Last posted
Total of 1000 posts
>>543 นี่ไง ได้พล็อตฟิคใหม่
ในขณะที่คนอื่นเขาแต่งตัวสวยๆไปงานเลี้ยงเต้นรำกันหมด นางซินอาริมะต้องมาถูพื้นด้วยน้ำยาทำความสะอาดจากทีวีไดเรก ขณะที่ยืนชื่นชมความเป็นมันเงาของโต๊ะที่เพิ่งขัดไปอยู่นั้น นางฟ้าแม่ทูนหัวผมหลอดๆก็ได้ลงมาจากฟ้า เสก(เปย์)ชุดที่สั่งมาจากทีวีไดเรกแบบ 1 แถม 1 พร้อมกับเสกให้ผมบนหัวนางซินอาริมะเป็นผมหลอดโรโคโค่เอาไว้ให้ไปงานเลี้ยงแบบสวยๆ แต่อาริมะคุงเอาชุดใหม่ใส่ไว้ถูบ้าน ไม่ได้ไปงานเลี้ยงแต่อย่างใด อดเจอเจ้าชาย(จะเอาคาบุรากิหรือเอ็นโจดี) มีชีวิตสงบสุขพร้อมกับช่องทีวีไดเรกไปวันๆ แฮปปี้เอนดิ้ง
พวกมึงทุกคนควรจะพอ 55555
บทแม่งก็น้อยกว่านกพิราบ พอมีบทก็ได้พล็อตฟิคแบบนี้เนอะอาริมะ 555555555
รู้สึกสงสารตัวละครเรื่องนี้จริงๆ ดูแฟนๆจิ้นซะหมดสภาพตัวละครโชโจวเลย
พวกมึงอย่าทำร้ายอาริมะสิวะ บทเขาออกจะหล่อนะเว้ย55555 *มองข้ามความทีวีไดเรกแฟนบอยไป*
คู่นี้กูโดกิโดกิแค่ตอนสั่งให้เงยหน้า นอกนั้นรู้สึกเพื่อนแม่บ้านคุยกันมากๆ คานซังนี่หวงท่านเรย์กะเหลือเกิน ลอบเจาะรูทุกเรือเลย....
>>544 ถ้าจับแต่ละคนมาเป็นนางซิน
คาบุ - ไม่ได้ไปงานเลี้ยงเพราะเจ้าชายเขาจงใจไม่เชิญ พอรู้ข่าวจากทีวีก็รีบบึ่งไปงานแล้วยึดงานมาจัดการด้วยตัวเองจนออกมาเพอร์เฟคเป็นที่กล่าวขวัญไปหลายปี
เอ็นโจ - ไม่ได้ไปงานเลี้ยงเพราะอยู่รอเจอนางฟ้าแม่ทูนหัวผมหลอดๆ แต่ใช้น้องชายมาเป็นเหยื่อล่อให้นางฟ้าลงมาหา
ท่านพี่ - ไม่ได้ไปงานเลี้ยงเพราะขี้เกียจไป แต่เห็นข่าวจากทีวีว่าเจ้าชายอิมาริกำลังกะลิ้มกะเหลี่ยใส่น้องสาวตัวเองอยู่พอดี เลยรีบบึ่งไปงานพร้อมอาวุธครบมือ....
เอ็นโจ Side Story >>>/webnovel/4218/228-230
---------------------
วันรุ่งขึ้น เรื่องที่คุณคิโชวอินมอบช็อกโกแลตให้ผมก็กลายเป็นข่าวใหญ่ เธอดูหงุดหงิดมาก สั่งห้ามไม่ให้ทุกคนพูดถึงเรื่องนี้ พร้อมกับยืนกรานด้วยว่ามอบให้ยูกิโนะ ฟังแล้วก็รู้สึกแห้งเหี่ยวอยู่เหมือนกันนะ
แต่เอาเถอะ ได้มีความสุขเล็กๆน้อยๆในช่วงเวลาสั้นๆก็ดีแล้ว จะให้คุณคิโชวอินโกรธมากไปกว่านี้ก็ไม่ได้ซะด้วยสิ
ดังนั้น เวลามีคนมาถามผมก็ต้องตอบไปตามความจริงว่าเธอให้ยูกิโนะ ไม่ใช่ผม
ฮารุกิเองก็มาวุ่นวายตั้งแต่เช้า แต่พอส่งยิ้มให้เป็นการข่มขู่ว่าอย่ามาจุ้นจ้านก็ถอยทัพกลับไป หลังจากนี้คงไปหาเรื่องคุณคิโชวอินแน่ๆ
ไอ้หมอนี่น่ารำคาญชะมัด
แม้จะเสียดายแค่ไหน แต่เพื่อเป็นการยับยั้งข่าวลือ ผมก็เลยเปรยๆเรื่องนี้ให้ยูกิโนะฟัง น้องเองก็ให้ความร่วมมือ ตามมาที่สโมสรเพื่อยืนยันเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
คุณคิโชวอินนั่งคุยกับน้องผม แต่ทำตาเขียวปั๊ดมองมาซายะที่ทำท่าซังกะตาย ถอนหายใจไป อ่านบทกวีไปด้วยความแห้งเหี่ยว
อ้อ รู้สึกว่าคุณทาคามิจิจะไม่ได้ให้ช็อกโกแลตวาเลนไทน์กับมาซายะนี่นะ
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ดีของ “ยิ่งคาดหวังไว้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งช็อครุนแรงเท่านั้น”
มาซายะได้ช็อกโกแลตจากยูริเอะทุกครั้ง แต่ผมต้องนั่งรอเก้อ แถมยังต้องมาฟังมาซายะพูดว่าดีใจแค่ไหนที่ได้ช็อกโกแลตจากคนที่ชอบ พอเห็นหมอนี่เซื่องซึมไปก็ออกจะรู้สึกดีขึ้นที่มาซายะก็ต้องมาเผชิญชะตากรรมเดียวกันแล้ว
จงรับรู้ซะว่าในวันวาเลนไทน์ของทุกๆปี ผมรู้สึกยังไงบ้าง
แต่เห็นมาซายะมาถอนหายใจเฮือกๆ เอาแต่พร่ำเพ้อบทกวีเกี่ยวกับความผิดหวังเจ็บปวดทั้งหลายนี่มันก็น่ารำคาญอยู่เหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าไอ้อาการแบบนี้จะกินเวลาไปนานเท่าไหร่
แล้วคนที่ต้องมารับเคราะห์นั่งฟังมันก็คือผมไม่ใช่รึไง
.
.
.
.
ดูเหมือนใครซักคนบนฟ้าจะได้ยินคำพูดของผม ส่งเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจของมาซายะจากเรื่องนี้ไปได้ในที่สุด แต่ก็แลกมาด้วยความวุ่นวายอีกระลอกใหญ่
ตอนที่เข้าห้องเรียนไปก็เห็นมาซายะโวยวายอะไรเสียงดังอยู่คนเดียว มีนักเรียนอื่นๆรายล้อมมุงดูเหตุการณ์
“อรุณสวัสดิ์ มาซายะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ”
“จะมีอะไรอีกล่ะ! ทาคามิจิโดนกลั่นแกล้งไม่เข้าเรื่องแบบนี้อยู่น่ะสิ!”
