Fanboi Channel

ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการขี่โพนี่พุ่งทะยานข้ามแดนไปหาเจ้าชาย [หน้าตาสมัยศตวรรษที่ 19]

Last posted

Total of 1000 posts

796 Nameless Fanboi Posted ID:5vBe3dROE

เที่ยงคืนแล้ว ถือว่าเป็นวันใหม่ ลงฟิคต่อได้
เอ็นโจเลี้ยงต้อย >>>/webnovel/4099/841-844
------------------------------

“.....เกะ….ชูสุเกะ….ชูสุเกะ….”

สัมผัสหนักๆที่เกิดขึ้นกับไหล่เรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิด พอหันหน้าไปก็เห็นมาซายะกำลังจับไหล่ผมพลางขมวดคิ้วจ้องมองมา ท่าทางงุนงงสงสัย

“เป็นอะไรไป เรียกตั้งนานไม่ตอบ”

“โทษทีนะ” ผมส่งยิ้มกลบเกลื่อนไปให้ “พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“อย่าเหม่อสิ ให้มันแข็งขันหน่อย”

“รู้แล้วน่า”

ตอนนี้ผมกับมาซายะมานั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องรับแขกของคลีนิคจิตแพทย์ที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายแต่ดูหรูหราด้วยโทนสีที่เห็นแล้วสบายตา ทำให้รู้สึกสงบ คงเป็นเรื่องจิตวิทยาการใช้สีในการออกแบบอะไรซักอย่าง

“เดี๋ยวมานะ” ผมบอกมาซายะตอนถูกเรียกตัวเข้าไปพบแพทย์ เขาก็พยักหน้า เปิดอ่านนิตยสารที่วางอยู่แถวๆนั้นฆ่าเวลาไป

ก่อนหน้านั้นผมบอกให้มาซายะไม่ต้องมาด้วยกันก็ได้เพราะมันใช้เวลานาน แต่เขาก็ดื้อ เอาแต่บอกว่ารอได้ แล้วก็ไม่ยอมรับฟังอะไรอีก ผมขี้เกียจจะเถียงก็เลยยอมๆไป

อันที่จริงกำหนดการของพวกเรานั้นแน่นเอี๊ยดแทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว แต่มาซายะก็ยอมทิ้งธุระทั้งหลาย มานั่งรอผมคุยกับจิตแพทย์ทุกครั้ง ทั้งที่มันดูเหมือนจะเป็นการใช้เวลาแบบเปล่าประโยชน์ จะว่าเป็นการตอบแทนที่ผมอยู่ข้างๆเขาตอนอยู่ที่ลอนดอนก็ได้มั้ง

จิตแพทย์คนใหม่เป็นผู้หญิงร่างท้วม ท่าทางอบอุ่น ใบหน้าดูใจดีเหมือนคุณแม่ผู้มีเมตตา เห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมอะไรแบบนั้น

ดูท่าทางเธอจะรู้ข้อมูลของผมอยู่แล้ว เพราะผมคือเคสที่ส่งต่อมาจากจิตแพทย์จากลอนดอนที่เป็นอาจารย์ของเธอ เราพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เข้าเรื่องปัญหาของผม

หมอสอบถามผมหลายอย่างทั้งเรื่องอาการปวดหัว เรื่องความเครียด เล่าถึงชูสุเกะในหัวของผมว่าเราพบกันเมื่ออายุเท่าไหร่ แล้วก็เล่าต่อจากเดิมว่าชูสุเกะในโลกกระจกเริ่มมีอำนาจเหนือผมขึ้นทุกวันๆ จนผมควบคุมเขาไม่ได้ ไม่รู้จะออกมาอีกตอนไหน

อย่างครั้งล่าสุดที่ปรากฎตัวนั้นก็เอาร่างกายไปใช้ตามใจชอบ ตอนที่เขาใช้ร่าง ผมไม่มีสติรับรู้เหตุการณ์

ผมกลัวว่าเขาจะเอาไปทำเรื่องร้ายๆ ถึงมันจะเป็นร่างกายของเขาเองก็เถอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาที่ถูกขังอยู่ในร่างกายตัวเองมานานเป็นสิบปีจะวิปลาสไปแค่ไหน

หมอให้ผมเล่าเรื่องที่อีกคนหนึ่งในตัวกระทำลงไป ผมก็เลยเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นที่เขาปรากฎตัวด้วยการบอกให้มาซายะพาไปดูละครเวที อีกหนคือใช้ร่างนี้ไปทำเรื่องแบบนั้นกับเรย์กะ

พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็ปรากฎขึ้นมาทุกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย ผสมกับความวิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ตอนกอดเธอผมก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหมือนมีหนามทิ่มแทงอยู่ตลอด

“นั่นเป็นครั้งแรกของฉันเลยน้า” เรย์กะเอานิ้วจิ้มไหล่ของผมแบบเขินๆ “ต้องรับผิดชอบด้วยล่ะ”

ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่ไม่รู้อะไรเลยของเธอ ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่คิดแบบนี้ แต่จะให้บอกความจริงออกไปว่านั่นไม่ใช่ผม ก็ทำไม่ได้

เท่าที่ดู ชูสุเกะคนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีใส่เรย์กะ จากที่เลียบๆเคียงๆถาม เขาดูจะสวมบทบาทเป็นแฟนที่ดี นุ่มนวล อ่อนโยนและเอาใจใส่ บทรักก็ไม่ได้หยาบคาย แต่เต็มไปด้วยความทนุถนอม สร้างความทรงจำดีๆให้เหมือนในหนังรักโรแมนติค ผมเลยนึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดไว้เมื่อก่อน

“นายชอบอะไรผมก็ชอบด้วย นายรักอะไรผมก็รักด้วย ก็เราสองคนคือคนคนเดียวกันนี่นา”

หมอนั่น รักเรย์กะจริงๆเหรอ

ผมไม่มั่นใจว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาพูด ถ้าเราสองคนคือคนคนเดียวกัน ยิ่งเชื่อถือไม่ได้เข้าไปใหญ่

ไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร เรื่องที่มันผ่านมาแล้วจะให้ย้อนกลับไปแก้ไขก็คงเป็นไปไม่ได้

แต่จะให้หาทางแก้ไข ผมยังมองไม่เห็นทางออกเลยสักนิด
.
.
.

797 Nameless Fanboi Posted ID:5vBe3dROE

จากการสอบถามข้อมูล ทำแบบทดสอบอีกหลายอย่าง ไปหาหมออีกหลายหน หมอก็วินิจฉัยว่าผมเป็น Dissociative Identity Disorder หรือโรคบุคลิกภาพแตกแยก แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่

โรคนี้มักเกิดจากการสร้างอีกบุคลิกที่เข้มแข็งกว่ามาปกป้องบุคลิกหลักเมื่อได้รับความเจ็บปวดกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง แล้วบุคลิกหลักก็จะไปหลบซ่อน หนีจากความเจ็บปวดที่ได้รับ เมื่อปลอดภัยแล้วจึงออกมาใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งกรณีของผมมันไม่เข้าข่าย

ชูสุเกะคนนั้นไม่ได้สร้างผมขึ้นมา ไม่มีการทารุณทางร่างกายหรือจิตใจอะไรทั้งนั้น อยู่ๆผมก็โผล่มาติดอยู่ในร่างนี้เอง เป็นอาการที่นักจิตบำบัดคนไหนก็ช่วยไม่ได้

หมออธิบายถึงวิธีรักษาว่าต้องใช้ยาควบคู่ไปกับการบำบัดทางจิต และหนทางรักษาคือหลอมรวมบุคลิกของผมและเขาเข้าด้วยกัน แต่ผมและเขาจะต้องยอมรับการมีตัวตนของกันและกันก่อน

เรื่องนั้นจะเป็นไปได้หรือ สิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้มันก็ไม่ใช่บุคลิกภาพแตกแยกซักหน่อย

“....ชูสุเกะ….ชูสุเกะ…..”

มาซายะเรียกผมให้กลับมาสู่โลกความจริงเหมือนเคย สีหน้าเรียบเฉยที่มักทำอยู่เป็นประจำ ก็ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใยแบบเห็นได้ชัด

“อะ อื๋อ...ว่าไง”

“เหม่ออีกแล้วนะ” เขาหดมือกลับไปเมื่อผมมีปฏิกริยาตอบรับแล้ว

“โทษทีๆ” ผมยิ้มกลบเกลื่อนสถานการณ์ แต่มาซายะกลับขมวดคิ้วใส่

“พักนี้นายดูใจลอยผิดปกติ...คิดอะไรอยู่เหรอ มีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้ฉันฟังสิ”

“ไม่…” ผมจะตอบปฏิเสธอย่างเคย แต่มาซายะกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ฉันพึ่งพาอะไรไม่ได้เลยเหรอ นายถึงไม่ยอมบอกอะไรฉันซักอย่าง”

ดูทำหน้าเข้า.... ท่าทางหงอยๆ แววตาเหมือนลูกหมาที่กำลังจะถูกทิ้งนั่นมันอะไรน่ะ

“ไม่ใช่อย่างนั้น มันก็แค่….”

