละวันเท่านั้น ฝึกมาได้แค่สามวันเอง เหยาะแหยะเกินไปหน่อยแล้วนะ คิโชวอิน ถึงได้อ้วนตัวเป็นมัดแบบนี้ยังไงล่ะ! ยัยสัตว์กีบคู่เอ๊ย!"
คำด่าของคาบุรากิเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางใจ สั่นสะเทือนไปทั่วร่างซะจนความอยากของฉันหายไปจนหมดเกลี้ยง คาบุรากิผลักฉันเข้าไปในห้องนอน แล้วบอกให้ฉันเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกาย เพื่อที่จะมาฝึกกล้ามเนื้อต่อ
หลังจากจบช่วงฮันนีมูน 7 วัน ฉันก็น้ำหนักลดลง 2 กิโล ทุกคนต่างกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ว่าฉันสวยขึ้น ท่านแม่เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามฉันว่าเป็นยังไงบ้าง พอฉันเผลอตอบความจริงออกไปว่า "เหนื่อยค่ะ" ท่านแม่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่วนฉันไม่มีความรู้สึกอยากจะแก้ความเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าบนโต๊ะมีขนมมาเดอลีนที่ทานูกิซื้อมาให้ ซึ่งฉันต้องรีบสวาปามมันอย่างรวดเร็วก่อนที่คาบุรากิจะมารับ เพราะแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันชีทเดย์ แต่มาเดอลีนกล่องใหญ่ขนาดสามสิบหกชิ้นก็ถือว่าเป็นโคตรชีทของความชีท ดังนั้นจะให้คาบุรากิรู้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาต้องจับฉันให้วิ่งลู่จนตายแน่นอน
จบ
(หมายเหตุ: มาเดอลีนแคลอรี่ชิ้นละ 115 กิโลแคลอรี่)
>>595 กูว่ามีตลอด หนุ่มหล่อไฮโซอย่างท่านพี่มีหรือจะว่างเว้นจากผู้หญิง แต่เรย์กะไม่ได้เล่าออกมาเท่านั้นล่ะ แบบตอนเซริกะมาเที่ยวบ้านก็ไม่เคยบอกนะ แต่พอท่านแม่พูดก็...เอ้า ก็มีเพื่อนคนอื่นมาเที่ยวบ้านนี่นา ทีแรกนึกว่าไม่เคยมีเพื่อนนอกจากซากุระจังมาหาที่บ้านซะอีก
ทำไมขำยาวๆ โว้ย พวกนายจริงจังกันเกินไปแล้ว 55555555
โม่งฟิคคนขยันนน
เปิดตอนแรกอย่างดราม่า ทำไมตอนที่สองมันตลกแบบนี้ 55555555
ปล. กะจะแต่งถึง z เลยมั้ย จะได้ขุดๆคำศัพท์เตรียมไว้---
โม่งฟิคนี่เข้าทรงท่านฮิโยโกะมาเหรอ ถ้าเกิดเรื่องมันจบที่2คนนี้แต่งงานกันจริงคนจะไม่พ้นแบบนี้อ่ะ555555
จะมีโมเมนต์ที่เรียกชื่อจริงกันบ้างไหมเนี่ยคู่นี้
>>615 ยากนะมึง ตอนนี้กูว่าอยู่ในข่ายเพื่อนสนิทยังเรียกคิโชวอิน-ท่านคาบุรากิอยู่เลย
ท่านเรย์กะเหมือนอยู่ในกรอบอะไรหลายๆ อย่าง ทัศนคติต่อเพศตรงข้าม ธรรมเนียมคุณหนู มารยาท ความสนิทสนม ดูเป็นคนที่แผ่ออร่าคุณหนูผู้ไว้ตัวอยู่ในจารีตด้วย ตอนลองเรียกวาคาบะจังวาคาบะยังตกใจเลย ตอนซากุระจังเนี่ยก็ต้องใช้ความกล้าประมาณนึงเช่นกันถึงฝ่ากำแพงคำเรียกได้ คือต้องจุดประเด็นขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราวเลยอ่ะ ไอ้การจะเปลี่ยนคำเรียกเนียนๆ อย่างเป็นธรรมชาติเนี่ยเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นท่านพี่ท่านอิมาริที่เรียกชื่อมาแต่แรกอ่ะไม่อะไร แต่คนที่เป็นฝ่ายเปลี่ยนคำเรียกจากที่เคยก่อนนี่ยังไม่เห็นมีใครกล้าทำ (เคสซากุระกับวาคาบะท่านเรย์กะเริ่มเองทั้งคู่)
แหม มิจฉาชีพผมเองๆ ตรงนั้นที่ว่ามีสกิลหลอกลวงสูงส่งยังไม่เห็นกล้าลองเลย ทั้งๆที่ลองวิชากับวาคาบะมาแล้ว ท่านเรย์กะตั้งกำแพงสูงใช่มั้ยล่ะ กับรุ่นเดียวกันคราวเพื่อนคิตาซาวะยังแตกตื่นแทบแย่
>>617 แต่นางก็เปลี่ยนจากเรียกคุณโนโนเสะมาเป็นมาโฮะนะ ตอนม.4 ยังเรียกนามสกุลอยู่เลย แสดงว่ากับเพื่อนผู้หญิงที่คุยด้วยบ่อยนางจะเรียกชื่อเขาหมด แต่เพื่อนผู้ชายนางจะมีระยะห่างประมาณหนึ่ง ต่อให้สนิทแค่ไหนก็ไม่เรียกชื่อ วางตัวให้ดูไม่สนิทสนมเกินไป เป็นมารยาทสไตล์คุณหนูมั้ง
C - Cancel
ตอนที่ฉันยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของบรรดาคุณหนูและมาดามในงานเปิดตัวโรงแรมสาขาใหม่อย่างเป็นทางการแล้วเห็นคู่สามีภรรยาเอ็นโจเดินควงแขนกันเข้างาน แว่บหนึ่งฉันคิดว่าถ้าตัวเองสามารถแคนเซิ่ลการบัตรเชิญเข้าร่วมงานเหมือนสมัยก่อนได้ก็คงดี
หากแต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่คุณหนูบ้านคิโชวอินแล้ว แต่เป็นมาดามน้อยของตระกูลคาบุรากิ
ในฐานะภรรยาของคาบุรากิ ฉันจำเป็นต้องช่วยงานของเขาเหมือนกับที่มาดามคาบุรากิช่วยงานท่านพ่อของคาบุรากิ การปรากฏตัวของฉันในงานเปิดตัวโรงแรมเป็นไฮไลท์สำคัญของงาน ยิ่งเป็นงานเปิดตัวครั้งแรกในฐานะมาดามคาบุรากิแล้ว ยิ่งสำคัญเข้าไปใหญ่
ฉันที่เป็นเจ้าภาพต้องเตรียมงานทันทีหลังจากที่กลับมาจากทริปฮันนีมูน ตั้งแต่ตรวจดูความพร้อมของสถานที่ รายชื่อแขกและสื่อมวลชน ไปจนถึงเลือกเมนูอาหาร ขนม และเครื่องดื่มด้วยตัวเอง
งานนี้ฉันทุ่มเทมาก เพราะนอกจากจะเป็นหน้าตาของบ้านคาบุรากิแล้ว ยังเป็นหน้าตาของบ้านคิโชวอินอีกต่างหาก โดยเฉพาะเรื่องอาหาร งานนี้ฉันถึงขนาดขอตัวเชฟฝีมือดีที่สุดของบ้านคิโชวอินให้มาช่วยงานและฝึกสอนเชฟที่นี่ล่วงหน้าถึงหนึ่งเดือนเต็ม ที่สำคัญคือทีมขนมหวานในงานใช้ปาร์ติซิเย่มีประสบการณ์ถึงสามสิบคน แต่ละคนทำขนมหวานที่ตัวเองถนัดเท่านั้นเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย ส่วนทีมเครื่องดื่มฉันให้พวกเขาคิดค้นเครื่องดื่มใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะให้กับแขกทุกคนที่มางาน โชคดีที่ผู้จัดการโรงแรมของคาบุรากิเป็นผู้จัดการที่มีประสบการณ์สูงมาก เขามีโปรไฟล์ ประวัติการสั่งอาหารและเครื่องดื่มของแขกทุกคนที่มางาน พวกเราจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเครื่องดื่มที่ผสมขึ้นมาให้กับแขกนั้นจะเป็นเครื่องดื่มที่อย่างน้อยแขกคนนั้นก็ไม่ได้เกลียดถึงขนาดดื่มไม่ได้
เพราะว่าฉันต้องชิมอาหารและเครื่องดื่มจำนวนมาก การออกกำลังกายก็สาหัสขึ้นตามจำนวนแคลอรี่ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย คาบุรากิไม่เพียงแต่โค้ชฉันข้าง ๆ อีกแล้ว เขาออกกำลังกายไปพร้อม ๆ กับฉัน แต่ตัวเองออกหนักกว่ามาก ถ้าฉันวิ่งด้วยความเร็ว 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาจะวิ่งด้วยความเร็ว 12 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าฉันต้องยกเวทหนัก 2 กิโลกรัม เขาก็จะยกเวทหนัก 7 กิโลกรัมไปด้วย เพราะว่าเขาไม่ได้ยืนนิ่ง ๆ คอยด่าฉันอย่างเดียว ฉันก็เลยรู้สึกว่าการออกกำลังกายไม่ได้แย่อย่างที่คิด
แม้น้ำหนักของฉันจะลดไปได้ไม่มากนัก แต่สัดส่วนกลับลดไปได้ค่อนข้างมาก อย่างพุงกลม ๆ แบบทานูกิก็ยุบลงไปจนไม่ต้องใส่กางเกงสเตย์เวลายัดตัวเองลงไปในชุดที่ท่านแม่สั่งตัดให้ แขนก็เฟิร์มขึ้นจนใส่ชุดราตรีได้โดยไม่ต้องหาผ้าคลุมไหล่มาปิด แม้ว่าจะไม่ผอมอย่างที่ฉันตั้งใจไว้ แต่ในระยะเวลาหนึ่งเดือน ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
ในวันนี้ฉันอยู่ในชุดของเปาโลเซบาสเตียน เป็นชุดในแบรนด์ที่ท่านแม่โปรดปรานเป็นพิเศษ แม้ว่าจะเป็นชุดในไลน์ชุดแต่งงานแต่สำหรับเจ้าสาวใหม่อายุน้อยอย่างฉันก็สามารถใส่ได้อย่างไม่ขัดเขินอะไร พวกคุณหนูและมาดามทั้งหลายต่างห้อมล้อมถามฉันเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังแต่งงาน ฉันได้แต่ตอบอย่างกลาง ๆ ว่าบ้านคาบุรากิดูแลฉันอย่างดี อันที่จริงพวกเขาก็ดูแลฉันดีจริง ๆ เพราะมาดามคาบุรากิและท่านพ่อของคาบุรากิปฏิบัติต่อฉันเหมือนลูกสาวแท้ ๆ
สายตาของคุณหนูบ้านหนึ่งที่เบนออกไปจากวงสนทนาดึงดูดให้ทุกคนหันไปมองด้านประตูทางเข้า บนพื้นพรมสีน้ำเงินขลิบทองหรูหรา คู่สามีภรรยาตระกูลเอ็นโจเดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างามราวกับกำลังถ่ายทำภาพยนตร์อยู่
สีผมของเอ็นโจอ่อนลง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสีน้ำผึ้งเหมือนอย่างในการ์ตูนแต่ก็ทำให้ฉันนึกถึงยามที่พวกเรานั่งดื่มชาอยู่ในห้องสโมสรกันตามลำพัง เอ็นโจในตอนนี้สูงขึ้น ดูหล่อเหลาสุภาพเหมือนเจ้าชายในฝันของสาว ๆ หลายคน ส่วนคุณยุยโกะที่อยู่เคียงข้างเขานั้นบอบบางราวกับวิญญาณภูติหิมะ ชุดสีขาวประดับคริสตัลเล็ก ๆ ตัดเย็บอย่างเรียบง่ายนั้นทำให้เธอเหมือนหญิงสาวที่สูงส่งและมีสไตล์ เหมาะสมกับการเป็นมาดามของบ้านตระกูลเอ็นโจ
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากงานแต่งงานของฉันที่ได้พบกับสามีภรรยาคู่นี้ พวกเขาแต่งงานกันก่อนหน้าฉันกับคาบุรากิแค่สามเดือน ถือว่าเป็นเหตุการณ์เขย่าวงการสังคมเช่นกันแต่ไม่เท่างานแต่งระหว่างบ้านคาบุรากิกับบ้านคิโชวอิน
แม้ว่าฉันจะไม่ได้ใส่คอร์เซ็ตที่รัดเหมือนเครื่องทรมาน แต่ในอกรู้สึกแน่นเหมือนจะหายใจไม่ออก บรรดาคุณหนูและมาดามชื่นชมความสง่างามของเอ็นโจและความสวยของคุณยุยโกะ บอกว่าทั้งสองคนเหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก
แน่นอนว่าในฐานะเจ้าภาพที่ดี ฉันไม่สามารถวิ่งไปซ่อนตัวในไลน์อาหารได้เหมือนสมัยตอนที่เป็นคุณหนูคิโชวอินแขกในงานสังคมของบ้านคาบุรากิได้ ฉันจึงขอตัวจากบรรดาผู้ที่ห้อมล้อมแล้วเข้าไปต้อนรับทั้งคู่
"ขอบพระคุณที่มางานเปิดตัวของโรงแรมนะคะ ท่านเอ็นโจ มาดามเอ็นโจ" ฉันทักทายด้วยรอยยิ้มที่ก๊อปปี้มาจากมาดามคาบุรากิ "ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือน มาดามเอ็นโจดูสดใสขึ้นมาก คงเป็นเพราะชีวิตหลังแต่งงานที่แสนมีความสุขสินะคะ"
คำว่าสดใสกับคุณยุยโกะดูเป็นคำบรรยายที่ออกจะเกินจริงไปหน่อย แต่เธอก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจริง ๆ
"มาดามคาบุรากิเองก็เช่นกันค่ะ สวยขึ้นกว่าที่พบหน้าในงานแต่งงานซะอีก เป็นเพราะช่วงเวลาหวานชื่นหลังจากกลับจากฮันนีมูนสินะคะ อิตาลีเป็นยังไงบ้างคะ?"
ฉันกับคาบุรากิไปฮันนีมูนกันที่อิตาลี เพราะนอกจากจะไปฮันนีมูนแล้ว พวกเรายังต้องไปงานชิมไวน์ตัวใหม่ที่ออกมาในปีนั้นอีก ถ้าเป็นไวน์ชื่อดังก็จะทำสัญญาขอซื้อเข้าโรงแรม แต่ถ้าเป็นไวน์หน้าใหม่ที่มีรสชาติดี ก็อาจจะติดต่อขอให้ผู้ผลิตช่วยผลิตให้เฉพาะกับโรงแรมในเครือคาบุรากิ หากเป็นเจ้าสาวคนอื่นอาจจะรู้สึกว่าช่างจืดชืดยิ่งนักที่แม้แต่ช่วงเวลาฮันนีมูนก็ยังต้องทำงาน แต่สำหรับฉันแล้วถือเป็นการหลบหนีจากโปรแกรมหฤโหดของคาบุรากิได้ดีมาก เพราะในงานพวกเราจะได้ชิมไวน์ ชีส และผลไม้แห้งเป็นจำนวนมาก ถึงจะต้องกลับมาออกกำลังกายเพิ่ม แต่ก็คุ้มแสนคุ้ม
"สถาปัตยกรรมที่นั่นยังคงสวยน่าประทับใจมากค่ะ โรงแรมในเครือคาบุรากิที่ไปพักก็มีวิธีนำเสนออาหารพื้นถิ่นที่น่าสนใจมาก" ฉันบรรยาย แน่นอนว่าบรรดาอาหารพื้นถิ่นเหล่านั้นฉันไม่ได้แตะเลยแม้แต่น้อย เพราะคาบุรากิสั่งให้โรงแรมเก็บอาหารน่าอร่อยออกไปหมด แล้วให้ฉันกินแต่อาหารลดน้ำหนักแทน "ปีนี้ผลผลิตองุ่นดีเลยมีนักผลิตไวน์หน้าใหม่ที่น่าสนใจอยู่หลายรายเลยทีเดียว อายุน้อย ๆ กันทั้งนั้นเลย ถ้าของเข้ามาแล้วฉันจะส่งให้มาดามลองชิมดูนะคะ"
"ขอบคุณมาดามคาบุรากิมากเลยค่ะ ฉันเองไม่ค่อยได้ดื่มไวน์เท่าไหร่ คงต้องเป็นชูแล้วล่ะค่ะ" คุณยุยโกะเอียงหัวซบไหล่ของเอ็นโจแล้วยิ้มน้อย ๆ "ตอนที่ไปฮันนีมูนกันที่ตาฮิติ พวกเราดื่มไวน์กันหลายขวดเลยทีเดียว แต่ฉันคออ่อนมาก เปิดไวน์ทีไรชูต้องรับไปดื่มเกินครึ่งทุกครั้งเลย น่าอายจริง ๆ"
"คุณยุยโกะชอบค็อกเทลมากกว่านี่ครับ แต่ก็ยังอุตส่าห์ดื่มเป็นเพื่อนผม" เอ็นโจส่งรอยยิ้มสุภาพไปให้กับภรรยาตัวเอง ฉันมองพวกเขาแล้วรู้สึกมวนท้อง เลยเชื้อเชิญพวกเขาให้ลองเครื่องดื่มเวลคัมดริงค์ที่ทำมาให้พวกเขาโดยเฉพาะ ก่อนจะขอตัวไปต้อนรับแขกคู่อื่นที่ทยอยมา
ในค่ำคืนนั้นฉันได้รับคำชมล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรงแรมที่หรูหราสะดวกสบาย การต้อนรับด้วยเวลคัมดริงค์ซึ่งทำขึ้นเพื่อแขกแต่ละคนที่แสนวิเศษ อาหารและขนมรสเลิศ ของใช้ในงานทุกชิ้นที่เป็นของแอนทีครสนิยมผู้ดีเก่า รวมถึงชุดโอต์กูตูร์ในซีซั่นล่าสุดของเปาโลเซบาสเตียนที่ดูเหมือนตัดมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ
ถึงแม้ใคร ๆ จะบอกว่าฉันเป็นนักจัดงานปาร์ตี้ที่ล้ำเลิศไม่แพ้มาดามคาบุรากิ เป็นมาดามน้อยที่ทั้งสวยและเก่งกาจ ดูเหมาะสมกับคาบุรากิยิ่งนัก แต่สำหรับฉันที่ไม่สามารถปฏิเสธการเข้าร่วมงานปาร์ตี้นี้ได้เพราะตัวเองเป็นเจ้าภาพ กลับอยากให้งานนี้จบลงและฉันจะได้หนีกลับขึ้นไปบนห้อง และแกล้งทำเป็นว่าฉันไม่ได้เป็นมาดามคาบุรากิที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รัก และต้องทนมองคนที่ฉันรักมีความสุขกับผู้หญิงอื่นโดยไม่สามารถปั้นสีหน้าอย่างอื่นนอกจากรอยยิ้มรับแขกได้เลย
"เรย์กะ"
ฉันสะดุ้งเมื่อคาบุรากิเรียกฉันด้วยชื่อจริง แม้ว่าตอนอยู่กันตามลำพัง เขาจะเรียกฉันว่าคิโชวอิน แต่ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่น พวกเรากลับไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะฉันคือคาบุรากิ เรย์กะ ภรรยาของเขาที่ไม่ใช่ คิโชวอิน เรย์กะ แล้ว
ฉันที่ตื่นจากภวังค์หันไปยิ้มให้กับเขา เนื่องจากรอบข้างของพวกเรามีคนอื่น ๆ ยืนอยู่ จึงต้องเล่นละครให้สมจริง "ท่านคาบุรากิ" ฉันยังคงเรียกชื่อเขาด้วยคำเรียกเดิม เพราะไม่ได้ผิดธรรมเนียมมากนัก พอมองไปเบื้องหน้าก็พบกับแกรนด์เปียโน เลยพูดขึ้นมาลอย ๆ เพื่อกลบเกลื่อน "กำลังคิดถึงตอนที่ท่านคาบุรากิเล่นเปียโนในห้องสโมสรฉันฟังเลยค่ะ ในตอนนั้น Fantasie Impromptu ของโชแปงไพเราะมากจริง ๆ"
แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะต้องเล่นอย่างเสียไม่ได้เพราะเอ็นโจขอให้เล่นเปียโนตอบแทนฉัน แต่พอพูดแบบนั้นความสัมพันธ์ของพวกเราก็ดูโรแมนติกไม่น้อย ดูได้จากการที่คุณหนูรอบข้างฉันถอนหายใจด้วยความอิจฉาและปลาบปลื้ม
คาบุรากินิ่งไปซักพัก ก่อนจะบอกว่า "อยากจะฟังเพลงอะไรล่ะ"
พอได้ยินอย่างนั้นฉันก็อึ้งไปเล็กน้อย อันที่จริงคาบุรากิเองก็เป็นผู้ชายที่แสนจะร้อนแรงและโรแมนติกจนเข้าขั้นน่าสยอง ไม่แปลกเลยซักนิดหากว่าเขาจะดีดเปียโนให้ 'ภรรยาที่รัก' ต่อหน้าแขกที่มางาน ฉันเองเห็นคาบุรากิพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาภาพพจน์ของพวกเราในสังคม ก็เลยเล่นตามน้ำไป
"ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเล่น Clair de Lune ของเดอบูว์ซี ให้หน่อยนะคะ" ฉันตอบกลับไป อันที่จริงไม่ได้อยากจะฟังเพลงโรแมนติกอะไรขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ถ้าให้เล่น Hungarian rhapsody หรือ Turkish march ก็ออกจะไม่เข้ากับบรรยากาศไปซักหน่อย
คาบุรากิก็สมกับเป็นคาบุรากิ แม้ว่าฉันจะไม่เคยได้ยินเขาเล่นเพลงของเดอบูว์ซี แต่เขาก็ตอบตกลงและเดินไปหาบริกร ซักพักเพลงที่เปิดคลอในงานก็เงียบลง ทุกคนต่างมองคาบุรากิที่เดินเข้าไปยังแกรนด์เปียโนที่อยู่ตรงกลางงานเป็นตาเดียว
Clair de Lune ที่แสนอ่อนหวานของนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสถูกคาบุรากิใช้นิ้วเรียวยาวของเขาพร่างพรมออกมาราวกับใช้เวทย์มนต์ ช่วงเวลาที่น่าหลงใหลจบลงอย่างรวดเร็ว เสียงปรบมือดังสนั่นเมื่อเขาบรรเลงเพลงจบแล้วลุกขึ้น
ฉันเดินเข้าไปหาเขาแล้วทำราวกับเป็นภรรยาที่ซาบซึ้งในความรักที่สามีแสดงออกต่อหน้าสาธารณชน
แม้ว่างานในวันนี้ฉันจะไม่สามารถแคนเซิ่ลได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ และคาบุรากิเองก็ทำทุกอย่างได้อย่างไม่ผิดพลาดเช่นกัน
แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้รักกัน แต่ฉันกับคาบุรากิก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุด
แค่นั้น...ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่งั้นหรือ?
แม้ว่าหัวใจของฉันจะเจ็บปวดเมื่อเห็นสามีภรรยาเอ็นโจประคองกันออกจากงาน กลับไปยังเรือนหออันแสนสุขของพวกเขาก็ตาม
จบ
>>622 ตกลงจะเป็นฟิคตลกหรือดราม่าเนี่ย กูปรับตัวไม่ถูก 555555555555555555
อะไรคือการไปฮันนิมูนแต่ไม่ได้กินอาหารท้องถิ่น ต้องกินอาหารสำหรับไดเอท โถ...... ตอนท้ายนี่ปวดหัวใจจัง เห็นคนที่รักไปกับคนอื่นแต่ทำอะไรไม่ได้ น่าจะเจ็บทั้งคู่นั่นล่ะน้า //ซับน้ำตาให้เรย์ทันและชูสุมอย
ตัวอักษรต่อไปนี่ตัว D ใช่มะ เอาเป็น Dream ได้มะ ถ้าไม่ใช่ก็แล้วแต่โม่งฟิคเลยจ้า
มาไม่ทัน ตัว D กะจะเสนอ Draling สักหน่อย 555
D - Dream
ในความฝัน ฉันสารภาพรักกับเอ็นโจในเทศกาลชมดอกไม้ไฟครั้งที่สองที่พวกเราไปดูด้วยกัน
หลังจากงานเทศกาลชมดอกไม้ไฟครั้งแรก ฉันก็เริ่มรู้สึกดีกับเอ็นโจ
ผู้ชายที่มักจะมีรอยยิ้มบนสีหน้าอ่อนโยนเหมือนอย่างเจ้าชาย แต่กลับมีมุมที่ดำมืดจนบางทีก็อยากจะถอยห่าง ผู้ชายที่คอยช่วยเหลือฉันถ้าหากคนอื่นรังแก แต่ตัวเองกลับชอบรังแกฉัน ผู้ชายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มองมาจนฉันรู้สึกอึดอัด แต่จากความอึดอัดนั่นก็กลายเป็นความขัดเขิน กลัวว่าเขาจะรู้ว่าฉันหัวใจเต้นแรงกับสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่เขาเก็บซ่อนไว้และเผยออกมาต่อหน้าฉันเท่านั้น ผู้ชายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็อ่านใจของฉันได้เสมอ เพราะเขาเอาแต่เฝ้ามองฉัน
เฝ้ามองแต่ฉันเพียงคนเดียว
ในความฝัน คาบุรากิกับวาคาบะลงเอยเป็นแฟนกัน ฉันกับเอ็นโจที่ถูกคาบุรากิทิ้งหลังจากพวกเราไปไหนมาไหนด้วยกันมาตลอดเริ่มออกไปเที่ยวด้วยกัน ในตอนแรก ๆ ก็มียูกิโนะคุงไปด้วย ทั้งไปดูดอกไม้ไฟ ไปภัตตราคารที่ลงในนิตยสาร ในตอนหลัง ๆ มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น เอ็นโจขอให้ฉันช่วยพาทัวร์ซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉันเริ่มเปิดเผยให้เขารู้ว่าคิโชวอิน เรย์กะ นั้นมีชีวิตอีกด้านที่ไม่ใช่คุณหนูแสนเริ่ดหรู แต่มีความเป็นเด็กสาวบ้าน ๆ ด้วยเช่นกัน
ในความฝัน เอ็นโจกระซิบบอกกับฉันว่าเขาเฝ้ามองแต่ฉันเท่านั้น เขามองฉันตั้งแต่สมัยประถม คิโชวอิน เรย์กะ ที่เป็นเหมือนดอกโบตั๋น คิโชวอิน เรย์กะ ที่เป็นเหมือนกระต่ายน้อยสีขาว คิโชวอิน เรย์กะ ที่เป็นเด็กสาวหน้าแดงกับคำสารภาพรักครั้งแรกจากผู้ชายที่เธอชอบ
ผู้ชายคนนั้นคือ เอ็นโจ ชูสุกะ
คิโชวอิน เรย์กะ ที่ร้องไห้ตอนที่ผู้ชายในฝันของเธอคุกเข่าขอแต่งงาน
หากแต่นั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน
เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
จบ
Ps. ในพาร์ท Dream เรย์กะฝันว่าเอ็นโจสารภาพรักกับตัวเอง แล้วให้เวลาเรย์กะไปคิด ตอนที่ไปเที่ยวเทศกาลชมดอกไม้ไฟครั้งที่สอง เรย์กะก็สารภาพกับเอ็นโจว่าตัวเองก็ชอบอีกฝ่ายเช่นกัน เผื่อใครงง ตกลงใครสารภาพใคร
มีฟิคให้อ่านรัวๆ เลย ชีวิตกูไม่เงียบเหงาเปล่าดายแล้ว ขอบคุณโม่งฟิคทุกคนและโม่งขามุงทุกท่าน ฮือๆ
โฮฮ กูมาไม่ทัน กะจะเสนอ dilemma...
ฟิคนี้อ่านแล้วจี๊ดมากๆ ; ;) *บีบๆนวดๆโม่งฟิค*
กีส-- กะจะเสนอ Do you love me....
กูก็กำลังจะ daddy .....
E - Effect
หลังจากโรงแรมในเครือคาบุรากิเริ่มขยายไปยังทวีปยุโรป ทำให้คาบุรากิกับท่านพ่อของคาบุรากิต้องบินข้ามประเทศกันเป็นว่าเล่น
อันที่จริงฉันต้องไปกับคาบุรากิด้วย แต่เนื่องจากท่านพ่อขอให้ฉันไปช่วยงานที่บริษัทเพราะว่าเราจะต้องต้อนรับลูกค้าจากต่างประเทศ ดังนั้นการไปตรวจงานสาขาครั้งนั้นฉันเลยไปไม่ได้โดยปริยาย
ตั้งแต่แต่งงานกับคาบุรากิมาเกือบสี่เดือน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันสามารถสลัดคาบุรากิออกได้ ดังนั้นหลังจากช่วยงานท่านพ่อเสร็จ ฉันที่เป็นอิสระจากการฝึกแบบสปาร์ตัน จึงตรงบ้านวาคาบะจังทันที
หลังจากที่วาคาบะจังเรียนจบ เธอก็เปิดสำนักงานทนายความเล็ก ๆ ในบางครั้งก็ต้องนอนค้างที่นั่น หรือที่อื่น ๆ ตามแต่จะต้องไปว่าความ ทว่าพอฉันบ่นคิดถึง วาคาบะจังก็ชวนไปบ้านซึ่งเป็นร้านเค้กทันที
ไม่ทันจะก้าวเข้าไปในบ้าน ก็ได้ยินเสียงทักของคันตะคุง ในเวลานี้คันตะคุงไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว เขาโตขึ้นมาเป็นเชฟหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รับช่วงกิจการต่อจากคุณพ่อคุณแม่ ร้านเค้กของบ้านทาคามิจิจึงโด่งดังขึ้นมาก เห็นวาคาบะจังเล่าว่ามีเด็กผู้หญิงมาสารภาพรักบ่อย ๆ แต่คันตะคุงกลับไม่สนใจพวกเธอเลยซักนิด ซ้ำยังบอกว่าพวกเธอน่ารำคาญ
ในกรณีของคาบุรากิซึ่งในช่วงแรกของชีวิตสนใจแต่คุณยูริเอะ หลังจากนั้นก็หลงรักวาคาบะจัง ฉันก็ยังพอเข้าใจได้บ้าง แต่ในกรณีคันตะคุงนี่ถือว่าอันตรายไม่น้อย ฉันเคยกระซิบถามวาคาบะจังว่าคันตะคุงหลงรักผู้ชายแต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนรึเปล่า ถึงวาคาบะจังจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ฉันก็ยังแอบสงสัยอยู่ดี
"โคโรเน่ ไม่เจอตั้งนาน ซูบเชียว"
พอคันตะคุงทัก ฉันก็พรั่งพรูความข้นแค้นในใจให้เขาฟังทันที ฉันได้กินแต่ผักสลัดกับเนื้อปลาและอกไก่ ซ้ำยังกินขนมชิ้นนิดเดียวได้แค่อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น ชีวิตของฉันช่างแห้งเหี่ยวแต่ไม่สามารถบ่นให้ใครฟังได้ เพราะไปบ่นให้ท่านแม่ฟัง ท่านแม่ก็จะบอกว่า 'ดีแล้วล่ะค่ะ ขืนไม่ควบคุมอาหาร คุณเรย์กะจะต้องน้ำหนักขึ้นจนใส่กระโปรงไม่สวยอีกแน่ ๆ'
ฉันที่เค้นน้ำตาออกมาอยู่หลายสายสุดท้ายก็ได้กินกราแตงมะเขือม่วงใส่เบคอนกับโฟร์ชีส มันฝรั่งอบกระเทียมใส่ไข่กับใบโหระพา แล้วก็ตามด้วยเค้กช๊อกโกแล็ตก้อนเท่าจานข้าว จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้กะจะกินเยอะขนาดนั้นหรอกนะ เพียงแต่คันตะคุงคะยั้นคะยอ ฉันก็เลยกินตามมารยาท อีกอย่างนี่ก็เป็นชีทเดย์ของฉันด้วย
ระหว่างที่คาบุรากิไม่อยู่ ฉันก็มาเยี่ยมบ้านของวาคาบะจังทุกวัน การได้มาเจอเพื่อนเก่านี่ดีจริง ๆ เลยน้า ไอเดียจากกับข้าวของคันตะคุงช่วยฉันไว้ได้มาก เพราะพอฉันขอสูตรจากคันตะคุงไปให้คุณเชฟเสิร์ฟให้แขกของท่านพ่อทาน บรรดาแขกทั้งหลายก็ถูกใจกันมาก ดังนั้นฉันเลยเอาของจำพวกซาลามี่หรือไส้กรอกจากในครัวที่คุณเชฟทำกลับไปฝากบ้านทาคามิจิทุกครั้งที่ไป
แม้คาบุรากิพยายามจะขัดขวางช่วงเวลาอันแสนหอมหวานของฉันด้วยการส่งอีเมล์มาบังคับให้ฉันถ่ายรูปอาหารที่กินส่งไปให้เขาดูทุกมื้อ แต่ฉันก็ทำวิธีเดิม โดยการถ่ายแต่รูปสลัดแล้วก็เนื้อปลาส่งไป แต่ไม่กล้าโกหกว่าตัวเองออกกำลังกายเพราะกลัวว่าคาบุรากิจะให้คนเฝ้าดูยิมเอาไว้ แล้วบอกเขาไปว่าช่วงนี้ฉันยุ่งมาก คาบุรากิก็เลยบอกว่าถ้าฉันไม่ออกกำลังกาย ก็ตัดชีทเดย์ออกไปซะ
แน่นอนว่าฉันบ่นไปแต่ก็ตอบตกลง ซึ่งในตอนนี้ฉันก็ไม่ได้มีชีทเดย์จริง ๆ นั่นแหล่ะ เพราะไม่ได้มีวันไดเอ็ทเลย
และผลกรรมจากการที่ฉันหละหลวมก็ปรากฏขึ้นสองอาทิตย์หลังจากนั้นในวันที่คาบุรากิกลับมา เขามีสีหน้าทะมึนทันทีที่เห็นฉัน
"ยัยหมูตอน เธอแอบกินขนมแล้วไม่ยอมถ่ายรูปส่งมาใช่ไหม" เขาพูดด้วยน้ำเสียงโมโห ฉันรีบปฏิเสธยกใหญ่ ดังนั้นคาบุรากิก็เลยลากฉันไปชั่งน้ำหนัก
เสียงกรี๊ดหลังจากที่ฉันเห็นว่าตัวเลขบนตาชั่งดีดขึ้นมา 5 กิโลกรัมภายในเวลา 2 สัปดาห์ ทำเอาสาวใช้ทั้งบ้านกรูมายังห้องออกกำลังกายเพราะนึกว่าฉันประสบอุบัติเหตุหรือไม่ก็มีโจรขึ้นบ้าน หลังจากที่ฉันจนมุมด้วยหลักฐาน คาบุรากิก็บอกกับฉันว่าเขาจะไม่มีวันให้ฉันอยู่บ้านคนเดียวอีกเด็ดขาด ถ้าฉันดูแลตัวเองไม่ได้แล้วเขาไม่ว่าง เขาก็จะหาคนเฝ้าเอาไว้
นับจากนั้นเป็นต้นมา ดีกรีความเป็นมนุษย์สโตรกเกอร์ของคาบุรากิก็เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ พอ ๆ กับความหนักหน่วงในตารางออกกำลังกายของฉัน ฉันได้แต่หลั่งน้ำตาในใจก้มรับผลกรรมจนกว่าน้ำหนักของตัวเองจะกลับลงไปเท่าเดิมอีกครั้ง และสาบานกับคาบุรากิว่าฉันจะไม่โกหกเขาอีกเป็นอันขาด
จบ
ฟิคนี่มันคือดราม่าลดน้ำหนักจริงๆใช่มั้ย 55555 ดราม่าตอน ลดน้ำหนักตอน
จะมีไปถึงตัว Z เลยมั้ยวะ 555555555555
คราวนี้กูก็ไม่ทันอีกแล้ว..