มาซายะตวาดลั่น ชี้ให้ผมดูโต๊ะของคุณทาคามิจิที่มีข้อความหยาบคายเสียๆหายๆเขียนอยู่
“อ๋อ เรื่องนี้เองเหรอ” ผมพยักหน้าแบบเข้าอกเข้าใจ
เรื่องที่คุณทาคามิจิถูกเขียนโต๊ะหรือเอาโคลนมาป้ายเก้าอี้ก็เป็นเรื่องที่พบได้ในทุกวัน ทุกคนก็ดูจะชินชาและเมินเฉยด้วยว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยว หรือไม่ก็สาแก่ใจที่เธอบังอาจไปยุ่งกับมาซายะของพวกเธอ
“ยังไงซะก็ต้องหาตัวคนที่เขียนว่าร้ายบนโต๊ะทาคามิจิมาให้ได้”
“นั่นไม่ใช่งานของมาซายะ เป็นงานของคณะกรรมการนักเรียนไม่ใช่เหรอ” ผมสวนกลับไปเพื่อเตือนให้เขารู้ว่ากำลังจะชักนำความเดือดร้อนอย่างหนักมาให้คุณทาคามิจิอยู่ ถ้ามาซายะมายุ่มย่ามก็ยิ่งแต่จะเพิ่มปัญหาหนักเข้าไปใหญ่
ถ้ายอมฟังก็ดีน่ะสิ
“...หมอนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนสำคัญแบบนี้ จะทำอะไรได้”
พอได้ยินว่ามิซึซากิไปทำธุระ มาซายะก็ทำเสียงเยาะๆแล้วเลิกสนใจเรื่องนี้ หันไปหาคุณทาคามิจิ ถามว่าใครเป็นคนทำ เธอตอบแบบเลี่ยงๆว่าไม่ทราบ
คู่กรณีมันเยอะเกินไปจนนึกไม่ออกเลยว่าฝีมือใคร
มาซายะไปตั้งหน้าตั้งตาหาตัวคนร้ายในหมู่นักเรียน ถามคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยว่าใครคือตัวการ ทำแบบนั้นคงจะมีคนยอมตอบอยู่หรอกนะ
ผมมองหาคุณคิโชวอิน เธอก็มามุงเหตุการณ์อยู่เหมือนกัน เห็นเธอค่อยๆขยับไปทางคุณทาคามิจิ เตือนว่าคาบเรียนกำลังจะเริ่ม ควรทำความสะอาดโต๊ะก่อนดีกว่า
“จริงด้วยนะคะ” คุณทาคามิจิสะดุ้งเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วลงมือขัดถูโต๊ะตัวเองต่อ ปล่อยมาซายะไปควานหาตัวคนร้ายที่ไม่มีท่าทีจะเจอ
ว่าแล้วเชียว ความสัมพันธ์ของคุณทาคามิจิกับคุณคิโชวอินเป็นไปในทางที่ดี แทบจะเรียกได้ว่าเป็นมิตรจริงๆด้วย
เมื่อก่อนคุณคิโชวอินจะแค่ยืนดูเฉยๆไม่เอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวความวุ่นวาย อย่างตอนพวกซึรุฮานะเหยียบผ้าขนหนูก็ยังทำแค่มอง แต่ตอนนี้มาออกปากเตือนต่อหน้าคนเยอะๆ ก็เป็นการยืนยันว่าเธอห่วงเป็นใยคุณทาคามิจิไม่น้อย
ไปสนิทสนมกันตอนไหนนะ
คุณทาคามิจิขัดถูโต๊ะไปกับนักเรียนหญิงอีกคน ปัญหาก็ทำท่าจะคลี่คลายไปเหมือนสีเมจิคที่เลือนไปบนโต๊ะ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น
รุ่นพี่นาคาจิมะ อดีตประธาน Pivoine ปรากฎตัวที่ชั้นเรียนของม.5 คงจะสะดุดตาว่าที่นี่กำลังมุงอะไรอยู่ถึงได้มาดูเหตุการณ์กับเขาด้วย
เมื่อได้ฟังเรื่องจากคนอื่น รุ่นพี่นาคาจิมะก็ขมวดคิ้ว มองไปทางคุณทาคามิจิด้วยความไม่พอใจ
“นี่คุณอีกแล้วเหรอ คุณทาคามิจิ”
มาซายะชะงักแล้วหันขวับไปมองอดีตประธานที่กำลังต่อว่าคุณทาคามิจิ ก้าวฉับๆมาบังตัวเธอที่กำลังก้มหัวขอโทษเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง
“ไม่เห็นต้องพูดแบบนั้นเลยนี่ครับ เธอเองก็เป็นผู้เสียหาย”
“อาจเป็นผู้เสียหายก็จริง แต่ทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณทาคามิจิก็อาจจะมีปัญหาเหมือนกันนะคะ ฉันเองก็ได้ยินเรื่องพฤติกรรมมีปัญหาของคุณบ่อยๆ”
ยิ่งได้ยินคำวิพากย์วิจารณ์เสียๆหายๆที่ไม่เป็นความจริงออกจากปากของอดีตประธาน สายตามาซายะก็ยิ่งแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความเดือดดาลมากขึ้นทุกที
ในที่สุด ยัยรุ่นพี่หัวสูงเจ้ายศเจ้าอย่างนั่นก็ทำมาซายะฉุนขาดจนได้
เมื่อคำพูดพล่อยๆอย่างการกล่าวหาว่าคุณทาคามิจิเขียนโต๊ะตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจจากมาซายะหลุดออกมาจากปาก เขาก็กำหมัดแน่น ตัวสั่นระริกเพราะความโกรธ
เอาแล้วไง
ยัยนั่นก็ยังไม่หยุดพล่ามเรื่องเหลวไหลไร้สาระ แถมยังชักสีหน้าไม่พอใจตอนมาซายะเรียกร้องให้ขอโทษคุณทาคามิจิด้วย
คนที่อีโก้สูงแบบนี้ คงถือตัวว่าตัวเองก็เส้นใหญ่เหมือนกันเลยไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อ ก้มหัวให้นักเรียนธรรมดาๆที่ดูถูกนักหนา แม้จะต้องปะทะกับคาบุรากิก็ตาม
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดแทบไม่มีใครในที่นั้นกล้าขยับตัว ผมคิดว่าทุกคนแทบไม่กล้าหายใจกันด้วยซ้ำ ปล่อยไว้นานไปกว่านี้น่าจะลุกลามบานปลายถึงขั้นแตกหัก
เหตุการณ์นี้มันควรจะยุติได้แล้ว
ผมเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่ ส่งยิ้มให้รุ่นพี่นาคาจิมะเป็นการขัดตาทัพไว้ก่อน
“รุ่นพี่นาคาจิมะ มาซายะเป็นคนเกลียดความชั่วร้ายไม่ตรงไปตรงมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาคงจะเลือดขึ้นหน้าไปหน่อย ตรงนี้ช่วยเห็นแก่หน้าผม เลิกรากันไปก่อนเถอะนะครับ”
ผมโคลงศีรษะให้น้อยๆ เป็นการขอโทษแทนไปในตัวให้เรื่องมันจบๆไป
“...ถ้าท่านเอ็นโจพูดแบบนั้น ก็ช่วยไม่ได้นะคะ” รุ่นพี่นาคาจิมะมีท่าทีอ่อนลงแบบเห็นได้ชัด ค่อยยังชั่วหน่อย
“ขอบคุณมากครับ” ผมส่งยิ้มให้ วางมือลงบนอกและโค้งตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “อีกไม่นานคาบเรียนจะเริ่มแล้ว ผมขออนุญาตไปส่งนะครับ”
ปัญหาอะไรที่แก้ไขในเบื้องต้นได้ก็ควรรีบๆทำจะดีกว่า อย่างเช่นการเอาตัวปัญหาอย่างยัยรุ่นพี่นี่ออกไปจากห้องนี้ให้ไวที่สุดเป็นต้น
ผมเดินเอสคอร์ทรุ่นพี่นาคาจิมะไปถึงห้อง ส่งยิ้มละมุนละไมให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณบวกกับเยินยออีกนิดหน่อย เธอก็ดูอารมณ์ดีขึ้น บอกว่าไม่ถือโทษโกรธมาซายะแต่อย่างใด คงจะเข้าใจอยู่อย่างเดิมว่าการที่มาซายะมาออกหน้าแทนก็เป็นความผิดของคุณทาคามิจิ
น่ารำคาญชะมัด
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ปล่อยผ่านไม่ใส่ใจ แต่ก็โค้งหัวให้เธออย่างสุภาพเมื่อมาส่งถึงที่ ส่งยิ้มหวานปิดท้าย เพียงเท่านี้อดีตประธานก็น่าจะลืมความโกรธในเรื่องเมื่อครู่นี้ไปได้ ปัญหาคลี่คลายไปอีกเรื่อง
แต่การที่มาซายะปกป้องคุณทาคามิจิแบบออกหน้าออกตานั้น น่าจะเป็นชนวนเหตุให้คนที่ไม่พอใจคุณทาคามิจิเพิ่มมากขึ้น แล้วทำการกลั่นแกล้งรังแกหนักหน่วงกว่านี้ก็ได้
ผมเองก็ดูๆไว้อยู่ ถ้ามีอะไรที่มันเกินเลยอย่างการทำร้ายร่างกายเหมือนเหตุการณ์รุมขว้างบอลใส่ก็จะเข้าไปช่วย เพราะถือว่าล้ำเส้นเกินไปแล้ว
แต่พักหลังๆก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเขียนโต๊ะหรือว่ากระทบกระเทียบเวลาเดินผ่าน คำพูดพวกนั้นถ้าไม่เก็บเอามาใส่ใจก็ไม่เป็นไรหรอก
คุณทาคามิจิเองก็ไม่ได้ต้องการให้ผมยื่นมือไปช่วยด้วยเช่นกัน ขืนผมไปยุ่งกับเธออีกคนแบบมาซายะหรือประธานนักเรียนก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากไม่จบไม่สิ้นกันเปล่าๆ นี่ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ขออย่ามีอะไรร้ายแรงมากไปกว่านี้ตามมาเลย
.
.
.
.
แต่เวลาที่เกิดเรื่องร้ายๆ ก็มักจะเกิดขึ้นติดๆกันเสมอ เหมือนอย่างตอนนี้
วันนั้นเป็นวันที่ผ่านไปอย่างสงบสุข ทุกอย่างก็เป็นไปตามแพทเทิร์นเดิมๆที่ควรจะเป็น มาโรงเรียน เข้าเรียน ทานข้าวพักกลางวัน เข้าเรียนอีกหน เตรียมตัวไปเข้าเรียนคาบถัดไป ทุกคนก็ออกมาจากห้องตามปกติ แต่มันไม่ปกติเมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
ทางเดินมีคนอออยู่กันให้เต็ม ทั้งที่เวลานี้ทุกคนน่าจะแยกย้ายกันไปตามห้องเรียนของคาบเรียนที่กำลังจะถึง เกิดอะไรขึ้นน่ะ
แทนคำตอบเมื่อผมเห็นคุณคิโชวอินอยู่ในวงล้อมของเด็กนักเรียนห้องคุณซึรุฮานะ ข้างๆเธอเป็นล็อคเกอร์ของคุณทาคามิจิ บนฝาล็อคเกอร์มีคำว่า “ลาออกไปซะ!” ตัวโตๆอยู่
นี่มัน...อะไร
คุณคิโชวอินรีบตะโกนพูดว่าเพิ่งมาเจอเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ในมือมีปากกาเมจิกอยู่ ส่วนพวกนักเรียนอื่นๆเริ่มส่งเสียงซุบซิบกันแล้ว คุณซึรุฮานะก็ได้โอกาสราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ใส่ร้ายคุณคิโชวอิน ทำให้สถานการณ์เลวร้ายเข้าไปใหญ่
ผมยังไม่มีเวลาจัดการเรื่องคุณซึรุฮานะ มองหาคุณทาคามิจิในกลุ่มคน แต่ไม่มี
คุณทาคามิจิอยู่ที่ไหน!?
