พอถึงเวลาดูหนัง โคโรเน่ก็ซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำอัดลมชุดใหญ่ บอกว่าซื้อไปเผื่อเราหิว แต่พอเอาเข้าจริงตัวเองก็จ้วงเอาจ้วงเอาจนป๊อปคอร์นหมดตั้งแต่กลางเรื่อง ไหนวันก่อนยังให้เราสอนทำวุ้นแคลอรี่ต่ำอยู่เลย ไม่รู้หรือไงว่าป๊อปคอร์นน่ะมันอ้วนขนาดไหน
พอดูหนังเสร็จ โคโรเน่ก็ชวนเรากินข้าว เดี๋ยวนะ ยังไม่อิ่มอีกเหรอ? ทำไมสาวม.ปลายถึงได้กินจุขนาดนี้นะ โคโรเน่ เธอเอาอาหารที่กินทั้งหมดไปเก็บไว้ไหนน่ะ คราวนี้เราอาสาจะเลี้ยงโคโรเน่เอง เพราะว่าโคโรเน่จ่ายทั้งค่าขนมทั้งตั๋วหนัง พอถามโคโรเน่ว่าอยากกินอะไร ก็ชวนเราไปกินราเม็งยืนกิน
ตอนแรกเรานึกว่าโคโรเน่ชวนเราไปกินร้านนั้น เพราะกลัวว่าเราจะไม่มีเงินจ่าย แต่ตอนที่เข้าแถวรอแล้วโคโรเน่บรรยายว่า ร้านนี้เป็นหนึ่งในสิบร้านราเม็งยืนกินที่ลงในนิตยสาร มีชิโอะราเม็งที่แสนจะโด่งดังได้อันดับสองปีซ้อน เราก็รู้สึกว่าอันที่จริงโคโรเน่แค่อยากกินเฉย ๆ ไม่ได้เกรงใจหรืออะไรทั้งนั้นแหล่ะ
กินราเม็งเสร็จฟ้าก็มืดตื๋อ ตอนเดินออกจากร้าน เราก็เห็นคุณคาบุรากิเดินคุยกับพี่ที่อีกฟากถนน แต่พอจะส่งเสียงทัก ก็ถูกตะครุบปากไว้ แล้วก็ถูกลากเข้าไปในร้านขายยาทันที
“ทำบ้าอะไรของเธอน่ะ โคโรเน่!” เราบ่นขึ้นมาเมื่อมือของโคโรโน่ชักกลับไป ปกติเห็นปวกเปียกเป็นพุดดิ้งน้ำเต้าหู้ แต่บทจะบ้าก็แรงเยอะยิ่งกว่าพี่ซะอีก
โคโรเน่ชะโงกมองกระจกร้าน เราชะโงกมองตาม เห็นพี่กับคุณคาบุรากิค่อย ๆ เดินห่างออกไป พอหันกลับมามอง ก็พบโคโรเน่ที่ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะยิ้มหวาน
“วันนี้สนุกมากเลยค่ะ แต่คงต้องขอตัวกลับบ้านก่อน จะให้รถไปส่ง...” โคโรเน่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกต่อว่า “คันตะคุงกลับบ้านเองได้ใช่ไหมคะ?”
เราพยักหน้า อาสารอรถที่บ้านของโคโรเน่มารับ รถคันยาวเหมือนของคุณคาบุรากิ เท่ชะมัด พอโคโรเน่จะขึ้นรถ เราก็พึ่งนึกขึ้นมาได้
“วันเสาร์หน้าศาลเจ้าใกล้ ๆ บ้านจะจัดงานออกร้าน ถ้าว่างมา จะพาไปเลี้ยงทาโกะยากิร้านที่ชอบเป็นค่าตอบแทนที่เลี้ยงขนมวันนี้”
โคโรเน่ยิ้มจนตาหยี ก่อนจะตอบตกลง