งั้นกูจอง G - Grieve
F - Fight
"เรย์กะ เธอเห็นข่าวนั่นรึยังน่ะ?"
ซากุระโกะโทรหาฉันในตอนเช้าวันอาทิตย์ ฉันยังไม่ตื่นด้วยซ้ำตอนที่รับโทรศัพท์ของเธอ เนื่องจากเมื่อคืนพนักงานของโรงแรมไปทำให้ภรรยานักการเมืองคนหนึ่งโกรธ ฉันเลยต้องตามไปขอโทษเธอแทนพนักงานคนนั้น พอเห็นหน้าฉัน คุณซาซาเอะจากที่โมโหจนแทบจะฟ้องร้องประจานลงหนังสือพิมพ์ก็อ่อนลงทันที เธอชวนฉันไปเลาจน์หรูและหยอกล้อกับโฮสต์หนุ่มหลายคน ฉันที่มีภูมิต้านทานเพราะท่านอิมาริเลยไม่ได้เคลิบเคลิ้มเลี้ยงดูเด็กหนุ่ม ๆ ไปด้วย แต่ก็เปิดแชมเปญราคาแพงให้เธอเลี้ยงเด็กไปหลายขวด กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบตีสาม
ฉันที่กำลังไม่หายเมาค้างเปิดลิงค์ที่ซากุระโกะส่งมาทางไลน์ พอกดเข้าไปก็เจอรูปคาบุรากิยืนคุยกับดาราสาวคนหนึ่งอย่างใกล้ชิด ท่าทางเลื้อยเป็นงูของดาราสาวหน้าตาจิ้มลิ้มกับสีหน้าอดทนใกล้จะเดือดเต็มที่ของคาบุรากิทำให้ฉันถอนหายใจเฮือก ความป๊อปปูล่าร์ของคาบุรากิสมัยมัธยมว่าหนักแล้ว ตอนนี้ยังยิ่งเป็นปัญหาหนักกว่าเก่า เพราะสมัยตอนที่อยู่ซุยรัน ทุกคนต่างจับจ้องการกระทำของเด็กคนอื่น ๆ จะมาโฉ่งฉ่างเหมือนซึรุฮานะหรือริรินะถือว่าน้อยมาก แต่พอคาบุรากิทำงานก็ต้องเจอกับคนหลากหลาย คราวนี้วงสาว ๆ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เด็กซุยรันเท่านั้น แต่รวมถึงผู้หญิงบนโลกใบนี้ที่เห็นว่าคาบุรากิคือถังข้าวสารหน้าตาน่ากระโดดใส่
ดาราสาวที่เป็นข่าวกับคาบุรากิคือดาราลูกครึ่งที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ เธอได้ชื่อว่าเป็นเด็กสาวหัวขบถที่เด็กญี่ปุ่นทุกคนอยากเป็นแต่ไม่กล้าทำ สินค้าด้านความงามในเครือธุรกิจของคาบุรากิตอนนี้ก็ได้เธอเป็นพรีเซนต์เตอร์อยู่ และขายดีติดอันดับในหมู่เด็กวัยรุ่น ดังนั้นคาบุรากิจึงอดทนกับเธอเป็นพิเศษ
"อา เรื่องปกติน่ะ" ฉันตอบซากุระโกะ ก่อนจะนอนต่อ
อาทิตย์ต่อมามีข่าวอื้อฉาวระหว่างคาบุรากิกับดาราสาวคนนี้อีกครั้ง คราวนี้เป็นวาคาบะจังส่งข้อความมาหาฉัน บอกฉันว่าถ้ามีเรื่องกลุ้มใจอะไรก็ปรึกษาได้
แน่นอนว่าฉันเองก็มีเรื่องกลุ้มใจไม่น้อย ไม่ใช่เรื่องคาบุรากิ แต่เป็นเรื่องผิวแตกลายที่จู่ ๆ โผล่ขึ้นมาที่พุงตรงข้างสะดือ ถึงจะเป็นแค่รอยเล็ก ๆ ขนาดความยาวแค่เซ็นต์เดียว แต่การที่ร่างกายของฉันมีรอยแตกลายหมายถึงว่าฉันเดินทางมาสู่ความอ้วนในอีกมิติหนึ่ง ถ้าคาบุรากิรู้เขาต้องประนามฉันจนไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ ๆ
ฉันทั้งทาครีมทั้งไปหาสถาบันความงามเพื่อให้เลเซอร์ลบรอยแผล ในตอนนี้แผลจางไปจิ๊ดนึงแล้ว แต่ก็ยังไม่หายไป ฉันกลุ้มใจซะจนรู้สึกเหมือนประสาทกิน
แน่นอนว่าเรื่องนี้ให้ตายยังไงก็บอกคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด
วาคาบะจังชวนฉันไปกินขนมที่บ้าน แต่ฉันปฏิเสธไปเพราะกลัวรอยแตกลายตรงพุงเพิ่มขึ้นอีก
สองวันต่อมาข่าวของคาบุรากิกับดาราสาวคนนั้นก็ยังไม่หยุด คราวนี้ท่านแม่ถึงกับแล่นมาหาฉันที่บ้าน
"คุณเรย์กะจะปล่อยอย่างนี้ไปไม่ได้นะคะ" ท่านแม่ทำหน้าเครียด ก่อนจะลากฉันไปเข้าคอร์สไดเอ็ทหลายคอร์สเพื่อที่จะได้ 'ผอมสวยพิชิตใจสามี' ลำพังคอร์สไดเอ็ทของคาบุรากิก็นรกบนดินอยู่แล้ว ฉันยังต้องเข้าคอร์สกับท่านแม่อีก
ดังนั้นฉันจึงปล่อยเรื่องนี้ไว้ไม่ได้อีก
G galaxy สู่ความเวิ้งว้าง —
สี่วันหลังจากที่ท่านแม่มาหาฉัน ฉันก็ให้ผู้ช่วยแคนเซิ่ลตารางงาน แล้วนั่งรถตรงไปยังกองถ่ายของดาราสาวคนนั้น
ฉันที่อยู่ในชุดสปริงคอลเลคชั่นของชาแนลก้าวลงจากโรลส์รอยซ์คันหรูที่จอดเทียบอยู่ตรงหน้าสถานีโทรทัศน์ พอเดินเข้าไปผู้อำนวยการก็ลงมาต้อนรับแล้วพาฉันไปยังกองถ่ายด้วยตัวเอง
ผู้กำกับถึงกับหน้าซีดมือสั่นเมื่อฉันเดินเข้าไปถึงกองถ่าย บรรดาสตาฟฟ์วิ่งวุ่นหาเก้าอี้มาให้ฉันนั่ง
"ฉันแค่มาดูการถ่ายทำโฆษณาตัวใหม่น่ะค่ะ ทำงานกันต่อเถอะ อย่าให้ฉันรบกวนเลย" ฉันพูดอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ พลางโบกพัดไปมาอย่างอ้อยอิ่ง ทุกคนมีสีหน้าระแวง ราวกับกลัวว่าขยับตัวผิดแม้แต่มิลเดียว ฉันจะพิโรธฟ้าผ่ากลางกอง
ผู้จัดการของดาราคนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามองฉัน เขาหันไปดุเด็กของตัวเองอยู่หลายคำ แต่ดาราสาวคนนั้นหันมามองฉันด้วยสีหน้าท้าทาย
ฉันมองดาราสาวลูกครึ่งถ่ายทำโฆษณาต่อแล้วก็ต้องยอมรับว่าเธอช่างสวยน่ารักผิดกับคนธรรมดา หน้าเรียว ตากลมโต หุ่นเพรียว แขนขายาว ใส่ชุดอะไรก็ขึ้นไปหมด
พอถึงตอนพักกอง ผู้กำกับก็เข้ามาก้มหัวมือกุมเป้าถามฉันว่ามีอะไรจะชี้แนะเขาไหม ฉันไม่ใช่ผู้กำกับเลยบอกเขาไปว่าฉันจะรอดูผลงานของเขา เขามีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมากที่ฉันไม่ดุใส่ แต่พอหันไปมองดาราสาวก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ผู้กำกับและผู้จัดการของดาราคนนั้นมองหน้ากันอยู่หลายนาที ก่อนที่คุณผู้จัดการจะลากดาราสาวมายืนต่อหน้าฉัน แล้วบังคับให้เธอก้มหัวคำนับตามมารยาทของเด็กที่ต้องทักทายผู้หลักผู้ใหญ่
"ชื่อโทชิฮานะ มายูมิ ใช่ไหมจ๊ะ" ฉันยิ้มอ่อนโยนให้กับเธอ "แหม เด็กสมัยนี้หน้าตาสวยจริง ๆ นอกจากสวยแล้วก็ต้องมีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนด้วยสินะ อย่างการเป็นเด็กหัวขบถหรือเด็กที่ไม่เคารพกฏ ถ้าแค่นั้นก็ดีหรอกจ่ะ แต่อย่าให้ข่าวอื้อฉาวแบบที่ว่าแต่ก่อนเธอเป็นเด็กไซด์ไลน์ไปถึงหูสื่อมวลชนก็แล้วกันนะจ๊ะ อันนั้นแฟน ๆ จะรับไม่ไหวเอา"
ก่อนที่โทชิฮานะ มายูมิ จะเป็นดารา เธอเคยเป็นเด็กไซด์ไลน์มาก่อน ไซด์ไลน์ที่ว่าคือการที่รับเงินแลกกับการไปเที่ยวกับพวกหนุ่ม ๆ หรือคุณลุง มีบางคนที่ทำโดยไม่ได้ขายตัวจริง ๆ แต่ถ้าข่าวหลุดออกไปได้ว่าเธอเคยถูกผู้ชายใช้เงินซื้อตัว ภาพลักษณ์หัวกบฏไม่ยอมลงให้กับกฏจะเปลี่ยนกลายเป็นโสเภณีทันที สังคมตะวันตกในบางที่อาจจะรับได้ แต่ไม่ใช่กับสังคมญี่ปุ่นที่มือถือสากปากถือศีล พร้อมที่จะเหยียบย่ำคนตกต่ำเต็มที่
ดาราสาวที่เมื่อครู่ทำหน้าเย่อหยิ่งตัวแข็งค้าง ปากสั่นระริก ก่อนจะเถียงว่า "ม...ไม่มีเรื่องแบบนั้นซักหน่อย!"
ฉันเอียงคอ ยิ้มอย่างเกียจคร้าน "นั่นสินะ เด็กที่มาจากโรงเรียนยูริโนะมิยะจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง ซากุระโกะเพื่อนของฉันเองก็มาจากโรงเรียนนั้นเหมือนกัน เธอรู้จักรุ่นน้องเด็ก ๆ หลายคนเลยทีเดียว ถึงมีข่าวโคมลอยขึ้นมาจริง ๆ ให้เพื่อน ๆ ในชั้นมาแก้ตัวก็ได้เนอะ"
เด็กจากโรงเรียนยูริโนะมิยะปกติแล้วจะเก็บเรื่องฉาวโฉ่เอาไว้ภายใน การจะมาเปิดปากบอกว่านักเรียนในโรงเรียนเคยทำงานไซด์ไลน์น่ะไม่มีหรอก แต่ถ้าได้แรงสนับสนุนจากซากุระโกะ รับรองว่าบรรดาหลักฐานในอดีตพรั่งพรูออกมาผึ้งแตกรังแน่ ๆ
ผู้จัดการของโทชิฮานะเองก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เขาก้มหัวปะหลก ๆ แล้วบอกกับฉันว่ามายูมิเป็นเด็กดี จะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจเสียหายเป็นอันขาด โทชิฮานะ มายูมิ เองก็ตัวสั่น รับปากกับฉันอย่างแข็งขันเช่นกัน
ฉันปิดพัดดังฉึบ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วโปรยยิ้มนางพญาให้กับคนในกองถ่ายที่มองดูพวกเราห่าง ๆ อย่างสนอกสนใจ แต่ไม่ใกล้พอที่จะได้ยินบทสนทนานั้น ฉันเอ่ยชมดาราสาวคนนั้นอีกครั้งว่าเธอเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง จะต้องเป็นพรีเซนเตอร์ที่ดีให้กับสินค้าไลน์วัยรุ่นอย่างแน่นอน ก่อนจะขอตัวจากไปอย่างสง่างาม
เย็นวันนั้นคาบุรากิกลับบ้านมาแล้วมองฉันด้วยสายตาเนือย ๆ
"ไปก่อเรื่องมาอีกล่ะสิ"
ฉันยิ้มด้วยรอยยิ้มสุภาพให้กับเขา
"แค่ไปดูพรีเซนต์เตอร์ของไลน์เครื่องสำอางเองค่ะ ว่าแต่ท่านคาบุรากิคะ ถ้าวันหลังไม่จัดการกับปัญหาคาราคาซังของตัวเอง ปล่อยให้ยืดเยื้อ อย่าได้คิดนะคะว่าฉันจะเก็บกวาดให้อีก"
คาบุรากิถอนหายใจเฮือก เขาทำหน้าเหมือนจะดุฉันอีกครั้ง แต่พอเห็นฉันไม่มีสีหน้าหวาดกลัว เขาก็บอกว่าเย็นนี้จะพาออกไปทานมื้อค่ำที่ภัตตราคาร และอนุญาตให้ฉันสั่งของหวานเป็นพิเศษได้
จบ
G galaxy สู่ความเวิ้งว้าง —
อหหหห พลาดอีกแล้ว..
ปล. โม่งฟิคขยันมากกก รักมึง จุ๊บๆ
โม่งฟิคปั่นไวมากกกกก เหมือนปลุกเหล่าโม่งๆซุยรันให้กลับมาคึกคักอีกรอบอ่ะมึง//กูคุ้ยศัพท์hรอหลาววว
F - friend โบกพัดไปมากับคำๆ นี้ โอะโฮะโฮะ
G - Galaxy
ในฤดูหนาวหลังจากที่ฉันกับคาบุรากิแต่งงานกันได้ครบหนึ่งปีพอดี พวกเราไปฉลองหนึ่งปีของการแต่งงานที่ฟินแลนด์
อันที่จริงจะต้องพูดว่า คาบุรากิไปหาที่เล่นสกี ส่วนฉันถูกเขาผู้ไร้เพื่อนลากไปเป็นตัวแก้เขินที่ฟินแลนด์
หลังจากที่พยายามสอนฉันเล่นสกีอยู่นาน คาบุรากิก็หมดความอดทนแล้วทิ้งฉันไว้ในคาเฟ่ ส่วนตัวเองออกไปเล่นสกีคนเดียว กว่าจะกลับมาอีกทีก็ตกเย็น ขากลับเขากลับมาพร้อมกับหมาไซบีเรียน ฮัสกี้ ตัวหนึ่ง หมาตัวนั้นพุ่งเข้ามาหาเจ้าของซึ่งเป็นเด็กสาวที่นั่งข้าง ๆ ฉัน ส่วนคาบุรากิพุ่งเข้ามาหากาแฟร้อนเพราะออกไปเล่นท่ามกลางหิมะอยู่นานจนตัวสั่นไปหมด
แม้ฟินแลนด์จะไม่ได้ถือว่าเป็นสุดยอดของดินแดนอาหาร แต่ก็มีบางอย่างที่ฉันกินแล้วรู้สึกชอบ อย่างขนมปังใส่แยมเบอร์รี่รสเปรี้ยวหวาน ขนมปังที่ทำจากข้าวไรน์จะหยาบ ๆ หน่อยแต่ก็อร่อยไปอีกแบบ แต่ที่กินไม่ได้คือ ซาลมิอัคคิหรือลิโคไรซ์เค็มที่พวกชาวฟินนิชใส่ในทุกอย่างเหมือนที่คนญี่ปุ่นใส่ชาเขียวลงในขนมส่วนมากของญี่ปุ่น รวมถึงของหน้าตาประหลาดที่กินเข้าไปแล้วแทบอยากจะคายออกมาทันที คาบุรากิมองฉันที่ลองกินอาหารพื้นถิ่นด้วยสีหน้ารังเกียจ ก่อนจะลงมือกินสเต็กเนื้อกวางเรนเดียร์ของเขาโดยไม่ยอมแบ่งให้ฉันเลยแม้แต่คำเดียว
ไฮไลท์สำคัญของการมาฟินแลนด์ของคาบุรากิอาจจะเป็นการเล่นสกี แต่สำหรับฉันคือการนอนในบ้านบับเบิ้ลที่เป็นโดมกระจกขนาดใหญ่ ทำให้สามารถเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าและแสงออโรร่าได้โดยไม่ต้องทนหนาวสั่นท่ามกลางอุณหภูมิติดลบด้านนอก
ห้องของพวกเราคือโดมขนาดใหญ่ที่เป็นแบบสตูดิโอ ประกอบด้วยห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และเตียงสองชั้น คาบุรากิผู้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เป็นเด็กเสมอจองเตียงชั้นบน ส่วนฉันที่ขี้เกียจปีนเตียงขึ้นไปนอนยอมรับเตียงชั้นล่างแต่โดยดี
ท่านแม่ผู้รักความโรแมนติกของฉันไม่ยอมปล่อยให้พวกเราพลาดโอกาสนี้ไปอย่างเด็ดขาด จึงลากฉันออกไปช้อปปิ้งของขวัญให้กับคาบุรากิ ฉันไม่เห็นว่าจะต้องเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ตรงไหนเลยยื่นให้เขาทันทีที่พวกเรานั่งลงบนพรม
คาบุรากิทำหน้าเหมือนเด็กที่อวดการบ้านเลขของตัวเองต่อหน้าคุณครูแล้วยื่นกล่องของขวัญที่เขาเตรียมมาให้กับฉัน พอฉันถามว่าอะไรเขาก็ตอบตามว่าให้ลองทายดู ฉันมองห่อของขวัญที่แสนจะปราณีตแล้วบอกว่าจะแกะทีหลัง เขาก็บังคับให้ฉันแกะตอนนี้เลย
ฉันแกะกล่องที่แค่มองภายนอกก็รู้ว่าเป็นเครื่องประดับ พอแกะออกมาก็เป็นเครื่องประดับจริง ๆ มันเป็นต่างหูเพชร ไม่ใช่ของที่มีความรู้สึกอัดแน่นเหมือนอย่างสร้อยเพชรของวาคาบะจัง แต่ก็เป็นต่างหูเพชรน้ำงามราคาแพง
“เป็นไงบ้าง?” เขาถามอย่างพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตื่นเต้น พอฉันบอกว่าก็สวยดี เขาก็ทำหน้ามุ่ย แต่พอบอกว่ากำลังกลุ้มใจเรื่องไม่มีเครื่องประดับใส่ไปงานเลี้ยงค็อกเทลที่ท่านพี่เชิญไปพอดี และจะใส่คู่นี้ไป คาบุรากิก็ปิดสีหน้ากลั้นยิ้มไม่มิด
จะผ่านมากี่ปีตานี่ก็ยังไม่เคยโตเลยแฮะ
พอเขาเปิดของขวัญที่ฉันให้ก็เป็นนาฬิกา อันที่จริงคาบุรากิมีนาฬิกาเป็นร้อยเรือนได้ แต่เพราะว่าฉันไม่รู้จะซื้ออะไรให้เขา ท่านแม่ก็เลยแนะนำนาฬิกาให้
คาบุรากิถอดนาฬิกาของตัวเองแล้วเปลี่ยนใส่นาฬิกาที่ฉันให้ทันที ช่างเป็นคนที่เคร่งมารยาทจริง ๆ พอการแลกของขวัญผ่านไป พวกเราก็เข้าสู่สภาวะความเงียบ แต่เงียบได้ไม่นานเท่าไหร่ คาบุรากิก็เริ่มพล่ามออกมาตามประสาคนขี้เหงา
เขาเริ่มเล่าให้ฟังว่าออโรร่าเกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศกับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยสีของแสงขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซในความสูงนั้น ๆ ฉันฟังเขาพล่ามศัพท์วิทยาศาสตร์ไปเรื่อย ๆ ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็เพลินดี
หลังจากอรรถาธิบายเรื่องเกี่ยวกับแสงออโรร่า เขาก็เล่าเกี่ยวกับทางช้างเผือกและดวงดาวบนท้องฟ้า ศัพท์ที่ใช้ก็เริ่มจะยากและไม่คุ้นหูขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฉันก็ปล่อยให้เขาเล่าอย่างที่เขาอยากจะพูด ดูเหมือนคาบุรากิจะเก็บกดมาก เขาเลยพูดยาวเหมือนเรานั่งดูสารคดีกันสองชั่วโมงเต็ม
พอเขาพูดจนเหนื่อย ฉันที่ง่วง ๆ กำลังจะหลับก็หาเรื่องพูดต่อ เพราะแสงเหนือบนฟ้ายังสวยอยู่ จึงไม่อยากเข้านอน
“นาย...เชื่อเรื่องโลกคู่ขนาน หรือการทะลุมิติอะไรแบบนี้ไหม?”
ฉันถามเล่น ๆ แต่คาบุรากิตอบจริงจัง
ทั้ง ๆ ที่คิดว่าคาบุรากิผู้ชื่นชอบในวิทยาศาสตร์จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแฟนตาซีไร้สาระ เขากลับเล่าให้ฟังว่ามีนักปรัชญาและนักฟิสิกส์หลายคนเชื่อในเอกภพคู่ขนานเช่นกัน ซ้ำยังพูดถึงทฤษฎีต่าง ๆ ของจักรวาลวิทยาอีก เขาเล่าให้ฟังถึงทฤษฎีสตริงก์ที่ฉันฟังไม่เข้าใจ ฉันก็พยายามสรุป ๆ ว่าเขาเชื่อว่าในโลกนี้มีโลกคู่ขนาน
“ในจักรวาลมีอยู่กาแล็คซี่อยู่หลายแสนล้านกาแล็คซี่ ในกาแล็คซี่เองก็มีระบบดาวอยู่หลายระบบ เรายังสำรวจไปได้แค่ดาวเคราะเพื่อนบ้านไม่กี่ดวงเอง ฉันไม่เชื่อหรอกว่าในจักรวาลนี้จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก อาจจะมีโลกคู่ขนานที่เกิดจากการตัดสินใจที่แตกต่างกันออกไปก็ได้”
ฉันฟังเขาแล้วก็คิดในใจว่าที่เขาพูดถึงจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็น่าจะเป็นจริง ไม่อย่างนั้นฉันคงจะไม่ทะลุมิติมาเป็นคิโชวอิน เรย์กะ ไม่แน่ว่าในโลกอื่น ๆ อาจจะมีคิโชวอิน เรย์กะ ที่เป็นนางร้ายเหมือนในการ์ตูนก็ได้
“ถ้าสมมติว่าฉันทะลุมิติมา นายจะจับฉันส่งนาซ่าหรืออะไรไหม” ฉันถามเขาเล่น ๆ แต่แอบไว้ท่าทีเพราะกลัวเขาทำอย่างนั้นจริง ๆ
คาบุรากิส่ายหน้า ฉันเลยถามเขาว่าทำไม ถ้าเขาจับคนที่ทะลุมิติไปศึกษาได้ ก็คงจะมีชื่อเสียงโด่งดัง หรืออย่างน้อยก็ได้ตังค์เยอะมาก
“เพราะเธอเป็นเพื่อนฉัน”
ฉันฟังคำตอบนั้นแล้วก็รู้สึกตื้อ ๆ ในอก
ถึงแม้ว่าคาบุรากิจะเป็นคนบ้า ๆ จริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วก็ปากเสียไปซักหน่อย แต่เขาก็เป็นเพื่อนที่ดี
ในคืนนั้นฉันไม่ได้บอกว่าเขาเป็นเพื่อนของฉันเหมือนกัน แต่ต่างหูที่เขาให้มา ฉันเก็บมันเอาไว้ในกล่องเครื่องประดับรวมกับเครื่องประดับที่ฉันรักที่สุด
จบ
H -h.pylori จองงงง
ไม่ทันอีกแล้วว 5555555
ต่อไปตัว i กูต้องทันให้ได้้
โม่งฟิค: มีใครแอบสังเกตบ้างว่าหลังแต่งงานมา 1 ปี คำสุภาพของท่านเรย์กะเริ่มจะหายไปแล้วในตอนง่วง แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เรียกชื่อจริง =_=;;; ความเป็นเฟรนด์โซนหนาแน่นมากคู่นี้
H Hanabi - v -
ขอบคุณสำหรับฟิคเชื้อไพโรไลอินค่ะ
ถึงขนาดต้องมีฟิคเชื้อไพโรไลอินแล้วหรอเนี่ย...
H ต้อง Healing!!!!
H ต้อง Harem ฮุฮุ
H - H.pylori
“เป็นอะไรน่ะ คิโชวอิน ทำหน้าน่าเกลียดเชียว” คาบุรากิทักขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้าฉันเลยซักนิด
ฉันพยายามสูดหายใจลึก ๆ หลายครั้ง “ป...ปวดท้องนิดหน่อยค่ะ”
“ติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร อีกแล้วเหรอ เธอนี่ชอบกินอะไรซี้ซั้ว ไปเก็บของตกข้างทางมากินรึเปล่าน่ะ” คาบุรากิพูดจาเสียหายเหมือนฉันเป็นเด็กอดอยากในเอธิโอเปีย ฉันมองเขาตาขวางเพราะรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ มาเที่ยวประเทศไทยแดนของกินแท้ ๆ แต่กลับปวดท้องในมื้อกลางวันทั้ง ๆ ที่สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะซะนี่
“ม...ไม่ได้ติดเชื้อแปลก ๆ นั่นซะหน่อยค่ะ“ ฉันนึกถึงฝันร้ายที่โดนล้อว่าเป็นไพโลไรอินขึ้นมา ถึงจะติดเชื้อจริง ๆ ก็จะไม่บอกให้คาบุรากิรู้เป็นอันขาด ความรู้สึกปวดจุกพุ่งขึ้นมาอีกระลอก ฉันเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
พอนั่งชักโครกลงไปเท่านั้นแหล่ะ ฉันก็รู้ว่าสาเหตุของการปวดท้องครั้งนี้คืออะไร
ประจำเดือนสีแดงสดทะลักพรวดออกมาราวกับฉันโดนแทง ฉันก้มลงมองในโถอย่างตกตะลึง อะไรกัน ยังไม่ถึงวันประจำเดือนมาซักหน่อย ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาก่อนกำหนดตั้ง 5 วันนะ หรือเป็นเพราะว่ากินของที่มีเครื่องเทศเยอะไปหน่อย ประจำเดือนก็เลยมาไม่ปกติ
ฉันถอนหายใจ แอบโล่งใจว่ายังโชคดีที่ประจำเดือนไม่ได้มาตอนนั่งตรงเก้าอี้ วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน ฉันเลยใส่ชุดเดรสสีขาว ขืนประจำเดือนเปื้อน คงเห็นรอยเลือดชัดเจนจนไม่รู้จะชัดยังไง
หากทว่าความโล่งใจของฉันผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ ฉันก็ตัวแข็งค้าง
เพราะว่าโดยปกติ ประจำเดือนของฉันมาตรงเวลาเสมอ ดังนั้นในเวลาอื่นเลยไม่เคยพกผ้าอนามัยฉุกเฉินเอาไว้
ในตอนนี้พวกเราออกมาทานข้าวในร้านอาหาร แม้จะใช้ทิชชู่รองเอาไว้ แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถทนได้จนกว่าฉันจะกลับถึงโรงแรม อย่าได้พูดถึงเรื่องที่ฉันเดินออกไปซื้อผ้าอนามัยที่ร้านสะดวกซื้อเลย แค่เดินออกไปไม่พ้นประตูห้องน้ำ เลือดก็น่าจะซึมเปื้อนกระโปรงแล้ว
ฉันนั่งเครียดอยู่กว่ายี่สิบนาทีจนกระทั่งไลน์เด้งขึ้นมา คาบุรากิถามฉันว่าฉันอาเจียนเป็นน้ำย่อยออกมาไหม หรืออาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้ว ฉันนั่งจ้องข้อความนั้นอยู่นาน ก่อนจะกล้ำกลืนฝืนทน ท่องว่าถึงคาบุรากิจะเป็นแค่สามีในนาม แต่เขาก็เป็นสามีของฉัน
เพราะฉะนั้น หน้าที่ช่วยเหลือภรรยาตอนเดือดร้อน ก็ต้องเป็นของเขา
ทันทีที่ตัดสินใจแบบนั้น ฉันก็พิมพ์ไลน์ขอร้องให้เขาออกไปซื้อผ้าอนามัยมาให้
คาบุรากิเงียบหายไปเกือบครึ่งชั่วโมงจนฉันคิดไปสารพัดแล้วว่าเขาทิ้งฉันเอาไว้ในร้านอาหาร แล้วโบกแท็กซี่กลับโรงแรมคนเดียว แต่ตอนที่ฉันกำลังจะร้องไห้อยู่ร่ำ ๆ ไลน์ก็เด้งขึ้นมา
‘อยู่ห้องไหน’
ฉันพิมพ์ตอบกลับไปว่าห้องท้ายสุด ไม่นานนักรองเท้าหนังคู่หนึ่งก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตู แล้วกล่องผ้าอนามัยก็ถูกโยนเข้ามาเกือบหล่นใส่หัวฉัน
ฉันได้แต่แอบด่าเขาในใจ ทว่าชะงักไปเมื่อเห็นกล่องผ้าอนามัย
มันเป็นผ้าอนามัยแบบสอด
ฉันอึ้งไป ฉันเคยใช้แต่ผ้าอนามัยปกติ ไม่เคยใช้แบบสอดเลยซักครั้ง แต่จะบอกคาบุรากิแบบนั้นก็อายจนไม่รู้จะพูดยังไง หนำซ้ำคาบุรากิยังเดินออกไปจากห้องน้ำหญิงแล้วด้วย เลยหยิบกล่องผ้าอนามัยแบบสอดขึ้นมา แล้วลองพยายามใช้ดู
ได้ยินมาว่าพวกนักกีฬาหรือดาราเองก็ใช้กันออกบ่อย ฉันพยายามจะใช้สุดชีวิต แต่พยายามสอดยังไงก็สอดไม่เข้า ฉันมองผ้าอนามัยแบบสอดที่มีขนาดเท่ากับนิ้วชี้ แต่สั้นกว่าครึ่งนึงแล้วสงสัยว่าชาตินี้ฉันคงมีเซ็กส์ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะขนาดผ้าอนามัยอันจิ๋วเดียวยังสอดเข้าไปไม่ได้ แล้วประสาอะไรกับ...