“ก็แค่อะไรล่ะ”

ผมนึกถึงเรื่องที่ชูสุเกะในโลกกระจกคนนั้นออกมาเจอกับมาซายะแล้ว จะดีรึเปล่านะ ถ้าบอกมาซายะเรื่องนี้ ให้เขาระวังตัวเอาไว้

“นี่...มาซายะ ถามอะไรหน่อยสิ”

“ว่ามาสิ”

“ถ้าในตัวผมมีปีศาจสิงสู่อยู่ นายจะทำยังไงเหรอ”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็...สมมติว่า….ถ้าเกิดวันหนึ่งอยู่ๆผมก็เปลี่ยนไป กลายเป็นใครที่ไม่รู้จักมาอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ตัวผมที่เคยเป็นมาตลอด เป็นปีศาจที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี นายจะทำยังไงล่ะ”

“ชูสุเกะ ฉันไม่เข้าใจ…”

“ก็แค่พูดเล่นน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ ทำเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่สำคัญ “มันเป็นเรื่องสมมติ”

มาซายะจับไหล่ผมทั้งสองข้าง จ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง

“นั่นคือปัญหาที่นายกำลังเจออยู่ตอนนี้ใช่มั้ย” พอผมเงียบเขาก็ถามย้ำ “ใช่มั้ย ตอบมาสิ”

ผมทำแค่ยิ้มแล้วดึงมือเขาออก

“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกน่า ก็บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องสมมติ”

“......”

“กลับกันเถอะ”

มาซายะก้าวขึ้นรถมานั่งข้างๆ บอกให้ขับไปส่งที่โรงแรมที่เป็นหนึ่งในเครือตระกูลคาบุรากิ แล้วก็เงียบไปตลอดทาง จนใกล้ๆถึงที่หมายเขาก็ยอมเอ่ยปากขึ้นมาเป็นคำแรก

“แม่ฉันสั่งให้ไปทานมื้อค่ำด้วย” เขาทำหน้าเหม็นเบื่อ “เห็นบอกอยากให้สนิทกับใครคนหนึ่งไว้”

มิน่า ชุดวันนี้ถึงดูเป็นกึ่งทางการ มีนัดไปทานมื้อค่ำต่อจากนี้นี่เอง คงหนีไม่พ้นแนะนำผู้หญิงในแวดวงสังคมให้ได้รู้จักแหงๆ

“เป็นหนุ่มเนื้อหอมก็แบบนี้ล่ะน้า” ผมเอ่ยแซว เขาก็ถลึงตาใส่

798 Nameless Fanboi Posted ID:5vBe3dROE

พอรถจอดหน้าโรงแรม มาซายะทำท่าจะเปิดประตูลงไป แต่ผมเรียกเขาไว้ก่อน จัดปกเสื้อกับกลัดกระดุมให้ ตบๆตามตัวเบาๆทำเหมือนปัดฝุ่นออกจากตัว

“ไปพบสาวก็ต้องแต่งตัวให้ดูดีกันหน่อยสิ”

มาซายะกลอกตาขึ้นมองข้างบน ผมเลยหัวเราะ

“เอ้า หล่อแล้ว ไปได้” ผมดันหลังเขาให้ออกจากรถเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ผมไม่บอกคุณทาคามิจิหรอกว่ามาซายะมีเดทกับสาวอื่น”

“เงียบเหอะน่า”

มาซายะเหลือบมองผม เปิดประตูค้างไว้แต่ยังไม่ก้าวออกไป

“นี่ ชูสุเกะ”

“อะไรเหรอ”

“ปีศาจที่ว่านั่นน่ะ ฉันเคยเผชิญหน้ากับมันมาก่อนใช่มั้ย”

“เอ๋!?”

“ถ้าฉันหาวิธีกำจัดมันออกไปจากตัวนายได้ นายจะมีความสุขขึ้นรึเปล่า”

“พูดเรื่องอะไรน่ะ”

“เรื่องสมมติ”

“มาซายะ”

“ฉันไม่อยากเห็นนายมีความทุกข์มากไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะงั้นนะ...ฉันจะหาหนทางกำจัดปีศาจให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนฉันก็จะทำ”

“มาซายะ…”

“แล้วเจอกัน”

มาซายะยิ้มน้อยๆตอนที่วางมือลงบนหัวผม ตบปุๆอยู่สองสามทีแล้วก็ลงไป ปิดประตูรถ ก้าวขึ้นบันไดโรงแรมไปไม่หันกลับมามอง

ผมมองตามแผ่นหลังนั่นด้วยความรู้สึกสับสน

เขารู้อย่างนั้นเหรอ ว่านั่นไม่ใช่ผม

.
.
.
.

