ทุกเดือนพฤษภาคม ทางซุยรันจะจัดการทัศนศึกษา ปีนี้พวกเราจะได้ไปฟาร์มสัตว์กัน มาซายะพูดถึงเรื่องแข่งม้า ล่องแพ และการที่จะได้ไปเจอพวกสัตว์อย่างมีความสุข เขาดูสนอกสนใจที่จะได้แข่งม้ากับผมเป็นพิเศษ
สปิริตนักสู้นี่ก็ส่งผลมาถึงผมด้วยเช่นกัน เพราะงั้นในทันทีที่รถบัสมาถึงฟาร์ม พวกเราก็รีบไปยังโรงม้าและข่มขู่คนเฝ้าโรงม้าให้เราเลือกม้ากัน พวกอาจารย์ๆ ก็ได้แต่ส่งสายตาสิ้นหวังมาให้ แต่ก็ยอมอนุญาตอยู่ดี ไม่ช้านักเรียนสองสามคนก็เข้ามาเลือกม้าและขี่ออกไปวิ่งรอบๆ ฟาร์มด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นไม่กี่นาที มาซายะก็สั่งให้คนดูแลฟาร์มเคลียร์ทุ่งหญ้าส่วนนึงเพื่อใช้เป็นลู่แข่งชั่วคราว
เมื่อขึ้นบนหลังม้า พวกเราก็แข่งกันโดยมีเสียงเชียร์ดังมาจากทางด้านข้าง มีเด็กอีกสองสามคนที่ขี่ม้าได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครมาเชียรร์เลย น่าสงสารจังเลยนะ…
พอพักการแข่งผมก็มองไปรอบๆ ฟาร์มทั้งๆ ที่ยังอยู่บนหลังม้า จากที่ไกลๆ นั่น ผมมองเห็นกลุ่มเด็กผู้หญิงเล่นอยู่กับพวกสัตว์เล็กๆ และได้เห็นเรย์กะอยู่ท่ามกลางหมู่มวลกระต่าย มีตัวสีขาวเล็กๆ ตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่ใบหน้า
เข้ากันดีเหลือเกิน!
ผมยิ้มออกมาเมื่อเห็นเจ้ากระต่ายจามออกมาในเวลาเดียวกันกับเรย์กะ คล้ายกันอะไรอย่างนี้! เรย์กะมองไปรอบๆ ทันที เราสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปหากระต่าย หืม? รู้ตัวแล้วเหรอว่าผมมองเธออยู่น่ะ
“ชูสุเกะ! มาแข่งกันอีกรอบก่อนกลับเถอะ!” มาซายะเรียกผมจากบนหลังม้าของเขาอีกครั้ง ผมพยักหน้าแล้วบังคับม้าให้ไปหยุดตรงจุดเริ่มต้นของลู่แข่ง
แน่นอน การแข่งขันจบลงที่การเสมอ มาซายะบอกผมอย่างมีความสุขเกี่ยวกับแผนขี่ม้าที่เขาจะทำเมื่อถึงตอนปิดเทอมหน้าร้อน ผมตกลงที่จะแข่งกับเข้าเมื่อถึงตอนนั้น
“ว่าไงล่ะคะ คุณเอ็นโจ”
“ผมไม่ค่อยจะ…” ผมกำลังจะพูดปฏิเสธ แต่อาจารย์ก็ดูน่าสงสารมากเหลือเกิน ผมเองก็เป็น Pivoine เหมือนกันไม่ใช่รึไงครับ แล้วทำไมผมต้องมารับหน้าที่เป็นคณะกรรมการด้วยล่ะ
“ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเป็นสมาชิก Pivoine หรอกค่ะ! คุณคิโชวอินเองก็มาช่วยเหมือนกัน!” อาจารย์บอก
เอ๋ เรย์กะเองก็ช่วยด้วยเหรอ? อืม ถ้าเธออยู่ด้วยก็คงไม่แย่เท่าไหร่หรอกมั้ง
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมช่วยเองครับ” ผมแย้มยิ้มออกมาขณะที่ตอบรับคำขอร้องจากอาจารย์
การจัดการเรื่องของชั้นป.5 และป.6 เริ่มต้นขึ้นก่อนที่จะต้องจัดงานกีฬาสีจริงๆ พวกเราเริ่มแนะนำตัวเอง
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ผมมุ่งความสนใจไปที่เรย์กะผู้กำลังสอดส่องไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มแสนสุภาพทว่าว่างเปล่า
หืม… นี่เรย์กะ คุณควรรู้ไว้นะว่ารอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาน่ะมันออกจะน่ากลัวไปหน่อยนะ
อย่างที่คาดไว้ พวกผู้หญิงส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ชักอยากจะให้ตัวเองพกที่อุดหูมาจากบ้านซะแล้วสิ ผมมองจ้องไปยังเรย์กะเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เธอก็เมินเฉยไปทันที เฮ้ คุณเป็นหัวหน้าของพวกผู้หญิงไม่ใช่รึไง ช่วยห้ามไม่ให้พวกนั้นมาวุ่นวายกับผมได้แล้ว!
ผมถอนหายใจแล้วปลีกตัวออกมาทำงาน พวกผู้หญิงยังคงตามมาแล้วพูดคุยกันเสียงดังอยู่ข้างหลัง น่ารำคาญชะมัด ไปทำงานกันได้แล้วน่า
พวกผู้ชายในกลุ่มคณะกรรมการเข้ามาเตือน บอกให้พวกเขาไปทำงานของตัวเอง เพราะอย่างนั้น พวกเธอก็เลยมีท่าทีฟึดฟัดแล้วแสร้งว่าช่วยงานผมอยู่ จากนั้นก็พูดจาดูถูกพวกผู้ชายว่าพวกเขาแค่อิจฉาเท่านั้น
ไม่เลย พวกเขาพูดถูกแล้วล่ะ พวกคุณน่ะมันไร้ประโยชน์แถมสร้างแต่ปัญหา ถึงแม้ผมจะต่อว่าและบอกให้พวกเขาไปทำงาน ถ้าผมปล่อยทิ้งไว้ด้านหนึ่งแล้วหันไปสนใจอีกด้านล่ะก็ พวกนั้นคงจะเลิกทำงานแล้วทำตัววุ่นวายไม่เลิกแน่ๆ
เด็กผู้ชายที่เดินผ่านเรย์กะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นอะไรบางอย่าง ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วขอให้เด็กผู้หญิงคนนึงให้ช่วยไปดู เมื่อกลับมาก็เล่าว่าเรย์กะใช้หนังยางพันรอบนิ้วไว้เพื่อให้หยิบกระดาษได้สะดวก
ผมหยิบหนังยางขึ้นมาเส้นนึงแล้วนำมาพันรอบนิ้ว โอ๊ะะะ~ ง่ายขึ้นเยอะเลยนี่นา
ขณะที่ทำงานอยู่ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวและจามออกมา มีใครสาปแช่งผมอยู่เหรอ