สิบห้านาทีต่อมา ไลน์เด้งขึ้นมาอีกครั้ง เป็นคาบุรากิที่เร่งฉันให้รีบออกมา เพราะเขาเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิง แล้วคนมองกันใหญ่ แต่ฉันบอกว่าฉันยังไม่เสร็จธุระ
อีกสิบนาทีต่อมา คาบุรากิส่งไลน์มารัว ๆ ถามฉันว่าฉันยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า ฉันเลยบอกให้เขาไปซื้อผ้าอนามัยแบบใหม่มา พร้อมกับส่งตัวอย่างให้เขาดูว่าฉันต้องการแบบไหน
ห้านาทีต่อมาแม่บ้านเคาะประตูห้องน้ำของฉัน พูดอะไรที่ฉันไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ฉันเลยบอกเป็นภาษาอังกฤษไปว่าฉันกำลังใช้อยู่
สิบนาทีต่อมาคาบุรากิบอกว่าแบบที่ฉันอยากได้ไม่มี เขาส่งรูปถ่ายมาให้ มันเป็นผ้าอนามัยยี่ห้ออื่น ฉันเลยบอกเขาว่าอันไหนก็ได้ เอามาซักอัน
อีกสิบห้านาที รองเท้าหนังปรากฏขึ้นหน้าห้องน้ำฉันอีกครั้ง พร้อมกับถุงพลาสติกที่เต็มไปด้วยผ้าอนามัยหย่อนลงมา บนชั้นวางของวางขายอะไร คาบุรากิซื้อมันมาทุกอย่าง ตั้งแต่แบบมีปีก ไม่มีปีก แบบกลางคืน แผ่นอนามัย ซื้อมันทุกยี่ห้อสิบกว่าแพ็คได้
ห้านาทีต่อมาฉันออกไปนอกห้องน้ำด้วยสีหน้าอายจนแทบไม่รู้จะอายยังไง ส่วนคาบุรากิเองก็หน้าแดงเช่นกัน
ห้านาทีต่อมา พวกเร็วเช็คบิลออกจากร้านนั้นโดยที่ฉันไม่ได้กินอะไรลงท้องเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าอย่างน้อย กระโปรงสีขาวของฉันก็อยู่รอดจนกระทั่งเข้าไปในโรงแรมได้อย่างปลอดภัย
จบ
H. Hurt
นี่กุห่างหายไปแค่8ชั่วโมง ฟิคโผล่มารัวๆแถมชาเลนจ์ตั้งชื่ออีกเรอะ นี่กุวาปหรือตายแล้วเกิดใหม่เนี่ย555555
อ่าว กูลืม H ไปแล้วนี่หว่า...
กุไล่อ่านแล้ว พนมมือชาบูโม่งฟิค มึงปั่นเร็วมากกกกฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ตอนH นี่กูคิดสภาพคาบุไปกว้านซื้อผอนมทั้งเชลฟ์แล้วไปจ่ายตังออกเลย555555555
ปล.เคยมีปสกใกล้เคียง ขอจากเพื่อนหน้าห้องน้ำก็ไม่มีจนห้องข้างๆยื่นมาให้ อายยยยยสัสสสส;//////;
น่ารักเกินไปแล้ววววว งุ้ยยยยยยยย
//กูยอมแพ้กับการมาช่วงชิงชื่อตอนเเล้ว--- 😂
I - Injury
มันเป็นวันเสาร์ที่ฉันรอคอยตั้งแต่คืนวันศุกร์ เฝ้าคิดอย่างตื่นเต้นว่าขนมสำหรับชีทเดย์ในวันพรุ่งนี้จะกินแพนเค้กใส่ริคอตต้าชีสหรือเป็นโมจิแพนเค้กที่ร้าน MICASADECO&cafe ดี อันที่จริงแพนเค้กแกรโนล่าเองก็น่ากินเหมือนกัน ฉันพิมพ์ไลน์ไปหาคาบุรากิที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ พยายามคะยั้นคะยอให้เขาเลือกเมนูที่ฉันอยากกินเพราะจะได้แบ่งกันชิม คาบุรากิพิมพ์ไลน์ตอบกลับมาบอกว่าเขานอนแล้ว แล้วสั่งให้ฉันเข้านอนเหมือนกัน
ฉันมองนาฬิกาก็พบว่ามันเป็นเวลาตีหนึ่งกว่า ฉันวางโทรศัพท์ที่ข้างหัวเตียงแล้วหลับตาลงนอนเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้จะมีรอยคล้ำใต้ตา แต่นอนไปได้ไม่ทันง่วง ไลน์ก็เด้งขึ้นมา
คาบุรากิส่งรีวิวร้านราเมนที่ฮาราจูกุมา แล้วชวนฉันไปกินร้านนี้ก่อนไปร้านแพนเค้ก ฉันหัวเราะ พิมพ์ไลน์ตอบกลับไปว่าถ้าเขาเลือกแพนเค้กริคคอตต้าชีส ฉันก็ตกลงที่จะไปร้านนั้น
วันเสาร์นั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่น ฉันเลือกเดรสสีขาวของซิมเมอร์แมนน์กับสเว็ตเตอร์สีชมพูของเบอร์เบอร์รี่ พอใส่คู่กับรองเท้ากีฬาสีขาวเรียบ ๆ ของอดิดาสแล้วก็ดูน่ารักคล่องตัวดี ส่วนคาบุรากิที่ครึ่งนึงของตู้เสื้อผ้ายกมาจากรันเวย์ของอาร์มานี่ ใส่เสื้อเชิ้ต แจ็กเก็ต กับแสล็คสบาย ๆ แล้วก็รองเท้ากีฬาของไนกี้ ทำให้พวกเราเหมือนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยมากกว่าคู่สามีภรรยาวัยทำงาน
หลังจากกินราเมน เดินย่อยซักพัก ก็ไปกินขนมที่คาเฟ่ต่อ ฉันกินแพนเค้กซูเฟล่แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองขึ้นสวรรค์ เนื้อแป้งที่ฟูนุ่มกับริคอตต้าชีสเค็ม ๆ เข้ากันได้ดีมาก ส่วนอีกจานเป็นแพนเค้กโมจิชาเขียว ที่เนื้อหยุ่น ๆ รสชาเขียวขม ๆ ไม่เลี่ยนมาก
หลังจากกินอาหารมื้อชีทเดย์ พวกเราก็เดินดูของในซุปเปอร์มาร์เก็ต คาบุรากิยังคงติดนิสัยซื้อของแปลก ๆ ตอนจ่ายเงิน เขาไม่ยอมให้ฉันเป็นคนใส่ของลงถุงเช่นเคย เนื่องจากฉันชอบที่จะยัดลวก ๆ ส่วนเขาทนไม่ได้เลยซักนิดถ้าของไม่เป็นระเบียบ
ตอนที่พวกเรากำลังจะเรียกรถที่บ้านมารับเพราะฉันรู้สึกเมื่อยขาเดินไม่ไหวแล้ว คาบุรากิก็หยุดเดิน เขารับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเครียด
ฉันรอให้เขาวางโทรศัพท์แล้วจึงถามว่างานมีปัญหาอะไรรึเปล่า แต่คาบุรากิตอบกลับมาว่ารถที่ครอบครัวเอ็นโจนั่งประสบอุบัติเหตุ
คาบุรากิพาฉันไปโรงพยาบาลด้วยวิธีไหนฉันก็จำไม่ได้ รู้สึกเหมือนหัวถูกกระแทกด้วยของแข็งเพราะมึนงงไปหมด ฉันได้สติอีกทีก็ตอนที่คาบุรากิคุยกับหมอ หมอบอกว่าคุณยุยโกะไม่เป็นอะไรมาก แค่ช็อคและบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนเอ็นโจซี่โครงหักทิ่มปอด ตอนนี้กำลังอยู่ในห้องฉุกเฉิน
พวกเรารออยู่ที่บริเวณด้านนอกห้องผ่าตัด ฉันตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก ถ้าไม่ได้คาบุรากิกอดไว้คงร่วงลงไปนั่งกองกับพื้น ส่วนคาบุรากิเองก็มือเย็นมากเช่นกัน พวกเรานั่งนิ่ง ๆ ราวกับว่าถ้าขยับจะเป็นลางร้าย รอคอยประตูห้องผ่าตัดที่เปิดออก
ฉันรู้สึกกลัว กลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน จำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็กอดคาบุรากิไว้แน่นแล้ว ฉันสะอื้น ทุกสิ่งที่เคยเก็บไว้ในอกพรั่งพรูออกมา
“ทั้งที่ ๆ ฉันคิดว่าถ้าตอนนั้นสารภาพรักออกไป—“
“ถ้าฉันมีความกล้าที่จะต่อสู้เพื่อความรักของตัวเองเหมือนนาย—-“
“แค่คิดว่าโลกนี้ไม่มีเขาอยู่ฉันก็รู้สึกเหมือนมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่—-“
ความในใจที่ไม่เคยบอกใครมาก่อนแม้กระทั่งเซริกะจัง คิคุโนะจัง ซากุระโกะ หรือวาคาบะจัง ถูกสารภาพไปต่อหน้าคาบุรากิทั้งหมด
ฉันรักเอ็นโจ ฉันรักเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานแล้วฉันก็ยังเรารัก
รัก...แม้กระทั่งถึงตอนนี้ ตอนที่เขามีความสุขกับคุณยุยโกะ ผู้หญิงที่เขารัก
คาบุรากิไม่ได้พูดอะไร เขากอดฉันไว้แน่น พวกเรากอดกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฉันไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีน้ำตาจะร้องไห้ ประตูห้องก็เปิดออกมา
พวกเรารีบเข้าไปถามอาการหมอกับพยาบาลที่เดินออกมา หมอบอกว่าเอ็นโจพ้นขีดอันตรายแล้ว พวกเราถอนหายใจเฮือก รอยยิ้มแรกตั้งแต่รู้ข่าวผุดขึ้นมาในที่สุด
พ่อกับแม่ของเอ็นโจที่ไปต่างจังหวัดรีบมาดูอาการเอ็นโจทันที พวกเขาไม่ได้ส่งข่าวให้กับยูกิโนะคุงที่ไปรักษาตัวที่ต่างประเทศเพราะกลัวว่ายูกิโนะคุงจะได้รับความกระทบกระเทือน
พวกเราได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมเอ็นโจแค่แว๊บเดียวเท่านั้น กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบตีห้า คาบุรากิต้องรีบแต่งตัวเพราะมีขึ้นเครื่องตอนเก้าโมงเช้า ส่วนฉันได้แต่ช่วยเขาจัดกระเป๋าเดินทางเพราะไม่ได้ไปกับเขาด้วย
คาบุรากิไปทริปสั้น ๆ ที่ฮอกไกโด เขาบอกฉันว่าฝากดูอาการเอ็นโจด้วย เขาจะรีบไปแล้วรีบกลับมาทันที คาบุรากิออกไปจากบ้านได้ไม่นาน ท่านพี่ก็มาหาฉันที่บ้าน เขาบอกว่าคาบุรากิโทรไปหาเขาแล้วบอกว่าฉันยังคงอยู่ในอาการช็อค เลยอยากให้มาดู
ในเช้าวันนั้นฉันนอนหนุนตักท่านพี่หลับไปในห้องนั่งเล่น รู้สึกเหนื่อยจนเหมือนร่างกายแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ
แต่โชคดีเหลือเกิน...ที่เขาไม่เป็นอะไร
จบ
J John-bag -- กุขอโทษ (///_///) สำหรับใครไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร มันแปลว่า ถุงยาง ..... ตอนแรกกุกะจะเอา jockey 5555
กูเอา กูชอบ 555555
อยากได้ K-Kids มากกว่าอ่าาาา
สัมผัสได้ว่าไม่กามก็ฮาสุดๆแน่
ถถถถถ ขยันปั่นโครต
เห็นความดราม่าตอนล่าสุดแล้ว....พวกมึงชอบแนวตัดฟิลด้วยความฮากันสินะถถถถถ
ยังไงก็ตาม กูจอง S-Shusuke //กูรีบบบ
อยากอ่าน R - Raika จัง
งั้นกุจอง Z-zephyr
เออใช่ มีคนเอาฟิค a-z(?) ไปลง doc ยัง
เออใช่ โม่งฟิคที่มาลงๆฟิคไว้อย่าลืมเข้าไปอัพในสารบัญกันเน้อ เพื่อความสะดวกในการหาอ่านย้อนหลัง ใช้ไม่เป็นวิธีใช้อยู่หัวกระทู้จ้า
กูเอาลงสารบัญให้เรียบร้อยแล้วนะ แต่กูจัดหน้าสารบัญไม่เป็น หน้ามันเหลือที่ว่างอีกเยอะ แต่ไม่รู้ทำไมมันตัดไปขึ้นหน้าใหม่อ่ะ ; v ; ใครจัดเป็นไปแก้ให้กุที
J - John-bag
วันต่อมาพวกเราก็ได้รับแจ้งว่าเอ็นโจฟื้นขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ และวันมะรืนหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ เขาก็ฟื้นขึ้นมา แต่เนื่องจากหมอบอกว่าเขาต้องการการพักผ่อน เราจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม
ถ้าเป็นคาบุรากิ ก็คงใช้เส้นสายเข้าไปดูอาการของเอ็นโจ แต่ฉันที่เป็นเพื่อนผู้หญิง เป็นภรรยาของเพื่อนเขา การกระทำแบบนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แม้ว่าฉันจะอยากเข้าไปดูอาการเขามากเพียงใด ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าถึงไปก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ซ้ำยังทำให้เกิดข่าวลือเสียหายขึ้น ซึ่งไม่ดีต่อบ้านคาบุรากิ คิโชวอิน หรือเอ็นโจเลยซักนิด
ท่านพี่เฝ้ามองฉันด้วยความเป็นห่วง ในตอนที่เขาไม่ว่าง เขาก็ให้ท่านแม่มาอยู่เป็นเพื่อนฉัน บางทีก็พาท่านอิมาริมาด้วย ท่านอิมาริซื้อของขวัญมาฝากฉันเยอะแยะไปหมด มีทั้งขนมในขวดแก้วสวย ๆ แล้วก็เครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาบอกกับฉันว่าถึงใบหน้าเศร้าสร้อยของฉันจะงดงามเพียงใด แต่ชอบฉันในตอนยิ้มมากกว่า
ฉันยิ้มตอบ แม้ว่าจะยิ้มได้ไม่เต็มที่ แต่ก็รู้สึกว่าความอึดอัดในอกคลายลงบ้าง ท่านพี่มองท่านอิมาริด้วยสีหน้าตึง ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
วันต่อมาคาบุรากิก็กลับมาจากฮอกไกโด
พวกเราไปเยี่ยมเอ็นโจด้วยกัน พอมองภาพคุณยุยโกะที่ลำพังตัวเองก็หน้าซีดพออยู่แล้ว แต่ก็ยังมาเฝ้าข้างเตียงเอ็นโจอีก หัวใจของฉันก็รู้สึกหน่วง ๆ ฉันเข้าไปถามอาการของเธอ คุณยุยโกะเองก็เหมือนผ่านการร้องไห้มาหลายครั้ง บอกซ้ำ ๆ ว่าถ้าเอ็นโจไม่เอาตัวเข้ามากันไว้ เธอคงตายไปแล้ว เพราะรถที่พุ่งประสานงาเข้ามาพุ่งมาทางเธอ
หนึ่งเดือนต่อมา เอ็นโจก็ออกจากโรงพยาบาล ในระหว่างนั้นฉันไปเยี่ยมเขาอีกสองสามครั้ง แต่ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าถ้าเขาตายไปฉันก็อยากจะตายตามไปด้วยอีกแล้ว ภาพของสองสามีภรรยาเอ็นโจที่ประคองกันทำให้ฉันรู้สึกเศร้าน้อย ๆ เท่านั้น
คาบุรากิไปกลับฮอกไกโดอีกหลายรอบ ฉันเองก็งานยุ่งเลยไม่ได้ไปกับเขา และสองเดือนหลังจากที่เอ็นโจประสบอุบัติเหตุ ฉันก็พบกับปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่ง
ฉันเจอถุงยางอนามัยในกระเป๋าเดินทางของคาบุรากิ
กล่องถุงยางอนามัยขนาดฟรีไซส์ชนิดบางพิเศษมีปุ่มขรุขระและเจลหล่อลื่นในตัวคือคุณสมบัติที่เขียนอยู่บนกล่องนั้น ฉันอ่านทวนซ้ำไปมาเผื่อจะเข้าในผิดคิดว่าลูกอมเป็นถุงยางอนามัย
แต่ไม่ผิดแน่ นี่มัน...ถุงยางอนามัยชัด ๆ
แม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดกล่อง แต่ถุงยางอนามัยก็คือถุงยางอนามัย และคนที่พกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าเดินทางก็หมายความว่าเป็นคนที่คิดจะมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างที่เขาออกทริปไปเดินทาง
เพราะว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลแล้ว ซ้ำยังไม่ได้เป็นอะไรกับคาบุรากิอีก ดังนั้นฉันเลยทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ทั่วไปทำกันเมื่อตัวเองเป็นภรรยาและเจอกล่องถุงยางอนามัยในกระเป๋าเดินทางของสามี
นั่นคือการตั้งกระทู้ถามในอินเตอร์เน็ต
/จขกท: (รอคำตอบ) ฉันเจอกล่องถุงยางอนามัยในกระเป๋าเดินทางของสามี จะทำยังไงดีคะ?/
ไม่นานนัก ก็มีคนมาตอบกระทู้
/โยโกะ: เป็นถุงยางอนามัยของพวกคุณที่เขาลืมพกติดไปด้วยรึเปล่าคะ จขกท.ใจเย็น ๆ นะ/
คำตอบนี้ถ้าเป็นสามีภรรยาทั่วไปก็คงพอกล้อมแกล้มไปได้ แต่สำหรับฉันกับคาบุรากิแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเราใกล้เคียงกับคำว่า ‘เพื่อนสาว’ มากกว่าสามีภรรยาซะอีก เพราะงั้นอันนี้ผ่าน
/โอโนะ โทโมเอะ: เขาต้องแอบนอกใจคุณแน่ ๆ จ้างนักสืบตามสืบเลยค่ะ คุณจขกท. อย่ายอมให้สามีสวมเขาง่าย ๆ ถ้าสืบว่าเขานอกใจ ก็ฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงดูเลย/
แน่นอนว่าถ้าเขาทำแบบนั้นจริง ฉันมีสิทธิ์ฟ้องหย่าเขาได้ตามกฏหมาย แต่ว่าความเสียหายที่ตามมานั่นมากกว่าค่าเลี้ยงดูน่าจะหลายสิบหลายร้อยเท่า เพราะหมายความว่าความสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจของคาบุรากิและคิโชวอินจะย่ำแย่ และอาจมีกิจการและธุรกิจหลายธุรกิจที่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน อาจทำให้พนักงานหลายพันคนตกงานได้ เพราะงั้นอันนี้ผ่าน
/ซีนาดีน ซีดาน: เขาก็แค่พกเอาไว้เฉย ๆ น่ะ ไม่มีอะไรหรอก ถ้าพวกคุณยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่ ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร ยกเว้นคุณแย่มาก ๆ เรื่องเซ็กส์ เขาอาจจะไปหาความสุขนอกบ้านก็ได้/
ฉันชะงัก อันที่จริงก็พอเข้าใจอยู่ว่าคาบุรากิเป็นผู้ชาย เพราะงั้นไม่แปลกที่เขาอาจจะอยากมีอืมม์... ฉันแอบรู้สึกเห็นใจคาบุรากิขึ้นมา เพราะยังจำที่เขาพูดตอนวันแต่งงานได้ว่า เขาจะไม่ยอมนอกใจฉันเด็ดขาด แต่ไม่ได้นอกใจไม่ได้หมายความว่าจะไม่หาเศษหาเลยนี่ สมัยคุณพ่อของฉันเองก็ชอบไปร้านคาราโอเกะเหมือนกัน ผู้ชายน่ะร่างกายกับจิตใจแยกกัน เพราะงั้นอาจจะไม่ได้นอกใจ แต่นอกกายเฉย ๆ โอเค อันนี้อาจจะมีเค้า
/นัตสึมิจังผู้น่ารัก: เขาต้องนอกใจแน่นอนค่ะ ไม่งั้นจะพกถุงยางติดกระเป๋าเดินทางไว้ทำไม มีพิรุธชัด ๆ!/
ฉันมองคอมเมนต์อันมากมายที่บอกว่าคาบุรากิต้องนอกใจฉันแน่ ๆ แม้ฉันจะคิดว่าคาบุรากิเป็นคนที่ไม่มีทางผิดคำพูดของตัวเองด้วยการไปมีคนรักเด็ดขาด แต่เขาอาจจะไปร้านอาบอบนวดก็ได้ ฉันเคยได้ยินว่าสำหรับผู้ชายแล้ว การไปร้านอาบอบนวดก็เหมือนผู้หญิงไปสปา ฉันมองถุงยางแล้วคิดในใจว่า อย่างน้อยคาบุรากิก็ยังรู้จักป้องกันตัวเอง ถึงแม้ว่าฉันกับเขาจะไม่ได้มีอะไรกัน แต่ถ้าต้องมีสามีที่เป็นเอดส์ ก็คงจะรู้สึกแปลก ๆ
ฉันเก็บถุงยางไว้ในช่องใส่ของที่เดิม ก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
สองวันต่อมา ฉันที่หวาดระแวงว่าตัวเองอาจจะไปขวางทางหาความสุขของใคร และอาจถูกฆาตกรรมอำพรางหรือโดนปักธงมรณะโดยไม่รู้ตัว ตัดสินใจคุยกับคาบุรากิตรง ๆ
ในขณะที่คาบุรากิกำลังคีบไก่ทอดเข้าปาก ฉันก็โพล่งออกไปว่าฉันสนับสนุนให้เขาหาเศษหาเลยซื้อนอกนอกบ้านได้ตราบเท่าที่เขารู้จักป้องกันและไม่มีเล็ดลอดไปถึงหูนักข่าวคอลัมภ์ซุบซิบ
คาบุรากิที่กำลังจะเอาไก่ทอดเข้าปากทำไก่ตกลงในชามข้าว เขามองหน้าฉันเหมือนจู่ ๆ ฉันใส่กระโปรงบัลเล่ต์แล้วลุกเต้นไปรอบ ๆ ห้องกินข้าวโดยไม่ได้บอกกล่าว
“คิโชวอิน เธอเป็นบ้าอะไรของเธอน่ะ”
ฉันตัดสินใจสารภาพไปตามตรงว่าเจอถุงยางในกระเป๋าเดินทางของเขา
“นั่น—!” คาบุรากิหน้าแดงแจ๋ “ของคุณโมโมโซโนะต่างหาก!”
ฉันอ้าปากค้าง ถุงยางอนามัยของท่านอิมาริแต่มาอยู่กับคาบุรากิก็หมายความว่า...
โลกที่ปกติสุขของฉันจู่ ๆ ก็ถูกจินตนาการความวายเข้าโถมทับเหมือนคลื่นซึนามิซัดเข้าฝั่ง อันที่จริงฉันก็เคยแอบคิดว่าคาสโนว่าอย่างท่านอิมาริกับท่านพี่สุดเพอร์เฟคของฉันทำไมถึงยังไม่แต่งงานซักที บางทีพวกเขาอาจจะมีความรักที่หันหลังให้กับตะวันและจันทราก็ได้ แต่ฉันไม่คิดเลยว่าคาบุรากิผู้ที่ชอบแต่ผู้หญิงมาตลอดจะหลงเสน่ห์ของท่านอิมาริไปด้วย ฝีมือของคาสโนว่านี่แน่จริง ๆ แม้แต่ผู้ชายด้วยกันก็ยังหลงใหล อย่าบอกนะว่าตอนที่ฉันให้เขาไปศึกษาวิธีการปฏิบัติต่อผู้หญิงของท่านอิมาริแล้วคาบุรากิจะโดนท่านอิมาริสอนภาคปฏิบัติมาน่ะ มิน่าถึงไม่กล้าบอกว่าสอนกันอีท่าไหน อันที่จริงเขาสอนกันท่าไหนฉันเองก็ไม่อยากรู้หรอกนะ มันเรทเกินไป แต่ก็แอบอยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นฝ่ายรุกฝ่ายรับ ถ้าคาบุรากิของว่าถุงยางอันนี้เป็นของท่านอิมาริ ก็หมายความท่านคาบุรากิเป็นฝ่ายรั—-
“คิดบ้าอะไรของเธอน่ะยัยสมองหมู!” คาบุรากิตวาดลั่นด้วยสีหน้าแดงก่ำ ฉันมองเขาที่เป็นเหมือนราชาตัวสูงมาดแมนแล้วคิดในใจว่าอุเคะในโลกแห่งความจริงนั้นช่างไม่เหมือนในการ์ตูนวายเลย “คุณโมโมโซโนะคิดว่าพวกเรา—“ คาบุรากิหน้าแดงขึ้นไปอีก “คิดว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากัน ก็เลยให้เจ้านั่นมาต่างหาก บอกว่าจะช่วยเพิ่ม—-“ คาบุรากิเบือนหน้าหนีเหมือนสาวน้อย ฉันเองที่เป็นสาวน้อยตัวจริงเสียงจริงยังไม่เหนียมเท่าเขา แต่เอาเข้าจริง ๆ ถ้านับอายุฉันในชาตินี้กับในชาติก่อน ก็เกือบ ๆ ห้าสิบแล้วล่ะนะ ถือว่าห่างไกลจากสาวน้อยมากเลยทีเดียว
“ถุงยางบางพิเศษแบบมีปุ่มพร้อมเจลหล่อลื่น” ฉันทวนคำที่อ่านประมาณสิบรอบบนกล่องถุงยางอนามัย คาบุรากิหน้าแดงจนฉันตกใจว่าถ้าแดงกว่านี้ก็ดำแล้ว เพราะงั้นเลยไม่พูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาต่อ พวกเราเงียบไปซักพัก ก่อนฉันจะถามต่อ “แล้ว...จะเอายังไงกับ...อืมม์ ถุงยางกล่องนั้นดีคะ ท่านคาบุรากิ?”
คาบุรากิหน้าบึ้ง “ก็ทิ้งไปสิ” เขาตอบทันควัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบในขนาดนั้น แต่กลับเก็บกลับมาด้วย เพราะเคร่งมารยาทสินะ เป็นคาบุรากินี่ลำบากจริง ๆ
“แล้วถ้าท่านอิมาริมาถามล่ะคะว่าของขวัญที่ได้รับไปเป็นยังไงบ้าง?” ท่านอิมาริเป็นพวกใส่ใจความรู้สึกคนอื่น อย่างตอนที่ให้ของขวัญฉัน ก็มักจะถามว่าชอบไหม ถูกใจรึเปล่า
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า!” คาบุรากิแว้ดลั่น ฉันมองเขาแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงหน้าหนารึเปล่าที่อายน้อยกว่าเขา แต่พอฉันก็อายุเยอะแล้ว กะอีแค่ถุงยางอนามัย ก็อืมม์ ก็อายอ่ะนะ แต่ความอยากรู้มีมากกว่า
“ลองเอามาแกะเล่นดูไหมคะ?” ฉันถามขึ้นมา ไหน ๆ ชาตินี้จะต้องแห้งเหี่ยวไม่มีโอกาสให้สัมผัสกับถุงยางอนามัยและผู้ชายตัวเป็น ๆ ไปชั่วชีวิตแล้ว เรียนรู้ไว้เผื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีคนเดินมาถามว่า เคยใช้ถุงยางอนามัยไหม ฉันที่ตอนนี้แต่งงานมาแล้วปีครึ่งยังไงก็ควรจะโกหกออกไปได้บ้าง
แม้ว่าคาบุรากิจะทำเหนียมเหมือนสาว ๆ แต่ก็เป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็นพอควร พอฉันเอามาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว เขาก็บอกว่าของแบบนี้ห้ามวางไว้บนโต๊ะกินข้าวเด็ดขาด แล้วก็ชวนฉันไปแกะกล่องถุงยางอนามัยบนโต๊ะทำงาน
พวกเราจ้องห่วงสีชมพูนีออนที่มีเจลหล่อลื่นเหลว ๆ แล้วฉันแอบคิดว่าไม่น่าแกะออกมาเล่นเลย ถุงยางอนามัยนี่ดูน่าขยะแขยงกว่าที่คิด พอค่อย ๆ คลี่ออกมา ก็รู้สึกว่าดีแล้วที่ไม่เคยมีเซ็กซ์ ถ้าขืนอะไรก็ตามที่สามารถใส่เข้าไปในถุงยางอันนี้ได้พอดีต้องเข้ามาในตัวฉัน คงต้องตายแน่ ๆ ฉันไม่มีเป็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งหรอกนะ ว่าคาบุรากิ เรย์กะ ตายระหว่างอืมม์...น่ะ น่าขายหน้าน่าดู
หลังจากคลี่ถุงยางออกมาได้จนหมด ฉันก็มองดูถุงยางสีแสบตาที่มีจุดตะปุ่มตะป่ำเหมือนเห็ดมีพิษและเจลหล่อลื่นสีขาวขุ่นเละเทะ พวกเราจ้องเศษซากถุงยางบนโต๊ะอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะสงสัยว่าพวกเรากำลังเล่นบ้าอะไรกันอยู่ ฉันเลยจะเอาทิชชู่เพื่อจับเศษถุงยางไปทิ้ง ทว่าทิชชู่ในห้องทำงานของคาบุรากิเก็บเอาไว้บนชั้นหนังสือด้านหลังโต๊ะทำงานที่ค่อนข้างสูง ฉันเลยต้องปีนเก้าอี้ขึ้นไปหยิบ
ไม่รู้ว่าเพราะว่าซวยหรือเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เก้าอี้ทำงานแบบมีล้อของคาบุรากิก็เลื่อนไถลจนฉันหงายหลัง เก้าอี้ล้มดังโครมใหญ่ ส่วนตัวฉันถูกคาบุรากิรับไว้ได้ทันพอดีไม่งั้นคงหัวฟาดโต๊ะทำงานสลบ
“นายท่านเป็น—” สาวใช้ที่อยู่แถวหน้าถลาเข้ามาหน้าห้องทำงานที่เปิดประตูทิ้งไว้ ก่อนที่จะชะงัก มองคาบุรากิกับฉันและมองโต๊ะทำงาน
ฉันมองตามสายตาของเธอ คาบุรากิที่นั่งบนโต๊ะ ฉันที่นั่งบนตักของคาบุรากิ และเศษถุงยางสีบาดตาชนิดที่ว่าโยนทิ้งไว้บนโลกก็สามารถมองเห็นได้จากดาวอังคารที่แกะแล้วบนโต๊ะ...
