“จะว่าไปไม่มีใครมาแกล้งอะไรอีกใช่ไหม”
“ยังไม่มีเลยค่ะช่วงนี้”
“ทำไมเธอพูดเหมือนไม่พอใจเลย หรือจริงๆแล้ว...เธอชอบแนวนั้น”
“ฉันไม่ได้ทำท่าทางแบบนั้นซะหน่อยค่ะ!”
ใครจะไปชอบให้คนอื่นมาแกล้งกันล่ะ พวกแมลงที่พยายามจะทำแบบนั้นก็เรียกว่าแกล้งไม่ได้เท่าไหร่ แต่ละคนอ่อนแอเปราะบางจนน่าขำ จะแก้แค้นใครทั้งที คิดได้แค่คำพูดกับวิธีแกล้งเดิมๆแบบนั้นนี่นะ ไม่เห็นน่าสนใจเลยสักนิด จุดอ่อนก็เต็มไปหมด แต่นะ ตอนทาคามิจิพูดแบบนั้นกับฉันในห้องน้ำ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจนอดตื่นเต้นทุกครั้งที่นึกถึงไม่ได้ ไม่เคยคาดคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำสีหน้า ท่าทาง แววตาทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งๆที่ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นไปได้
“นี่เธอกำลังยิ้มอยู่งั้นหรอ...”
“เปล่าซะหน่อยค่ะ”
ทำไมปากทำเหมือนกำลังยิ้มล่ะ ฉันไม่น่าจะยิ้มเมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้นหรอกนะ! คงปากกระตุกเฉยๆ ต้องใช่แน่ๆ ฉันไม่ได้เป็นพวกสายมาโซอะไรสักหน่อย
ฉันเอามือลูบๆแก้มเพื่อปรับระดับมุมปากให้เข้าที่
“แต่เธอเข้มแข็งจริงๆที่กลับมาเรียน มันลำบากที่ต้องเผชิญหน้าเรื่องทั้งหมดคนเดียว แต่เธอก็ก้าวผ่านมันมาได้ จะยังไงฉันก็นับถือในจุดนี้”
อย่าส่งสายตาชื่นชมมาได้ไหมคะมันทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัว อีกอย่างประเด็นเดียวกันนี้ฉันเพิ่งโดนด่าว่าหน้าหนาที่ยังกล้ากลับมาเรียนอยู่เลยเมื่อวันก่อน
“จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากกลับมาเรียนเท่าไหร่หรอกค่ะ ถึงมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”
“ฉันว่าฉันสอบจบไม่ได้แน่ๆ ยิ่งตอนนี้ฉันไม่มีอำนาจที่บ้าน ฉันคงไม่เก่งพอจะผ่าน และถึงผ่านได้ก็ใช่ว่าจะมีใครรับเข้าทำงานล่ะนะคะ เพราะในสายตาคนทั่วไปฉันก็เป็นศัตรูกับตระกูลคาบุรากิ”
“ถ้าเธอคิดแบบนั้น ทำไมถึงกลับมาเรียนล่ะ”
“ค่อยข้างซับซ้อนน่ะค่ะ ที่บ้านบังคับให้ยังไงก็เรียนให้จบ...”
ฉันเริ่มค่อยๆรู้ตัว อันตราย! อันตรายชะมัด!!! ท่าทางของเขาทำฉันเผลอระบายทุกอย่างในใจออกมาหมดโดยไม่รู้ตัว เขาแอบใส่ยาในอุปกรณ์ทำความสะอาดหรือเปล่าน่ะ
แต่เทียบกับทุกคนที่เมื่อได้ยินเรื่องนี้ และบอกให้ฉันนู้นทำนี่จะดีกว่า เขาเป็นคนแรกที่ถามความเห็นหรือความคิดฉันจริงๆ ไม่เคยมีใครถามแบบนี้มานานแล้ว...
ฉันนึกถึงท่านพ่อท่านแม่ เพื่อนๆ หรือแม้กระทั่งเอ็นโจ ทุกคนต่างบอกให้ฉันหรือไม่ทำอะไรเสมอ ฉันเลยไม่เคยคิดว่าตัวเองคิดอะไรอยู่หรือต้องการอะไรกันแน่ แต่ทุกอย่างก็สายเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว
“ให้ฉันช่วยไหม ฉันพอสอนเรื่องที่เธอไม่เข้าใจได้”
“เอ๋?! ไม่ดีมั้งคะ”
ฉันรีบปฏิเสธ ถึงอาจจะมีสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพเกิดขึ้นบ้างเมื่อสานสัมพันธ์ทางอุปกรณ์ทำความสะอาดก็เถอะ แต่จะยังไงฉันไม่มีทางให้เขาช่วยเรื่องพรรค์นี้เด็ดขาด
“ฉันเคยสัญญาแล้วว่าจะช่วยเธอ”
อะไรน่ะ สัญญาฝ่ายเดียวนั่นไม่นับเป็นสัญญาหรอกนะ อีกอย่างเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจมันก็ทุกเรื่องทุกวิชาเลยนะ งานหนักสุดๆ
ฉันนึกถึงความสามารถการเรียนของตัวเอง จริงๆฉันอาจต้องมาเรียนซ้อมช่วงฤดูร้อนไม่ก็เลวร้ายถึงซ้ำชั้นด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่ว่าฉันใช้อำนาจตระกูลช่วย แต่อย่างท่านแม่บอก ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งอะไรก็ได้ ฉันเลยตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจเรื่องท่านคาบุรากิอย่างเดียวมาโดยตลอด...
ถ้าฉันสอบไม่ผ่านแล้วซ้ำชั้น... หมายความว่าฉันอาจต้องเรียนที่นี่ต่ออีกปีงั้นหรอ นั่นก็เลวร้ายเหมือนกัน แต่จะให้มิซึซากิสอนก็เป็นสถานการณ์กินคายไม่ออกยังไงไม่รู้ ต้องทำทุกคนที่รู้สึกช็อกจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่ๆ แถมหมอนั่นมีทั้งงานประธานนักเรียนทั้งเรื่องสอบเข้าอีก มาเสียเวลาช่วยเหลือคนที่เคยรังแกคนที่รักได้ยังไง
“ไม่ล่ะค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ”
ฉันปฏิเสธย้ำไปอย่างหนักแน่น แค่นี้ก็แปลกพอแล้วล่ะนะ แต่จากนั้นไปลองตั้งใจเรียนดูดีกว่า...
ฉันตัดสินใจใช้เวลาก่อนเข้าเรียนไปที่ห้องสมุด ก่อนจะตระหนักได้ว่าไม่มีจุดไหนที่ฉันเข้าใจเลย...
ผ่านไปสักพักก็มีคนวางหนังสือตรงหน้า
“คุณยังทำโจทย์ในหนังสือเล่มนั้นไม่ไหวหรอกนะครับ ระดับคุณควรจะทำหนังสือเล่มนี้มากกว่า”
เอ็นโจที่ไม่รู้มาจากไหนโผล่มาวางหนังสือแล้วจากไปแบบที่ฉันตอบโต้ไม่ทัน หมอนั่นแอบได้ยินบทสนทนาเมื่อเช้าหรือเปล่า ไม่หรอกมั้ง... แค่แสร้งทำเป็นคนดีแบบทุกที คงแค่มาเยาะเย้ยความสามารถของฉัน