เที่ยงคืนแล้ว ถือว่าเป็นวันใหม่ ลงฟิคต่อได้
เอ็นโจเลี้ยงต้อย >>>/webnovel/4099/841-844
------------------------------
“.....เกะ….ชูสุเกะ….ชูสุเกะ….”
สัมผัสหนักๆที่เกิดขึ้นกับไหล่เรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิด พอหันหน้าไปก็เห็นมาซายะกำลังจับไหล่ผมพลางขมวดคิ้วจ้องมองมา ท่าทางงุนงงสงสัย
“เป็นอะไรไป เรียกตั้งนานไม่ตอบ”
“โทษทีนะ” ผมส่งยิ้มกลบเกลื่อนไปให้ “พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“อย่าเหม่อสิ ให้มันแข็งขันหน่อย”
“รู้แล้วน่า”
ตอนนี้ผมกับมาซายะมานั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องรับแขกของคลีนิคจิตแพทย์ที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายแต่ดูหรูหราด้วยโทนสีที่เห็นแล้วสบายตา ทำให้รู้สึกสงบ คงเป็นเรื่องจิตวิทยาการใช้สีในการออกแบบอะไรซักอย่าง
“เดี๋ยวมานะ” ผมบอกมาซายะตอนถูกเรียกตัวเข้าไปพบแพทย์ เขาก็พยักหน้า เปิดอ่านนิตยสารที่วางอยู่แถวๆนั้นฆ่าเวลาไป
ก่อนหน้านั้นผมบอกให้มาซายะไม่ต้องมาด้วยกันก็ได้เพราะมันใช้เวลานาน แต่เขาก็ดื้อ เอาแต่บอกว่ารอได้ แล้วก็ไม่ยอมรับฟังอะไรอีก ผมขี้เกียจจะเถียงก็เลยยอมๆไป
อันที่จริงกำหนดการของพวกเรานั้นแน่นเอี๊ยดแทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว แต่มาซายะก็ยอมทิ้งธุระทั้งหลาย มานั่งรอผมคุยกับจิตแพทย์ทุกครั้ง ทั้งที่มันดูเหมือนจะเป็นการใช้เวลาแบบเปล่าประโยชน์ จะว่าเป็นการตอบแทนที่ผมอยู่ข้างๆเขาตอนอยู่ที่ลอนดอนก็ได้มั้ง
จิตแพทย์คนใหม่เป็นผู้หญิงร่างท้วม ท่าทางอบอุ่น ใบหน้าดูใจดีเหมือนคุณแม่ผู้มีเมตตา เห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมอะไรแบบนั้น
ดูท่าทางเธอจะรู้ข้อมูลของผมอยู่แล้ว เพราะผมคือเคสที่ส่งต่อมาจากจิตแพทย์จากลอนดอนที่เป็นอาจารย์ของเธอ เราพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เข้าเรื่องปัญหาของผม
หมอสอบถามผมหลายอย่างทั้งเรื่องอาการปวดหัว เรื่องความเครียด เล่าถึงชูสุเกะในหัวของผมว่าเราพบกันเมื่ออายุเท่าไหร่ แล้วก็เล่าต่อจากเดิมว่าชูสุเกะในโลกกระจกเริ่มมีอำนาจเหนือผมขึ้นทุกวันๆ จนผมควบคุมเขาไม่ได้ ไม่รู้จะออกมาอีกตอนไหน
อย่างครั้งล่าสุดที่ปรากฎตัวนั้นก็เอาร่างกายไปใช้ตามใจชอบ ตอนที่เขาใช้ร่าง ผมไม่มีสติรับรู้เหตุการณ์
ผมกลัวว่าเขาจะเอาไปทำเรื่องร้ายๆ ถึงมันจะเป็นร่างกายของเขาเองก็เถอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาที่ถูกขังอยู่ในร่างกายตัวเองมานานเป็นสิบปีจะวิปลาสไปแค่ไหน
หมอให้ผมเล่าเรื่องที่อีกคนหนึ่งในตัวกระทำลงไป ผมก็เลยเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นที่เขาปรากฎตัวด้วยการบอกให้มาซายะพาไปดูละครเวที อีกหนคือใช้ร่างนี้ไปทำเรื่องแบบนั้นกับเรย์กะ
พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็ปรากฎขึ้นมาทุกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย ผสมกับความวิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ตอนกอดเธอผมก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหมือนมีหนามทิ่มแทงอยู่ตลอด
“นั่นเป็นครั้งแรกของฉันเลยน้า” เรย์กะเอานิ้วจิ้มไหล่ของผมแบบเขินๆ “ต้องรับผิดชอบด้วยล่ะ”
ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่ไม่รู้อะไรเลยของเธอ ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่คิดแบบนี้ แต่จะให้บอกความจริงออกไปว่านั่นไม่ใช่ผม ก็ทำไม่ได้
เท่าที่ดู ชูสุเกะคนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีใส่เรย์กะ จากที่เลียบๆเคียงๆถาม เขาดูจะสวมบทบาทเป็นแฟนที่ดี นุ่มนวล อ่อนโยนและเอาใจใส่ บทรักก็ไม่ได้หยาบคาย แต่เต็มไปด้วยความทนุถนอม สร้างความทรงจำดีๆให้เหมือนในหนังรักโรแมนติค ผมเลยนึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดไว้เมื่อก่อน
“นายชอบอะไรผมก็ชอบด้วย นายรักอะไรผมก็รักด้วย ก็เราสองคนคือคนคนเดียวกันนี่นา”
หมอนั่น รักเรย์กะจริงๆเหรอ
ผมไม่มั่นใจว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาพูด ถ้าเราสองคนคือคนคนเดียวกัน ยิ่งเชื่อถือไม่ได้เข้าไปใหญ่
ไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร เรื่องที่มันผ่านมาแล้วจะให้ย้อนกลับไปแก้ไขก็คงเป็นไปไม่ได้
แต่จะให้หาทางแก้ไข ผมยังมองไม่เห็นทางออกเลยสักนิด
.
.
.