“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น!” สาวใช้ผู้เข้าใจผิดไปแล้วเรียบร้อยว่าฉันกับคาบุรากิประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะในห้องทำงานกลางวันแสด ๆ ปิดประตูดังปัง คาบุรากิผู้ไม่สันทัดในการอ่านสถานการณ์เลยแม้แต่น้อยไม่ได้เข้าใจเลยว่าตัวเองโดนเข้าใจผิดไปไหนต่อไหนแล้ว เขาผลักฉันออกจากตัก แล้วบ่นว่าฉันซุ่มซ่าม ก่อนจะบอกว่าฉันตัวหนัก เพราะงั้นให้จะต้องเริ่มกลับมาคุมอาหารอีกครั้ง
แม้ว่าหลังจากนั้นสายตาของพวกสาวใช้จะเปลี่ยนไป และมาดามคาบุรากิจะส่งอาหารบำรุงร่างกายมาให้พวกเราจำนวนมาก แต่ว่าฉันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วส่งอาหารบำรุงร่างกายพวกนั้นไปให้ท่านพี่กับท่านอิมาริแทน
จบ
K kneel "Kneel before me !" "Kneel before you Queen !"
Kids///
หึหึ รีเฟรชรัวต่อฟิคโม่งลงจบใน 2 วิ -w- +
แย่งกันไป กูจะรออ่านเอง //เหมือนจะไม่แคร์ แต่เปล่าเลย กูรีเควสไม่ทัน ฮรื้อออวว ;w;
K - Kneel
ทำไปทำมา ฉันกับคาบุรากิก็แต่งงานกันจะได้สองปีแล้ว
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราจะเป็นแค่เพื่อน แต่ฉันก็คิดว่าการแต่งงานของพวกเราไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก คาบุรากิออกจะชอบบังคับไปนิด ขี้โมโหไปหน่อย แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ฉันก็ได้เห็นมุมที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นจากเขา
อย่างเช่นเรื่องการแต่งหน้าของฉัน
ฉันเกลียดการแต่งหน้า
การแต่งหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นการทาแป้งหรือลงลิปสติกในสมัยมัธยมนั้นถือว่าเป็นเรื่องเบสิคที่ผู้หญิงทุกคนจะต้องทำ แต่การแต่งหน้าเต็มยศออกงานกลางคืนคือฝันร้ายของฉัน ปกติตอนอยู่บ้านคาบุรากิ ฉันจะมีคุณเมดคอยแต่งหน้าให้ แต่บางครั้งตอนที่พวกเราต้องไปทำงานที่ต่างประเทศกันสองคน ฉันก็ต้องแต่งหน้าเอง
ไม่มีใครเคยรู้ว่าเครื่องสำอางค์ที่แต่งแต้มได้อย่างพอเหมาะราวกับเมคอัพอาร์ตทิสของฮอลลีวู้ดรังสรรค์ให้บนใบหน้าของฉันจะเป็นฝีมือของคาบุรากิ
ในครั้งแรกตอนที่เขาเห็นฉันแต่งลบแต่งลบอยู่หลายครั้งจนรู้สึกรำคาญ เลยดึงปากกาอายไลน์เนอร์ไปเขียนขอบตาให้ฉัน ฉันไม่ควรจะรู้สึกเซอร์ไพรส์เลยด้วยซ้ำว่าผู้ชายอย่างเขาสามารถแต่งหน้าได้ด้วย คาบุรากิที่สามารถักลูกไม้อย่างเพอร์เฟคด้วยการมองวิธีถักเพียงแว๊บเดียวบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะ กับอีแค่การแต่งหน้าที่เห็นฉันแต่งบ่อย ๆ เขาทำมันได้อย่างคล่องแคล่วราวกับช่างแต่งหน้ามืออาชีพ
หลังจากที่คาบุรากิแต่งหน้าให้กับฉันในคราวนั้น คราวต่อ ๆ ไป ฉันก็ไม่เคยให้คุณเมดแต่งหน้าให้อีกเลย ฉันมักจะขอให้คาบุรากิแต่งหน้าให้ฉันทุกครั้ง เขามักจะทำสีหน้าเบื่อ ๆ แต่ก็ยอมแต่งหน้าให้ฉันโดยดี เพราะถ้าให้ฉันแต่งหน้าเอง ก็อีกสามชั่วโมงนั่นแหล่ะกว่าจะได้ออกจากบ้าน
ช่างแต่งหน้าโดยทั่วไปจะยืนแต่งหน้า แต่คาบุรากิชอบให้ฉันนั่งกับเตียง ส่วนตัวเขาคุกเข่าอยู่บนนั้น ค่อย ๆ บรรจงแต่งแต้มใบหน้าของฉันด้วยนิ้วมือที่แผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้อ
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ไพรม์เมอร์ คัลเลอร์คอลเล็คชั่น คอนซีลเลอร์ ฟาวเดชั่น เขาเกลี่ยมันด้วยนิ้วมืออย่างแผ่วเบาแตะจนกระทั่งซึมลงไปบนผิว ปัดแป้งฝุ่นโปร่งแสงบาง ๆ คาบุรากิเกลียดแป้งรองพื้นดังนั้นนั่นจึงเป็นสิ่งที่เขาโยนทิ้งเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อเริ่มแต่งหน้าให้ฉัน
อายโบรว์เพนซิลที่วาดลงไปบนสันคิ้วแทรกไปกับขนคิ้วจริงนั่นดูเป็นธรรมชาติจนแทบแยกไม่ออกว่าเส้นไหนของจริงเส้นไหนวาดเอา อายแชโดว์สีอ่อนเข้มถูกเกลี่ยสร้างเบ้าตาให้ลึกเพื่อให้ดวงตากลมโตขึ้นอย่างแนบเนียน ขนตาของฉันไม่ต้องใช้มาสคาร่า เพียงแต่หนีบเบา ๆ ก็งอนขึ้นแล้ว จากนั้นเขาจึงไล้อายไลน์เนอร์ไปบนขอบตาของฉัน
ตอนที่เขาวาดอายไลน์เนอร์ ฉันสามารถลืมตาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าคาบุรากิจะทำพู่กันจิ้มตา คาบุรากิไม่เคยพลาดเลยซักครั้ง แม้ว่าตัวฉันเองจะพลาดบ่อยขนาดไหนก็ตาม
คอนทัวร์เลอร์ ไฮไลต์เตอร์ถูกลงเพื่อสร้างมิติให้กับโครงหน้า ทำให้ฉันดูเหมือนน้ำหนักลดลงไปซักห้ากิโลกรัม พอบอกอย่างนั้นไป คาบุรากิก็บอกว่าถ้าฉันอยากลดให้ได้อีกห้ากิโลกรัม แต่ไม่แอบกินคุกกี้ที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักนั่นก็พอ
ฉันหัวเราะเก้อ ๆ เมื่อโดนจับได้ แต่ไม่ได้พูดอะไรเมื่อเขาปัดพู่กันขนม้าลงบนโหนกแก้มของฉัน ก่อนจะวาดลิปสติกลงบนปาก
ตอนที่เขาแต่งหน้าให้ฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย เพราะภาพคาบุรากิที่คุกเข่าบนเตียงในชุดสูทสามชิ้นที่เสื้อนอกพาดไว้บนพนักเก้าอี้ แต่งหน้าให้ฉันอย่างตั้งอกตั้งใจนั่นดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
จบ
H - hailstorm (พายุลูกเห็บ) ขอเน้นว่าคำนี้แปลว่า 'พายุลูกเห็บ' พายุนะมึง มันจึงไม่ใช่แค่ระดับลูกเห็บตกเปาะแปะธรรมดา นึกภาพไม่ออกพิมพ์ hailstorm ไปหาภาพดูใน Google ได้เลย
Lie////
เออ แล้วท่านพี่ฟิคนี้แต่งงานรึยังวะ หรือแต่งกับอิมาริ มีโอกาสได้ใช้ของขวัญชิ้นนั้นที่ให้มามั้ยคะ//แค่กๆๆๆ
โอ้โห วันนี้โคตรดีด กราบโม่งฟิค บ้าพลังมาก
ฮรืออออ โมเม้นแต่งหน้าให้โคตรน่ารักอ่ะ!
l-laika กูจะสานต่อเจตนารมณ์ด้านบนถถถ
อะเหอ มึงบ้าพลังมาก ไปดีดมาจากไหนกันคะ แบ่งความขยันมาให้กูหน่อย เผื่อกูจะทลายไหดองได้บ้าง//คารวะ
โมเมนต์แต่งหน้านี่เหมือนเพื่อนสาว แต่ก็น่ารักดีนะ กูเรือเอ็นโจแต่กูชอบ 55555555
พออ่านฟิคจากสองเรือ กูรู้สึกว่าฟิคเรือเอ็นโจถ้าไม่มาแนวแอบรักข้างเดียวหม่นๆสีทึมๆแต่ให้ความรู้สึกละมุน ก็จะเป็นแนว passion ฉันอยากครอบครองเธอไปเลย แต่ฟิคฝั่งคาบุนี่ดูน่ารักกุ๊กกิ๊กแบบหนังรอมคอมอ่านแล้วอมยิ้ม จะแบบไหนก็ดี กูชอบ ลงอีกเยอะๆนะ เป็นกำลังใจให้จ้า
กูเข้ามาสะพรึงเจอกาวต่อมาถึง J พวกมึงจะคึกกันไปไหนนน นี่เที่ยงคืนแล้วนะ ไม่ใช่ไรกูเป็นห่วงทั้งโม่งฟิคและบรรดาโม่งที่รอแย่งกัน พรุ่งนี้พวกมึงไม่มีเรียน/งานกันเรอะ
กูแค่จะบอกว่าถ้าไม่ไหวก็พักก่อนดีกว่าค่อยต่อพรุ่งนี้ แต่ถ้าไหวจะต่อก็ได้เพราะกูก็รออ่านอยู่ ถถถ
คือฉากคุกเข่าแต่งหน้าใจนึงกูก็ฟินนะ แต่อีกใจนึงกูก็คิดว่ามันจะเป็นยังไง
เพราะคาบุรากิคุกเข่าบนเตียง เตียงมันก็ต้องนุ่มๆ ยุบๆ ป่ะ ไม่น่าจะขุกเข่าทรงตัวแบบท่าคุกเข่าของแต่งงานได้ หรือคาบุรากิจะคุกเข่าแบบคุกเข่าสองข้าง.... //พับเก็บความคิดสลายความหล่อ
มาวี๊ดดดดดดด ค่ะ------ ถ้ามึงดีดมากไม่ต้องกลัวเหงานะ กูรออ่านฟิคอยู่ ถ้าเหนื่อยกูก็ยังอยู่อยู่ดี เห็นความขยันกูก็ต้องขยันบ้าง แต่งแนวสยองขวัญต่อไป กูต้องเป็นคนยังไง แวะมาอ่านคอมเมดี้แล้วไปเขียนสยองขวัญต่อ 5555555 วี๊ดอีกสักรอบบบ---- //นอนกอดฟิคโม่งอยู่ในอ้อมอก
L - Lie
คาบุรากิเป็นคนโกหกไม่เก่ง ตอนที่เขากำลังโกหก หรือตอนที่กำลังเขิน เขามักจะทำท่าโกรธ
ฉันเองก็โกหกไม่เก่งเช่นกัน ท่านพี่มักจะบอกฉันเสมอว่าเวลาฉันโกหก ไม่ว่าใครที่รู้จักฉันดีต่างก็จับได้ทั้งนั้น
ดังนั้น ตอนที่มาดามคาบุรากิถามขึ้นมาว่าเมื่อไหร่พวกเราจะมีลูกกันซักที ฉันกับคาบุรากิเลยวงแทบแตก
คืนนั้นเป็นคืนก่อนวันคริสต์มาสอีฟ แม้ว่าในครอบครัวของพวกเราจะไม่มีใครนับถือศาสนาคริสต์ แต่มาดามคาบุรากิกับท่านแม่ก็คิดว่า วันคริสต์มาสอีฟกับวันคริสต์มาสต้องจัดงานเลี้ยง แต่ถ้าทุกคนได้มาทานข้าวกันพร้อมหน้ากันในครอบครัวในวันก่อนหน้านั้นก็คงดี ดังนั้นพวกเราทุกคนเลยมาทานข้าวที่บ้านใหญ่ของคาบุรากิกันพร้อมหน้า
สมาชิกของพวกเราประกอบด้วยท่านพ่อกับท่านแม่ฝั่งคาบุรากิและฉัน คาบุรากิ ฉัน ท่านพี่ และท่านอิมาริ (ในตอนนี้ฉันชักจะสงสัยจริง ๆ แล้วว่าท่านพี่กับท่านอิมาริเป็นแฟนกันจริง ๆ รึเปล่า ท่านแม่เองก็ดูคิดหนักเช่นกัน จะหาสะใภ้ให้ท่านพี่ แต่ก็แอบคิดว่าตระกูลโมโมโซโนะก็ไม่เลวเลย ท่านอิมาริก็เป็นลูกชายคนโต น่าจะได้สมบัติของตระกูลในสัดส่วนสูง แต่ก็ไม่กล้าถามท่านพี่จริงจังว่าตกลงท่านพี่กับท่านอิมาริเป็นอะไรกัน เลยคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้)
อาหารบนโต๊ะช่างวิเศษสมกับเป็นฝีมือเชฟบ้านคาบุรากิ เนื่องจากเป็นวันเฉลิมฉลอง ฉันเลยได้รับอนุญาตให้มีชีทเดย์ได้หลายวันในรอบสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งนั่นถูกอบจนกระทั่งเนื้อหลุดออกจากกระดูกได้อย่างง่ายดาย มันบดก็นุ่มนวลเค็มกำลังดี เนื้อเวลลิงตันแป้งพายด้านนอกกรุบกรอบ เนื้อด้านในก็นุ่มฉ่ำซอสกำลังดี มีทโลฟก็ทานง่ายกรุ่นด้วยกลิ่นเครื่องเทศหวานละมุน ผักย่างก็หอมหวานเคี้ยวเพลิน ฉันพยายามห้ามใจไม่ให้กินจนพุงออกเพราะถูกคาบุรากิบังคับให้ใส่เดรสเข้ารูปเพื่อกันการกินเกินขนาด แต่สามารถละเลียดอาหารไปได้เรื่อย ๆ ทุกอย่างเข้ากับไวน์แดงได้ดีมากจนฉันดื่มไวน์ไปหลายแก้ว
หลังจากอาหารมื้อใหญ่ก็ยังมีพายแอ๊ปเปิ้ลที่แสนอร่อยใส่ซินนามอนให้กลิ่นอายคริสต์มาสอย่างเต็มที่ จากนั้นก็มีเลมอนพายแก้เลี่ยน พอดื่มคู่กับไวน์แดงที่เหลืออยู่ในแก้วแล้วก็เข้ากันมาก ๆ
รู้ตัวอีกที ฉันก็เซตอนลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ คาบุรากิเห็นแล้วก็บ่นว่าฉันไม่รู้จักประมาณตัว ฉันบอกว่าฉันเดินได้เองไม่ต้องให้เขาช่วย แต่พอเดินไปได้ก้าวหนึ่งก็ต้องจับเก้าอี้เอาไว้ เพราะส้นสูงบ้านี่มันเครื่องทรมานที่สร้างมาเพื่อรังแกผู้หญิงชัด ๆ
ฉันบ่นเรื่องนี้กับคาบุรากิ เขาเองก็คอมเมนต์เรื่องรองเท้าส้นสูงที่ทำให้กระดูกสันหลังต้องรับน้ำหนักเป็นพิเศษ เขาเตือนฉันแล้วก่อนออกจากบ้าน แต่ว่ามาโนโล บลาห์นิค คือของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้ผู้หญิงบนโลกนี้ ฉันเลยไม่ฟังเขาแล้วยืนยันว่ารองเท้าคู่นี้เกิดมาเพื่อฉัน ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะกลายเป็นเครื่องทรมานก็ตามที
ฉันมองคาบุรากิที่ก้มลงถอดรองเท้าให้กับฉัน ก่อนที่จะสั่งให้สาวใช้ไปเอาสลิปเปอร์มาให้ฉันใส่แทน แล้วประคองฉันไปเข้าห้องน้ำ
คาบุรากิถามฉันสามรอบว่าฉันเข้าห้องน้ำเองไหวไหม พอฉันบอกว่าไหว แต่พอเขาปล่อยก็ลื่นตั้งแต่หน้าประตู เขาบ่นอะไรซักอย่าง ก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำแล้วจับฉันนั่งลงบนชักโครก
ตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าการระบายของเหลวออกจากร่างกาย ก็เลยจับชายกระโปรงแล้วถกขึ้นก่อนจะดึงกางเกงในลงมาที่เข่า คาบุรากิสะดุ้งเฮือก หันหลังให้กับฉันทันควัน ฉันนั่งฉี่ในขณะที่จ้องมองแผ่นหลังของเขาแล้วคิดว่า จะดีจริง ๆ เหรอที่ฉี่ต่อหน้าคาบุรากิ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าฉี่ราดชุดโดลเช่แอนด์กาบบาน่ากับกางเกงในลอเพอร์ลาก็แล้วกัน
หลังจากทำธุระเรียบร้อย ฉันก็ใช้คาบุรากิเป็นไม้ค้ำยันไปยังอ่างล้างมือ ก่อนจะล้างมือลวก ๆ คาบุรากิเห็นแล้วก็ทำหน้าขยะแขยง เขาให้ฉันล้างมืออีกรอบ ฉันเลยส่งมือให้เขา เขาทำหน้าเหนื่อยแล้วจับมือของฉันไปล้างด้วยวิธีที่เห็นในแผ่นป้ายสาธารณสุข พอล้างเสร็จก็เช็ดมือให้ฉัน ก่อนจะประคองกลับไปที่โต๊ะ
มาดามคาบุรากิเห็นแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะปล่อยคำถามที่เหมือนทิ้งบอมบ์
“แหม รักกันดีขนาดนี้ เมื่อไหร่จะมีหลานให้แม่อุ้มบ้างล่ะจ๊ะ?”
ฉันแทบสร่างเมื่อเจอคำถามนั้น คาบุรากิเองก็อึกอักอยู่ไม่น้อย พวกเราพยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดเท่าที่สมองซึ่งโชกไปด้วยแอลกอฮอลล์จะสามารถทำได้ (ในกรณีของฉัน) ด้วยการบอกว่าฉันก็คาบุรากิเราจะพยายามกันอย่างเต็มที่ และเนื่องจากว่าฉันรู้สึกอยากจะลี้ภัยก่อนที่จะพ่นอะไรไปอย่างเช่น ‘จะมีได้ยังไงล่ะคะมาดาม ในเมื่อฉันกับคาบุรากิเป็นแค่เพื่อนสาวกัน’ ก็เลยบอกออกไปอีกว่า เริ่มต้นจากตอนนี้เลย แล้วก็ลากคาบุรากิด้วยฝีเท้าตุปัดตุเป๋ขึ้นไปชั้นสอง
พวกเราล้มลงบนพื้นก่อนที่จะได้ทันเข้าห้องนอนของคาบุรากิ คาบุรากิทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ ฉันเอาเท้าถีบเขา แล้วหัวเราะ
“นายเห็นสีหน้าทุกคนไหม”
สีหน้าตะลึงของสมาชิกในครอบครัวเรานั้น สำหรับฉันในตอนที่เมาอย่างเต็มที่รู้สึกว่าตลกมาก
“อา” คาบุรากิตอบรับ เขามองฉันที่หัวเราะเหมือนเป็นบ้า ก่อนจะหัวเราะออกมา พวกเราหัวเราะอยู่อย่างนั้นจนเหมือนกับท้องจะเป็นตะคริว ฉันถามคาบุรากิว่านอกจากห้องอาหารแล้วยังมีไวน์เหลืออยู่อีกรึเปล่า คาบุรากิถามฉันว่ายังเมาไม่พออีกเหรอ พอฉันบอกว่าถ้าไม่เมาในเทศกาล แล้วจะเมาตอนไหน เขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วบอกว่าฉันมันบ้า ก่อนจะหายไปพักใหญ่แล้วกลับมาพร้อมกับไวน์
พวกเราออกไปนั่งที่ระเบียง ในคืนนี้ดาวไม่สวย ไวน์ราคาแพงจากห้องเก็บไวน์ของคาบุรากิก็ถูกดื่มจากปากขวดเหมือนไวน์ถูก ๆ จากซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉันกับคาบุรากิผลัดกับดื่มคนละอึกราวกับว่าพวกเราเป็นเด็กมัธยมแอบเอาเหล้าของพ่อแม่มาดื่ม เรื่องที่คุยล้วนแต่เป็นเรื่องสัพเพเหระ แต่ฉันรู้สึกว่าค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่น่าประทับใจกว่าค่ำคืนไหน ๆ
จบ
*แก้จากกางเกงในลอเพอร์ล่า เป็นลาเพอร์ล่า กุพิมพ์ผิด ปล. ไปนอนแล้ว พรุ่งนี้มาแต่งต่อ
M mustachio หนวดแบบที่มันโค้งๆ ตรงปลายทั้ง 2 ข้าง ไม่ใช่แค่หนวดธรรมดา (moustache)
วันนี้กาวดีจริง ๆ ฟืดฟาดดด ฟืดฟาดดด
เคมีคู่นี้มันน่ารักจังว้อยยยย เพื่อนสาว โฮฮฮฮ
ขอบใจโม่งฟิควันนี้มาก กูเครียดจากงานมาหลายวันแล้ว มีฟิคนี้แหล่ะ ทำให้หายเครียดมาบ้าง ขอบใจอีกครั้งนะ ดูแลสุขภาพด้วย
กูไม่ได้เข้ามู้มาวันเดียวนึกว่าเข้าผิดมู้555555 มีกาวแล้วมู้มันไหลเร็วดีอย่างนี้นี่เอง
คารวะโม่งฟิค ปั่นเร็วมาก แปบๆมาถึงตัว L ละ
ฮือออ ละมุนมากกก ;//////;
ลบล้างภาพลักษณ์บากะรากิที่คลั่งแข่งขี่ม้าส่งเมืองในสมองกูไปเลย พ่อคนละมุนนน
ถ้ามีคนอยากได้ M-Masaya กะ S-Shusuke แล้ว กูขอ Y-Yukino บ้างได้มั้ย 555555
กลิ่นกาวหอมเหลือเกิน โอยยย กูกรี๊ดมาซายะ สามีแห่งชาติ พระเอกโชโจมังงะ ละมุนเหลือเกินพี่จ๋า
โอ๊ย โม่งฟิคคะ อยากบอกว่ามึงทำให้กูสำลักความสุขหลังจากหัวใจแห้งผากมากนาน คาบุแม่งน่ารักชี้บหายเลย ฮือออออออออ ขอบคุณนะคะที่ทำให้วันนี้ของกูสดใส
ถ้าลงถึง Z เมื่อไหร่ กุขอภาวนาให้ท่านฮิโยโกะอัพตอนใหม่สักที
อยากส่งแบรนด์ซุปไก่บำรุงกำลังให้โม่งฟิคมากเลยว่ะ รักนะคะ ชอบคาบุรากิฟิคนี้มาก มีความเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วตั้งแต่ซื้อผ้าอนามัยยันแต่งหน้า เทรนเนอร์ ดูแลโภชนาการ 5555
ชักอยากเห็นฟิคในมุมมองคาบุแล้วสิ ว่าตอนที่ต้องเอาใจนางสารพัด จะรู้สึกอย่างไร
ฟิคนี้คาบุน่ารักจริงๆ😊😊
M - Mustachio
วันครบรอบการแต่งงานสองปีของฉันกับคาบุรากิ พวกเราตัดสินใจไม่ไปเที่ยวต่างประเทศเพราะปีนี้ทั้งฉันกับคาบุรากิอยู่บนเครื่องบินนานกว่าอยู่บนรถเสียอีก ดังนั้นเลยตกลงกันว่าจะจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กันในหมู่เพื่อน และนอนขี้เกียจอยู่บ้าน
ฉันจินตนาการไว้ว่า พวกเราอาจจะจัดปาร์ตี้ค็อกเทลสบาย ๆ มีขนมและอาหารอร่อย ๆ มีฟลอร์เต้นรำ เหมือนสมัยที่จัดงานเลี้ยงฤดูร้อนของ Pivoine แต่พอบอกคาบุรากิเขาก็บ่นว่าน่าเบื่อ แล้วเสนอให้พวกเราจัดปาร์ตี้แฟนซีแทน
“เธอชอบแต่งชุดแฟนซีนี่”
ฉันไม่ได้ชอบ แต่ลองคาบุรากิเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว ใครจะเปลี่ยนความคิดเขาได้
ยังไงปาร์ตี้ค็อกเทลสบาย ๆ แบบนั้นก็จัดได้ตลอดทั้งปีอยู่แล้ว ฉันเลยไม่อยากขัดใจเขา เพราะขี้เกียจง้อคาบุรากิที่งอนตุ๊บป่อง ดังนั้นพวกเราเลยตกลงจัดปาร์ตี้แฟนซีในที่สุด
พอเป็นเรื่องแบบนี้คาบุรากิก็กระตือรือล้นมาก ฉันมองเขาแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ให้เขาจัดการทุกอย่างเพราะตัวเองกำลังยุ่งกับการเตรียมงานปาร์ตี้ปีใหม่ของโรงแรมในเครือคาบุรากิอยู่ ช่วงวันหยุดมีแต่คาบุรากิที่มอบหมายงานให้ลูกน้องเสร็จตั้งแต่ต้นซีซั่นการท่องเที่ยวเท่านั้นที่ยุ่งน้อยลง แต่ฉันซึ่งเป็นแม่งานการจัดปาร์ตี้และคอยดูแลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเครือธุรกิจนั้นวิ่งจนหัวหมุน
นั่นเป็นความผิดพลาดอย่างที่หนึ่ง
ตอนที่พวกเราไปเข้าสปาสำหรับคู่สามีภรรยาในโรงแรมเครือคาบุรากิ เพื่อทวนสอบดูว่าระบบการบริการยังมีจุดหนที่สามารถพัฒนาได้อีก หลังจากนอนให้พนักงานนวดตัวบนเตียงข้าง ๆ กันซึ่งกั้นด้วยผ้าม่านสีขาวเสร็จ ก็ห่อตัวด้วยเสื้อคลุมหนานุ่มออกมายังโซฟาขนาดเลิฟซีทบริเวณสำหรับสปาเท้า ตอนที่ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับ คาบุรากิก็ถามว่าชุดแฟนซีที่ส่งไปเมื่อวานทางไลน์โอเคไหม ฉันซึ่งอ่านไลน์ของเขาบ้างไม่ได้อ่านบ้างก็ตอบอือส่ง ๆ ไป เพราะถ้าบอกว่ายังไม่ได้ดูเลยเขาก็จะโกรธที่ฉันไม่ยอมตั้งใจอ่านข้อความของเขา ฉันเลยกะว่าจะไปอ่านทีหลังแล้วมาบอกเขาอีกที
หลังจากสปาเท้าเสร็จ ฉันก็ให้คาบุรากิทาสีเล็บเท้าให้ อันที่จริงที่นี่ก็มีบริการเพนท์เล็บ แต่สำหรับฉันที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในการจับคู่สีของตัวเองตัดสินใจมอบหน้าที่นั้นให้กับคาบุรากิ
“จะใส่รองเท้าคู่ไหนล่ะ?” คาบุรากิถาม พอฉันบอกว่ายังเลือกไม่ได้ แต่จะใส่ชุดมินิเดรสของวาเลนติโน่ที่ไปช้อปปิ้งด้วยกันวันก่อนเพราะจะไปงานกลางวัน แม้จะเป็นฤดูหนาว แต่ห้องจัดงานที่อบอุ่นนั้นก็สามารถใส่มินิเดรสกับแซนดัลส์ได้อย่างสบายมาก คาบุรากิเลยแนะนำรองเท้าแซนดัลส์ของแซงต์โลรองต์ที่ซื้อมาเมื่อครึ่งปีที่ก่อนตอนที่ไปทริปธุรกิจที่ยุโรปด้วยกันแต่ยังไม่เคยได้ใส่เลยซักครั้ง แม้ว่าคาบุรากิจะไม่ได้มีความสนใจในเรื่องแฟชั่นเป็นพิเศษ แต่เขาจำเสื้อผ้ากับรองเท้าและเครื่องประดับที่ฉันเคยใส่ได้ทุกชุด บางครั้งฉันเองยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าชุดไหนใส่ไปแล้วบ้าง ก็ต้องส่งไลน์ไปถามเขาเพื่อไม่ให้ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อด้วยชุดที่ใส่ซ้ำ
คาบุรากิเลือกยาทาเล็บสีน้ำเงินให้ ก่อนจะทาลงบนเล็บเท้าแต่ละเล็บบนเท้าของฉันที่วางอยู่บนตักของเขา แล้วก็บ่นว่ากลิ่นยาทาเล็บที่นี่แย่สุด ๆ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียบรรยากาศในห้องสปาสุดหรูที่มีกลิ่นหอม พวกเราจึงสั่งผู้จัดการให้เปลี่ยนไลน์ผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บทั้งหมดให้เป็นแบบไม่มีกลิ่นสารเคมี
นอกจากเรื่องยาทาเล็บแล้วก็ยังมีผลิตภัณฑ์สปาที่ฉันจะต้องเปลี่ยนใหม่อีกหลายตัว ดังนั้นจึงลืมเรื่องชุดแฟนซีที่เขาถามไปซะสนิท
และนั่นเป็นความผิดพลาดอย่างที่สอง
เมื่อรวมความผิดพลาดสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน คืนปาร์ตี้แฟนซีฉันเลยต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนด้วยชุดหลุยส์จิเข้าคู่กับชุดมาริโอ้ของคาบุรากิ
ตอนที่ลงมาจากรถลีมูซีนฉันก็รีบจ้ำเข้างานอย่างรวดเร็ว เผื่อว่าปาปารัสซี่จะแอบดักถ่ายรูปจากที่ไหนซักแห่ง แต่คาบุรากิกลับเข้าใจผิดว่าฉันกระตือรือล้นอยากจะเข้างานเร็ว ๆ เพราะอวดชุดหลุยส์จิให้กับทุกคน ฉันเข้าไปในงานก็เห็นบรรดาเพื่อน ๆ ของตัวเองอยู่ในชุดแฟนซี วาคาบะจังกับนายตัวสำรองอยู่ในชุดปิกะจูกับนักจับโปเกม่อน เอ็นโจกับคุณยุยโกะอยู่ในชุดเจ้าชายกับสโนว์ไวท์ ริรินะกับสามีอยู่ในชุดมาเลฟิเซนต์กับเจ้าหญิงนิทรา (ฉันแอบไว้อาลัยให้กับคุณสามีของริรินะที่ต้องแต่งชุดเจ้าหญิงนิทราฟูฟ่อง) ซากุระจังกับอาคิซาวะอยู่ในเกอิชากับซามูไร ท่านยูริเอะ ท่านไอระ ท่านพี่ และท่านอิมาริ อยู่ในชุดเจ้าหญิงและอัศวินทั้งสาม ส่วนเซริกะจัง คิคุโนะจัง อายาเมะจัง รุเนะจัง และท่านฟุยุโกะ แต่งตัวเป็นกลุ่มนักดนตรีญี่ปุ่น แล้วยังมีบรรดาเพื่อนมหาวิทยาลัยของฉันอีก ทว่าแต่ละคนแต่งตัวเป็นคอสเพลย์จากอนิเมชั่นดิสนีย์บ้าง ตัวละครเท่ ๆ บ้าง ถึงจะดูแปลกตา แต่ส่วนมากดูดีทั้งนั้น
มีเพียงคู่ฉันกับคู่ของวาคาบะจังเท่านั้นที่ดูโดดออกมาจากทุกคน แต่ถึงแม้ว่าวาคาบะจังจะแต่งตัวเป็นปิกะจู แต่ก็เป็นตัวละครน่ารัก ผิดกับฉันที่ต้องใช่ชุดเอี๊ยมสีเขียวน่าเกลียด แถมยังติดหนวดอันเบ่อเริ่ม
ทุกคนที่หันมาเห็นฉันกับคาบุรากิเดินเข้ามาก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยายามชมอย่างสุภาพ มีเพียงวาคาบะจังเท่านั้นที่ชมอย่างจริงใจ
เพราะว่าต้องติดหนวดอันใหญ่ เวลากินอะไรก็ลำบากไปหมด คาบุรากิลงทุนถึงขนาดที่ในงานมีบล๊อกเคาะเหรียญมาริโอ้แขวนไว้ บนผนังก็สกรีนรูปปราสาท ถึงจะดูบ้าบอไปหน่อย แต่อาหารในงานก็อร่อยมาก สมกับที่คาบุรากิคนช่างเลือกเป็นคนจัด
อาหารแต่ละอย่างถูกจัดไว้เป็นคำเล็ก ๆ ให้กินได้อย่างถนัด ฉันกินกุ้งคอกเทลไปหลายตัว วนเวียนอยู่ที่ชีสแพลทเทอร์อยู่นานพอสมควร ทว่างดแอลกฮอลล์เพราะยังขายหน้าไม่หายจากงานเลี้ยงคราวก่อน
ฉันคุยกับบรรดาสาว ๆ ที่ไม่ได้เจอหน้ากันพักใหญ่เพราะงานยุ่งมาก ทุกคนเองก็ต่างแต่งงานไปกันหมดแล้ว ยกเว้นท่านฟุยุโกะ แต่ท่านฟุยุโกะก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วเลยต้องกังวลอะไรมาก บรรดาเพื่อน ๆ ของฉันต่างถามถึงชีวิตของฉันกับคาบุรากิ ซึ่งฉันไม่มีอะไรโรแมนติกจะเล่าเลยซักนิด ได้แต่บอกไปว่าฉันตามคาบุรากิไปทำงานในที่ต่าง ๆ ทุกคนฟังอย่างนั้นก็ถอนหายใจ บอกว่าฉันน่าอิจฉาที่สามารถช่วยงานคาบุรากิได้ ผิดกับพวกเธอที่ส่วนมากเป็นแม่บ้าน อยู่บ้านเฉย ๆ
ฉันเองก็อยากอยู่บ้านเฉย ๆ นอนขี้เกียจไปวัน ๆ เหมือนกัน แต่ก็ยอมรับว่าการช่วยงานบ้านคาบุรากิมีส่วนช่วยให้ชะตามรณะของฉันลดลง เพราะถ้าฉันมีประโยชน์ต่อคาบุรากิ เขาคงไม่คิดจะกำจัดฉันง่าย ๆ เหมือนในการ์ตูน
ในขณะที่ฉันมองหาคาบุรากิเพราะผู้จัดการโรงแรมสาขาใหม่ในโตเกียวไลน์มาแจ้งว่าผู้รับเหมาขอเลื่อนเวลาส่งงานออกไป ก็เห็นเขายืนอยู่ตรงแถว ๆ มุมห้อง ฉันฝ่าฝูงคนไปหาเขา ทว่าก่อนที่จะได้เรียกเขา ก็เห็นภาพที่ดึงดูดความสนใจไปก่อน