ผมหมุนตัวกลับหลังหันจากสถานการณ์พวกนั้น วิ่งกลับไปห้องเรียนแต่มันว่างเปล่า ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว ผมเลยพยายามนึกว่าที่ไหนที่คุณทาคามิจิจะไปบ้าง
ห้องน้ำ... ห้องเรียนคาบถัดไป...ห้องพักครู…. ห้องสภานักเรียน... ลองเช็คดูทีละที่ก็แล้วกัน
ผมวิ่งไปเช็คตามลิสต์ในหัว พอไม่เจอก็ไปห้องอื่นๆ ถามนักเรียนที่เดินสวนมาว่าเห็นเธอหรือไม่ พยายามคาดเดาพฤติกรรมคุณทาคามิจิไปด้วย
ขอให้ทันการณ์ด้วยเถอะ
คำภาวนาของผมสัมฤทธิ์ผล ผมพบคุณทาคามิจิเข้าให้ที่ทางเดิน แต่กว่าจะเจอก็เล่นเอาหอบกินเหมือนกัน เพราะต้องออกแรงวิ่งตามหา
“คุณทาคามิจิ มาด้วยกันหน่อย”
“มีอะไรเหรอ เอ็นโจคุง” เธอดูงุนงง แต่เห็นผมรีบก็วิ่งเหยาะๆตามมาด้วย
“คือว่า คุณคิโชวอินน่ะ….”
ระหว่างทาง ผมเล่าเรื่องที่คุณคิโชวอินกำลังตกที่นั่งลำบากเรื่องถูกกล่าวหาว่าเขียนล็อคเกอร์ของคุณทาคามิจิ มีปากกาเป็นหลักฐานอยู่ในมือ เธอได้ฟังก็อ้าปากค้าง รีบส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่แน่ๆค่ะ คุณคิโชวอินไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นหรอก ฉันมั่นใจ”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน” ผมร้อนใจจนเปลี่ยนจากเดินเร็วๆเป็นวิ่งอีกหน คุณทาคามิจิวิ่งตามมาแบบไม่ต้องให้เอ่ยปากว่าต้องรีบ
อดทนไว้ก่อนนะ คุณคิโชวอิน ผมพาความช่วยเหลือมาแล้ว
พวกเรารีบเร่งฝีเท้าไปยังที่เกิดเหตุ รู้สึกเหตุการณ์จะยังไม่คลี่คลาย แต่ก็ได้ยินเสียงของนักเรียนหญิงคนหนึ่งดังก้องไปตามทางเดิน บอกว่าคุณคิโชวอินไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้น แล้วก็พูดว่าคุณซึรุฮานะต่างหากที่เป็นฝ่ายรังแกคนอื่น
ผมบอกให้นักเรียนที่ยืนขวางอยู่ให้หลีกทาง พาคุณทาคามิจิเข้าไปในวงล้อมที่มีคุณคิโชวอินเป็นศูนย์กลาง เห็นกลุ่มคุณคิโชวอินมายืนประจันหน้าปกป้องเธอจากพวกคุณซึรุฮานะอยู่ ในวงล้อมก็มีมาซายะอยู่ด้วยเหมือนกัน
เอาเลย คุณทาคามิจิ
“ฉันเองก็คิดว่าไม่ใช่ค่ะ”
คุณทาคามิจิก้าวไปยืนข้างๆมาซายะ สบตากับคุณคิโชวอิน มาซายะดูจะตกใจมาก
“คุณคิโชวอินไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องอะไรแบบนี้เด็ดขาด! เรื่องนี้แน่นอนค่ะ ปากกานั่นก็คงจะแค่เก็บมาเฉยๆใช่มั้ยล่ะคะ”
เธอประกาศเสียงดังฟังชัดด้วยความมั่นใจ ยิ้มแย้มให้คุณคิโชวอินที่มีท่าทีตื่นตระหนก
แต่พวกซึรุฮานะกลับหาว่าคุณทาคามิจิประจบประแจงผู้มีอำนาจของซุยรันเสียอย่างนั้น คงจะเล่นเองชงเองเรียกร้องความสนใจอย่างที่รุ่นพี่นาคาจิมะว่า
“เฮ้ย ซึรุฮานะ!” มาซายะหันไปถลึงตาใส่อย่างกราดเกรี้ยวที่บังอาจกล่าวหาเธอแบบผิดๆ
แต่คุณทาคามิจิไม่ยี่หระต่อคำกล่าวหา ออกตัวปกป้องคุณคิโชวอินต่อไป
“ก็แค่ความเห็นอย่างเป็นกลางเท่านั้นเองค่ะ” เธอพูดอย่างใจเย็น “ก่อนอื่น คุณคิโชวอินไม่ใช่คนประเภทที่จะกลั่นแกล้งแบบลอบกัดอย่างนี้ แล้วถ้าไม่ถูกใจฉันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย แค่พูดมาคำเดียวว่าไม่ชอบขี้หน้าก็ไล่ต้อนกดดันฉันได้ถึงไหนๆแล้ว คุณคิโชวอินมีอิทธิพลแบบนั้นล่ะค่ะ”
ใช่ คุณคิโชวอินไม่ใช่คนแบบนั้น
ผมมองเธอมาตลอด ย่อมรู้ดีว่าเธอเป็นคนแบบไหน เรื่องการกลั่นแกล้งลอบกัดไม่ใช่นิสัยของเธอแน่ๆ
“ยังไงซะ ฉันก็เชื่อว่าไม่ใช่คุณคิโชวอินค่ะ”
ผู้เสียหายอย่างคุณทาคามิจิเป็นฝ่ายออกปากยืนยันเองว่าไม่ใช่ ข้อสงสัยว่าคุณคิโชวอินคือคนร้ายก็เป็นอันคลี่คลายไปอย่างรวดเร็ว
คุณคิโชวอินมีสีหน้าโล่งใจได้ในที่สุด มองไปทางคุณทาคามิจิที่เดินไปกับพวกคณะกรรมการนักเรียนด้วยแววตาที่สับสน
ผมเดินไปหามาซายะ หมอนี่เองก็ดูสับสนเหมือนกัน คงยังไม่ปักใจเชื่อเพราะหลักฐานก็คามืออยู่ แต่คุณทาคามิจิยืนยันออกหน้าขนาดนี้
แถมพวกเราก็โตมาด้วยกันตั้งสิบกว่าปีก็น่าจะรู้สิว่าเธอเป็นคนยังไง
แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากว่าคุณคิโชวอินไม่ใช่คนร้ายหรอกนะ อิวามุโระคุงกับหัวหน้าห้องก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหามาซายะ บอกว่าขอคุยด้วยหน่อย
เรื่องที่คุยคงหนีไม่พ้นเรื่องคุณคิโชวอินไม่ใช่คนทำแน่นอน ผมเลยปล่อยให้คุยกันไปตามสบาย
โชคดีที่เรื่องคลี่คลายไปในทางที่ดี ถ้าไม่ได้คำยืนยันจากคุณทาคามิจิล่ะก็....คุณคิโชวอินต้องแย่แน่ๆ
คนภายนอกไม่รู้ว่าสองคนนี้สนิทสนมกัน ก็คงคิดว่าคุณทาคามิจิไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรที่ต้องเข้าข้างคุณคิโชวอินที่แทบไม่เคยพูดคุยกันเลย
จะให้ผมออกหน้าพูดแทน ยืนยันต่อหน้าทุกคนว่าคุณคิโชวอินไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก มันก็ไม่ใช่เรื่อง
ผมไม่ได้เป็นผู้เสียหาย อีกทั้งคนนอกก็มองว่า ผมกับคุณคิโชวอินสนิทสนมกัน คงหนีไม่พ้นคำนินทาว่าผมเข้าข้างคุณคิโชวอินทั้งที่ไม่มีอะไรยืนยันว่าเธอไม่ใช่คนทำ แถมหลักฐานก็ยังอยู่ในมือแบบนั้น
แล้วยังมีสถานะ Pivoine ที่ยิ่งใหญ่คับโรงเรียนพ่วงอยู่อีก แถมอาจจะเป็นชนวนเหตุของการกล่าวหาว่า Pivoine สองคนรุมรังแกนักเรียนนอกก็เป็นได้ แล้วเรื่องมันก็จะบานปลายไปกันใหญ่
ทางออกที่ดีที่สุดคือคำยืนยันจากปากผู้เสียหายโดยตรงเอง
คุณทาคามิจิทำหน้าที่ได้ดีแล้ว มีคำยืนยันจากนักเรียนคนอื่นๆที่สนิทสนมคุ้นเคยกับคุณคิโชวอินอยู่ด้วย ทุกคนรู้ดีว่าเธอไม่มีวันทำเรื่องแบบนี้แน่นอน
แล้วใครกันล่ะที่ทำ พวกซึรุฮานะงั้นเหรอ กลุ่มของยัยพวกนี้ก็เขียนโต๊ะด่าว่าคุณทาคามิจิเป็นประจำอยู่แล้วนี่นา