“ปีศาจอย่างนั้นเหรอ ใจร้ายจังเลยน้า คุณชูสุเกะ...”

เสียงที่เหมือนกันกับผมดังขึ้นให้ได้ยินเมื่อจมดิ่งลงในห้วงแห่งความฝัน พอเหลียวไปมองตามทิศทางของเสียงก็เห็นชูสุเกะในโลกกระจกนั่งไขว่ห้างอยู่กลางอากาศ แย้มรอยยิ้มน่ารังเกียจอย่างเคย

“แก!!!”

“ใจร้อนจัง” ชูสุเกะผมทองหัวเราะคิกคัก “ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ มารยาทน่ะเอาไปไว้ไหนหมด”

“ต้องการอะไรกันแน่”

“อูว ทำหน้าน่ากลัวชะมัด” เขาเอานิ้วชี้เคาะหัวตัวเองเบาๆ “เครียดมากมันไม่ดีต่อสุขภาพนะรู้มั้ย คุณชูสุเกะเอาแต่เครียดอยู่แบบนี้ถึงได้ปวดหัวอยู่เรื่อยเลยไง”

“แกต้องการอะไรกันแน่”

“เอ้า ก็ได้ๆ เข้าเรื่องก็ได้….วันนี้ผมได้ยินการกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่าผมน่ะเป็นปีศาจร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่าง มาซายะก็คิดจะกำจัดผมอีกด้วย ผมรู้สึกเสียใจม๊ากมาก ก็เลยอยากออกมาพูดอะไรหน่อย”

ชูสุเกะผมทองกุมหน้าอกตัวเอง แกล้งทำสีหน้าเจ็บปวด แล้วก็เงยหน้าขึ้น

“ปีศาจที่สิงสู่อยู่ในร่างอย่างนั้นเหรอ นี่มันควรเป็นคำพูดของผมมากกว่านะ”

“.............”

“ดูเหมือนว่าการปล่อยให้คุณใช้ร่างของผมมาสิบกว่าปี จะทำให้คุณลืมตัวเองไปหน่อยล่ะมั้งว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของตัวจริง...ผมก็เลยต้องเตือนสติกันหน่อย”

“แกจะเอายังไงก็ว่ามา” ผมกำหมัดแน่น พยายามระงับอารมณ์ไม่ให้เข้าไปต่อยหน้าเขา ถึงจะมีกระจกขวางกั้นอยู่ก็เถอะ

“เอายังไงดีน้า” เขาทำเสียงล้อเลียน “ว้า แย่จัง ตอนนี้นึกไม่ออกเลยว่าจะเอายังไงดี ถ้าได้กอดเรย์กะอีกซักครั้งหรือสองครั้ง….อาจจะพอนึกออกบ้างก็ได้”

“แก!!”

“เอ้าๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ต้องขอบคุณผมมากกว่านะที่ทำให้อะไรๆมันง่ายขึ้น” ชูสุเกะผมทองยิ้มหวานหยด “มีครั้งแรกแล้วก็ต้องมีครั้งต่อๆมาใช่มั้ยล่ะ หลังจากนั้นคุณก็มีอะไรกับเธอมาตลอดเลยนี่”

“สารเลว”

“ฮะๆๆๆ ดูพูดเข้า” เขาหัวเราะร่วน ดูท่าทางอารมณ์ดี “คนที่คิดจะกำจัดเจ้าของร่างอย่างผมออกไปให้พ้นทางความสุขของตัวเองน่ะไม่ใช่คนสารเลวหรอกเหรอ ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน”

ชูสุเกะในโลกกระจกเปลี่ยนจากการลอยอยู่เบื้องบนลงมาเดินกับพื้น ก้าวเท้าเข้ามาหาผมช้าๆ

“แล้ว...ที่ไปหาหมอมาวันนี้ ทำไมคุณไม่เล่าให้หมอฟังถึงเรื่องที่คุณคิดจะบีบคอเรย์กะให้ตายทุกครั้งที่คุณกับเธออยู่บนเตียงกันล่ะ”

เขาเอียงคอมอง แล้วก็แย้มรอยยิ้มกว้าง

799 Nameless Fanboi Posted ID:5vBe3dROE

“ความหึงหวงของคุณ รุนแรงยิ่งกว่าที่ผมคิดซะอีก ทนไม่ได้สินะที่จะมีใครแบ่งปันเธอไปจากคุณ ถึงแม้จะเป็นตัวเองในอีกโลกก็ตาม”

เมื่อผมนิ่งเงียบ เขาก็หัวเราะ

“ผมพูดถูกมั้ยล่ะ ด็อกเตอร์เจเคิล….”