นายตัวสำรองกับวาคาบะจังกำลังยืนคุยกันอยู่ พวกเขายืนใกล้กันมาก ถึงจะเป็นท่ามกลางแสงไฟสลัว ก็เห็นได้ชัยว่านายตัวสำรองหน้าแดง ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา วาคาบะจังก็พูดอะไรซักอย่าง แล้วก้าวเข้าไปจูบนายตัวสำรอง
แม้ว่าฉันที่ไปยุโรปบ่อย ๆ จะเห็นคนจูบกันกลางถนนจนชินตาแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นคนรู้จักจูบกันมาก่อน ฉันเบือนหน้าหนี แต่พอหันไปก็เจอกับคาบุรากิที่ยืนนิ่งมองพวกเขาเช่นกัน
ใบหน้าของคาบุรากินิ่งจนน่ากลัว แม้ว่าฉันจะไม่ได้เป็นนักอ่านใจเหมือนเอ็นโจ แต่ฉันกับคาบุรากิก็รู้จักกันมาตั้งแต่ประถม ซ้ำยังแต่งงานด้วยกันมาแล้วสองปี ดังนั้นฉันเลยรู้สึกได้ว่าภายใต้สีหน้านั้นของเขา คาบุรากิรู้สึกยังไง
“ไปหาอะไรกินกันเถอะค่ะ”
ฉันดึงคาบุรากิออกไปจากงานปาร์ตี้ แล้วขึ้นรถไฟไปรปปงงิ
พวกเราคือคู่สามีภรรยาที่มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น แต่ในตอนนี้ฉันกับคาบุรากิอยู่ในชุดมาริโอ้กับหลุยส์จิ ติดหนวดอันเบ่อเริ่มใต้จมูก สายตาจำนวนมากแอบมองพวกเรา แต่ไม่มีใครจำได้เลยซักคน พอลงจากสถานีรถไฟ ฉันก็พาเขาเข้าไปกินในร้านอิซาคายะ คาบุรากิไม่แตะอะไรเลยซักนิด ในขณะที่ฉันกินอยู่คนเดียว
เขาไม่ได้พูดอะไร ฉันเองก็ไม่ได้บังคับให้เขาพูด พอกินเสร็จฉันก็พาเขาไปเดินเล่น ตลอดเวลาฉันจับมือเขาไว้แน่น เพราะกลัวว่าเขาจะแอบหนีไปสถานที่ฆ่าตัวตายเหมือนอย่างตอนที่อกหักจากท่านยูริเอะ
เพราะว่าเขาไม่ยอมพูด ไม่ยอมกิน ไม่ยอมดื่มเหล้า ไม่ยอมร้องไห้ ฉันเลยทำมันทุกอย่างแทนเขา ฉันพาเขาแวะเข้าไปกินร้านอิซาคายะอีกร้าน แล้วดื่มสาเกที่ฉันไม่ชอบเลยแม้แต่น้อยเพราะว่าในร้านนั้นไม่มีไวน์ พูดเรื่องซุบซิบไร้สาระที่อ่านจากนิตยสารแฟชั่น ต่อจากร้านอิซาคายะก็ไปบาร์ ฉันดื่มค็อกเทลไปหลายแก้วแล้วก็ร้องไห้ออกมาเมื่อนึกถึงเอ็นโจกับคุณยุยโกะ
ในตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นพวกเขาอีกแล้ว แต่เข้าใจความรู้สึกของคาบุรากิ ในกรณีของเขาน่าสงสารกว่าฉันมาก ฉันแอบชอบเอ็นโจแต่ไม่ได้แม้แต่จะสารภาพออกไปด้วยซ้ำ ได้แต่ไปไหนมาไหนด้วยกันในสถานะเพื่อน แล้วมองเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น แต่คาบุรากิพยายามฝ่าฟันเพื่อความรักของเขาอยู่นานหลายปี เขากับวาคาบะเคยคบกันในช่วงมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องเลิกกันเพราะที่บ้านไม่ยอมรับ
ฉันกินซะจนกินไม่ไหว จากที่ลากคาบุรากิก็ต้องเป็นฝ่ายให้เขาประคอง หมวกหลุยส์จิหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ หนวดเองก็ถูกฉันขว้างทิ้งไปนานแล้วเพราะเกะกะเวลากิน ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ฉันไม่อยากให้ใครเห็นทั้งนั้นเพราะคาบุรากิ เรย์กะ มาดามน้อยของบ้านคาบุรากิ กำลังโก่งคออ้วกอยู่ที่อ่างล้างมือของบาร์ในย่านรปปงงิ คาบุรากิตามมาช่วยจับผมของฉันไม่ให้ร่วงลงไปเปื้อนอ้วกแล้วคอยลูบหลังให้ แม้ว่าเขาจะต้องเข้ามาในห้องน้ำหญิงกับฉันแต่ก็ไม่มีท่าทางขัดเขินเลยแม้แต่น้อย
กว่าจะได้ออกมาจากย่านรปปงงิก็ฟ้าสาง พวกเราเรียกรถจากที่บ้านมารับ ฉันเองพอได้อ้วกจนหมดท้องก็เริ่มสร่าง ตอนที่จะแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง ฉันก็หันไปจับข้อมือของเขาไว้แน่น
“ถ้าท่านคาบุรากิอยากจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เวลาไหนก็แล้วแต่ พาฉันไปด้วยนะคะ”
คาบุรากิยิ้มเศร้า ๆ แต่พอเห็นว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยเด็ดขาดถ้าหากเขาไม่ตอบ เขาก็พยักหน้า
ในเช้าวันนั้นฉันพยายามเงี่ยหูฟังตลอด กลัวว่าเขาจะแอบหนีไปโดนไม่บอก แต่เพราะว่าฉันยังเมาอยู่ สุดท้ายก็เลยหลับไปโดยคิดว่า ถ้าเขาหายตัวไป จะเริ่มตามหาที่ไหนดี
จบ
แอบปั่นระหว่างช่วงเวลาพัก เลยมาลงได้เร็วกว่ากำหนด แต่ยังไม่เลิกงานนาจา
รีเควส n - nothing จ้า
กูรักมึงโม่งฟิค มึงอย่าปั่นมากเกินไปล่ะ พักบ้าง แต่กูตามอ่านฟิคมึงแล้วกูอยากย้ายเรืออออ กูจะเลิกเรียกว่าบากะรากิชั่วคราว มันดราม่าแต่มันก็หวานอมเปรี้ยว ได้กันเถอะะะ คาบุน่ารักชิบหายยย ดูแลเทคแคร์ดีเว่อร์ๆ (ไม่นับเรื่องชุดมาริโอ้+หลุยส์จิ กูยอม สมเป็นบากะจริงๆ 55555 )
โอ๊ยยย ตามอ่านถึงตัว M กูยอมแล้วจ้า กุยอมเปลี่ยนเรือก็ได้ถ้าคาบุแม่งจะเป็นให้ได้ทุกอย่างขนาดนี้ กระทั่งแฟชั่นดีไซเนอร์อ่ะ แต่ด้วยความเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์ มันต้องพาเรย์กะไปหัดกระโดดดึ่๋งๆ ด้วยแน่นอน 5555
กูฟินนนนน งุ้ยยย เขินตัวปริเลยอ่าา ////.,////
สามีแบบนี้หาจากที่ไหนได้บ้างค้าาา---
ฟิคน่ารักจนกูรู้สึกผิดกับฟิคที่กำลังจะลงเลยว่ะ 55555 ให้โม่งฟิค a-z ลงไปจนจบแล้วกูค่อยลงละกัน กลัวไปขัดมู้ดพวกมึง
รีเควส o - omission จ้ะ
ครบ a-z จะมี ก-ฮ มั้ย¬
คือกูไม่ได้เข้ามาประมาณอาทิตย์นึง กะจะมาแอบส่องๆ อห ตกใจมากกกกกกก รีพลายขึ้นหลายร้อย จะบอกว่ากูดีใจมากจริงๆ นะ ที่มู้เรากลับมาคึกคักแบบนี้ ขอบคุณโม่งฟิคมากที่มาเทกาวให้อาบ กูเป็นกำลังใจให้นะ อย่าหักโหมมากล่ะ!
ตัวo กูนึกถึงoppaiว่ะถถถถ พวกมึงว่าเจ้าแม่มีนมกันปะวะ
คาบุ๊..... นี่พัฒนาไปทาเล็บได้แล้วเรอะ
แต่เอาจริงๆ พอมาคิดๆดูคาบุออฟฟิเชียลเองก็คงทำได้แหงๆเรย นางมีสกิลพระเอกเทพ ทำเป็นทุกอย่าง (เอ๊ะ รึสกิลเพื่อนสาว?)
N - Nothing
สิ่งแรกที่ฉันทำหลังจากตื่นขึ้นมา คือการเดินไปเคาะห้องของคาบุรากิ
ฉันเคาะอยู่นานซะจนเกือบจะบิดประตูเปิดเข้าไปโดนพลการ ทว่าคาบุรากิเป็นฝ่ายเปิดประตูก่อน ฉันมองคาบุรากิที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์สะอาดเรียบร้อย แต่ตาของเขามีรอยช้ำเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน
“สภาพเธอดูไม่ได้เลย คิโชวอิน”
ฉันมองตัวเองที่ยังอยู่ในชุดหลุยส์จิ บนเอี๊ยมมีคราบน้ำจิ้มกระเซ็นเป็นจุด ๆ ผมยุ่งเหยิงไม่ได้หวี หน้าไม่ได้ล้าง แถมปากยังมีกลิ่นอ้วก ก็เลยไม่ได้แก้ตัวอะไรไป
“มาหนีไปที่อื่นด้วยกันเถอะค่ะ” ฉันโพล่งออกไป เพราะคิดว่าถ้าพาคาบุรากิหนีไปก่อนที่เขาจะหนีไปเอง อย่างน้อยเวลาเกิดอะไรขึ้นเขาก็ยังมีคนปลอบใจ แต่ก่อนเขายังมีเอ็นโจคอยตามตัว แต่ตอนนี้เอ็นโจก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ดังนั้นหน้าที่ดูแลเขาจึงตกเป็นของฉันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คาบุรากิจ้องฉันเหมือนฉันชวนเขาไปบุกตีปราสาทมัตสึโมโต้ หรือไปขโมยประกาศอิสรภาพของประเทศอเมริกา แต่พอเห็นฉันทำหน้าซีเรียส เขาก็ตกลง แต่บอกว่าเขาจะไม่มีทางออกไปกับฉันในสภาพแบบนี้เด็ดขาด
หลังจากที่คาบุรากิเก็บกระเป๋าตัวเองเสร็จก็มาหาฉันที่ห้อง ฉันแพคชุดชั้นในลงในถุงแล้วขอให้เขาช่วยจัดเสื้อผ้ากับรองเท้าให้ในขณะที่ตัวเองไปอาบน้ำ พอออกมาจากห้องน้ำ กระเป๋าก็ถูกรูดซิปแล้วเรียบร้อย คาบุรากินั่งเล่นโทรศัพท์ในขณะที่ฉันหาชุดใส่
“ระหว่างเดรสของคาโรลิน่า เฮอร์เรร่า กับปีเตอร์ พิลอตโต ท่านคาบุรากิว่าตัวไหนดีกว่ากันคะ?” ฉันยกไม้แขวนเสื้อขึ้นโชว์ทั้งสองตัว
คาบุรากิทำหน้าไม่โอเคกับทั้งสองชุด “หนาวจะตาย ยังจะใส่ชุดเดรสบาง ๆ อีก”
ฉันในโลกก่อนที่ใส่แต่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์มีความฝันแบบสาวน้อยว่าอยากจะเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับชุดเดรส พอทะลุมิติมาอยู่ในร่างของคุณหนูที่เหมาะกับชุดเดรสก็เลยจัดซะเต็มที่ คาบุรากิเห็นหน้าฉันแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปคุ้ยในห้องเสื้อผ้าแล้วเหวี่ยงกับเจอร์ซี่เดรสของกุชชี่ กับบอมบ์เบอร์แจ็กเก็ตขนเฟอร์ในวินเทจคอลเลคชั่นของฌอง ปอล กอติเย่ มาให้ สีขาวในหน้าหนาวทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกระต่ายขาว ถ้าเป็นเอ็นโจ เขาก็คงจะชมฉันว่าน่ารักเหมือนกระต่าย แต่อีตาคาบุรากิคนปากเสียนี่เค้นให้ตายยังไงก็ไม่มีทางชมฉันซักครึ่งคำ
พอพยายามนึกว่าลืมอะไรไปรึเปล่า ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมบอกคาบุรากิเรื่องผู้รับเหมาเลื่อนวันส่งงาน ส่วนตัวเองลืมเลือกธีมงานเลี้ยงของโรงแรมในเครือ แม้ว่าพวกเราคิดจะหนีไปเที่ยว แต่อย่างน้อยก็ต้องเคลียร์งานบางส่วนให้เสร็จก่อน ฉันบอกกับคาบุรากิเรื่องผู้รับเหมา เขาเลยโทรไปบอกผู้ช่วยว่ายังไงก็ต้องกดดันให้อีกฝ่ายส่งงานให้ทันให้ได้ เพราะต้องเตรียมโรงแรมรับแขกที่มาเยือนในโอลิมปิกปี 2020 ส่วนฉันนั่งบนเตียงเลือกธีมด้วยความร้อนรนเพราะไม่อยากให้คาบุรากิรอ น้ำจากผมที่เพิ่มสระเสร็จหมาด ๆ หยดจนแทบจะท่วมคีย์บอร์ดจนต้องเอาชายเสื้อคลุมอาบน้ำเช็ดอยู่บ่อยครั้ง คาบุรากิเห็นอย่างนั้นเลยอาสาเป่าผมให้
ฉันสาธยายวิธีการดูแลผมแล้วยกตะกร้าบรรดาเซรั่มบำรุงมาสั่งเขายาวเหยียด คาบุรากิก็สมกับเป็นคาบุรากิ เขาฟังโดยที่ไม่ต้องให้ทวนอีกรอบเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะลงมาเป่าผมของฉันในขณะที่ฉันนั่งทำงานงก ๆ
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” คาบุรากิบอกด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“แต่ว่า” ฉันเหลือบไปมองคาบุรากิ
“ฉันไม่หนีไปไหนหรอกน่า ก็สัญญาไว้แล้วนี่” คาบุรากิบอก ฉันเลยลดสปีดในการตัดสินใจเลือกชาที่จะใช้ในงานเลี้ยงช่วงกลางวัน อันที่จริงฉันยังคงติดใจชาที่ใส่ซินนามอนกับโคลฟซึ่งใช้ชงในช่วงคริสต์มาส แต่ว่าในช่วงปีใหม่ก็อยากจะเปลี่ยนเป็นชาตัวอื่น เลยตัดสินใจเลยชาที่ใส่ส้มแมนดารินแทน
กว่าจะเสร็จงาน ผมก็ฉันก็แห้งพอดี แต่มันเป็นลอนหลวม ๆ ไม่แน่นเหมือนที่ม้วนปกติ ทว่าวันนี้ไม่ได้จะออกงานสังคม ก็เลยไม่ได้แก้ทรง พอหันไปหาคาบุรากิจะถามว่าเขาอยากไปไหน ก็เห็นว่าเขามองมาด้วยสีหน้ายิ้มน้อย ๆ แบบที่แปลกตาออกไป ฉันเลยถามเขาว่าฉันดูตลกหรือมีอะไรแปลกตรงไหนรึเปล่า
“ไม่มี เธอก็ดูปกติดี ดีกว่าสภาพน่าเกลียดเมื่อกี้มาก” คาบุรากิตอบ ฉันกลอกตาใส่เขา มันก็แน่อยู่แล้ว ก่อนอาบน้ำ พอฉันเห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้วก็เพิ่งรู้ว่าผู้หญิงตอนแต่งตัวนี่ดูไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยก็ฉันคนหนึ่งน่ะแหล่ะ
“เสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ”
พวกเราขับเมอร์ซิเดสที่เตะตาน้อยที่สุดในโรงรถของคาบุรากิออกจากบ้าน ไม่รู้ว่าปลายทางจะไปที่ไหน แต่อย่างน้อย ที่ ๆ คาบุรากิจะไป เขาก็ไม่ต้องไปคนเดียว
จบ
Own.....
อัตราการแข่งขันลดลงมากเว่อร์5555
จากการอยู่ยาวเมื่อคืน พอไปนอนกูดันนอนไม่หลับ หลับลงอีกทีก็ตี 5 วันนี้ไม่มีแรงตามสตอกเกอร์แย่งชิงรีเควส กูอ่านแล้วอยากได้คาบุมาเป็นสามีอ่ะมึง ดีงามจริงๆ นะ ฟิคคู่นี้ยิ่งน้อยๆ พอมาทีจัดเต็มเฟ่อร์
กูเผลอไปสิงอีกห้องมา กลับมาก็มีอาหารแหล่ว//พนมมือ กูขอย้ำอีกครั้งว่าคาบุมึงละมุนมาก สามีมาก ว่าแต่มาขนาดนี้แล้วเจ้าแม่ไม่ต้องจัดกระเป๋าเองทั้งอันยังได้เลยมั้งเนี่ย เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วที่แท้ทรู
อ่านไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกอยากกระโดดข้ามเรือไปเรือคาบุเรย์กะ กูอยากแย่งชิงตัว w, z มากตอนนี้---
อ่านถึงตอนนี้กรุอยากตะโกนว่า"พวกแกไปแต่งงานกันเลยไป๊"ก่อนจะคิดได้ว่า เออ แต่งกันอยู่แล้วนี่นะ คาบุละมุนเวอร์อ่ะ ชอบเวอร์ชั่นนี้ 55555
O - Own
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘ครึ่งหนึ่งของทรัพย์สมบัติบนโลกนี้ถูกครอบครองด้วยคนเพียงจำนวน 1%’ และในบรรดาคน 1% ของประเทศญี่ปุ่นนั้น ฉันกับคาบุรากิอยู่บนจุดสูงสุดของคนเหล่านั้น
จริงอยู่ที่การลงทุนหลักของคาบุรากิอยู่ที่โรงแรมและอสังหา ส่วนของคิโชวอินอยู่ที่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม แต่ในความเป็นจริงพวกเราคือนักลงทุน มีอะไรที่เอาเงินลงไปแล้วได้กำไรกลับมาโดยที่คุ้มกับความเสี่ยง ก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น
ไม่ว่าจะสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านอาหาร อสังหาริมทรัพย์ การศึกษา สาธารณะสุข การเมือง ราชการ พวกเราต่างมีความเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด ไม่จากการลงทุนก็มีผลประโยชน์ได้เสียกับผู้มีอำนาจในวงการนั้น ๆ ในอดีตฉันเคยคิดว่าการเมืองเป็นที่ ๆ สกปรก แต่หลังจากที่ฉันได้ขึ้นมาเป็นมาดามน้อยบ้านคาบุรากิแล้ว ฉันก็ได้รับรู้ว่า ไม่ว่าที่ไหน อำนาจและเงินตราก็สามารถขับเคลื่อนทุกสิ่งได้ทั้งนั้น และถ้าหากว่าสามารถควบคุมการขับเคลื่อนของสิ่งต่าง ๆ ได้ ท้ายที่สุดแล้ว จะนำมาซึ่งเงินจำนวนมหาศาลที่ย้อนกลับคืนเข้าสู่กระเป๋า ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามกาลเวลา
ดังนั้น ตั้งแต่เกิดมาพวกเราก็อยู่ในกองเงินกองทอง ได้ทุกอย่างที่อยากได้ มีทุกอย่างที่อยากมี ฉันแทบไม่เคยต้องใส่เสื้อผ้าซ้ำตัว อาหารหรือของใช้ทุกอย่างที่ทางบ้านประเคนให้ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ดีที่สุด อาจจะเป็นเพราะอย่างนั้น คิโชวอิน เรย์กะ ที่อยู่ในการ์ตูนถึงเข้าใจผิดว่าคาบุรากิเป็นของเธอ
ฉันที่แต่ก่อนเคยรู้สึกอิจฉาคนรวย เพราะสำหรับพวกเขาเหล่านั้นแล้ว ไม่ว่าต้องการอะไรก็ได้มาง่าย ๆ ไม่ว่าจะของอร่อย ๆ เสื้อผ้าสวย ๆ หรือเครื่องบำรุงผิวราคาแพง แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตของฉันกับคาบุรากิกลับไม่ง่ายดายเช่นนั้น
แม้ว่าท่านแม่จะบอกว่าฉันไม่ต้องเรียนให้ได้ลำดับดี ๆ ก็ได้ เพราะสำหรับบุตรสาวตระกูลคิโชวอินแล้ว ฉันไม่จำเป็นจะต้องทำโจทย์ตรีโกณมิติได้ถูกต้อง หรือรู้ว่าเรือดำมาประเทศญี่ปุ่นในปีอะไร ขอเพียงแค่สวยน่ารัก รสนิยมดี เป็นสะใภ้ตระกูลคาบุรากิก็พอ ชีวิตของคิโชวอิน เรย์กะ ถูกขีดไว้อย่างนั้นตั้งแต่เกิดมาแล้ว
สำหรับคาบุรากิ ถึงชีวิตของเขาจะน่าอิจฉา หน้าตาดี หัวดี บ้านรวย เล่นกีฬาเก่ง เพอร์เฟคไปแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำได้ แต่ชีวิตของเขากลับถูกขีดเส้นเอาไว้อย่างเคร่งครัดไม่ต่างจากฉัน
คาบุรากิสามารถมีบ้านหลังโต มีเครื่องบินส่วนตัว มีเรือยอร์ชสุดหรู จะซื้อของแบรนด์เนมมาโยนทิ้งก็ไม่มีใครว่า แต่สิ่งที่เขาไม่สามารถมีได้คืออิสรภาพ
ราคาของอิสรภาพของฉันกับคาบุรากิแพงเสียจนไม่ว่าพวกเราจะจ่ายออกไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถซื้อได้ ในกรณีของฉันต้องโทษตัวเองที่ขี้ขลาดไม่เคยพยายามออกจากพื้นที่ปลอดภัย แต่สำหรับคาบุรากิกลับเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้อยากเบือนหน้าหนียิ่งนัก เพราะมันตอกย้ำให้เห็นว่า ความแตกต่างระหว่างชนชั้นของสังคมนั้นสามารถฉีกคู่รักออกจากกันได้ แม้กระทั่งกับคนหัวดื้อที่สุดอย่างคาบุรากิ
ทว่าแม้พวกเราจะคร่ำครวญอีกนานเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ เอ็นโจแต่งงานแล้ว ฉันแต่งงานแล้ว คาบุรากิแต่งงานแล้ว วาคาบะจังก็มีคนรักแล้ว
“ท่านคาบุรากิหิวแล้วรึยังคะ?” ฉันถามคาบุรากิที่มือข้างนึงท้าวกับขอบประตู อีกข้างจับพวกมาลัย
“เธอหิวแล้วล่ะสิ ก็เมื่อคืนอ้วกเอาที่กินออกมาทั้งหมดเลยนี่” คาบุรากิกระตุกยิ้ม ส่วนฉันหน้าแดงจัด ถ้าขืนฉันยังเป็นสาวน้อยที่ยังไม่แต่งงาน ทำตัวแบบนั้นมีหวังคงขายไม่ออกแน่ ๆ “อยากกินอะไรล่ะ?”
“แวะที่พักบนไฮเวย์ได้ไหมคะ?”
คาบุรากิพยักหน้า อีกยี่สิบนาทีพวกเราก็ถึงที่พักผ่อนกลางไฮเวย์ ฉันมองคาบุรากิที่ตอนอยู่บนรถเก๊กท่าเหม็นเบื่อ แต่ตอนได้มาเห็นร้านค้าข้างทางก็ระริกระรี้อยากจะชิมไปซะทุกอย่าง แล้วก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
ถึงแม้ว่าจะมีบางสิ่งที่พวกเราซื้อไม่ได้ แต่ไม่มีใครเกิดมาแล้วได้ทุกสิ่ง อย่างน้อย ในตอนนี้พวกเราก็สามารถมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ กับสิ่งที่เงินซื้อได้อย่างทาโกะยากิหรือยากิโทริ และสำหรับฉัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
จบ
P padre (บาทหลวง)
เอิ่มมมม 5555
P-Pretty
อย่าบอกนะว่าที่ขับรถกันคือไปเข้าวัดแล้วบอก อิสรภาพคือการละจากทางโลกนนั่นเองถถถถถถ
>>830 กูว่าถ้าเป็นเนื้อเรื่องหลักคงออกมาประมาณนั้นล่ะ อะไรคือความโชโจ มันสะกดยังไง
มีอย่างที่ไหน พระเอกอกหัก เพื่อนพระเอกขอให้ช่วยปลอบใจ แต่นางเอก(?)ดันไล่ไปโกนหัวบวช ถ้าเรื่องอื่นมันต้องเป็นอีเวนท์เยียวยาใจจนเกิดเป็นความรักแล้ว พอมาเป็นเรื่องนี้แม่ง..... 55555555
P - Padre
“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
คาบุรากิชวนฉันในขณะที่เราเดินเล่นไปตามถนนแล้วผ่านโบสถ์เก่า ๆ หลังหนึ่ง แม้ว่าฉันจะชอบสถาปัตยกรรมของตะวันตกที่ให้ความรู้สึกโรแมนติก แต่ว่าโบสถ์เก่า ๆ แบบนี้ดูเหมือนจะมีวิญญาณสิงมากกว่าเป็นที่อยู่ของพระเจ้า ทว่าพอเห็นสีหน้ากระตือรือล้นของคาบุรากิ ฉันก็ต้องพยักหน้าตกลงอย่างเสียไม่ได้
ประตูไม้เก่า ๆ ลั่นเอี๊ยดในตอนที่ผลักเข้าไป แม้จะเป็นตอนกลางวัน ด้านในโบสถ์กลับค่อนข้างมืดสลัว ฉันนึกถึงหนังผีที่เคยดูสมัยเด็ก ๆ ขึ้นมาก็ขนลุกซู่ แต่คาบุรากิกลับเดินเข้าไปได้อย่างสบายใจเฉิบ ฉันที่ไม่อยากโดนทิ้งไว้คนเดียวเลยรีบเดินตามเขา
พอเดินไปจนถึงสุดทางตรงหน้าพระเยซู คาบุรากิก็เดินขึ้นไปบนแท่นแล้วเปิดดูหนังสือไบเบิ้ลที่วางเอาไว้ใต้เท้าของรูปสลักที่ถูกตรึงบนกางเขน
“เอ่อ...กลับกันดีกว่า ที่นี่ดูไม่มีใครเลย” ฉันพยายามคะยั้นคะยอคาบุรากิ
คาบุรากิยักไหล่ “เพิ่งเข้ามาเอง แค่เดินดูคงไม่เป็นอะไรหรอก”
ฉันกำมือแบมืออยู่ซ้ำ ๆ เพื่อทำให้ตัวเองสงบลง ทว่าเงาดำที่พรวดเข้ามาทำให้ฉันกรี๊ดลั่น คาบุรากิเองก็ตกใจเช่นกันที่ฉันร้องขึ้นมา เขาเอ็ดฉันยกใหญ่เมื่อเจ้าเงาดำ ๆ นั่นเป็นแค่แมว
ฉันมองแมวดำแล้วจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คาบุรากิยังคงมุ่งหน้าเดินสำรวจโบสถ์ต่อไป พอเขาเดินเข้าไปด้านหลัง ฉันที่กลัวจนขาอ่อนจึงต้องเดินตามเขาเข้าไปด้วยเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว
แมวดำอีกตัวที่เผ่นแผล่วทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก ผงะถอยหลังหนีไปชนกับชั้นวางของด้านหลัง วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงกึงบางอย่าง พอมองที่พื้นอีกที ก็เห็นจอกที่ดูท่าทางเก่าแก่มีราคาร่วงลงบนพื้น ตัวจอกกับก้านจับหักออกจากกัน ฉันเบิกตากว้าง ตกใจที่ทำของเสียหาย
“คุณพ่อคะ” เสียงที่ดังออกมาจากห้องโถงด้านหน้าทำเอาฉันสะดุ้งอีกครั้ง ฉันมองจอกบนพื้น ก้มเก็บมันแล้วหันซ้ายหันขวาเลิกลั่กพยายามจะปกปิดความผิดเหมือนเด็ก ๆ อันที่จริงถึงแม้มันจะเป็นของเก่าแก่มีราคา แต่ด้วยฐานะของบ้านคาบุรากิในตอนนี้มีเงินซ่อมได้สบายมาก ทว่าสัญชาตญาณเก่าของฉันผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ฉันเลยลากคาบุรากิเข้าไปในห้องเล็ก ๆ เพื่อที่จะได้ซ่อนจากพยานผู้พบเห็น
เงาตะคุ่ม ๆ ที่ทอดใกล้เข้ามาทำให้ฉันคลานต่ำลง คาบุรากิกระซิบดุถามว่าฉันเล่นบ้าอะไร ฉันเอานิ้วชี้แตะปากเป็นสัญญาณให้เขาทำตัวเงียบ ๆ ตอนที่กำลังจะดึงคาบุรากิให้ย่อตัวลงซ่อนหลังผนังด้านล่างที่ค่อนข้างทึบ เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีก
“อา คุณพ่ออยู่ในห้องสารภาพบาปนี่เอง”
ฉันกับคาบุรากิมองตากันเลิ่กลั่ก ตอนนี้ทางเลือกมีอยู่สองทาง คือพวกเราออกไปด้านนอกแล้วสารภาพว่าทำจอกเงินหัก ซึ่งดูจะเป็นเรื่องน่าขายหน้ามากเพราะทำของเสียหายแล้วยังคิดจะซ่อน รู้ไปไหนก็อายไปถึงนั่น อีกทางหนึ่งคือเล่นละครตบตาอีกฝ่ายไป ซึ่งเป็นเรื่องปัญญาอ่อนที่มีแต่ในหนังเท่านั้น
หญิงสาวที่อยู่อีกด้านของกำแพงไม่ปล่อยให้พวกเราตัดสินใจ เธอนั่งลงบนม้านั่งด้านนอก แล้วเอ่ยปากต่อทันที “คุณพ่อช่วยรับฟังเรื่องของฉันหน่อยเถอะค่ะ ฉันมีเรื่องร้อนใจมากจริง ๆ เป็นเรื่องที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ ดีจริงที่มาเจอคุณพ่อในเวลานี้”
ฉันสบตากับคาบุรากิ เขาทำตาดุใส่ฉัน ก่อนจะตอบว่า “อืม” เบา ๆ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าความจะต้องแตกแล้วแน่ ๆ แต่หญิงสาวด้านตรงข้ามกลับไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
ถึงด้านบนของผนังห้องจะถูกตีด้วยไม้สานเพื่อทำให้ไม่เห็นหน้าคนสารภาพบาป ซึ่งในทางกลับกัน ทำให้ไม่เห็นคนด้านในด้วย แต่การจำเสียงบาปหลวงในย่านที่อยู่อาศัยของตัวเองไม่ได้นี่พึลึกสุด ๆ ฉันขยับปากพูดคำว่า ‘บ้าไปแล้ว’ ให้กับคาบุรากิ ส่วนคาบุรากิขยับปากตอบฉันว่า ‘เธอนั่นแหล่ะ’ ก่อนสวมบทบาทคุณพ่อ แล้วพยายามนั่งลง
ห้องสารภาพของที่นี่ถูกสร้างอย่างอัตคัตถึงที่สุด เพราะเป็นห้องขนาดหนึ่งคูณหนึ่งจุดห้าเมตรเท่านั้น ยิ่งคนตัวสูงอย่างคาบุรากินั่งลง เรียกได้ว่า หลังชนผนังด้านหนึ่ง ยังมีที่ไม่พอให้ยืดเข่าเลยด้วยซ้ำ พอคาบุรากินั่งลงมา ฉันก็ต้องเขยิบตัวเข้าไปใต้โต๊ะ นั่งบนพื้นใต้โต๊ะอันคับแคบ หน้าผากพาดหมิ่น ๆ ไว้บนพื้นที่ว่างบนเก้าอี้ตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของคาบุรากิ
ในระหว่างที่หญิงสาวอีกด้านของห้องสารภาพสาธยายว่าเธอขอโทษที่ไม่เคยมาช่วยงานที่โบสถ์เลย แต่พอมีเรื่องเดือดร้อนกลับต้องมาพึ่งคุณพ่อให้ช่วยคลายความทุกข์ในใจให้ จากนั้นก็เล่าถึงความรักต้องห้ามระหว่างเธอกับพี่ชาย ฉันก็นั่งเมื่อยขบอยู่บนพื้น มีจอกหักที่ยังคงเป็นหลักฐานอยู่คามือ คิดในใจว่าไม่น่าหาเรื่องเลย ทำไมตัวเองถึงไม่เอาจอกนั่นเก็บกลับไปไว้ที่เดิมแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ไปซะก็หมดเรื่อง
‘ขาชาแล้ว’ ฉันพิมพ์ใส่โทรศัพท์มือถือแล้วยื่นออกไปให้คาบุรากิอ่าน คาบุรากิสะดุ้งเฮือกเมื่อขอบโทรศัพท์ของฉันทิ่มใส่เป้ากางเกงเขา ฉันกระซิบ ‘ขอโทษ’ ไป คาบุรากิก็ล้วงมือลงมาจิ้มหน้าผากฉันให้ลงไปจากเก้าอี้ แต่เพราะว่าโต๊ะมันเตี้ยมาก หัวฉันเลยโขกกับโต๊ะดังปัง!
หญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสะดุ้ง หยุดเล่าทันทีแล้วถามอย่างเป็นห่วงว่าเป็นอะไรไหม ดูเหมือนว่าคาบุรากิจะส่งอวัจนภาษาอย่างการส่ายหน้าไปให้ เธอเลยเล่าต่อ
ฉันรับฟังความรักที่อัดแน่นในใจของหญิงสาว เริ่มต้นด้วยในวัยเด็กเธอสนิทกับพี่ชาย ในเวลาต่อมาที่เธอเริ่มโตขึ้น พี่ชายก็เริ่มกีดกันผู้ชายที่เข้ามาหาเธอ จนกระทั่งเขาสารภาพว่าหลงรักเธอมานานแล้ว และเธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าหลงรักเขาเหมือนกัน
ฉันฟังเรื่องของหญิงสาวแล้วคิดว่าดีจริง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้หลงรักท่านพี่ อันที่จริงท่านพี่กับฉันถ้านับตามวิญญาณแล้วก็ไม่ได้เป็นพี่น้องจริง ๆ แต่ถึงยังไงก็ยังมีสายเลือดเดียวกัน ซึ่งก็ผิดผีอยู่ดี
แทนที่ฉันจะได้ยินคำถามประมาณว่า ‘ฉันควรจะทำยังไงดีคะ’ หรือ ‘ท่านบาทหลวงคิดอย่างไรคะ’ หญิงสาวนอกห้องสารภาพบาปกลับเล่าต่อไปว่าพี่ชายของเธอเข้ามาในห้องนอนของเธอ จุมพิตเธอ และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละอียดถี่ยิบ ราวกับเธอกำลังอ่านนิยายอีโรติกให้กับพวกเราฟัง
ฉันอ้าปากค้าง จะเอามือยกขึ้นมาอุดหูก็ติดเข่าของคาบุรากิ ก็เลยต้องทนฟังว่ามือพี่ชายของเธอล้วงเข้าไปตรงไหนบ้าง ใส่เข้าไปกี่นิ้ว เธอเปียกขนาดไหน รู้สึกยังไง ฉันฟังแล้วอยากจะร้องไห้ เรื่องแบบนี้ถ้าเก็บไว้ฟังคนเดียวตอนอยู่ในห้องนอนก็เอ้อ...เป็นเรื่องธรรมชาติอ่ะนะ แต่มันใช่เรื่องที่จะมาสารภาพบาปให้บาทหลวงไหมล่ะ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในห้องเป็นบาทหลวงปลอม ๆ อย่างคาบุรากิอีก
ฉันจับเวลาแล้วก็พบว่าตัวเองฟังนิยายโป๊อยู่สิบห้านาทีเต็ม ๆ แทบจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ ตอนที่ครั้งแรกเสร็จแล้วยังมีต่อยกสอง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำกันแค่สองยก ถ้าขืนทำซักสิบครั้ง ฉันคงอายจนเป็นลมสลบไป
“ขอบคุณคุณพ่อมากนะคะที่รับฟัง ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องผิดบาป แต่ฉันห้ามใจไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ขอให้คุณพ่อช่วยขอร้องพระเจ้าไม่ให้ลงโทษพวกเราด้วยนะคะ”
หญิงสาวนอกห้องสารภาพจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่าฉันกับคาบุรากิยังคงตัวแข็งค้างราวกับมีคนกดปุ่มสต๊อป พอฉันพยายามจะยื่นหน้าออกไปบอกให้คาบุรากิช่วยเขยิบไปหน่อย คาบุรากิก็กดหัวฉันลงไปใต้โต๊ะทันควัน แล้วค่อย ๆ ขยับตัวก้าวออกจากเก้าอี้ ก่อนจะไปยืนตรงบริเวณประตู หันหน้าเข้าหามุมห้อง
ฉันขยับเก้าอี้แล้วค่อย ๆ คลานออกมา ส่งเสียงโอดโอยเมื่อขาชาริก เมื่อคลานออกมาได้ ฉันก็ซบตัวลงกับเก้าอี้ ปวดไปทั้งร่างเพราะขดอยู่ใต้โต๊ะเกือบยี่สิบนาที
พอมองคาบุรากิที่ยืนหันหลังให้ฉัน ตอนแรกฉันจะเอ่ยปากถามเขาว่าเป็นอะไรรึเปล่า แต่นึกขึ้นมาได้ว่าปฏิกริยาของผู้ชายที่ฟังเรื่องอย่างว่าไม่น่าจะมีอะไรอย่างอื่นนอกจาก...
ความเงียบเข้าครอบคลุมในห้อง ก่อนที่ฉันจะกระแอมออกมา ตอนแรกฉันกะจะบอกว่า ‘เชิญตามสบายนะ เดี๋ยวฉันออกไปรอข้างนอก’ แต่แค่คิดว่าถ้าต้องออกไปยืนในโบสถ์น่ากลัวคนเดียวน่ะไม่เอาเด็ดขาด พอเทคที่สองจะบอกว่า ‘นายออกไปทำข้างนอกก็ได้นะ เดี๋ยวฉันรอในนี้’ ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ การทำเรื่องแบบนั้นต่อหน้าพระเยซูนี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว เลยบอกทางเลือกสุดท้ายออกไป
“จะให้ฉันหลับตาอุดหูแล้วหันหลังให้ก็ได้นะ จะได้จัดการ—“
คาบุรากิเอี้ยวตัวมามองฉันตาเขียว ทำเหมือนสาวน้อยที่ถูกลวนลาม ฉันอยากจะบอกว่าฉันอายยิ่งกว่าเขาอีก แต่ฉันโตแล้ว ก็พอเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ อีกอย่างเราก็เป็นเพื่อนกัน เขายังเคยเห็นฉันถกกระโปรงนั่งฉี่แล้ว ทำไมฉันจะเห็นเขา—
เอ่อ คิดอีกที ไม่เอาดีกว่า
ตอนที่คาบุรากิหันมาเต็มตัว ฉันพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองมองต่ำ คาบุรากิบอกว่าพวกเราควรจะไปได้แล้ว เขาพยายามจะดึงให้ฉันลุกขึ้น ฉันลุกแล้วก็นั่งพรวดลงไป ทำเอาเขาตกใจใหญ่
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องนวดขาให้ฉันเพราะว่าฉันตะคริวกิน หลังจากออกไปจากโบสถ์นั้น พวกเราก็ไม่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่คำเดียว
จบ
Q quirt (แส้)
Q-Quibble!
กุผิดไปล้าววว (☍﹏⁰) อ่านไปถึงกับช็อคอ่ะ เชี่ยยย เอาคำนี้จริงดิ ดูอีกที อ่อ..ไม่ใช่ กูกามเองท่ดข่ะ
ตอนแรกกุเห็น Padre ก็คิดว่าจะออกมาแบบศักดิ์สิทธิ์ๆ ใสๆ ไปงานแต่ง สาบานในโบสถ์อะไรงี้ ไหงกลายเป็นอีโรติคคอมมาดี้ไปได้ 5555 คารวะโม่งฟิค
Q - Quirt
หลังจากที่ออกมาจากเหตุการณ์ที่พวกเราก็รู้ว่าอะไร ฉันกับคาบุรากิก็ขึ้นทางด่วนไปยังภูเขาฟูจิ
พวกเราไม่ได้พักโรงแรมหรูในย่านนั้น ทว่าพักในโรงแรมเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นแบบชนบทซึ่งคาบุรากิเปิดไปเจอรีวิว ในโรงแรมมีห้องพักแบบที่เป็นห้องเล็ก ๆ ในบ้าน กับบ้านหลังเล็กที่แยกออกมา แน่นอนว่าคาบุรากิผู้ไม่เคยใช้ของร่วมกับคนอื่นเลือกพักบ้านหลังเล็ก
พอไปถึงที่พัก คุณป้าที่เป็นคนดูแลก็เข้ามาต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น บอกว่าพวกเรามาได้เวลาพอดี เพราะที่นี่จะมีจัดเตรียมอาหารมื้อเย็นกับมื้อเช้าไว้ให้ และถ้าอยากให้จัดเพิ่มในมื้อกลางวันก็สามารถสั่งได้ พอเข้าไปในที่พักก็พบว่าเป็นบ้านญี่ปุ่นหลังเล็ก ๆ ที่มีห้องนอน ห้องน้ำ และระเบียงไม้ติดสวนด้านหน้า
ในห้องนอนมีฟูกหนาปูเรียงกันสองผืนบนเสื่อตาตามิ ฉันแอบโล่งใจที่หมอนเป็นหมอนแบบปกติ ไม่ใช่หมอนแข็ง ๆ ริมด้านหนึ่งตั้งโต๊ะเอาไว้สำหรับใช้ทานอาหารในห้อง ไฟก็เป็นไฟที่ดึงเชือกปิดเปิด
ฉันที่ยังปวดตัวไม่หายนอนกลิ้งเกลือกไปเรื่อย ๆ กลิ้งไปชนคาบุรากิได้หลายทีก็ถูกเขามองอย่างรำคาญแล้วถามว่าจะเอาอะไร ฉันเลยทำท่าเรียบร้อยแล้วบอกเขาว่าปวดตัว
ถึงเหตุการณ์ในโบสถ์จะไม่น่าเอ่ยถึง แต่จากประสบการณ์สยองครั้งนั้นกลับทำให้ฉันได้รู้ว่าคาบุรากินวดเก่งมาก แม้คาบุรากิจะมือเบาสุด ๆ ตอนลงเครื่องสำอางบนหน้าของฉัน แต่เวลานวดกลับกดลงไปได้อย่างพอดีราวกับคุณป้ามือนวดในร้านนวดแผนโบราณแถวบ้านในชาติก่อน กดจุดแต่ละทีก็ทำให้ร่างกายหายตึงไปเหมือนใช้เวทย์ ฉันถอนหายใจเฮือก ถ้าพนักงานสปาของโรงแรมในเครือคาบุรากินวดได้เก่งแค่ครึ่งเดียวของคาบุรากิ รายได้ที่เข้าสปาคงทะลุเป้าอย่างแน่นอน
ฉันที่ถูกคาบุรากินวดจนหลับตื่นด้วยเสียงเคาะประตู คุณป้าคนดูแลถามพวกเราว่าจะรับมื้อเย็นเลยไหม ฉันที่ท้องร้องจ๊อก ๆ ก็ตอบตกลงทันที คุณป้าเลยยกหม้อไฟมาให้
หม้อไฟที่ยกมาเป็นหม้อไฟเส้นโฮโต ซึ่งเป็นบะหมี่ชื่อดังในย่านนี้ คุณป้าบอกว่าที่โรงแรมนวดบะหมี่เองสด ๆ ทุกวัน เส้นบะหมี่อ้วน ๆ แบน ๆ เข้ากันได้ดีกับซุปผักป่าที่ใส่ผักมาเยอะมาก ดูสุขภาพดีสุด ๆ แล้วยังมีผักดองรสชาติสดชื่นมาให้เป็นเครื่องเคียง ความจริงมีซาซิมิเนื้อม้ามาด้วย แต่ว่าฉันไม่กล้ากินเนื้อม้าดิบ ๆ ก็เลยเอาลงไปลวกในหม้อไฟ รสชาติไม่เลวเลย นอกจากนี้ยังมีหมูทอดที่เนื้อหมูชุ่มฉ่ำ แป้งบางกรุบกรอบ กินกับมัสตาร์ดไม่เลี่ยนเลยซักนิด ฉันกับคาบุรากิกินข้าวเย็นอย่างแช่มชื่น กว่าจะกินหมดก็อิ่มแทบจุก ต่อจากของคาวก็มีของหวานเป็นขนมชิ้นเล็ก ๆ ที่ข้างในเป็นไส้ถั่วกวนใส่ชาเขียว รสชาติธรรมดาแต่ว่าทำหน้าตาออกมาเป็นรูปภูเขาฟูจิ ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมดีมาก
พอกินเสร็จพวกเราก็ออกไปนั่งพักให้อาหารย่อยที่ระเบียง ความจริงฉันอยากจะไปอาบน้ำนอนแล้ว แต่คาบุรากิบอกว่ากินหมูทอดเข้าไปไม่ควรนอนเลย ไม่อย่างนั้นจะปวดท้อง ก็เลยฝืนตื่นนั่งเล่นเป็นเพื่อนเขา นั่งไปก็เลื้อยไปจนหัวไปพิงไหล่คาบุรากิ แต่ไหล่ของผู้ชายช่างแข็งกระด้างเสียจนฉันสงสัยว่านางเอกในหนังโรแมนติกทำไมถึงชอบพิงไหล่พระเอกจัง เลยไปเอาหมอนมารองอีกชั้นก่อนจะนอนพิงลงไป ค่อยสบายขึ้นหน่อย
พวกเราพูดคุยกันถึงความเป็นไปได้ในการเปิดที่พักแนวคันทรี่แบบนี้ ฉันส่งเสียงฮึม ๆ แล้วบอกเขาว่าถ้าจะเปิดจริง ๆ ฉันอยากได้บ้านแบบที่มีประตูเลื่อน ดอกไม้ประดับ ภาพพู่กัน แล้วก็มีสวนแบบเซนอยู่หลังบ้าน แน่นอนว่าจะต้องมีสวนไผ่กับบ่อปลาด้วย ฉันค่อนข้างจะประทับใจบ้านใหญ่โซนที่จัดเป็นญี่ปุ่นจ๋าของคาบุรากิ ถ้าจะมีที่พักที่เป็นแบบญี่ปุ่น ก็อยากจะได้ที่พักแบบนั้น
นอกจากที่พักแบบญี่ปุ่นแล้วพวกเราก็พูดถึงที่พักแบบยุโรป คาบุรากิบอกว่าเขาอยากจะทำที่พักที่มีสนามซ้อมขี่ม้า แล้วก็ไร่องุ่น พรุ่งนี้เขาก็จะไปดูสนามขี่ม้าแถวนี้ด้วย ฉันพยักหน้า แล้วบอกเขาว่าถ้ามีไร่องุ่นก็น่าจะมีไวน์ที่ทำจากองุ่นของไร่ อันที่จริงถ้ามีคอร์สสอนทำไวน์ แล้วมีที่ให้ฝากหมัก พอหมักเสร็จก็ส่งไปให้ลูกค้าถึงที่บ้านก็น่าจะดี ฉันเองก็อยากจะลองหมักไวน์ด้วยตัวเองเหมือนกัน
คาบุรากิบอกว่าน่าจะยาก เพราะไวน์เป็นเครื่องดื่มที่ละเอียดอ่อน ถ้าขืนมือสมัครเล่นทำน่าจะดื่มไม่ได้เอา แต่เขาชอบความคิดของฉันตรงที่เอาองุ่นจากในไร่มาผลิตไวน์
นั่งคุยกันจนอาหารย่อยฉันกับคาบุรากิก็ผลัดกันไปอาบน้ำแล้วเข้านอน เนื่องจากพรุ่งนี้พวกเราต้องไปสนามม้ากันต่อ
แม้ว่าท่านพี่กับท่านอิมาริจะเป็นนักขี่ม้าตัวยง แต่ฉันกลับไม่เคยลงสนามขี่ม้าเลยซักครั้ง เพราะฉันไม่ค่อยถูกกับสัตว์เท่าไหร่
“เพราะว่าโดนกวางกัด แล้วก็โดนนกอึใส่สินะ”
“อ..เอ๋?!! เห็นด้วยเหรอคะ” ฉันตะลึง หมดกัน ภาพลักษณ์ของฉัน แม้แต่ตอนสมัยมัธยมก็ไม่เหลือหลอเหรอเนี่ย
คาบุรากิยิ้มตาโค้งเป็นสระอิเหมือนนึกเรื่องตลก ๆ ออก ฉันเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องของฉันอย่างแน่นอน เขาสั่งให้ฉันฝึกขี่ม้าตั้งแต่เบื้องต้น เริ่มจากการสวมอานและบังเหียน ฉันคิดว่าไหน ๆ คาบุรากิก็อุตส่าห์เตรียมชุดขี่ม้าเต็มยศมาให้ฉัน แถมฉันก็เปลี่ยนใส่ชุดนั้นแล้ว จะลองดูก็ไม่เสียหาย
เจ้าม้าตัวที่คาบุรากิเลือกให้ฉันดูน่าหมั่นไส้มาก เพราะแบ่งแยกชนชั้นอย่างเห็นได้ชัด กับคาบุรากิมันดูเชื่องมาก แต่กับฉันมันกลับมองด้วยสายตาหวาดระแวง
“เพราะเธอทำท่ากลัว ม้ามันก็เลยกังวลยังไงล่ะ” คาบุรากิบอก แต่ฉันกลัวจริง ๆ นี่ เพราะม้าตัวใหญ่เบ่อเริ่ม แถมถ้าโดนมันถีบเอา ไม่ใช่แค่เจ็บ แต่อาจถึงตาย
หลังจากฟัดกับอุปกรณ์สำหรับการขี่ได้พักใหญ่จนสวมอานม้าได้ไม่ผิดด้านแล้ว คาบุรากิก็หยิบแส้ขึ้นมา แม้ว่าฉันจะรู้ว่ามันเป็นแส้ที่ไว้ใช้สำหรับบังคับม้า แต่คาบุรากิที่ถือแส้แล้วสะบัดหวดอย่างคล่องแคล่วช่างดูเหมือนราชินียิ่งนัก
คาบุรากิสอนให้ฉันใช้แส้ แต่เขาบอกว่าปกติแค่แตะเบา ๆ ม้าก็กลัวแล้ว ไม่ต้องหวดก็ได้ แต่เขาอยากให้ฉันฝึกไว้ แส้แรกที่ฉันหวดออกไป ผิดทิศไปหน่อยเลยฟาดโดนคาบุรากิ เขาทำตาเขียวแล้วขยับถอยห่างออกไป แส้ที่สองก็ดันโดนอีก
“นี่เธอจงใจรึเปล่าเนี่ย”
คาบุรากิถามตาขวาง ๆ มือลูบป้อย ๆ บริเวณที่โดนแส้หวด ฉันยิ้มกะเรี่ยกะราด ไม่กล้าหวดแส้ออกไปอีก
หลังสอนวิธีบังคับเดิน ไปซ้าย ไปขวา หยุด คาบุรากิก็ให้ฉันเหยียบโกลนขึ้นไปนั่ง แล้วพาจูงเดินไปรอบ ๆ อันที่จริงการขี่ม้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน พอฉันขี่ไปได้ซักพัก เขาก็ไปขี่ม้าของตัวเองแล้ววิ่งเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ม้าของฉันเองเห็นแบบนั้นก็เกิดคึก วิ่งควบตามม้าคาบุรากิ
ฉันกรี๊ดลั่น คาบุรากิชะลอม้าของตัวเองแล้วดึงบังเหียนม้าของฉันเอาไว้ มันหยุดแทบจะทันทีทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันพยายามดึงบังเหียนจนสุดแท้ ๆ
คาบุรากิถอนหายใจเฮือก บอกว่าฉันคงไม่มีโชคกับสัตว์จริง ๆ ยังดีที่ไม่ได้ตกลงมา
ในคืนนั้นฉันต้องให้คาบุรากินวดขาอีกครั้ง เพราะตอนที่ขี่อยู่ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนลงจากหลังม้ามาแล้วกล้ามเนื้อขาสั่นริก ๆ คาบุรากิบ่นว่าฉันอ่อนแอเกินไปแล้ว และเริ่มบังคับให้ฉันออกกำลังกายอีกครั้งหลังจากกลับจากทริปครั้งนี้
จบ
R radar
มีอะไรที่คาบุทำไม่เป็นมั่งเนี่ย แต่งหน้า เพ้นท์เล็บ ทำผม ไปยันนวด 555
ในตอน Q นี้กูแอบใส่ hint จากเรื่องหลักลงไป ใครหาเจอช่วยบอกกูด้วยนะคะซิส
นั่งไล่อ่านแล้วอยากกรี๊ด คาบุละมุนมากก มีแอบแฝงความแอบมองมานาน(แต่มองเพราะชอบหรือท่านเรย์กะฮาดี ) แต่กูสับสนจริง มองแบบสามีก็โคตรเทคแคร์เพอเฟค แต่ฟิลเตอร์เพื่อนสาวก็ดูหนาแน่น ทำเป็นทุกอย่างแต่งหน้าทาเล็บ เพื่อนเที่ยวผับพาเข้าห้องน้ำ เทียบเป็นป้าเป็นราชินีอีก มึงง เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วจริงๆ
คืนนี้น่าจะมาดึกๆ นะ ขับรถตะลุยข้ามภูมิภาคก่อน น่าจะลงอีกทีตอนตีหนึ่ง
*เยอะๆดิวะ
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการอ่านตอนเดิมซ้ำรอบแล้วรอบเล่า [เติมถุงกาวครั้งที่ 28]
ขอเสนอ
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับถุงกาวที่ไม่มีวันหมด ไม่เหนื่อยล้าแม้จะร้องไห้ [การเรียกร้องให้กลับมาครั้งที่ 28]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับกะละมังกาวที่กำลังจะล้นแล้วค่าาา [ทุบไหใบที่ 28]
ขอเสนอบ้างฮัฟ
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการตัดริบบิ้นเปิดโรงงานนรกกวนกาว [สาขาที่ 28]
กลับมาอีกทีมีกาววววว โม่งฟิค กูขอบคุณมึงมาก กูมีความสุขมาก ยิ้มปากถึงหูเลย ละมุนมาก โอ๊ยมีความสุขมาก
เสนอด้วยสิ 555555
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการมอมเมาลงคานจากฟิคกาว [จงดิ่มด่ำถุงที่28]
จะสังเกตว่าทุกชื่อจะมีคำว่ากาว 5555
พวกเรามาถึงจุดจุดนี้ได้ยังไง จุดที่กาวคือสิ่งขับเคลื่อนความเป็นไปของมู้
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับโรงงานผลิตกาวของเหล่าโม่ง การขึ้นคานที่ยั่งยืนของเจ้าแม่ [เสียงกรีดร้องลงแดงครั้งที่ 28]
R - Radar
สามเดือนหลังจากวาคาบะจังคบกับนายตัวสำรอง คาบุรากิก็ดูเหมือนจะตัดใจได้แล้ว และเริ่มสนใจผู้หญิงคนหนึ่ง
อันที่จริงจะเรียกว่าสนใจก็เรียกได้ไม่เต็มปากนัก เพราะว่ามันเป็นความรู้สึกเล็ก ๆ ที่แม้แต่ตัวคาบุรากิเองก็ยังคงไม่รู้ ผู้หญิงคนนั้นหรือคนอื่น ๆ รอบข้างก็ยังไม่รู้เช่นกัน
แต่เรดาร์ของฉันบอกว่า คาบุรากิกำลังสนใจผู้หญิงคนหนึ่ง และคน ๆ นั้นก็คือเธอคนนี้
อายูคาวะ ชิสึกะ เป็นลูกสาวของเจ้าพ่ออาณาจักรปศุสัตว์ญี่ปุ่น แม้ว่าอายูคาวะจะมีฟาร์มวัวจำนวนมาก แต่สิ่งที่ทำรายได้หลักของพวกเขาคือ การเพาะพันธุ์และซื้อขายม้าแข่งและบรรดาม้าขี่ของพวกเศรษฐี
เนื่องจากคาบุรากิมีโครงการที่จะทำรีสอร์ทที่มีสนามขี่ม้าและสนามแข่งโปโล ดังนั้นเขาเลยไปสนามกีฬาโปโลของบ้านอายูคาวะ คาบุรากิลงแข่งโปโลโดยอาศัยคำเชิญจากเพื่อนในวงการธุรกิจของเขาอีกที แม้ว่าคาบุรากิจะบอกว่าตัวเองเคยเล่นโปโลแค่ครั้งสองครั้ง แต่กลับทำแต้มจากทีมที่เล่นเป็นประจำได้ แม้ว่าจะไม่ชนะ แต่ก็ดึงดูดความสนใจของบรรดาพวกคลั่งโปโลได้ ยิ่งบวกกับป้ายยี่ห้อบ้านคาบุรากิ ใคร ๆ ต่างรุมล้อมเขา
เย็นวันนั้นพวกเราได้รับจดหมายเชิญจากบ้านอายูคาวะให้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของโปโลคลับ พวกเรากลับที่พักด้วยคำสัญญาจากเจ้าพ่ออาณาจักรปศุสัตว์ว่าจะพาคาบุรากิไปชมฟาร์มม้าของเขา
สองสัปดาห์ต่อมา พวกเราได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมชมฟาร์มม้าของอายูคาวะ ในขณะที่พวกผู้ชายไปดูม้า ฉันกับมาดามอายูคาวะก็นั่งดื่มชาเข้าสังคมกัน แต่อายูคาวะ ชิสึกะ กลับไม่ใช่หญิงสาวที่จะมานั่งจิบชากินขนมในที่ร่ม พอเธอได้ยินว่าคาบุรากิทำแต้มจากทีมที่พี่ชายของเธออยู่ เธอก็ท้าเขาแข่งม้า
ฉันมองคาบุรากิที่เจอคู่แข่งในด้านความเป็นเด็กไม่รู้จักโตก็ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ มาดามอายูคาวะรำพันถอนหายใจหลายต่อหลายครั้งว่าลูกสาวของเธอก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่กลับแก่นแก้วไม่สมหญิง ตัวของมาดามอายูคาวะนั้นมีร่างกายอ่อนแอ และไม่ชอบไปที่ ๆ มีคนจำนวนมาก เลยออกงานน้อยครั้ง ทำให้คุณชิสึกะออกงานน้อยตามไปด้วย มาดามเลยขอให้ฉันช่วยอบรมและแนะนำเธอให้กับผู้ชายที่ยังโสดในวงสังคมบ้าง เผื่อว่าเธอจะได้เจอชายหนุ่มที่ถูกใจแล้วทำตัวเรียบร้อยขึ้นซักที
คุณชิสึกะทำให้ฉันนึกถึงวาคาบะในเวอร์ชั่นคาบุรากิ อันที่จริงถ้าทั้งสองคนแต่งงานมีลูกด้วยกัน ลูกสาวของพวกเขาก็คงจะเป็นเหมือนคุณชิสึกะ ฉันรับปากมาดามว่าจะเชิญเธอไปงานชมดอกไม้บ้านคาบุรากิและดูแลให้เธอเข้าสังคมกับคนวัยเดียวกัน
ในเย็นวันนั้นคาบุรากิเป็นผู้ชนะการแข่งขัน เขาเล่าให้ฟังว่าชิสึกะถึงกับร้องไห้ตอนเข้าเส้นชัยหลังเขา แล้วท้าเขาแข่งอีกครั้ง แต่ก็แพ้อีกครั้ง คราวนี้เธอเลยร้องไห้หนักขึ้นไปอีก และบอกว่าจะไปซ้อมเพื่อที่วันหลังจะได้มาขอท้าแข่งอีกครั้ง
ตอนนั้นฉันได้แต่ตอบอืม ๆ แม้จะรู้สึกถึงธงมรณะลาง ๆ แต่เพราะเพลียแดด ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก
อายูคาวะ ชิสึกะ มางานชมดอกไม้ด้วยชุดยูคาตะสบาย ๆ ผิดกับบรรดาคุณหนูที่แต่งตัวกันหรูเริ่ด เธอเกาะติดฉันและคาบูรากิตลอดทั้งงานเพราะเข้ากับพวกคุณหนูคนอื่น ๆ ไม่ได้ ฉันพยายามแนะนำเธอให้รู้จักกับชายหนุ่มในวัยเดียวกัน แต่คุยกันได้พักเดียวเธอก็แอบไปหลบอยู่มุมห้องจนฉันต้องไปเก็บกลับมาบ่อยครั้ง คุณชิสึกะบอกว่าชายหนุ่มพวกนั้นขี่ม้า แต่ไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับม้าเลย เธอเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรนอกจากม้า เลยคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
สุดท้ายฉันก็ได้แต่ให้เธอตามติดฉัน เด็กสาวผิวสีแทนที่ผมเป็นสีแดงจากแสงแดดใส่ชุดยูคาตะไม่สะดุดตา พอยืนข้างหลังฉันที่แต่งกิโมโนจากห้องเสื้อที่ตัดเย็บมาให้ฉันโดยเฉพาะแล้ว คุณชิสึกะก็ดูราวกับสาวใช้ยังไงยังงั้น
คาบุรากิกับฉันไปฟาร์มม้าหลายต่อหลายครั้งเพื่อคัดเลือกลูกม้า ส่วนฉันก็พาคุณชิสึกะออกงานอีกหลายครั้ง พวกเราได้ลูกม้าที่ต้องการครบแล้ว แต่คุณชิสึกะยังไม่มีผู้ชายที่ถูกใจซักที
แล้วในวันหนึ่งของฤดูร้อน ตอนที่ฉันกำลังดื่มชาดูคาบุรากิกับคุณชิสึกะแข่งม้ากัน ฉันก็รับรู้ได้ว่า คาบุรากิชอบผู้หญิงคนนั้น คนที่หัวเราะดัง ๆ แบบไม่ปิดปาก คนที่ออกแดดทั้งวันโดยไม่กลัวผิวเสีย คนที่ขี่ม้าอย่างคล่องแคล่ว เขาชอบเธอคนนั้น เธอที่ตัวสูง แขนขายาว ดูอิสระราวกับสายลม
ฉันมองดูพวกเขาแข่งม้า และดื่มชาอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งพวกเรากลับถึงบ้าน
ในตอนที่พวกเรากำลังจะเดินแยกย้ายเข้าห้องนอน ฉันเรียกคาบุรากิเอาไว้ คาบุรากิที่เล่นในสนามแข่งทั้งวันจนผมยุ่งกว่าปกติแต่ก็ยังคงดูหล่อเหลาหันมามองฉันแล้วเลิกคิ้ว ฉันมองหน้าเขาแล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
“สิ่งที่ฉันบอกท่านคาบุรากิในคืนแต่งงาน ตอนนี้ฉันก็ยังคงยืนยันคำเดิมนะคะ”
คาบุรากิทำหน้างง เหมือนไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร เขามองหน้าฉันด้วยสีหน้า ‘เป็นบ้าอะไรของเธอน่ะ คิโชวอิน’ อย่างที่เขาชอบทำ ฉันจึงพูดต่อ
“ฉันไม่รังเกียจหรอกนะคะ ถ้าท่านคาบุรากิจะมีคนรัก ฉันจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ไม่ขัดขวางอย่างเด็ดขาดค่ะ”