เรื่องคนร้ายผมยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นพวกซึรุฮานะ เพราะว่ามีนักเรียนหญิงเยอะแยะที่เห็นคุณทาคามิจิเป็นศัตรู แวะเวียนมาเขียนด่าเธอไม่ว่างเว้นจนไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ลงมือทำ
ถ้ามาซายะอยากหาตัวคนร้ายที่ทำเรื่องนี้ก็ปล่อยให้ทำไป คนสำคัญของใครก็ดูแลเอาเอง
แล้วก็กลับมาที่เรื่องของผมบ้าง ถึงจะไม่รู้ตัวคนร้าย แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการก่อน นั่นคือเรื่องของพวกซึรุฮานะ
ยัยนั่นมันบังอาจไปแตะต้องสิ่งสำคัญของผม พูดจาใส่ร้ายคุณคิโชวอินต่างๆนานาทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ความจริง แต่ก็ยังใช้โอกาสนี้เล่นงาน ทำให้คุณคิโชวอินต้องลำบาก
คนทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงแต่ไม่สำเหนียกความสามารถตัวเองว่ามีแค่ไหนต้องถูกจัดการแบบถอนรากถอนโคน ใครที่เป็นศัตรูกับคุณ ผมไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด
ขวากหนามที่มันขวางทางเดินคุณอยู่ ทำให้คุณระคายฝ่าเท้า ผมจะกำจัดมันออกไปให้เอง
------------------------------
ตอนที่แล้วกูต้องกราบขออภัยอย่างยิ่ง ลืมไปว่าเอ็นโจกับวาคาบะอยู่ห้องเดียวกัน ผิดแบบไม่น่าให้อภัยโครตๆ Orz
>>557-560 อร๊ายย กูชอบตอนจอมมารวิ่งไปตามหาคุณทาคามิจิจังว่ะ ที่กูมโนไว้ก็คล้ายๆแบบนี้ล่ะ วาคาบะไม่อยู่ตรงนั้น แต่พอมาถึงที่เกิดเหตุก็เก็ททันทีว่าเหตุการณ์เป็นยังไง รู้อีกด้วยว่าเรย์กะถือปากกาไว้ในมือ ถึงได้บอกว่าปากกานั่นคงแค่เก็บขึ้นมาเฉยๆ เอ็นโจคงรีบไปตามหาตัว
แล้วพอเจอก็อธิบายเหตุการณ์ให้ฟังแล้วก็วิ่งมากันเลย ถ้าเป็นมุมมองวาคาบะแบบอฟช. น่าจะมีฉากนี้ถ่ายทอดออกมาด้วยนะ
ชอบตอนที่บอกคนสำคัญของใครก็ดูแลกันเองอีก ฟังแล้วหวานมาก พอนึกถึงสิ่งที่ฮีทำเพื่อเรย์กะแล้วกูเขินชะมัด บ้าจริง
DSLR อะไรกัน ดูหมิ่นท่านเอ็นโจกันเหลือเกิน อย่างองค์ชายไม่ทำอะไรที่มันสงสัย มีพิรุธเป็นที่สังเกตุแบบนั้นหรอก
ต้องcctv, กล้องกระดุม, โดรน, ภาพถ่ายดาวเทียมซิ!
"คนสำคัญของใครก็ดูแลกันเอง" นี่มันวรรคทองประจำตอนชัดๆ ฮิ้ววววว ยังดีวาคาบะจังไม่หนีไปเก็บผักป่า เอ็นโจก็เอ็นโจเถอะ...
ก๊อกๆ เฮลโหล~ คาบตอนใหม่มาแหมะไว้ให้ก่อนนะ พอดีเสาร์อาทิตย์นี้จะไม่อยู่ ทันแปดโมงพอดี เฉียดแสรด เฮือก...
ถ้าที่แมวดุ้นยังไม่ขึ้นก็รอแป๊บนึงนะเคอะ
ตอนใหม่ทำกูสงสัย สองคนนั้นเขาแอบกันแทบตาย แล้วจอมมารรู้เรื่องได้ไงฟระ แถมเอามาขู่เรย์กะเนียน ๆ อีกตะหาก สงสัยจะเป็นอย่างที่โม่งข้างบนว่า ติดตามด้วยภาพถ่ายดาวเทียม เข้าตึกก็ส่งโดรนมาแอบดูต่อ ไม่ก็แฮกกล้องรอบ ๆ เอา
เรื่องสปาย2หน้า เดาว่าคงมีคนเห็นท่านเรย์กะกับอาริมะคุงมาเช้าติดๆกันหลายวันแล้วเอาไปลือกัน ร่วมกับโต๊ะของวาคาบะจังที่อยู่ดีดีก็สะอาดขึ้นมาช่วงนั้นพอดี คนฉลาดอย่างเอ็นโจน่าจะเชื่อมโยงกันได้ไม่ยากว่ามีคนช่วยวาคาบะจังอยู่เบื้องหลัง
>>576 แต้งกิ้วนะโม่งแปล ว่าแต่ลูกเรืออย่างเราติดฟิลเตอร์มากไปหรือเปล่านะ? ดูเหมือนอีตาเอ็นโจจะแอบโกรธๆ(หึง)ยังไงไม่รู้สิ ดูท่าไอ้ที่ว่าติดเครื่องดักฟังไว้น่าจะจริงเสียแล้ว ลองพูดอ้อมๆแบบนี้นี่ไม่รู้ว่าจะยันแตกขนาดไหน อุหวา อยากอ่านฟิคตอนนี้ pov. เอ็นโจจริงจัง อยากรู้ว่าฮีจะยันขนาดไหน
ขอบคุณมากโม่งแปล ซาโตริคือการบรรลุโสดาบันใช่มั้ยวะ 55555
อื้อหือ หูผีจมูกมดมันคือแบบนี้สินะ คือจริงๆ รู้ทุกอย่างหมดใช่ไหมเอ็นโจ~
แม่ง...เอ็นโจตอนล่าสุดน่ากลัวชิบ นอกจากสต๊อกเกอร์แล้วพ่วงยันเดเระมาด้วยหรอว่ะ
ไหงเอ็นโจมันยันแตกขึ้นทุกวันฟร้าาาา แถมเขาคิดอะไรก็เสือกรู้อีก พูดได้จังหวะพอดีด้วย ผมรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เลยเตือนเบาๆไว้ก่อน แต่ถ้ายังสนิทกับชายอื่นมากไปกว่านี้เดี๋ยวผมฉุนขาด แล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไรขึ้นมาอีกบ้างนะครับ /พาเข้ามิติลี้ลับเลยค่ะท่านจอมมาร ถถถถถถถ
พึ่งพาได้พอๆกับเรือบรรทุกเครื่องบินนี่หมายความว่าไงอะ ไม่ค่อยเข้าใจ หมายถึงแบกเครื่องบินไปให้โจมตีชาวบ้านชาวช่องเหรอ
>>586 อ๋อ อธิบายเพิ่ม คือสำนวนญี่ปุ่นเวลามีคนโผล่มาช่วย เขาจะใช้ว่ามีเรือมาช่วย (助け舟) ครั้งนี้เอ็นโจช่วยไปได้ตอนเกือบจนมุม ท่านเรย์กะเห็นว่าเรือเอ็นโจที่แล่นมาช่วยโคตรพึ่งพาได้เลยชมว่าเรือแม่งแน่นปึ้กเป็นหลักเป็นฐานอย่างกับเรือบรรทุกเครื่องบิน หารู้ไม่ช่วยไปเพื่อจะได้ล่มเองทีหลัง ถุ้ย!
เอ็นโจน่ากลัวเกินไปแล้ว ไหงถึงได้อินไซต์ขนาดนั้น!!!
ไม่ใช่ว่า การกลั่นแกล้งวาคาบะจังเกิดจากฝีกมือเอ็นโจชักนำ เพราะหึงหวงในความสนิทสนมของทั้งคู่!
"นี่ๆ เจ้าชายมีรับสั่งให้กำจัดมารหัวใจ พวกเรา ลุย!"
"จัดการทาคามิจิให้สิ้นซาก! อย่าได้ริอาจเด็ดดอกฟ้า!"
"สังหารศัตรูเพื่อความรักขององค์ชาย!
ถ้าเอ็นโจรู้ทั้งหมดจริงๆช้ำเลือดช้ำน้องในใจแย่
เอ๊ะ คุณคิโชวอินไปช่วยเช็ดทำความสะอาดให้คุณทาคามิจิงั้นเหรอ
บ้าจริง ถ้าปีนี้ได้อยู่ห้องเดียวกับคุณทาคามิจิก็ดีซิ จะได้ไปที่ห้องแต่เช้าเลย อ๊ะ หรือแบกโต๊ะตัวเองไปวางแทนที่ดีนะ ให้คุณคิโชวอินช่วยเช็ดโต๊ะให้....
หรือว่าจะทำเนียนเข้าผิดห้องไปดี ใช่แล้ว แกล้งเข้าไปแล้วก็แบล็กเม-- ทักทายคุณคิโชวอินในห้องไงล่ะ
อ๊ะ เจ้าประธานนักเรียนเข้ามาแย่งบทไปแล้ว! บทก็มีอยู่กระจึ๋งเดียวยังจะมาแย่งซีนฉันอีก เจ้าบ้าเอ๊ย!
อะไรนะ นัดกันจับตัวผู้ร้ายกันสองคนทุกเช้า สองคน!! ทุกเช้า!?
