.
.
.
“พอได้ออกมาข้างนอกก็ค่อยยังชั่วหน่อย ในงานคนเยอะจริงๆ” ผมพาเธอมานั่งที่ม้านั่งใกล้ๆกัน บริเวณนี้เป็นซุ้มดอกไม้ที่ปลูกไว้อย่างสวยงาม มีแสงจันทร์จากพระจันทร์เต็มดวงสาดส่องมาเพิ่มความโรแมนติคให้ด้วย ผมอยากให้บรรยากาศมันสมบูรณ์แบบที่สุดน่ะนะ
“นะ...นั่นน่ะสิคะ”
“หน้ากากนี่ก็อึดอัดจัง คุณเรย์กะช่วยผมถอดหน่อยสิ” ผมพูดสองแง่สองง่ามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่นานๆจะได้อ้อนสักที ที่เธอไม่สนใจผมมากว่าสิปปีน่ะ งอนมากเลยรู้ไหม
จบคำพูดเรย์กะก็ถลึงตาใส่ผม ผมหัวเราะแล้วพยายามแกะออกเอง แต่ผมจงใจทำเหมือนกับว่ามันแกะยาก เรย์กะเลยเอื้อมมือไปดึงพวกสายรั้งอะไรพวกนั้นให้ออกไปเป็นการช่วยผมอีกแรง
พอหน้ากากหลุดออกไป ผมเผ้าของผมก็ยุ่งเหยิงพอสมควร แต่เพราะตอนนี้ผมมีความสุขมากจึงยิ้มกว้าง
“นึกยังไงถึงแต่งตัวแบบนี้กันล่ะคะ”
“ยูกิโนะ มาซายะ ไอระช่วยกันออกไอเดียน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ “ต้องนั่งเป็นหุ่นลองเสื้อให้สามคนนั้นตั้งนาน กว่าจะได้ที่ถูกใจที่ยากไม่ใช่เล่นเลยนะ” มาซายะชอบความสมบูรณ์แบบมากเกินไปเลยลำบากในหลายๆความหมาย
“เอ๋!?”
เรย์กะทำสายตาไม่ไว้วางใจผม คิดว่าผมหลอกอยู่สินะ ไม่ไหวเลยแฮะ ทำกระต่ายระแวงอีกแล้วสิ....
“คุณเรย์กะไม่ดีใจที่ผมมาเหรอ” ผมถามด้วยความรู้สึกจากใจจริง
“แหม ก็…” เรย์กะอ้ำอึ้งแล้วตอบไม่ถูก ดูเหมือนว่าผมจะมีความหวังเพิ่มขึ้นแฮะ
“อื๋อ” ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“กะ ใกล้เกินไปแล้วนะคะ”
“ก็นานๆทีจะมีโอกาสได้เห็นนางฟ้านี่นา” ผมยิ้มกริ่ม “ก็อยากมองใกล้ๆไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
นี่ผมพูดจริงนะ แล้วนางฟ้าที่ว่าต้องเป็นเธอเท่านั้นด้วย
“พอมองแล้วก็อยากสัมผัส”
ผมใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามใบหน้าของเธออย่างหลงไหลและรักใคร่ ผมล่ะอยากจะกอดเธอจริงๆ ผมอยากจะแสดงความรักที่ผมมีให้คุณได้เห็นมันตอนนี้ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเกิดผมทำจริงๆเธอคงจะเกลียดผมไปชั่วชีวิต
แต่ว่า....ถ้าไม่ระบายความรู้สึกนี้ออกไปให้เธอรับรู้ ผมก็คงทนไม่ไหว แล้วตายด้วยความรักที่เต็มล้นนี้แน่นอน
เธอยกมือขึ้นกันผมออกมาอย่างเงอะงะ แต่ผมรวบข้อมือฉันไว้ทั้งสองข้าง กดจูบเบาๆแล้วเอามือของเธอมาแนบแก้มตัวเอง เธอจะดึงมือตัวเองออกถูกผมจับไว้ไม่ปล่อย เหมือนจะอ้อนวอนขอให้เรย์กะได้รับรู้ความรักของผมผ่านสัมผัสเหล่านั้นสักนิดก็ยังดี
“ทะ ท่านเอ็นโจ อย่าล้อกันเล่นแบบนี้สิคะ”