คาบุรากิขมวดคิ้วแล้วทำหน้าโกรธ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างแล้วชะงักไป
เขามองหน้าฉัน ในหัวสมองบ้าบอแต่ปราดเปรื่องของเขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าของคาบุรากิเคร่งเครียดขึ้นทันที ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่รู้สึกตัวเลยซักนิดว่าตัวเองคิดยังไงกับคุณชิสึกะ
ฉันยิ้มให้กับเขา ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องของตัวเอง ตราบใดที่เรื่องนี้ไม่ไปถึงหูนักข่าว หรือรู้ไปในวงสังคม เรื่องส่วนตัวของคาบุรากิเป็นเรื่องที่เขาต้องจัดการเอาเอง ฉันไม่มีวันเอาคอไปพาดเขียง ยุ่มย่ามกับความรักของคนอื่นอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่ร่ำ ๆ จะปักธงมรณะให้ฉันได้ตลอดเวลาอย่างคาบุรากิ
หลังจากนั้น คาบุรากิก็หลบหน้าฉัน ฉันเข้าใจดีเลยไม่ได้ต่อว่าอะไร ตอนออกงานสังคม พวกเราเดินเคียงข้างกันอย่างสง่างาม แต่พอกลับถึงบ้านก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอนของใครของมัน เสมือนเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่ดี
ในคืนนี้ก็เป็นงานสังคมอีกคืนหนึ่งที่ฉันจะต้องออกไปพร้อมกับคาบุรากิ ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อคาบุรากิมาเคาะห้อง แล้วให้คุณเมดที่ทำหน้าที่แต่งหน้าออกไป ฉันยิ้มแล้วยอมรับสัญญาสงบศึกชั่วคราวของเขา งานในคืนนี้เป็นงานที่มาดามคาบุรากิเป็นคนจัด ถ้าพวกเราไม่แสดงละครให้แนบเนียน รับรองว่าไม่มีทางพ้นสายตาของมาดามอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะเป็นงานทานาบาตะ แต่ก็จัดสไตล์ยุโรป ดังนั้นฉันจึงใส่ชุดเดรสยาวสีแชมเปญของเอลี ซาบ เพราะว่าเป็นเดรสที่โชว์ไหล่และอกค่อนข้างมาก ดังนั้นเลยต้องใส่สร้อยคอเพื่อไม่ได้คอดูโล่งเกินไป
ช่วงนี้ฉันออกงานค่อนข้างบ่อย ดังนั้นเลยเอาสร้อยออกจากเซฟมาไว้ที่บ้านหลายเส้น ในขณะที่กำลังคิดว่าจะใส่เส้นไหนดี คาบุรากิก็เปิดกล่องที่เขาเอาติดมือเข้ามาในห้องด้วยต่อหน้าฉัน
ในกล่องที่บุอย่างดีคือสร้อยคอเส้นหนึ่ง มันเป็นสร้อยเพชรของคาร์เทียแบบที่ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้าน แต่มาจากงานประมูลเท่านั้น ฉันมองเพชรจำนวนมหาศาลบนสร้อยแล้วพูดไม่ออก
“ท่านคาบุรากิคะ สร้อยเส้นนี้ยืมมาจากมาดารึเปล่าคะ?” ฉันถาม อันที่จริงพอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
คาบุรากิยักไหล่ “เปล่า ฉันไปประมูลเอง”
แม้ว่าฉันจะชอบเครื่องประดับ แต่ที่มีอยู่ก็มากพอใส่เวียนได้ไม่ซ้ำทั้งปีแล้ว หากเป็นสร้อยเส้นเล็ก ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่สร้อยชุดใหญ่ขนาดนี้เห็นแล้วรู้สึกปวดใจ
“ประมูลมาเท่าไหร่คะ?” ฉันถาม ใจหนึ่งอยากรู้คำตอบ อีกใจไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่
”เจ็ดล้านกว่า” เขาตอบราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันสูดหายใจเฮือก เงินเจ็ดล้านกว่าดอลล่าร์ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ ฉันมองเครื่องเพชรที่หนักเกือบสองร้อยกะรัตแล้วรู้สึกเหนื่อยใจ เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำ ในเมื่อเงินก็ไม่ใช่เงินของฉัน แล้วจะเดือดร้อนไปทำไมกัน
คาบุรากิสวมเครื่องเพชรให้ฉัน ฉันมองกระจกแล้วคิดว่าแค่สร้อยเส้นเดียวก็เหลือแหล่ ไม่ต้องมีเครื่องประดับอะไรอีก เลยทำผมง่าย ๆ คาบุรากิแต่งหน้าต่อจากคุณเมดให้กับฉัน ก็เป็นอันว่าพร้อมออกงาน
พวกเราไปงานทานาบาตะที่โรงแรมในเครือของคาบุรากิ มาดามเดินเข้ามาหาฉันทันทีที่พวกเราเดินเข้างาน เธอชมฉันว่าเหมาะกับสร้อยเพชรเส้นนี้มาก ไม่เสียแรงที่เธออุตส่าห์บินไปประมูลเป็นเพื่อนคาบุรากิ
ฉันยิ้มขอบคุณมาดาม แล้วบ่นเสียดายเงิน แต่มาดามบอกว่าคาบุรากิอยากให้ของขวัญฉัน เงินแค่นี้เป็นเงินเล็กน้อยเท่านั้น ฉันที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งปีควรจะได้อะไรตอบแทนบ้าง
พวกเราเข้าไปยังงานเลี้ยงในห้องโถงที่ค่อนข้างกว้าง ด้านหนึ่งเป็นมุมอาหาร อีกด้านเป็นฟลอร์เต้นรำกับแกรนด์เปียโน ฉันเจอคนรู้จักหลายคนในงาน รวมถึงเอ็นโจด้วย จนแล้วจนเล่าเอ็นโจก็ยังไม่ทิ้งนิสัยปากหวาน เขาชมฉันอยู่หลายคำ บอกว่าฉันสวยที่สุดในงาน ถ้าเขาเป็นหนุ่มเลี้ยงวัวก็คงจะปวดใจที่ได้เจอฉันแค่ปีละครั้ง
ฉันทำเป็นไม่ได้ยินคำชมนั่น นับวันเอ็นโจก็ยิ่งเจริญรอยตามท่านอิมาริเข้าไปทุกที เจอหน้าทีไรก็เอาแต่ป้อนคำหวานใส่ ดีที่ฉันยังจำได้ว่าเขามีคุณยุยโกะอยู่แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเท่าไหร่นัก
คาบุรากิหายจากข้างตัวฉันไปคุยธุระ ฉันกวาดสายตามองหาเขาแต่ดันไปเจอกับคุณชิสึกะเสียก่อน
คุณชิสึกะโบกมือให้ฉันแล้วเดินเข้ามาหาอย่างกระตือรือล้น ฉันยิ้มบาง ๆ รับคำชมของเธอ วันนี้คุณชิสึกะใส่ชุดเดรสสีชมพูดูสมหญิงขึ้นมาหน่อย อันที่จริงพอแต่งตัวแล้วเธอก็จัดได้ว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง
ไฟที่ดับลงอย่างกระทันหันก่อให้เกิดเสียงพึมพำไปทั่ว และสปอร์ตไลท์ที่ส่องลงบนเปียโนทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
คาบุรากิที่นั่งอยู่หน้าแกรนด์เปียโนสีดำมันวับเป็นภาพที่ชวนให้หยุดหายใจ เสียงฮือฮาเงียบลงเมื่อเขาจรดนิ้วลงบนคีย์เปียโน
แม้ Piano Concerto หมายเลขสองของโชแปงจะเป็นเปียโนที่ใช้บรรเลงคู่กับออเครสต้า แต่พอคาบุรากิเป็นคนเล่น มันกลับงดงามสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีวงออเครสต้าเปิดนำเลยด้วยซ้ำ ฉันยืนมองเขาที่ดีดเปียโนแล้วรู้สึกแน่นในอก ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นแรกของโชแปงที่แต่งให้กับหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาแอบรัก แต่เธอแต่งงานไปซะก่อนที่เขาจะได้บอกความในใจ
ฉันสงสัยว่าเขามอบมันให้ใคร ระหว่างวาคาบะจังหรือคุณชิสึกะ ทว่าไม่ว่าเขาจะมอบมันให้ใคร แต่ในตอนนี้ฉันทำแค่ดื่มด่ำกับคีย์โน๊ตที่แสนละมุนละไมหวานใสนั่น ซาบซึ้งจนรู้สึกเหมือนน้ำตาจะเอ่อออกมาที่ขอบตา
สิ้นสุดโน๊ตตัวสุดท้าย ห้องโถงทั้งห้องก็เงียบกริบคล้ายยังไม่หลุดออกจากมนต์สะกดของเสียงเพลง กระทั่งคาบุรากิลุกขึ้น เสียงปรบมือถึงดังสนั่น ฉันเองก็ปรบมือให้เขาจากใจจริงเช่นกัน
ไฟในห้องโถงยังไม่สว่าง แสงสปอร์ตไลท์ส่องตามคาบุรากิที่เดินเข้ามาหาฉัน เขาหยุดยืนต่อหน้า ก่อนจะยื่นมือให้กับฉัน
ฉันส่งมือให้เขาโดยอัตโนมัติ จนเขาจูงพาฉันไปยังฟลอร์เต้นรำนั่นแหล่ะ ฉันถึงเพิ่งจำได้ว่าในงานวันนี้พวกเราก็เป็นหนึ่งในแม่งาน ฉันกับคาบุรากิจำเป็นต้องเต้นเปิดงานเพื่อให้ทุกคนได้เต้นต่อ
ในขณะที่พวกเราเต้นรำกันบนฟลอร์ เขาถามฉันว่าเพลงที่เขาบรรเลงเป็นยังไงบ้าง ฉันบอกว่ามันงดงามที่สุดแม้ว่าจะไม่ได้เล่นกับวงออเครสต้าก็ตาม
“อืมม์ เธอชอบโชแปงนี่” เขาพึมพำ แต่ฉันไม่ได้ฟัง เพราะมัวแต่มองไฟสปอร์ตไลท์ที่ค่อย ๆ หรี่ลง แต่มีไฟดวงเล็ก ๆ คล้าย ๆ หิ่งห้อยลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวแทน ฉันเบิกตากว้าง เอื้อมมือจะไปคว้าแต่ก็พบว่ามันเป็นแค่แสงไฟ ไม่ใช่ตัวหิ่งห้อยจริง ๆ “ถ้าเป็นไฟแบบนี้ ก็หนีไปไหนไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
ฉันงงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะพ่นลมหายใจพรืดออกมา คาบุรากิยังอุตส่าห์จำได้ว่างานทานาบาตะของบ้านคาบุรากิที่ฉันไปครั้งแรกนั่นน่าขายหน้าสิ้นดี เพราะหิ่งห้อยดันหนีฉันเหมือนฉันเป็นตัวน่ารังเกียจ
คาบุรากิมองหน้าฉันแล้วก็ยิ้ม ๆ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง
“ฉันเองก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่า ในระหว่างที่เธอยังใช้ชื่อคาบุรากิ ฉันจะไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด”
ฉันมองหน้าเขา รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
“แต่ท่านคาบุรากิชอบเธอ”
คาบุรากิส่ายหน้า “ตำแหน่งภรรยาของฉันเป็นของคิโชวอิน เรย์กะ ไม่สิ เป็นของคาบุรากิ เรย์กะ แล้วมันก็จะเป็นแบบนั้น จนกว่าเธอจะเปลี่ยนใจ”
ฉันหัวเราะ ก่อนจะบอกเขาว่า ถึงเขาจะน่ารำคาญไปซะหน่อย แต่ก็เป็นรูมเมทสารพัดประโยชน์ เพราะฉะนั้นฉันไม่มีวันปล่อยเขาไปง่าย ๆ เหมือนปล่อยหิ่งห้อยอย่างแน่นอน
จบ
S- Secret
ขอบคุณโม่งฟิค อุตส่าห์มาลงให้
ตอนนี้แอบหน่วงๆไงไม่รู้ แต่จบได้น่ารักอบอุ่นดี
ฮือๆๆๆ หวังว่าคาบุจะไม่ไปชอบใครแล้ว สงสารเรย์กะ
ท่านเรย์กะจะไม่หวั่นไหวหน่อยเหรอค้าาาา เพื่อนสาว แค่ก สามีทำถึงขนาดนี้แล้วว
เป็นกูนี่คงละลายลงไปกองกับพื้นเรียบร้อย ท่านเรย์กะน่ะมีภูมิต้านทานแข็งแกร่งเกินไปแล้วนะ! ส่วนคาบุน่ารักเกินไปแล้ว ใจบ่ดี ;;----;;
มันหน่วงแบบไม่แน่ใจว่าคาบุมันไม่ได้เลยพูดแบบนั้นไปหรือจงใจพูดแบบนั้นว่ะ...แต่ถ้าชอบชิสึกะจริง ขอแค่ทำตัวเป็นเพื่อนสาวที่ดีอยู่ก็พอโอเคอ่ะนะ
ขอบคุณโม่งฟิคมากๆๆๆ พักผ่อนเยอะๆนะมึง โหมลงขนาดนี้กูเป็นห่วง
ความจริงตอนนี้ไม่ว่าบากะรากิจะเป็นแค่เพื่อนสาวหรือคิดเกินเพื่อน อยากเป็นสามีเจ้าแม่จริงๆกูก็โอเคหมดเลยนะ น่ารักทั้งสองแบบ
ความจริงฟิคนี่เพิ่งเริ่มตัว A ไม่นานเองนะ แป๊บๆจะถึงตัว Z ละ โม่งฟิคขยันจริงไรจริง //จบ Z แล้วมีใครอยากต่อ ก - ฮ ไหมคะ
ตัว s ล่ะอ่อ ใจบางแล้ว ;w; อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆจัง
ก - ฮ นี่หลายตอนเลยนา เกรงว่าคงรีเฟรชทั้งวันทั้งคืนไม่ได้นอนกันแล้ว5555
S - Secret
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่แล้วฉันดูภาพยนตร์วินเทจเรื่องหนึ่งซึ่งฉายทางทีวีที่เปิดทิ้งไว้ตามข่าวสารในวงการแฟชั่นของยุโรป ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเรื่องนั้นเรื่องอะไร รู้แต่ว่านางเอกใส่ชุดเดรสผ้าไหมแบบไมโครมินิแล้วดูน่ารักเซ็กซี่มาก ตอนที่ท่านอิมาริร่อนจดหมายเชิญร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลริมสระน้ำในตอนค่ำ ฉันก็เลยออกไปช้อปปิ้งเสื้อผ้าแล้วซื้อเดรสผ้าไหมของแซงค์ โลรองต์ มันเป็นชุดเดรสแขนกุดสีบรอนซ์หรูหรา อกเสื้อค่อนข้างลึกไปซักหน่อย กระโปรงก็สั้นไปซักนิด แต่ในงานเลี้ยงมีแต่คนในวัยเดียวกันกับฉัน ไม่มีพวกผู้ใหญ่เคร่งมารดาท ดังนั้นชุดนี้ถือว่าใส่แล้วดูเก๋ราวกับนางแบบ เหมาะกับโอกาสมาก ๆ
เนื่องจากตอนซื้อชุดฉันไม่ได้หนีบคาบุรากิไปด้วย แถมยังไม่ได้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตอนแต่งตัวออกงานจริงเลยเจอปัญหาใหญ่
เดรสของพวกดีไซน์เนอร์ส่วนมากอกเสื้อค่อนข้างแหวก ดังนั้นฉันเลยมีบราซิลิโคนไร้สายติดตู้ไว้เยอะพอสมควร ข้อดีของบราซิลิโคนคือทำให้หน้าอกดูสวยมาก ๆ แต่ไร้รอยตะเข็บเหมือนไม่ได้ใส่บรา แต่จะเป็นปัญหาใหญ่ถ้ารีไซเคิลหลายครั้ง เนื่องจากความสามารถในการเกาะติดผิวจะลดลง ฉันไม่อยากคิดเลยว่าจะทำยังไงถ้าจู่ ๆ บราหลุดโพล๊ะ แล้วหล่นลงไปตรงเอวกลางงานเลี้ยงในระหว่างที่พูดคุยอย่างออกรสกับแขกเหรื่อ โชคดีที่เครดิตการ์ดของคาบุรากิไม่จำกัดวงเงิน ดังนั้นซิลิโคนบราที่ฉันใช้เลยใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ส่วนด้านล่าง ปกติแล้วตอนใส่เดรสผ้าไหมฉันจะใส่กางเกงสแปนเด็กซ์ที่ยืดได้ดีแทนกางเกงชั้นใน เพราะหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของกระโปรงผ้าไหมคือรอยขอบกางเกงที่จะประกาศให้โลกรู้ว่า ฉันใส่กางเกงในทรงไหน หรือเนื้อล้นจากขอบกางเกงในออกมาเท่าไหร่ ซึ่งให้ตายยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมกลายเป็นที่ซุบซิบนินทาในวงสังคมเด็ดขาด
ในคืนนี้ฉันก็คิดจะใส่กางเกงสแปนเด็กซ์ข้างใต้กระโปรงเหมือนเดิม แต่ติดว่า ชุดที่ซื้อมาค่อนข้างสั้น ไม่ต้องทำอะไรก็เห็นชายขากางเกงโผล่ออกมา ดึงขึ้นให้สั้นลงก็ไม่ได้อีก เพราะจะเห็นรอยย่น ๆ ของกางเกง ซึ่งยิ่งอุบาวท์เข้าไปใหญ่
ฉันมองภาพตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกสยอง ฉันมีทางเลือกอยู่สองทางคือ ขอให้คาบุรากิมาเลือกชุดชั้นในที่เห็นรอยน้อยที่สุดให้ หรือพิมพ์หาคำตอบในกูเกิ้ล ฉันเลยเลือกอย่างหลัง
ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่กล้าไม่ใส่ชุดชั้นในถ้าสวมเดรสสั้นขนาดนี้ ฉันเลยคุ้ยตู้เสื้อผ้าดูว่าตัวเองมีกางเกงในจีสตริงที่พอดีตัวรึเปล่า คุ้ยไปคุ้ยมาปรากฏว่าอันที่จริงฉันก็มีกางเกงในเซ็กซี่กับเขาเหมือนกัน
ฉันทดลองใส่กางเกงในจีสตริงแล้วมองกระจกอย่างประหลาดใจ ในตอนแรกฉันกลัวสายจีสตริงจะรัดจนเห็นเนื้อปลิ้น ๆ แต่จีสตริงตัวที่ซื้อมาพอดีเป๊ะ ออกจากค่อนข้างหลวมนิดหน่อยด้วยซ้ำเพราะว่าคาบุรากิบังคับให้ฉันลดน้ำหนักได้สำเร็จไปขั้นหนึ่ง ถึงจะแอบหวิว ๆ ที่ใต้กระโปรงไปนิด แต่ช่วงสะโพกที่สมูทไร้ตะเข็บชั้นในทำให้ฉันพอใจมาก ฉันเลยรีบออกไปหาคาบุรากิที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น
คาบุรากิขมวดคิ้ว “ชุดนั่น ไม่เซ็กซี่ไปหน่อยสำหรับเธอเหรอ?” ฉันบอกว่าฉันอายุ 25 แล้ว จะให้ใส่ชุดดอลลี่เกิร์ลฟูฟ่องตลอดเวลาก็รู้สึกน่าเบื่อเกินไป อีกอย่างชุดนี้ก็สวยมากด้วย พอแต่งหน้าแบบอายไลน์เนอร์เป็นตาแมว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางเอกภาพยนตร์ในยุคเก่า ผิดแต่คาบุรากิไม่ได้พาฉันนั่งรถคาดิแลคสีขาว ทว่านั่งบูกัตติไป ซึ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน
ทุกอย่างในคืนนี้น่าจะเพอร์เฟค ถ้ากางเกงในจีสตริงของฉันไม่เสียดสีร่องก้นและขอบเนื้ออ่อน ๆ บริเวณรอยต่อขาในเวลาเดิน จนอยากจะกลับไปเปลี่ยนเป็นกางเกงในปกติตลอดทุกสามสิบวินาที แต่เพื่อความงามแล้ว ฉันที่มีสายเลือดของท่านแม่จึงยอมเสียสละความสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เดรสผ้าไหมออกมาเพอร์เฟคที่สุด
ท่านพี่ออกมารับฉันที่ตั้งแต่หน้างานแล้วโอบไหล่พาฉันเดินเข้าไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เจอกับท่านอิมาริ ท่านอิมาริทำท่าจะกอดฉัน แต่ท่านพี่ส่งสายตาพิฆาตไปให้ ท่านอิมาริเลยได้แต่ชมฉันว่าฉันโตขึ้นแล้วสวยมากจริง ๆ ชุดนี้ก็เข้ากับฉันมาก ฉันดูเหมือนนางเอกฮอลลีวู้ดทรงเสน่ห์ พร้อมกับประคองมือของฉันขึ้นจูบข้อนิ้ว ชมฉันอีกยาวเหยียดเป็นภาษาฝรั่งเศส ฉันรู้สึกเคลิบเคลิ้มซะจนเกือบเข่าอ่อนร่วงลงไปในอ้อมกอดของท่านอิมาริ แต่ท่านพี่เตะหวดเข้าไปที่หน้าแข้งของท่านอิมาริเต็มเหนี่ยว แล้วพาฉันเดินเข้างานไปปล่อยไว้รวมกับบรรดาสาว ๆ ขาเมาท์ของวงสังคม
ทุกคนต่างชมฉันว่าเดรสชุดนี้เหมาะกับฉันมาก ฉันเองก็ยิ้มรับน้อย ๆ รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่อุตส่าห์ออกไปช้อปปิ้งตามนางเอกในเรื่อง ทว่าปัญหาเพียงอย่างเดียวคือกางเกงในจีสตริงที่สีไปมาทำให้ช่วงล่างที่เพิ่งไปแว็กซ์ออกจนเกลี้ยงแสบซะจนรอยยิ้มของฉันไม่เป็นธรรมชาติซักเท่าไหร่
สามทุ่มสิบห้านาทีใครซักคนชวนฉันไปหาเพื่อนที่เป็นลูกสาวนักลงทุนจากต่างประเทศ ฉันสูดหายใจลึกแล้วเดินไปหาเธอด้วยท่าทางที่สง่างามที่สุด แต่ในใจกรีดร้องสามสิบรอบ
สามทุ่มสี่สิบสองนาที มีคนเปิดไวน์ที่ฉันชอบ แต่ฉันไม่มีกะใจจะดื่ม เพราะเส้นเชือกของเกงเกงในเสียดสีเนื้ออ่อน ๆ สร้างความรำคาญจนแทบบ้า
สี่ทุ่มสิบนาที ฉันขอตัวจากนักธุรกิจหนุ่มหลายคน แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดระเบียบกางเกงใน ก่อนจะออกมาด้วยความรู้สึกแสบไม่ต่างไปจากก่อนเดินเข้าไป
สี่ทุ่มยี่สิบสามนาที ฉันเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง แล้วจัดกางเกงในอีกรอบ เสียใจที่ตัวเองพกแค่โทรศัพท์มือถือมา ไม่ได้พกแป้งฝุ่นมาด้วย
สี่ทุ่มห้าสิบนาที ท่านพี่มาพาตัวฉันออกจากวงพวกผู้ชายที่อยากจะรู้เกี่ยวกับโรงแรมของคาบุรากิ ฉันเลยถือโอกาสโฆษณาเต็มที่ พวกเขารับปากว่าจะไปลองใช้บริการอย่างแน่นอน
ห้าทุ่มสองนาที ฉันถามคาบุรากิว่าเราจะกลับบ้านกันได้รึยัง คาบุรากิที่ติดพันกับการคุยเรื่องธุรกิจถามฉันอย่างเป็นห่วงว่าฉันไม่สบายรึเปล่า แต่ฉันบอกไปว่าฉันไม่ได้ไม่สบาย และกลับเข้าห้องน้ำไปจัดกางเกงในอีกครั้ง
ห้าทุ่มสามสิบเอ็ดนาที ฉันยืนฟังบรรดาสาว ๆ พร่ำเพ้อเกี่ยวกับท่านอิมาริ คิดในใจว่าทุกคนในนี้น่ะหมดสิทธิ์ ท่านอิมาริน่าจะเป็นพี่เขยของฉันอย่างแน่นอน
ห้าทุ่มห้าสิบห้านาที ฉันตัดสินใจเข้าห้องน้ำไปถอดกางเกงใน ตอนแรกกะจะปาทิ้งในถังขยะห้องน้ำ แต่ถ้าคุณเมดมาเจอเข้าคงเป็นข่าวฉาวแน่ ๆ ฉันเลยกำกางเกงในตัวจิ๋วเอาไว้ในมือ แล้วเดินตรงไปหา ‘กระเป๋า’ ของฉัน
เที่ยงคืนตรง ฉันเดินไปประกบกับคาบุรากิ แล้วเขย่งตัวกระซิบบอกเขาว่า ฉันฝากของหน่อย ก่อนจะสอดกางเกงในเจ้าปัญหาลงไปในกระเป๋าเสื้อสูทของเขา คาบุรากิดูสมาธิไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ เขาขมวดคิ้วแล้วล้วงมือลงมาในกระเป๋าเสื้อสูทที่ฉันฝาก ‘ของ’ เอาไว้ พอสัมผัสได้ถึงของในนั้น เขาก็ชะงัก
สายตาของคาบุรากิมองมาที่มือของฉันซึ่งมือหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ อีกมือกอดเอวเขาไว้ จากนั้นมองลงมาที่กระโปรงของฉัน
เนื่องจากฉันไม่ได้เอาอะไรติดตัวเข้างานมานอกจากโทรศัพท์มือถือ บวกกับสัมผัสที่ได้จากกระเป๋าสูท ไม่ต้องให้บอกว่าอะไร คนหัวดีอย่างคาบุรากิก็คิดออกทันที ฉันแทบจะเห็นพัฒนาการความคิดของเขาได้จากหน้าที่แดงขึ้นเรื่อย ๆ เห็นเขาหน้าแดง ฉันก็อดหน้าแดงตามไปด้วยไม่ได้
“ฉันจะไม่มีวันซื้อกางเกงในยี่ห้อนี้อีกเด็ดขาด“ ฉันกระซิบข้างหูคาบุรากิเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน คาบุรากิหันมามองฉัน มองต่ำลงไปที่กระโปรง แล้วกระซิบที่ข้างหูฉันว่าเขาเสร็จธุระแล้ว พวกเราควรจะกลับบ้านเพราะดูเหมือนฉันจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
ตอนที่จะก้าวขึ้นรถ คาบุรากิถอดเสื้อสูทปิดขาฉันไว้เพราะบูกัตติโหลดต่ำ ขืนขึ้นรถไม่ดีมีหวังเห็นไปไหนต่อไหน เขาสั่งให้ฉันคลุมขาด้วยเสื้อนอกของเขาตลอดเวลาที่อยู่บนรถ ตอนที่กลับถึงบ้านคาบุรากิก็ถามออกมา
“เธอเดินตัวเปล่าอย่างงั้นตลอดทั้งงานเลยเหรอ คิโชวอิน”
ฉันบอกเขาว่าฉันเดินใส่ไอ้กางเกงในบ้านั่นตลอดทั้งงาน แสบจนทนไม่ไหวแล้วจึงถอดมาฝากเขา ถ้าเขาไม่พากลับ ฉันก็คงต้องเดินแบบนั้นทั้งงาน
คาบุรากิทำท่ากลุ้มใจ แล้วบอกฉันว่าเขาจะพาฉันไปช้อปปิ้งชุดชั้นในที่ใส่แล้วไม่เห็นรอย ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ชุดชั้นในสำหรับออกงานทั้งคอลเล็คชั่นของฉันก็ได้คาบุรากิเป็นคนอนุมัติ แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับของฉันกับคาบุรากิเท่านั้น
จบ
แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ละมุนมาก หน่วงมาก ฮืออออออออออออออ
คือถ้าเป็นคู่อื่นทำแบบนี้มันคือชวนขึ้นเตียงแล้วมะ อย่างยั่วเลยนะ ทำไมพอเป็นอิคู่นี้แล้วกลายเป็นตลกคาเฟ่ ฮือ 555555555555555555555555555
กูไม่อยากจะคิดว่าถ้ามันหล่นกลางงานจะเกิดอะไรขึ้น5555555555555555
ท่านประธานบ.ยักษ์ใหญ่พกจีสตริงเมียติดตัวตลอดเวลา5555555555555555
ปล.แต่เกงในบางตัวแม่งเสียดสีจริง เคยทำขาหนีบกูถลอกไปรอบแล้ว;__;
ถ้าเป็นเรื่องอื่นจะเริ่มเข้าสู่ฉากอีโรติก แต่ไหงพอเป็นสองคนนี้แล้วตลกชิบหายแบบเน้!!