แต่กูว่าเอ็นโจตอนนี้น่ากลัวจริงๆ ว่ะ สอดส่องทุกการกระทำ มองออกว่าตรงไหนเขาลำบากก็ยื่นมือไปช่วย ช่วยเสร็จก็ไปตอกย้ำซ้ำเติมเขาอีกที ตกลงไปแอบสตอล์กเขาตั้งกะออกจากบ้านมาเลยป่ะวะ คุณคิโชวอินตื่นเช้าตัวเองก็ออกเช้าด้วย (ยูกิโนะหลับมาในรถ) ตอนเขาไปจู๋จี๋เล่นเป็นแม่บ้านกับนายตัวสำรองก็กัดผ้าเช็ดหน้ากรอดๆ ทีผมยังไม่มีโอกาสขนาดนั้นเลยนะ จำไว้! บทตัวร้ายสายยันชัดๆ 555555
ทะ ท่านเอ็นโจ ที่ผ่านมาเราคิดว่าความสตอล์กเกอร์กับความยันเดเระของท่านเอ็นโจเป็นแค่กาวที่ลอยฟุ้งๆ มีเหตุมาจากเนื้อเรื่องแค่ยี่สิบสามสิบเปอร์ ที่เหลือเป็นกาว มีเรื่องบังเอิญที่ชวนให้คิดว่าท่านเอ็นโจเป็นพวกรู้ทุกอย่างแล้วตามแฝงความหมายแปลกๆมาตลอด แต่ก็ยังคิดว่า เฮ้ย พวกเราแม่งจับผิดกันไปเองว่ะ ประมาณว่าสรุปแล้วว่าท่านเอ็นโจเป็นคนแบบนี้ เลยหาหลักฐานมาสนับสนุนว่าเป็นคนแบบนี้
แต่ตอนล่าสุดนี่มันเริ่มไม่ใช่แค่กาวแล้วจ้า น่ากลัวชิบหาย ไม่ต้องเป็นท่านเรย์กะ จะเป็นใครใครก็หนีละวะ แม่งงง พูดอ้อมแฝงความหมายนี่ถ้าไม่ใช่คนมีชนักติดหลังคงจะเหมือนแค่โยงเรื่องหนังแล้วเล่าเฉยๆ
แล้วนี่อ่านมาหลายตอน กูว่านะ ในมังงะคนที่ทำบ้านเรย์กะล่มแม่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอีตานี่นี่แหล่ะ คาบุรากิดูแบบพวกซึ่งๆหน้าแล้วก็เป็นพวกใจร้อนออกไปปกป้องก่อน คิดทีหลัง แต่คนที่เสนอแผนบวกรวบรวมหลักฐานการโกงธุรกิจแล้วเอามาแฉนี่ต้องเป็นเอ็นโจอย่างแน่นอน
มาซายะอาจจะแค่ไปปรึกษาว่ายัยนี่มารบกวนทาคามิจิ แม่จะจับหมั้นกับยัยนี่ด้วย ทำไงดี ชูสุเกะคงจะตอบประมาณเดิมว่าให้ดูสถานการณ์ก่อน แล้วไปขุดทุกเรื่องราวมาว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรไม่หมั้น เดาว่าน่าจะสงสัยประเด็นที่ท่านพี่ออกจากบ้าน อ้าว โกง พอไปบอกมาซายะ อย่างหมอนี่ต้องวิ่งไปบอกพ่อแม่อย่างแรกเรย์กะไม่เหมาะสมเพราะบลาๆ ผมมีแฟนอยู่แล้ว แต่เอ็นโจน่าจะเสนอว่าถ้าไม่อยากโดนรังควาญต่อ/เพราะแค่ยกเลิกหมั้นอย่างเดียวมันไม่จบ ต้องทำให้ทีเดียวเบ็ดเสร็จ หักหน้าคุณคิโชวอินด้วยการเปิดตัวคู่รักกลางงาน แฉเรื่องโกงเอาให้ครอบครัวอยู่ไม่ได้ แต่เพราะเป็นการกระทำฝั่งพระเอกถึงเรียกว่าเป็นการกระทำที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถอนรากถอนโคนไม่ให้มีวันกลับผงาดชูคอได้อีก แต่ถ้าเป็นการกระทำฝั่งตัวร้ายจะเรียกว่า หน้าไม่อาย หนึ่งคือนี่มันงานประกาศหมั้น เอาผู้หญิงคนอื่นมาเปิดตัว โคตรเหี้ย ชื่อเสียงท่านเรย์กะคงจะแบบ คุณหนูบ้านคิโชวอินไม่ดีพอที่จะแต่งงานขนาดแค่ลูกชาวบ้านยังเทียบไม่ได้เลย//แม้ว่าตามเรื่องจะไม่ดีจริงๆก็เถอะ พอเอามาบวกกับสอง แฉเรื่องบ้านคิโชวอินโกง คือท่านเรย์กะไม่เกี่ยว แต่พวกนี้คือเพื่อยกเลิกงานหมั้นผู้หญิงคนนึงก็เอามาประกาศได้ นี่พวกนายทำลายชีวิตผู้หญิงอายุสิบเจ็ดคนนึงเลยนะ ทั้งๆที่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องผู้ใหญ่จัดการกัน ฟ้องกันไป เอามาประกาศนี่คือธุรกิจหลายอย่างน่าจะล่มไปเป็นแถบๆถ้าเกิดการบอยคอตจริงเพราะตระกูลคิโชวอินน่าจะทำธุรกิจเยอะมากพอสมควร
เอ็นโจถ้ารู้ทุกอย่างจริงๆก็แล้วเล่นบทยันแบบนี้ ท่านเรย์กะจะยิ่งกลัวแกนะเฟ้ยยยยย
รู้แล้วก็ไปต้องไปพูดกดดันสาวเจ้าสิฟะ ชาตินี้จะจีบติดหมายยยยย
ช่วงแรกอุตส่าทำแต้มบวกเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน ท้ายตอนทำแต้มติดลบอีกแล้วววว
จริงๆ ถ้าแสนรู้ทุกเรื่องทุกเรื่องขนาดนี้ ตอน 'แค่คนเคยเห็นหน้ากัน' ก็คงได้ยินเต็มหูเลยสินะ 5555555
>>599 เรือนี้มันติดคำสาป ถ้าไม่โดนหักธงตอนจบ เจ้าของเรือก็ทำลายตัวเองทุกที ตอนไหนที่ผ่านไปได้อย่างราบลื่น ไม่หักธง ไม่ล่มเรือตัวเอง ลูกเรือต้องลงไปกรีดร้องโหยหวนกับตัวเองว่านี่มันไม่จริง กำลังฝันอยู่แน่ๆ
แต่พี่แกยันแตกขนาดนี้ หึงสินะ เขาอยู่ด้วยกันทุกเช้า แถมน่าจะคุยกันติดลมดี(แม้จะเป็นเรื่องทีวีไดเร็คก็ตาม) เลยต้องมาเตือนว่าน้องทำอะไรพี่รู้พี่เห็นนะจ๊ะ อย่าให้มากไปกว่านี้ก็แล้วกัน
>>600 อาจจะเป็นไปตามฟิคเลยก็ได้ อุเมวากะเข้าห้องมา ทาคากิทักทาย เอาข่าวมารายงานว่าอุเมวากะจะไปหาเรย์กะที่ห้องชมรม เอ็นโจมอง คุณคิโชวอินรู้จักพวกกุ๊ยด้วยเหรอ ตามไปดูหน่อยแล้วกันเผื่อช่วยอะไรได้ ไปเจอซีนคนเคยเห็นหน้าพอดี เลยกลับมายิ้มขื่นๆที่ห้องตัวเองอย่างปวดร้าว.....
>>603 ช่วงงานโรงเรียนเนี่ยกูยังติดใจประเด็นพอยุยโกะโผล่มาท่านเรย์กะก็รู้สึกเหนื่อยๆจนไม่อยากทำอะไร อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้กูยังอยู่ที่เรือเอ็นโจ
กูอยากอ่านพาร์ทของเอ็นโจแบบออฟฟิเชี่ยลบ้างงง อ.ฮิโยโกะคะะ ได้โปรดดดดด
ว่าแต่ช่วงนี้เอ็นโจดูเข้าหาเรย์กะบ่อยๆเนอะ /สูดกาว
พึ่งได้อ่านตอนใหม่ ทำไมโม่งแปลลงติดกัน2วันล่ะ ใจดีจัง หรือมีธุระอะไรมั้ย?
