นี่อาจจะเป็นโพสสุดท้ายที่ผมจะได้โพสเองในเพจนี้
จริงๆ ผมอยากจะพูดถึงเรื่องนี้มาสักพัก ว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้หรือไม่ ผมไม่อยากให้มันดูเป็นการตำหนิการตัดสินใจของผู้อื่น จึงลังเลไม่รู้จะเขียนอย่างไร
สุดท้ายเมื่อเวลานี้มาถึง จึงตัดสินใจว่าเขียนถึงมันไว้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสดีกว่า
เช้าที่จะถึงนี้ผมจะต้องไปศาลทหาร จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ของ ในนัดนี้เป็นไปได้ว่าอัยการอาจจะเสนอยกเลิกการประกันตัว
ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้น้อยนิดมาก แต่อะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้
พูดตามตรง คนจำนวนมาก ถามผมในคำถามซ้ำๆว่า "คิดจะหนีหรือเปล่า?"
นานมาแล้ว ผมได้ยินเรื่องของนายทหารอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ถูกจับเป็นเชลยในเยอรมัน
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่เหมือนครั้งที่สอง ยังยอมให้เชลยติดต่อกับที่บ้านด้วยจดหมาย นายทหารคนที่ว่าพบว่าแม่ของตัวเองป่วยใกล้จะตาย เขาจึงเขียนจดหมายไปยังพระเจ้าไกเซอร์กษัตริย์ของเยอรมัน เพื่อขอกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ และสัญญาว่าหลังจากนั้นจะกลับมาเป็นเชลยตามเดิม
ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ แต่พระเจ้าไกเซอร์กลับยอมให้นายทหารอังกฤษกลับบ้านไปเยี่ยมแม่
เมื่อทหารคนดังกล่าวได้รับอนุญาต ก็รีบเดินทางกลับไปอังกฤษ
ทุกคนคิดว่าเขาคงจะไม่กลับมาแล้ว แต่หลังจากเขาไปดูใจแม่ตามสัญญาแล้ว เขากลับเดินทางกลับมายังเยอรมันเพื่อไปเป็นเชลยตามเดิม
ผมคิดเรื่องนี้อยู่หลายรอบ ว่าทหารผู้นั้นคิดอะไรอยู่ และไกเซอร์ทรงคิดอะไร
.
.
.
จะว่าไปแล้ว คนแรกที่ถามผมว่า "จะหนีหรือเปล่า" คือศาล
ตอนที่ผมถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำ ไม่มีใครเลยเชื่อว่าจะประกันตัวได้
แม้แต่ทนายของผมเอง ยังเตือนว่าการทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้คดีช้ำ
สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังยื่นขอประกันตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีแค่เรื่องหญิงที่เคาะประตูบ้านของผู้พิพากษาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่ออ้อนวอนขอความยุติธรรม และคำว่า "และความหวัง จะไม่ทำให้ผิดหวัง" ในพระคำภีร์ (ผมคิดไม่ออกเลยว่าตอนนั้นจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงถ้าไม่นั่งอ่านโรมบทที่ 5 ซ้ำไปมาทุกวัน)
ในเวลาที่ทุกคนบอกว่าไม่มีทาง มีแค่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่บอกว่ามีความหวัง
เวลาที่ทุกคนบอกว่าเราเป็นคนบ้า มีแค่พระผู้เป็นเจ้าที่บอกว่าเมื่อหวังแล้วเราจะไม่ผิดหวัง
ผมยื่นประกันไปหกเจ็ดครั้ง ไม่มีใครเขาทำกัน
ตอนนั้นผมขึ้นแถลงต่อศาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ศาลก็ถามผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "ถ้าออกไปได้ ไม่คิดจะหนีจริงๆเหรอ"
ผมตอบย้ำแล้ว ย้ำอีก ว่า "ไม่มีทาง ผมจะไม่หนีเด็ดขาด"
.
.
.
เวลานั้น ในเรือนจำ ผมอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตอนแรกผมต่อรอง บนบาน
จากนั้นผมอ้อนวอน
ท้ายที่สุด ผมก็บอกว่า "เอาเถอะ ผมรู้แล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ไม่ว่าพระองค์จะให้ทำอย่างไร ผมก็จะทำตามนั้น"
.
.
.
มีต่อ