อ่าน ฟิค-s แล้วสงสัยว่า พวกดาราที่ใส่ชุดแนบเนื้อออกงาน เขาก็ใส่ชั้นในแบบนี้กันใช่มั้ย
>>907-908 โอ๊ย ท่านเรย์กะะะ ถ้าคนอื่นทำคือชวนขึ้นเตียงชัดๆ หรือถ้ามีคนเห็นในงานต้องลือสะบัดแน่ แต่ทำไมตลกงี้ 5555555 ทำไปได้ถอดละยัดลงเป๋าสูท คือต้องไว้ใจเชื่อใจแค่ไหนถึงกล้า หรือแค่บ้า มีจะเดินต่อแบบไม่ใส่ด้วย ไม่ได้นะะะะะ 55555 แล้วคาบุดูแลทุกอย่างในชีวิตละ จะเพื่อนสาวหรือสามีก็เถอะ ขาดคาบุไม่ได้แล้วมั้งท่านน
คาบุละมุนมากเลยย😊😊
สารภาพบาปว่าเวลาไม่อยากให้มีรอย กุไม่ใส่ -///////////-
ส่วนยกทรงนี่ก็แปะซิลิโคนเอา มันจะหวิวๆ หน่อย บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองโรคจิต แต่คือถ้าใส่แล้วมันเห็นรอย น่าเกลียดกว่าไม่ใส่อีก
ชั้นในไร้ตะเข็บก็โอ แต่ถ้าชุดแนบเนื้อมากๆ กุก็ต้องเลือกระหว่างจีสตริงกับไม่ใส่ ซื่อกุว่าไม่ใส่ยังดีกว่าจีสตริง มันระบมตูด
กูขำชิบหายเลย ตั้งแต่ชีเดินเข้าร่วมงาน 555
T - Thank you
ในช่วงเดือนสิงหาคมที่อากาศของญี่ปุ่นน่าอึดอัด ฉันกับคาบุรากิไปเที่ยวกันที่เวียนนา
อันที่จริงจะว่าไปเที่ยวทั้งหมดก็ไม่ถูก เพราะพวกเราไปหาแรงบันดาลใจจากเวียนนาเพื่อที่จะจัดงานเลี้ยงที่มีการบรรเลงซิมโฟนี่ ออเครสต้าให้กับแขกวีไอพีของโรงแรมในปีหน้า แม้ว่าในใจจะมีลิสต์วงที่จะอยากจะเชิญมาเปิดคอนเสิร์ตแล้วเรียบร้อย แต่ก็อยากสัมผัสว่าตอนนี้อะไรที่กำลังเป็นกระแสในเวียนนา และอาจจะเชิญพ่อครัวของที่นี่ไปเป็นเชฟหลักในการทำอาหารเลี้ยงแขกในงานด้วย
คาบุรากิเป็นคนแพลนทริป ส่วนฉันเป็นคนเลือกว่าอยากจะดูวงไหนหรือไปชิมอาหารอะไร
ฉันเคยมาเวียนนาสองครั้ง ครั้งนี้ครั้งที่สามแล้วแต่ถึงยังไงก็จะไม่พลาด Schnitzel ซึ่งเป็นเนื้อลูกวัวชุบแป้งทอด อาหารประจำชาติของเวียนนาอย่างเด็ดขาด ร้านที่พวกเราไปกินเป็นร้านเก่าแก่ต้นตำรับของเวียนนา เนื้อลูกวัวนุ่ม ๆ ชุบแป้งแล้วทอดกรอบ กินกับมันฝรั่งทอดก็อร่อยดี แต่พอกินไปได้เกินครึ่งชิ้นแล้วก็คิดว่า อยากได้น้ำจิ้มทงคัตสึจังเลยน้า ก็ถึงแป้งจะเค็ม แต่เนื้อมันไม่ได้ปรุงรสเลยนี่นา
นอกจากกิน Schinitzel แล้วฉันกับคาบุรากิก็ตระเวนกินไส้กรอก ร้านขายไส้กรอกของเวียนนามีอยู่บนถนนแทบทุกเส้น ไส้กรอกของที่นี่เวลากินจะใส่ขนมปังฮอตดอกมาไห้ ฮอตดอกชิ้นโตต้องอ้าปากกว้าง ๆ เวลากิน ทำให้รู้สึกลำบาก แต่ก็อร่อยดีเหมือนกัน ต่อจากนั้นก็ไปกิน Leberkase ที่เป็นแฮมซึ่งทำจากตับและชีส พอประกบด้วยขนมปังร้อน ๆ เองก็อร่อยไม่ใช่เล่น ฉันที่ปกติไม่ค่อยได้ทานพวกเครื่องในยังกินได้อย่างเอร็ดอร่อยคนเดียวทั้งชิ้น แต่ที่ถูกใจฉันที่สุดคงไม่พ้น Sachertorte ซึ่งเป็นเค้กช็อกโกแล็ตสอดไส้แยมแอพพริคอต แยมไม่หวานมาก เข้ากับช็อกโกแล็ตที่ขม ๆ ได้ดี
นอกจากตะลุยกินแล้วพวกเราก็ยังตะลุยดูคอนเสิร์ต ในบางครั้งหลังคอนเสิร์ตก็จะมีงานเลี้ยงเพื่อให้แขกได้สังสรรค์ หรือวิจารณ์ผลงานเพลงและศิลปะด้วย พวกเราได้คุยกับโปรดิวเซอร์ของวงดนตรีหลายวง ถึงแม้ว่าฉันจะเฉย ๆ กับไวน์ของออสเตรียแต่ก็แพลนว่าจะสั่งซื้อแก้วไวน์ของ Riedel กลับประเทศเพื่อไว้ใช้ในโรงแรมเพราะถูกใจทั้งดีแคนเตอร์ทั้งแก้ว
ในทริปวันสุดท้ายก่อนกลับ พวกเราไปดูวงออเครสต้าอีกวง แต่คราวนี้ไม่ได้มีโปรแกรมโน๊ตแนบมาด้วยว่าวงที่เราเข้าชมนั้นจะแสดงอะไร
พอเดินเข้าไป พนักงานก็พาพวกเราเข้าไปในโถงชมคอนเสิร์ต นักดนตรีนั่งกันครบทุกคนแล้ว แต่กลับไม่มีผู้ชมเลยแม้แต่คนเดียว ฉันมองไปรอบ ๆ อย่างประหลาดใจ เลยถามคาบุรากิว่าพวกเรามาก่อนเวลาหรือเปล่า คาบุรากิบอกว่าพวกเรามาตรงเวลาพอดี
ฉันมองเขาแล้วแอบตกใจเล็กน้อยที่คาบุรากิเหมาที่นั่งทั้งรอบ ช่างเวอร์จริง ๆ แต่เขาอยากทำอะไรใครห้ามได้ที่ไหน พวกเรามองนักดนตรีที่ทดลองเสียงเครื่องดนตรีบนเวที วาทยกรออกมาแล้ว ฉันเลยขยับตัวเตรียมพร้อมรับฟังดนตรี ทว่าคาบุรากิกลับลุกขึ้น
ตอนที่ฉันกำลังจะถามเขาว่าไปไหน คาบุรากิก็เดินขึ้นไปบนเวทีแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเปียโน ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้กับฉัน ฉันเบิกตากว้าง จ้องมองวาทยกรที่เริ่มออกคำสั่งกับวงด้านหลัง แล้วเสียงโหมโรงของ Piano Concerto No.2 ของโชแปงก็เริ่มขึ้น
ในเทศกาลทานาบาตะเดือนที่แล้ว คาบุรากิซึ่งเล่น Piano Concerto ของโชแปงแบบ Solo นั้นน่าประทับใจมาก แต่พอบรรเลงโดยมีวงออเครสต้ามืออาชีพทั้งวงเสริมให้ ก็ดูอลังการเสียจนมือที่กุมอยู่บนตักของฉันกำแน่น ตัวสั่นริกด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระโดดออกมานอกร่างกาย
สามสิบกว่านาทีของ Piano Concerto จบลงด้วยเสียงของเครื่องสีแผ่วเบา แม้ว่าทั้งโถงจะมีแค่ฉันคนเดียว แต่เสียงปรบมือก็ดังไปจนถึงหน้าเวที
ตอนแรกฉันนึกว่าโปรแกรมจะจบแล้ว แต่คาบุรากิกลับบรรเลง Fantasie Impromptu ของโชแปงต่อ เพลงนั้นเป็นเพลงที่ฉันจำได้ว่าตัวเองเคยขอให้คาบุรากิเล่น แต่ไม่คิดว่าเขาเองก็จำได้เช่นกัน
ต่อจาก Fantasie Impromptu ก็เป็น Dream of Love ของ ลิทซ์ ซึ่งอยู่ในสมัยโรแมนติกคลาสสิคเช่นเดียวกับโชแปง ฉันฟัง Dream of Love ท่อนที่ 3 ซึ่งประพันธ์จากกลอนของของเฟอร์ดินานด์ซึ่งเป็นกลอนรักอันแสนเศร้า ว่าด้วยความรักที่ถูกความตายพรากจาก จึงย้ำเตือนให้ผู้อ่านมีความรักให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ในบรรดานักดนตรีคลาสสิค ลิทซ์เองก็เป็นนักดนตรีอีกคนหนึ่งที่ฉันชอบมากเช่นกัน
ต่อจากลิทซ์ก็เป็นเพลง Clair de Lune ของเดอบูว์ซีซึ่งอยู่ในยุคเดียวกับลิทซ์เช่นกัน พอได้ยินเสียงเพลง Clair de Lune ฉันก็นึกถึงตอนที่คาบุรากิเล่นเพลงนี้ปลอบฉันซึ่งเห็นเอ็นโจควงคู่กับกับคุณยุยโกะในงานเลี้ยงครั้งแรกหลังการแต่งงาน แม้ Dream of Love ของลิทซ์และ Clair de Lune ของเดอบูว์ซีจะถูกประพันธ์โดยมีแรงบันดาลใจจากกลอนเช่นเดียวกัน แต่ Clair de Lune กลับไม่ได้นำเนื้อความของกลอนมาใช้ในการเขียนมู้ดของเพลง แต่กับสื่อให้เป็นถือความลึกลับของความงามแห่งศิลปะ ซึ่งตัวฉันเองไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เพราะว่าไม่เข้าใจ ถึงได้หลงใหลในผลงานของเขา
อันที่จริงฉันนึกว่าเพลงจบของคอนเสิร์ตจะเป็นเพลงในยุคโรแมนติกเช่นเดียวกับเพลงที่เล่นมาทั้งงาน แต่พอทำนองของ All I ask of you จากเรื่องแฟนท่อม ออฟ ดิ โอเปร่า ฉันก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่ไม่ได้รู้สึกว่าขัดหู ซ้ำยังเป็นความประหลาดใจที่รู้สึกยินดีซะด้วยซ้ำ
ทว่าแทนที่คาบุรากิจะเพียงแค่บรรเลงเปียโนเพียงอย่างเดียว เขากลับร้องเนื้อเพลงในส่วนของราอูลและคริสเตียนด้วย ฉันมองเขาด้วยความรู้สึกทึ่งเมื่อเสียงทุ้มต่ำกังวาลดังอย่างแผ่วเบา วงออเครสต้าลดเสียงเครื่องดนตรีลง จนกระทั่งเสียงของคาบุรากิค่อย ๆ ชัดขึ้นเรื่อย ๆ
No more talk of darkness,
Forget these wide-eyed fears;
I'm here, nothing can harm you,
My words will warm and calm you.
Let me be your freedom,
Let daylight dry your tears;
I'm here, with you, beside you,
To guard you and to guide you.
Say you love me every waking moment,
Turn my head with talk of summertime.
Say you need me with you now and always;
Promise me that all you say is true,
That's all I ask of you.
Let me be your shelter,
Let me be your light;
You're safe, no one will find you,
Your fears are far behind you.
All I want is freedom,
A world with no more night;
And you, always beside me,
To hold me and to hide me.
Then say you'll share with me one love, one lifetime;
Let me lead you from your solitude.
Say you need me with you, here beside you,
Anywhere you go, let me go too,
That's all I ask of you.
แม้ว่าจะมีท่อนที่ต่อจากนี้ แต่คาบุรากิกลับไม่ได้ร้องต่อ เขาบรรเลงเปียโนคลอสลับกับเสียงจากออเครสต้าไปจนจบเพลง
ฉันลุกขึ้นปรบมือเมื่อการบรรเลงเสร็จสิ้นลง วงออเครสต้าและวาทยกรโค้งทำนับให้ฉัน ส่วนคาบุรากิเดินเข้ามาหาฉัน ฉันเลยชมการแสดงของเขาว่าเป็นการแสดงที่วิเศษสุดเท่าที่ฉันเคยได้รับชมมา และนั่นก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เปียโนของคาบุรากิโดดเด่นไม่แพ้พวกมืออาชีพ เสียงเพลงของเขาก็ไพเราะเหมือนไม่ใช่พวกมือสมัครเล่น พอฉันถามออกไปว่าการแสดงครั้งนี้เนื่องในโอกาสอะไร เขาก็ตอบด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ กลับมา
“เพราะเธออยากฟัง”
ฉันมองเขา แล้วนึกไปถึงเทศกาลทานาบาตะ ฉันเคยเอ่ยกับเขาถึง Piano Concerto ของโชแปงที่เขาเล่นแบบ Solo ไม่คิดเลยว่าคำเปรยเล่น ๆ ในตอนนั้นจะทำให้คาบุรากิจัดคอนเสิร์ตพร้อมวงออเครสต้าให้ฉันฟัง
ฉันยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ รู้สึกเอ็นดูผู้ชายคนข้างหน้าอย่างที่สุด คาบุรากิผู้ชอบทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ใหญ่โตนั่นไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณนะคะ ท่านคาบุรากิ คืนนี้ฉันมีความสุขที่สุด”
คาบุรากิยิ้มให้กับฉัน พวกเราขอบคุณวงออเครสต้า ก่อนจะกลับโรงแรม
ในคืนนั้น ฉันฝันถึงเพลง All I ask of you ของคาบุรากิ แล้วคิดว่าฉันเองก็อยากจะอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นกัน
จบ
ขอ U - umbrella
u - umbrella
โอ้ยยยย กราบโม่งฟิก ฟินมากกกกกก
U - Unremarkable
V- Voyage
ฟิค A-Z มีตอนจบมั้ยวะ แค่อยากรู้เฉยๆ 55555555
กูเล็งตัวvอยู่ถถถถถ ส่วนตัวzนี่....มีศัพท์ไรบ้างวะ
>>940 ไม่น่าจะมีดราม่าแล้วมั้ง ตอนท้ายนางก็บอกเองว่าอยากอยู่ข้าง ๆ น่าจะรู้สึกอะไรบ้างแล้วล่ะ
เคยเม้นไปนะว่า คนเราถ้าไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ จะทำให้ขนาดนี้เลยเหรอ พอมาอ่านตอนนี้เพิ่งฉุกคิดได้ (ถ้าไม่ใช่การมโนเอง) ถ้ายึดตามเนื้อเรื่องหลัก การกระทำของคาบุนี่ เป็นการจีบแบบเล่นใหญ่ล้วน ๆ เลยนะ แบบเอาอกเอาใจทุกอย่าง สารพัดจะประเคนให้ แค่สาวเอ่ยปากว่าต้องการอะไร ฮีจัดให้ได้หมด
เมื่อไรนางจะรู้สักที ว่านอกจากท่านพ่อ ท่านพี่แล้ว ก็คนนี้แหล่ะ ที่โครตตามใจเลยนะ
กูคิดว่าโม่งฟิคน่าจะกำหนดตัว z เองว่ะ ประมาณว่าเป็นคนเริ่มตัว a ก็ต้องเป็นฝ่ายจบด้วยตัว z เอง
โอยยย เขินมากกกก ท่านเรย์กะเริ่มหวั่นไหวแล้วใช่มั้ยย ////////////
จากชื่อกระทู้ที่ร้องขอตอนใหม่ กลายมาเป็นร้องขอกาวกันแล้วสินะ
รวบรวมไว้ให้โหวต ปิดโหวตที่ 990 ก็แล้วกัน
>>878 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการอ่านตอนเดิมซ้ำรอบแล้วรอบเล่า [เติมถุงกาวครั้งที่ 28]
>>879 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับถุงกาวที่ไม่มีวันหมด ไม่เหนื่อยล้าแม้จะร้องไห้ [การเรียกร้องให้กลับมาครั้งที่ 28]
>>880 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับกะละมังกาวที่กำลังจะล้นแล้วค่าาา [ทุบไหใบที่ 28]
>>881 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับถุงกาวที่ไม่มีวันหมด ไม่เหนื่อยล้าแม้จะร้องไห้ [เติมถุงกาวครั้งที่ 28]
>>882 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการตัดริบบิ้นเปิดโรงงานนรกกวนกาว [สาขาที่ 28]
>>886 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับโรงงานกวนกาวของเหล่าโม่งที่เฝ้ารอ [ติดฉลากปลอมครั้งที่28]
ไมมีอะไร กุแค่มา +1 ให้ Z-Zebra
555555555555555555555555555555555
U - Umbrella
ในวันอาทิตย์ที่ฉันไม่ได้มีตารางงานอะไรเป็นพิเศษ ฉันนัดกับวาคาบะจังออกไปเดินเที่ยวในเมือง พวกเราไปดูของจุกจิกน่ารัก หาของกินอร่อย ๆ พอเดินผ่านหน้าร้านชุดราตรี ฉันเห็นวาคาบะจังมอง ๆ ก็เลยชวนเธอเข้าไปในร้าน
วาคาบะจังหยิบ ๆ จับ ๆ เดรสสีขาวตัวหนึ่ง มันเป็นเดรสผ้าชีฟองน่ารัก มีดอกไม้สีชมพูระบายตรงสายคาดไหล่และเอว วาคาบะถามฉันว่าคิดยังไงกับกระโปรงตัวนี้ ฉันเลยตอบไปตามตรง
“มันก็น่ารักดีอยู่หรอกค่ะ แต่ออกจะเหมือนชุดแต่งงานไปหน่อย” ฉันตอบ อันที่จริงชุดราตรีของฉันหลายชุดก็มาจากไลน์ชุดแต่งงานเหมือนกัน แต่ฉันพยายามไม่เลือกสีขาว ดังนั้นก็เลยไม่น่าเกลียดนัก
วาคาบะจังหัวเราะ ก่อนจะตอบว่า “อา ก็ฉันกำลังเลือกชุดแต่งงานอยู่นี่คะ คุณคิโชวอิน”
หลังจากนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา การ์ดแต่งงานของเธอก็ถูกส่งมาถึงฉันกับคาบุรากิ
เพราะว่าวาคาบะจังกำลังลงทุนเปิดสำนักงานทนายความแห่งใหม่ร่วมกันกับนายตัวสำรอง ดังนั้นงานแต่งงานจึงจัดแบบหรูหรามากไม่ได้ ตอนแรกฉันอยากจะให้เธอยืมห้องที่โรงแรม แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า เพราะตอนที่คาบุรากิคบกับวาคาบะจัง เรื่องราวของเธอไปถึงหูของท่านพ่อและมาดามคาบุรากิ ดูเหมือนว่าจะมีการพบหน้ากันหลายครั้งด้วย เมื่อสุดท้ายแล้วเรื่องจบได้ไม่ดี วาคาบะจังคงลำบากใจที่จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของคาบุรากิอีก
สุดท้ายแล้วเธอก็ไปจัดงานแต่งงานในรีสอร์ทเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ไกลจากตัวเมืองออกไป รีสอร์ทแห่งนั้นไม่เคยจัดงานแต่งงาน แต่วาคาบะเคยช่วยเจ้าของรีสอร์ทต่อสู้คดีโดยที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย คุณป้าคนนั้นก็เลยอยากตอบแทนเธอ
แขกที่มางานมีไม่มากนัก ในบรรดาเด็กที่มาจากซุยรันก็มีเพียงฉัน คาบุรากิ เอ็นโจ รุ่นพี่โทโมเอะกับรุ่นพี่คาซึมิ แล้วก็เพื่อน ๆ ในสภานักเรียนที่สนิทกับวาคาบะและนายตัวสำรองแค่สองคน รวม ๆ แล้วแขกที่มาทั้งหมดก็ห้าสิบกว่าคนเท่านั้น แต่เนื่องจากรีสอร์ทมีพื้นที่ในร่มค่อนข้างเล็ก ซ้ำยังเป็นห้องพักซะส่วนมาก คุณป้าเจ้าของเลยจัดงานในสวน
งานพิธีจัดอย่างเรียบง่าย มีบาทหลวงทำพิธีให้ และทุกคนก็ทานอาหารร่วมกัน แม้ว่าอาหารจะไม่หรูหรา แต่ก็มีรสชาติดี ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันหลังมื้ออาหารเตรียมจะลาเจ้าภาพแยกย้ายกลับ ฝนก็ตั้งเค้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตกลงมาในที่สุด
ฉันกับคาบุรากิมองหน้ากันแล้วตกลงว่าเราน่าจะต้องไปกันได้แล้วแม้ว่าฝนกำลังตกก็ตามที เพราะอีกสี่ชั่วโมงพวกเราต้องขึ้นเครื่องไปปารีส หากเป็นที่โรงแรมจะไม่มีปัญหาอะไรเลย เนื่องจากพวกเราสามารถให้คนขับรถวนมารับได้ แต่เพราะทางเข้าของที่นี่ค่อนข้างแคบ รถไม่สามารถเข้ามาได้ โรลส์รอยซ์เลยต้องจอดตรงไหล่ทางไกลออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร
ฉันเอาร่มติดมาด้วยเพราะขามาทางไกล เลยต้องกางร่มบังแดด แต่ร่มของฉันใหญ่พอจะกางให้คน ๆ เดียวเท่านั้น ตอนที่เอ่ยปากขอยืมร่มจากคุณป้าเจ้าของที่พัก คาบุรากิก็บอกว่าไม่ต้อง
เขาหันหลังให้ฉันแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พอฉันยืนจ้องเขา เขาก็หันมาแล้วบอกว่าทางที่เดินมาหากเป็นเวลาปกติก็สามารถเดินได้ไม่ลำบากนัก แต่ตอนนี้ฝนตก พื้นทางเดินเฉอะแฉะมาก รองเท้าส้นสูงจะต้องลื่นมากแน่ ๆ เขาเลยจะให้ฉันขี่หลังไป
ฉันปีนขึ้นไปบนหลังของเขาอย่างอาย ๆ เพราะพวกเราอยู่ต่อหน้าคนรู้จัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าคาบุรากิพูดถูก รองเท้าของฉันไม่เหมาะกับการเดินบนพื้นทางเดินที่ฝนกำลังตก ดีที่ฉันใส่กระโปรงทรงกว้าง เลยขี่หลังเขาได้โดยไม่ลำบากมากนัก
คาบุรากิลุกขึ้นแล้วบอกให้ฉันกางร่ม ฉันกางร่มสีขาวประดับลูกไม้แล้วพวกเราก็เดินไปท่ามกลางฝนตก ฉันมองเขาที่เดินอย่างระมัดระวังแล้วถามเขาว่าหนักไหม
“หนักน่ะสิ” คาบุรากิตอบอย่างไม่รักษาน้ำใจ ฉันแอบรู้สึกสะเทือนใจเล็ก ๆ อันที่จริงน้ำหนักของฉันดีดขึ้นมาหลังกลับจากทัวร์ที่เวียนนา ฉันเลยบอกว่าถ้าเขาหนักฉันเดินเองก็ได้ ถ้าพวกเราเบียด ๆ กันใต้ร่ม ค่อย ๆ เดินไป ก็คงจะไปถึงรถได้โดยที่ไม่มีใครหกล้มหรือหัวเปียก แต่คาบุรากิกลับกระชับมือที่จับขาฉันไว้แน่น “แต่ถ้าฉันไม่อุ้มเธอ จะปล่อยให้คนอื่นมาทำแทนรึไง”
ฉันทำเสียงฮืม ๆ บอกเขาว่าถึงไม่มีใครอุ้ม ฉันก็เดินเองได้ มากสุดก็แค่ถอดรองเท้าเดิน
คาบุรากิหน้าแดงไปถึงหู บอกฉันว่าเขาเป็นสามีของฉัน หน้าที่ดูแลฉันก็ต้องเป็นของเขาอยู่แล้ว เขาไม่มีวันปล่อยให้ฉันเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง ๆ น้ำเจิ่งนองแบบนี้หรอก
ฉันกอดไหล่เขาไว้แน่น แนบแก้มลงกับหูของเขา แม้ว่าตอนนี้ฝนจะพรำจนชายกระโปรงของฉันชื้นไปหมด แต่ฉันกลับอยากให้ทางเดินสายนี้ยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เขาจะได้อุ้มฉันภายใต้ร่มคันน้อยคันนี้ตลอดไป
จบ
Vow สาบาน
แต่อืม.... ถ้าให้แบกตลอดไป คาบุจะไม่หลังหักตายห่าก่อนอ่อวะ //ที่บอกว่าหน้าแดงนี่คือเหนื่อยใช่ไหม เจ้าแม่หนักมากสินะ...โดนตบ
แบกตลอดไป ไม่ดีมั้ง เดี๋ยวเข่าทรุด ข้อเสื่อมกันพอดี
คาบุไม่ว่าจะอยู่ฟิคไหน(ที่ได้เป็นพระเอกในฟิคนั้น)จะต้องโรแมนติกตลอดเว้ย แต่เอาจริงๆคาบุก็โรแมนติกตามประสาพระเอกโชโจนั่นแหละ
ความจริงสิ่งที่คาบุทำให้เจ้าแม่ในฟิคก็เหมือนที่คาบุจะทำให้ยูริเอะกับวาคาบะในเรื่องหลักนั่นแหละ มองจากมุมเจ้าแม่ในเรื่องหลักรู้สึกแม่งโคตรโอเวอร์ แต่พอมาอ่านฟิคกลับรู้สึกโรแมนติกฉิบหาย
เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว~~
W-Wooing
อ้าว ยังเหรอ โทดๆ
โมงฟิก กรุอยากได้ฟิกท่านพี่กับท่านไอระ. Please
แปปๆก็จะzแล้วหรอเนี่ย เร็วเว่อร์5555
V - Vow
“เป็นไงบ้าง”
หลังจากที่ฉันส่งเสียงตอบรับ คาบุรากิก็เปิดประตูเข้ามาถามอาการของฉัน
ไม่รู้ว่าเพราะโหมงานหนักมากเกินไป หรือว่าไปติดเชื้อไวรัสจากที่ไหน ทว่าสามวันก่อน จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวร้อน ๆ และในเย็นวันนั้นเอง ฉันก็ถูกหามส่งโรงพยาบาล
หมอสั่งให้ฉันนอนดูอาการเพื่อตรวจดูว่าติดเชื้อไวรัสตัวอื่นนอกจากหวัดรึเปล่า ตั้งแต่ฉันเข้าโรงพยาบาล คาบุรากิก็มาเยี่ยมฉันทุกวัน ในแต่ละวันเขาจะเอาของประหลาด ๆ มาให้ อย่างเช่นตัวต่อห่วงกล แม้ว่าฉันจะตาลาย ป่วยขนาดที่ว่าจะเข้าห้องน้ำพยาบาลก็ยังต้องมาช่วยประคอง ดูยังไงก็เล่นตัวต่อที่เขาเอามาไม่ได้แน่นอน แต่ฉันก็ยังรู้สึกดีที่เขามาเยี่ยม
ในวันนี้เขาหอบหนังสือปริศนามาให้ บอกว่าให้ฉันเล่นแก้เบื่อตอนที่เขาไม่อยู่ แม้ว่าฉันจะเข้าโรงพยาบาล แต่ก็ยังห่วงเรื่องงาน ดังนั้นเลยชวนเขาคุยเรื่องความคืบหน้าของโปรเจคและงานเลี้ยงต่าง ๆ คาบุรากิเล่าให้ฉันฟังทุกโปรเจค ยกเว้นโปรเจครีสอร์ทที่มีสนามขี่ม้า
ฉันรู้ว่าคาบุรากิไม่ได้ไปที่ฟาร์มอายูคาวะอีก และถึงแม้ว่าพวกเราจะได้เจอคุณชิสึกะในงานสังคมบ้าง แต่เขาก็วางตัวห่างจากเธอในระดับหนึ่ง
หากแต่ฉันรู้ว่าในใจของคาบุรากินั้นยังคงคิดถึงเธอ เขาเป็นผู้ชายที่หากรักแล้วก็จะทุ่มเทลงไปสุดหัวใจ ทว่าเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะติดที่มโนธรรมของตัวเอง
ฉันคุยกับเขาจนกระทั่งคาบุรากิถูกคุณเลขาตามตัวในตอนบ่าย พอเขาไป ฉันก็ส่งข้อความหาท่านพี่ ถามว่าเขาจะปลีกเวลามาเยี่ยมฉันได้หรือเปล่า อันที่จริงท่านพี่มาเยี่ยมฉันแล้วตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาล แต่วันถัด ๆ มาเขายุ่งมากจนไม่ได้มาอีก
ท่านพี่ตอบข้อความของฉันอย่างรวดเร็ว บอกว่าเคลียร์ธุระเสร็จแล้วเย็นนี้จะไปหา ฉันรอท่านพี่อยู่จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาปิดวอร์ด เขากับท่านอิมาริก็เข้ามาเยี่ยม ท่านอิมาริแบกดอกไม้ช่อโตกับตะกร้าผลไม้มาให้ บอกว่าอยากให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้น ฉันยิ้มขอบคุณเขา ก่อนจะบอกออกไปตามตรงว่ามีเรื่องที่อยากคุยกับท่านพี่ตามลำพัง
ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนที่ท่านอิมาริจะยิ้มแล้วบอกว่าเขาจะไปซื้อกาแฟด้านล่าง พอท่านอิมาริไป ท่านพี่ก็ถามเรื่องอาการของฉัน ฉันบอกเขาไปว่าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว จากนั้นจึงเข้าประเด็นทันทีเพราะพวกเรามีเวลาก่อนปิดวอร์ดไม่นานนัก
“ท่านพี่คะ ถ้าน้องหย่ากับท่านคาบุรากิ ธุรกิจของพวกเราจะเกิดผลกระทบยังไงบ้างเหรอคะ?”
ท่านพี่ชะงักเมื่อได้ยินคำถามของฉัน เขามองสีหน้าของฉันแล้วตอบออกมาอย่างระมัดระวังว่าหุ้นของพวกเราอาจจะร่วงลงช่วงสั้น ๆ เพราะการหย่าของฉันกับคาบุรากิอาจจะทำให้นักลงทุนทั้งสองฝ่ายไม่มั่นใจว่าโครงการที่พวกเราทำด้วยกันจะมีปัญหาไหม
“เรย์กะ น้องกับคาบุรากิทะเลาะกันเหรอ?”
ฉันนิ่งไป มองหน้าท่านพี่ก่อนจะพูดความจริงออกไปทั้งหมดว่าความสัมพันธ์ของฉันกับคาบุรากิที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงแค่การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลจริง ๆ ตัวเขามีคนที่รักอยู่แล้ว ตัวฉันเองในตอนนั้นก็ยังตัดใจจากเอ็นโจไม่ได้ พวกเราจึงเป็นได้แค่เพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน
ในช่วงเวลาที่พวกเราไม่มีใคร ฉันกับเขาถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกับที่สุด เขาเป็นผู้นำตระกูลคาบุรากิ เป็นสามีที่อ่อนโยนใจดีช่างดูแล ส่วนฉันเป้นภรรยาที่คอยช่วยงานเขา จัดการเรื่องต่าง ๆ รอบตัวเขา ทำให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นที่สุด
หากแต่เมื่อคาบุรากิหลงรักคุณชิสึกะ ความสัมพันธ์ของพวกเราจึงไม่สามารถดำรงอยู่ในรูปแบบนั้นได้อีกต่อไป คาบุรากิเป็นผู้ชายที่รักใครรักจริง เขารักท่านยูริเอะ ตอนโดนทิ้งในคราวนั้นเขาคงตายไปแล้วถ้าไม่ได้เอ็นโจช่วยลากกลับมา เขารักวาคาบะจัง และสู้เต็มที่เพื่อที่จะได้อยู่กับเธอ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ได้สมหวัง แต่เขาก็ได้พยายามแล้ว
ทว่ากับคุณชิสึกะ ความรักนั้นถูกตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเพียงเพราะว่าเขามีภรรยาอยู่แล้ว หากฉันเป็นภรรยาของเขาจริง ๆ เขาก็คงเป็นผู้ชายสารเลวหลายใจ ทว่าฉันเป็นเพียงแค่ภรรยาในนามของเขาเท่านั้น
เขาเคยสัญญากับฉันว่าตราบเท่าที่ฉันยังใช้ชื่อคาบุรากิ เขาก็จะไม่มีวันไปหาผู้หญิงคนอื่นอย่างเด็ดขาด แม้ว่าเขาจะรักเธอมากเท่าไหร่ก็ตาม และฉันรู้ว่าเขาจะไม่มีทางผิดสัญญาที่ตัวเองเคยได้ลั่นวาจาออกไป
เพราะฉะนั้น ฉันจะคืนชื่อคาบุรากิให้กับเขา เพื่อที่จะทำให้เขาเป็นอิสระอีกครั้ง ความรักของคาบุรากิไม่สมหวังมาหลายครั้งแล้ว เขาควรจะได้อยู่กับผู้หญิงที่เขารัก ไม่ใช่ผู้หญิงที่พ่อแม่หาให้
ท่านพี่ยื่นมือมากุมมือฉัน เขาบอกให้ฉันคิดดี ๆ ทว่าพอเห็นสีหน้าของฉัน เขาก็บอกว่าการหย่าของฉันกับคาบุรากิอาจจะส่งผลกระทบมากก็จริง แต่เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ฉันไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าฉันจะเป็นคาบุรากิ หรือคิโชวอิน ฉันก็ยังเป็นน้องสาวของเขา และเขาจะปกป้องฉันจนถึงที่สุด
ฉันปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม แล้วเอนตัวซบลงไปในอกของท่านพี่ นึกถึงช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ฉันกับคาบุรากิอยู่ด้วยกันมาสามปี ในสามปีนี้คาบุรากิดีต่อฉันอย่างที่ไม่เคยมีใครดีกับฉันมาก่อน
ฉันรักเขา
แต่เขารักคนอื่น ดังนั้น ฉันก็จะปล่อยเขาไป
จบ
Wild.
เหมือนเรื่องใกล้ดำเนินมาถึงจุดจบแล้ว.....
ท่านเรกะะะ ประโยคทิ้งท้ายทำน้ำตากูจะไหล โม่งฟิคมึงทำให้กูอยากอ่านตอนจบมากกก กูลุ้นนน
ขอเสนอ
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับถุงกาวที่ไม่มีวันหมด ไม่เหนื่อยล้าแม้จะร้องไห้ [การเรียกร้องให้กลับมาครั้งที่ 28]ฃ
เฮ้ยๆ ใจเย็น ปิดโหวตนับคะแนนกันก่อน กระทู้จะเต็มแล้ว
เปิดวาร์ปไปเม้าท์ต่อ
>>>/webnovel/6040/
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.