กูพยายามมองแบบถอดฟิลเตอร์อยู่
กูกำลังคิดว่า เอ็นโจรู้ หรือแค่จับสังเกตได้ว่าเรย์กะมีพิรุธเลยขู่ขวัญไปก่อน
*ใส่ฟิลเตอร์กลับ* จอมมารหึงด้วยว่ะมึงงงง *กรีดร้อง* หึงใช่ไหม หึงสินะ หึงสินะ *กรีดร้อง* นี่ตามสตอล์คแบบอฟช.แล้วใช่ไหม หุหุหุ
กูเริ่มคิดว่าถ้าฮีจะรู้ทุกความเคลื่อนไหวขนาดนี้ จริงๆ ฮีอาจจะปลอมตัวเป็นภารโรงอยู่ในซุยรันก็ได้ 55555 ประมาณว่าผมอยากเรียนรู้สังคมจากมุมมองที่แตกต่าง เรียนรู้จิตวิญญานการบริการ พอมาโรงเรียนแต่เช้าตรู่ก็ไปสะเดาะล็อกเกอร์คุณคิโชวอิน เห็นบรรดาอุปกรณ์คลีนนิ่งละก็เดาเรื่องได้ 555555
ทำไมนับวันสถานะเอ็นโจยิ่งแย่ลงว่ะ 55555
เจ้าชาย>>สตอกเกอร์>>นักต้มตุ๋น/ภารโรง/โจร ถัดไปอะไรว่ะ วิญญาณยังคงตามติดเรอะะ 55555555
ถ้าท่านเรย์กะได้กับเอ็นโจจริงๆ กูว่ากูคงต้องสงสารนางมากแน่ๆ นี่ขนาดเป็นแค่"คนเคยเห็นหน้า" ฮียังยันใส่ได้ขนาดนี้เลย ถ้าได้กันขึ้นมาท่านเรย์กะไม่โดนล่ามโซ่เลยหรอมึง
ไม่เจาะรูเรือตัวเองตามเจ้าของเรือสิกู//กระซิกๆ
อ่าว ตอนที่แล้วไม่มีใครเห็นเหมือนกุเลยเหรอ
เรย์กะคิดไปถึงว่าถ้าข่าวลือแพร่ออกไป จะไม่ได้คุยกับ"คาบุรากิและเอ็นโจ"เลยนะเว้ย
สรุปยอมรับแล้วสินะว่าสนิทกันจริงๆ
//หรือว่าพวกมึงคุยกันแล้วแต่กุไม่เห็นหว่า
คงคิดว่าเรย์กะชอบอุเมวากะ ชอบแบ็ดบอย เลยทำตัวแบ็ดๆบ้าง...
ถ้าเอ็นโจจะเป็นสตอกเกอร์สายยันขนาดนี้แล้วพลิกล็อกว่าเป็นตัวร้ายหรือบอสของเรื่องนี่น่ากลัวค่อดๆเลยนะ
คิมิดอล: คาบุ-พระเอก วาคาบะ-นางเอก เรย์กะ-ตัวร้าย อาริมะ-พระรอง
โลกนี้: เรย์กะ-พระเอก วาคาบะ-นางเอก เอ็นโจ-ตัวร้าย คาบุ-พระรอง 555555
หรือพลิกเป็นแบบนี้ดีวะ ตอนที่มาร่วมวงทัวร์บริโภคคงอารมณ์แบบ
เอ็นโจ: คุณคิดโชอินท่าทางสนิทสนมกับมาซายะ'ของผม'จังเลยนะ สงสัยต้องไปร่วมด้วยซักหน่อยแล้ว (ยิ้ม)
กาวหมดแล้ว เอ้า ตื่นๆๆๆๆๆ
กูนึกไม่ออกจริงๆว่ะว่าเอ็นโจจะฝ่าด่านท่านพี่ไปได้ยังไง 5555
ท่านพี่แม่งลาสบอสเรื่องนี้จริงๆ
ถ้าในคิมิดอลท่านพี่ซิสค่อนแบบนี้
คงมีภาคต่อเป็นภาคท่านพี่ล้างแค้น
คาบุก็คาบุเถอะ ยับเยินแน่นอน
วาคาบะก็วาคาบะเถอะ เจอท่านพี่บัญชาอิมาริไปรวบหัวรวบหาง(?)เสร็จแน่นอน
>>652 เพื่อนร่วมห้องเอ็นโจ+วาคาบะสมัย มอ5 ที่ดันเรียนพิเศษที่เดียวกับเรย์กะ
และปากพล่อยบอกว่า เรย์กะถามเรื่องวาคาบะ ตอนคดีล็อกเกอร์ โดนหมายหัว? จนต้องซื้อพุดดิ้งไฮโซถวาย
พอมอ6 ก็ซวยอยู่ห้องเดียวกับเรย์กะ เครียดจัดจนซาโตมิแนะนำให้ไปซื้อขนมหวานกินแก้เครียด ปรากฏว่าดันเป็นพุดดิ้งชิ้นสุดท้ายในร้าน ที่เจ้าแม่อยากกินอีก
ทาคากิคุงก็ไม่ใช่ว่านิสัยไม่ดีละนะ....
แค่พูดกับทำอะไรผิดที่ผิดเวลา
ถ้าตอนจบเจ้าแม่ไปลงเอยกับม้านอกสายอย่างทาคากินี่จะเป็นยังไงวะ... ตอนนี้กูละกลัวใจจริงๆ เพราะเทใจไปให้เอ็นโจเยอะแล้ว เหลือเผื่อให้คาบุ น้องคันตะ กับท่านพี่เล็กน้อย ถ้าหวยไปลงที่ม้ามืดนี่คงเป็นลม ว่าแต่ท่านฮิโยโกะไม่อัพเดทตอนใหม่มาสองเดือนแล้วนะ แอบเครียดเล็กๆ...
ปรากฏว่าพลิกล็อค เป็นนารุคุงแทน----
กูอยากเห็นมุมมองทาคากิว่ะ อยากรู้ว่าตอนอยู่กับเจ้าแม่จะเสียขวัญขนาดไหน โดนไรจินฟูจินหยอกอะไรมั่ง โดนจอมมารมาล้วงข้อมูลยังไงมั่ง น่าจะเป็นอีกตอนที่ฮาไม่แพ้ซาโตมิเลย 5555555555555
ว่าแต่น้องอิมาริเคยมีบอกปะว่าอายุเท่าไหร่? เรียนซุยรันมั้ย? หรือเรียนนอกแต่เด็กเลย?
ถ้ามีภาคมหาลัยนี่จะทะลุพันตอนไหมหว่า เขียนกันเป็นนิยายจีน web ละว้อย
ฟิคเวียนมีใครต่อมั้ย ถ้าไม่มีกูจะต่อหน่อย แต่ถ้ากำลังต่ออยู่กูจะได้รออ่าน
กูรอฟิคท่านพี่ยุยโกะอยู่.. ในหัวกูมีฉากอยู่ว่าจะเป็นไงแต่เขียนไม่ออก *ร้องไห้*
กูแอบรอฟิคเอ็นโจ side story ดูว่าโม่งฟิคจะหาทางออกสำหรับเอ็นโจตอนที่ผ่านมายังไง 5555
กูอยากอ่านฟิคอิมาริท่านพี่ ภาคการทัศนศึกษา 55555555555555555555 ใครจะสงเคราะห์ให้กูไหมมมมม
เรารอท่านอิมาริผู้ทรงเสน่ห์ในฟิคเกอิชา ฟิคนั้นเป็นเจ้าบ้านคาสโนวาแท้เลยๆ
ถ้าไม่มีใครแต่งอิมาริท่านพี่กูอาจแต่งเองนะ(จั่ววายให้เรียบร้อยกันคนไม่อยากอ่านวาย และไม่เรทแน่นอนจ้า) แต่คงอีกสักสัปาห์ตอนนี้ไม่ว่างเลย
แต่ถ้าใครจะมอบอาหารให้กูกูพร้อมเสมอ
พูดถึงนารุ นารุก็มา 5555
จะว่าไป ท่านพี่ก็เป็นคนขัดขวางเรื่องดวงความรักของเรย์กะกับอิมารินะ อา...ท่านเรย์กะ สุดท้ายคู่กับคานคุงชัวร์
เห็นพูดถึงตามหาเจ้าชาย เอ้า...ก็มีอยู่แล้วไงคะ เจ้าชายน่ะ ไม่ต้องไปตามหาเลย แค่หันไปมองนิดเดียวก็เจอ เพราะเขาแอบสตอล์กคุณอยู่ยังไงล่ะคะ ถถถถถถถถ
ท่านพี่ผู้ไม่ปราณีกับอิมาริเหมือนเดิม ปาลูกดอกใส่เลยเหรอ โหดแท้ แต่รูปวาดสาวๆของเจ๊โซฟีกูว่าสวยออกนะ สวยคลาสสิคอะ แบบดาราสาวๆของฮอลิวู้ดสมัยก่อน สวยแบบติดตรึงใจอะ แต่กูติดใจรูปสาวน้อยอุ้มนกมากๆ ก่อนเขียนเรื่องนี้ อ.แกได้อิมเมจของเรย์กะมาจากรูปนี้ป่ะวะ เพราะกูว่าคล้ายๆเรย์กะเลย แต่ไม่เหมือนตรงเป็นมิตรกับนกนี่ล่ะ......
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/0d/SophieAnderson_TheTurtleDoveSmall.jpg
จากรูป น่าเสียดายที่ไม่มีรูปเกลียวแน่นๆเลย ถถถ
เจ้าชายขี่ม้าขาวที่ท่านเรย์กะว่า ก็ตามติดข้างๆนั้นล่ะค่ะ ชอบโผล่หน้ายิ้มให้และลอบยิ้มขื่นๆตลอด 555
กูอยากรู้ว่าคาบุกับเอ็นโจนี่อยู่ชมรมขี่ม้าทั้งคู่ใช่มะ น่าจะพอถูไถเป็นเจ้าชายในชีวิตจริงได้นะ
ขอเฟลแป๊ป..........กูพลาด 247 ช้ากว่าชาวบ้านไป 2 วัน............
กูอ่านตอนนี้ ก็ได้แต่กรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่งว่า เอ็นโจไง เอ็นโจไงค่ะ เอ็นโจ!!! เจ้าชายของท่านเรย์กะไงละค่ะ!!!!