ถูกของเขา

เวลาที่ผมอยู่เหนือร่างเธอ ความคิดอยากจะกำรอบลำคอนั้นแล้วออกแรงบีบก็ผุดขึ้นมาทุกครั้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าซุกหน้าเข้ากับต้นคอ กดจูบหรือไม่ก็กัดเบาๆพอให้เป็นรอย แม้จะอยากฝังคมเขี้ยวเข้ากับผิวเนื้อนั่นขนาดไหนก็ตาม

สิ่งที่ตามมาคือความละอายใจและรู้สึกผิด เรย์กะไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักหน่อย แล้วผมก็เอาความคิดน่าขยะแขยงแบบนี้ไปลงกับเธอได้ยังไงกัน

“เพราะอยากแก้ไขสิ่งที่คุณเคยทำผิดพลาด พอมาโลกนี้คุณก็เลยเก็บตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ เล่นบทด็อกเตอร์เจเคิลผู้แสนดี...ในเมื่อคุณตั้งใจไว้แบบนั้น ผมก็จะเล่นเป็นมิสเตอร์ไฮด์ให้เอง….แต่มิสเตอร์ไฮด์จะทำอะไรลงไปบ้างก็ไม่รู้”

“ไอ้ปีศาจ!!”

“ปีศาจอีกแล้ว” เขาหัวเราะ ท่าทางรื่นเริงใจ “อย่าลืมสิว่าคุณเองนั่นล่ะ ที่เป็นคนสร้างปีศาจให้เกิดขึ้น และสิ่งที่ปีศาจที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีทำได้ก็มีแค่การกินคนยังไงล่ะ แต่ปีศาจน่ะไม่ได้มีแค่หนึ่งหรอกนะ”

ชูสุเกะผมทองลอยกลับขึ้นไปกลางอากาศเหมือนเดิม เท้าคางมองลงมาด้วยสายตาที่ดูสนุกสนาน ทำเหมือนตัวเองเป็นปีศาจตัวจริง คอยเฝ้ามองหายนะของมนุษย์ยังไงยังงั้น

“ดูเหมือนจะได้เวลาตื่นของคุณแล้ว” เขาแหงนหน้ามองข้างบนแล้วหันมายิ้มให้ “ถ้าอย่างนั้น ปีศาจจะบอกอะไรดีๆให้ซักอย่างเป็นของขวัญก่อนจากนะ คุณชูสุเกะ…”

ผมหรี่ตามองเขา ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไร แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตอนที่คุณทำเรื่องแบบนั้นกับเรย์กะ...ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างจากคุณเหมือนกัน”

รู้สึกไม่ต่าง….หมายความว่ายังไงน่ะ

“ก็..คุณรู้สึกอะไรบ้างตอนทำ ผมก็รู้สึกแบบเดียวกันนั่นล่ะ….ทุกอย่างเลย….”

เขายิ้มกว้าง ผายมือออกมาทั้งสองข้างเหมือนจะอ้าแขนโอบกอด

“เหมือนได้ทำพร้อมๆกันสามคนเลยเนอะ ว่ามั้ย!?”

สิ้นเสียง ผมกระโจนหาเขาในทันที แต่ชูสุเกะผมทองกลับหัวเราะ ร่างกายในกระจกแตกตัวออกเป็นขนนกสีดำนับพันเส้นในอากาศ ส่วนผมรู้สึกเหมือนมือที่มองไม่เห็นกำลังจับตัวผมไว้ให้ลอยไปสู่แสงสว่างเบื้องบน

“แล้วค่อยพบกันใหม่นะ คุณชูสุเกะ”

เสียงหัวเราะเยือกเย็นบาดหูยังดังก้องอยู่ภายในหัว แม้ตอนตื่นขึ้นมาก็ยังได้ยินอยู่ มันมาพร้อมอาการปวดหัวอีกหน

แทนที่จะยกมือกุมศีรษะอย่างเคย ผมกลับยกมือปิดหูทั้งสองข้าง รู้ว่าทำแบบนี้เสียงก็ไม่หายไป แต่ในเวลานี้ผมไม่อยากได้ยินได้ฟังอะไรทั้งนั้น

---------------------------
ตอนหน้าเป็นมุมมองคนอื่น...จะเขียนใครดีน้า.......

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.