ท่านอิมารินี่จะตายเอาสักวันจริงๆ ตอนนี้ท่านพี่ถึงขนาดขว้างลูกดอกใส่ ถ้าโดนจริงเจ็บจริง โดนหลายดอกอาจถึงตายนะเฮ้ย ท่านพี่มาดหลุดบ่อยมาก น่าร้ากกกกก
ลูกดอกปาเป้าเลยเหรอ มันเป็นเหล็กแหลมไม่ใช่เหรอ ไม่กลัวว่ามันจะปักเนื้อหรือปักตาอะไรอิมาริเลยงั้นเหรอออ ท่านพี่แม่งโหดจริงๆ สามีภรรยาอย่ามาใช้ความรุนแรงต่อหน้าลูกสิคะ เดี๋ยวเด็กก็มีปัญหาหรอก//ผิดๆๆๆๆ
>>704 เชียร์เหมือนกันครับ แต่น่าจะเชียร์ไม่ขึ้น ในสายตาท่านเรย์กะนี่ไม่มีเจ้าชายขี่ม้าขาวอยู่ในซุยรัน
คาบุรากิ-ไอ้บ้า เด็กไม่รู้จักโตที่ขาดสมาัญสำนึก
เอ็นโจ-จอมเจ้าเล่ห์ เวลาคุยกันทีไรต้องระวังตัวตลอด
>>706 ตอนก่อนๆท่านพี่ก็ปาส้อมโดยเล็งลูกตาอิมารินะ แต่อิมาริก็หลบได้แบบชิวๆ คู่นี้น่าจะหยอกกันแบบนี้เป้นเรื่องปกตินะ เหมือนเวลาคู่รักหยอกล้อกันด้วยการตีแขนเบาๆ
กูเห็นโอโตเมะเกมที่จีบหนุ่มๆ ที่เป็นแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า ฯลฯ แล้วก็คิดว่าถ้าท่านเรย์กะเป็นนางเอกเกมนี้ เอ็นโจก็เหมือนมนุษย์ล่องหนน่ะแหละ ไม่เคยอยู่ในสายตาเธอ 55555555 ฮีเลยใช้สกิลล์ล่องหนสตอล์กสาวได้ตามใจปรารถนา ส่วนคาบุน่าจะเป็นมนุษย์หมาป่า ท่านพี่เป็นแวมไพร์ เณรน้อยเป็นพระจิโซ...
>>714 กูว่ามีส่วน... ถึงรูปที่ยกมาจะดูพอดีๆ ไม่ถึงขั้นอวบอ้วนก็เหอะ แต่ก็ทำให้เห็นอิมเมจนางชัดดีนะ ที่เดชชิบอกว่านางเหมือนตุ๊กตานี่คือคงเหมือนทั้งตัว เสื้อผ้าหน้าผม ล้าสมัยไปด้วยกันหมด 55555555 จะว่าไป ตอนนี้นางแม่งน่าสงสารชิบหาย อกหักแล้วยังมาเจอเพื่อนด่าว่าหน้าตาล้าสมัย โคตรเฮิร์ต
สวยคลาสสิก 555555 ลองเปรยๆเรื่องทรงผมกับท่านแม่อีกรอบไหมคะท่านเรย์กะ แต่เราคิดว่าถ้านางเปลี่ยนทรงผมไปนี่จำไม่ได้กันทั้งโรงเรียนแน่ๆ
อยากให้นางมีอีเวนท์เปลี่ยนทรงผมเถอะะะะะ สงสารรรรรร ซากุระอุตส่าห์บอกว่าหน้าตาหมดจดได้รูป ลองไว้ผมตรงคงสวยไม่หยอก....
แต่คงต้องผ่านด่านท่านแมาก่อนล่ะเนอะ
เรย์กะถ้าผมยาวตรงนี่คงสวยเริ่ดสุดๆไปเลย
กูแอบคาใจที่ท่านอิมาริมีธุระปรึกษากับท่านพี่บ่อยๆ นี่แหละ เรื่องมันจะมีสิทธิพุ่งไปทางหายนะจริงๆ ไหมหว่า หรือแค่มาปรึกษาเรื่องสู่ขอน้องสาวให้เกี่ยวดองกับน้องชาย เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ฮะฮิ้ว~
อ่านท่านพี่ปาลูกดอกแล้วเราคิดถึงลอรี่กับลูคัส 55555555
ถ้าท่านเรย์กะต่อต้านทรงผมกับท่านแม่ กูว่าบ้านคงเสมือนสงครามเย็น และท่านเรย์กะผู้ใจน้อยก็จะยกธงขาวประกาศยอมแพ้ 55555
ถ้าเรย์กะผมตรงแล้วป๊อป ท่านพี่กะใครสักคนนั้นก็คงจะไม่โอเค?
ท่านเรย์กะเคยจะเปลี่ยนทรงผมทีเจอท่านแม่ลั่นประกาศิตเข้าไปพับโครงการยาวจนถึงตอนนี้
จริงๆ ท่านแม่ก็เป็นสาวงามเกียวโตน้า น่าจะให้ลูกสาวไว้ผมยาวตรงบ้าง แอบคิดว่าผมหลอดๆ มันไม่ค่อยเข้ากับชุดกิโมโนเท่าไหร่
ดิบตอนใหม่มาแล้ว!
อาจจะเผิดเผยพระเอกตัวจริง หลุยส์ที่16
สปอย
.
.
.
.
ก็ยังต่อเนื่องกับการออกกำลังกายจากตอนที่แล้ว แต่เรย์กะไปถึงเจอคาบุหลับอยู่ริมหน้าต่าง ลองเรียกเบาๆแล้วคาบุมันไม่ตื่น แล้วนางคิดว่าถ้านอนไปทั้งๆแบบนี้ อากาศชื้นๆในห้องอาจจะทำให้หายใจไม่ออกก็ได้ นางก็เลย.......เอาผ้าเช็ดหน้าวางแหมะบนหน้าให้....... แต่คาบุมันสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อน ถามว่าหล่อนทำอะไรน่ะห๊า จะฆ่าฉันเรอะ นางก็แถๆไปว่าเปล่าน้าาา แล้วเอ็นโจก็มาพอดีถามว่าเถียงอะไรกัน คาบุมันก็โวยวายฟ้องว่ายัยนี่มันจะฆ่าช้านน แล้วก็ออกกำลังกายกันไป เอ็นโจก็ถามปิดเทอมไปเที่ยวไหนมา เรย์กะบอกไปเที่ยวกับพวกเซริกะ ขากลับนางโดนหมอดูทักว่ามีวิญญาณตามติด นางก็คิดในใจบอกเปล่า นางปวดกล้ามเนื้อเพราะการฝึกแบบสปาตาร์ของคาบุรากิต่างหาก
.
.
.
.
.
สปอยเท่านี้พอได้มั้ยหว่า
.
.
.
ก็ยังเป็นตอนฮาไปวันๆอยู่เหมือนเดิมนะคนับ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าปาร์ตี้ซัมเมอร์ซักทีวะ อยากรู้วาคาบะจะไปงานตามไทม์ไลนเดิมได้ยังไง อาจจะมีอะไรพีคๆเกิดขึ้นในงานปีนี้ก็ได้
.
.
.
.
.
มีคนบอกว่าอยากให้ท่านเรย์กะเปลีย่นทรงผม กูว่าถ้าเปลี่ยนจริง นางจะน่าสงสารกว่าเดิมว่ะ มีแต่คนทักตื่นตะลึง เหวอ ทำหน้าแปลกๆ นางยิ่งเป็นพวกมองโลกแง่ร้ายอยู่ 555555555
กูว่าถ้าดัดลอนอ่อนๆ ย้อมน้ำตาลเทาสักหน่อยตามสมัยนิยม กูว่าสวยนะ
ผมม้วนนั่นแสดงถึงเทพเกศาบันดาลรักเลยนะ
กูอยากเห็นท่านเรย์กะทำโพนี่เทลอะ ผมทรงคลาสสิคของเด็กมัธยม
จะว่าไปนี่กูก็อยากแต่งฟิคซุยรันเวอร์ชั่นโรงเรียนไทยเลยเนี่ย
เป็นเวอร์ชั่นนักเรียนไทยต้องมีฉากวิ่งไปเตะบอลหลังเลิกเรียน วิ่งเข้าร้านเกม ซื้อของเซเว่นมาแดก นั่งร้านอาหารตามสั่ง จกส้มตำแน่ๆ
>>764 โพนี่เทลแบบผมตรงเรียบๆเลยอะมึง ไม่ใช่ผมลอนๆละมัดง่ะ
>>765 กูมีครสว่าถ้าซุยรันอยู่ไทยคงเป็นเอกชนแน่นอน แต่อยากให้เซ็ตติ้งเป็นโรงเรียนรัฐอะ แต่งยาก 55555
>>766 เออ กูลืม 555 ตอนกูยังเรียนอยู่เพื่อนกูไม่ค่อยหัวเกรียนกันเลยลืมไปว่าเด็กมัธยมมันต้องหังเกรียน
>>767 นี่แหละที่กูอยากเห็น โดดเรียนไปร้านเก-------
(วิ่งไปเตะบอลหลังเลิกเรียนกูเห็นล่าสุดคือตอนประถม.. พอมามัธยมเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษกันรัวๆเลย ลืมฟีลลิ่งเลิกเรียนแล้วไปวิ่งเล่นอะไรงี้หมดละ)
กำลังคิดว่าถ้าเป็นโรงเรียนไทยจะมีโมเม้นต์ล้อชื่อ พ่อ-แม่ไรงี้ป่าวว่ะ 555555
>>771 พวกหัวหน้าห้องไรงี้ได้เปรียบ เวลาเก็บใบที่ให้ผู้ปกครองต้องเซ็น จะแอบดูชื่อได้สบายๆ และกูเป็นหัวหน้าห้องทุกปีเลยจ้า พ่อแม่ใครชื่ออะไรกูรู้หมด 5555555555555555555555555555
ส่วนโมเมนต์ตอนประถม ห้ามให้ใครรู้ว่าไปเข้าห้องน้ำ ไม่งั้นจะโดนล้อว่าไปขี้ แล้วมันจะเป็นฉายาที่เป็นตราบาปติดตัวไปตลอด แต่ตอนม.ต้นกับม.ปลายเปิดเผยกันตามสบายหน้าด้านๆ เออ ไปขี้มาแล้วไง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พูดถึงเรื่องทรงผมแล้วถูเพิ่งนึกได้
ใครตอบเม้นกูอย่าลืมจุดล่ะ
สปอยนะ
.
.
.
.
.
ไปกินโอโคโนมิยากิท่านเรย์กะใส่วิคผมบ๊อเทนี่หว่า
ผลคือสองผู้ที่ไปกับนางหัวเราะขาดใจ นางคงไม่กล้าเปลี่ยนทรงแล้วล่ะ 5555
.
.
.
.
.
แวะมาแปะฟิก...แต่งไม่เหมือนท่านพี่พูดเองพวกมึงอย่าด่ากูเลยนะ
ซิสคอนลึกลับรายหนึ่ง
ผมไม่ใช่ซิสคอน...
แม้เพื่อนสนิทของผมจะพยายามยัดเยียดชื่อนี้ให้ก็ตามแต่ก็จะขอพูดอีกครั้งหนึ่งว่าผมไม่ใช่ซิสคอน
ถึงจะยอมรับว่าตัวผมมีพฤติกรรมบางอย่างเข้าข่าย แต่มันก็เป็นแค่การเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หลายๆ อย่างของน้องสาวตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นจึงไม่ใช่ซิสคอน (ซิสเตอร์คอมเพล็กซ์) ต้องเรียกว่าซิสเตอร์ คอนตินิวอัส แอสเซสเมนท์ (ซิสคอนท์) ต่างหาก
แล้วที่เป็นแบบนี้มันก็มีเหตุผลของมันด้วย...
เป็นเรื่องราวนานมาแล้วแต่ถ้าพูดให้กระชับคงราวๆ นี้
เด็กน้อยคนหนึ่งมีน้องสาวเมื่ออายุ 7 ขวบ เด็กน้อยยินดี ทุกคนล้วนยินดี จนถึงตอนนี้เด็กน้อยก็ยังจำความรู้สึกที่มีน้องสาวได้ไม่ลืม
ในเวลานั้นเด็กน้อยคิดอย่างแท้จริงว่าครอบครัวนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข โดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงความไร้เดียงสา
จุดเปลี่ยนแรกคือเมื่อเด็กน้อยอายุ 10 ขวบปี เขาได้เข้าไปซึมซับบรรยากาศของสำนักงานใหญ่ที่จะเป็นของตัวเขาในอนาคต
สถานที่แห่งนั้นมันช่างยิ่งใหญ่ ตระการตา เปี่ยมล้นด้วยความเชื่อมั่นและเต็มไปด้วยระเบียบแบบแผน เด็กน้อยตื่นตะลึงในครั้งแรก
ใช่แล้ว เด็กน้อยคนนั้นได้รับการศึกษามาอย่างดี เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ เด็กน้อยรับรู้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาคือสิ่งที่สายตระกูลของเขาสร้างขึ้นมา มันคือเลือดและเนื้อที่หล่อเลี้ยงครอบครัวของเขา
เหนืออื่นใดท่านพ่อของเขาคือผู้กุมชะตาของสถานที่แห่งนี้ ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในสายตาเด็กน้อยพลันทบเท่าทวี
.....และเด็กน้อยผู้ไม่เดียงสาคนนั้นก็ได้เห็นอีกด้านของท่านพ่อที่นี่
เด็กน้อยได้รู้จักความดำมืดของฐานะ ได้รู้จักความฟอนเฟะของสิ่งที่เรียกว่าสังคมชั้นสูง ได้รู้จัก “หน้ากาก”
ผ้าขาวได้ถูกย้อม เจือจาง ซักล้างและย้อมซ้ำหลายครา ณ ที่แห่งนี้
กาลเวลา 5 ปีได้ผันผ่าน วัยเยาว์ถูกพรากไป ความไร้เดียงสาจางหาย เด็กน้อยกลายเป็นชายหนุ่ม
ในตอนนั้น ชายหนุ่มจึ่งรู้ว่าตนนั้นรู้จักหลายๆ อย่างเร็วเกินไป...มันเร็วมากพอที่จะเปลี่ยนมุมมองการมองโลกของเขาโดยสิ้นเชิง
ท่านพ่อที่เคยเคารพกลับกลายเป็นชายที่แบ่งแยกชนชั้นคลั่งเงินตรา
ท่านแม่ที่เคยรักกลับกลายเป็นหญิงผู้โลภโมโทสันและกลัวการเสื่อมถอย
แม้แต่น้องสาวของชายหนุ่มเอง...ก็เริ่มซึมซับอิทธิพลมาจากทั้งคู่
ชายหนุ่มในตอนนั้นไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ได้ เขาเคยคิดด้วยซ้ำว่าบางทีคงต้องปะทะกับท่านพ่อของเขาในเรื่องของการบริหาร
ตัวตนที่เคยเทิดทูนเมื่อดำมืดความเคียดแค้นย่อมมากล้นพ้นตามความรัก
ชายหนุ่มรักครอบครัว...แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ทุกวิธีการ แต่ก็โชคดีที่ความคิดนั้นเป็นเพียงการ “เคย”คิด
ใช่แล้ว...มันเป็นรูปอดีต
ตั้งแต่วันที่น้องสาวของเขาดูงี่เง่าสมกับเป็นเด็กขึ้น...ความคิดนั้นก็เลือนหายไปจากความทรางจำของชายหนุ่ม
หากนี่เป็นนิทาน มันก็ยังเป็นนิทานที่ยังไม่จบ
เรื่องราวจะถูกส่งต่อ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อใดแต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจก็คือเรื่องราวนี้จะไม่จบลงที่ครอบครัวของเขาพังพินาศอย่างแน่นอน...
มันก็เป็นเรื่องราวประมาณนี้ ประเด็นของเรื่องคือพอน้องสาวกลายเป็นเด็กบ้ามันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พี่ชายต้องเข้าไปดูแลสิ จริงมั้ย?
สี่โมงครึ่งแล้ว...
ลุกขึ้นจากเก้าอื้หนังม้าบุกำมะหยี่มาวแชร์อันแสนสบายแล้วก็เดินทอดน่องยาวๆ ก้าวออกมาจากลิฟท์กระจก เดินผ่านรีเซฟชั่น ซีเคียวริตี้ทุกคนพร้อมใจกันยืนตรงก่อนจะโค้งคำนับน้อยๆ ผมยิ้มให้พวกเขาก่อนจะก้าวออกมานอกตัวตึก พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน...นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ออกจากบริษัทเร็วขนาดนี้ ก็ไม่ได้เป็นพวกบ้างานหรือไม่ชอบโลกภายนอกหรอก แต่เหตุส่วนใหญ่ที่ต้องออกจากบริษัทก่อนเวลาเลิกงานมันก็มีแต่เรื่องงานอยู่ดี การจะออกมาแบบว่างๆ นี่น้อยเต็มทน
แต่กระนั้นแม้จะบอกว่าว่างก็ใช่ว่างานวันนี้จะจบลง
วันนี้ผมได้รับมอบหมายจากท่านพ่อโดยตรงว่าให้เอสคอร์ทลูกสาวของกลุ่มธุรกิจอุริวก่อนที่เธอจะจบการศึกษาและเข้าสู่สังคมชั้นสูงในอีกไม่กี่ปี...เท่าที่รู้มารู้สึกว่าเธอคนนี้จะอ่อนกว่าผม 6 ปีและเป็นคู่หมั้นของคุณชายตระกูลเอ็นโจ ถึงกลุ่มธุรกิจอุริวจะใหญ่ไม่เท่าคาบุรากิแต่ก็เป็นหนึ่งในท็อปเท็นของวงการ ก็พอจะเข้าใจแนวคิดของท่านพ่ออยู่หรอก แต่จะเอื่อยเฉื่อยไปหรือเปล่านะ
ท่านพ่อน่ะ...ปากก็บอกว่ามอบหมายให้แต่จริงๆ ก็แค่โยนหน้าที่มาเพราะอยากจะกลับไปอ้อนลูกสาวไม่ใช่หรือไง
พูดถึงท่านพ่อแล้วก็แปลกใจเหมือนกันที่เปลี่ยนมาได้ขนาดนี้ ตั้งแต่ตอนไหนนะที่สไตล์การบริหารของท่านพ่อเปลี่ยนไป
เมื่อครั้งที่ได้เข้ามาที่สำนักงานใหญ่ตอนสิบขวบตอนนั้นที่นี่ยังเต็มไปด้วยแรงกดดันจากการบริหารแบบลำดับขั้นอยู่แท้ๆ
แต่ตอนนี้กลับเป็นแนวระบบครอบครัวที่แม้แต่พนักงานระดับล่างก็สามารถรายงานต่อผู้บริหารโดยตรงได้
ผลลัพธ์น่ะเหรอ แหงสิ...การเปลี่ยนแนวการบริหารมันไม่ใช่เรื่องง่าย 3 ปีหลังทดลองเปลี่ยนระบบบริหารกำไรก็ลดลงเกือบ 17% จะเรียกว่าเป็นปาฎิหารย์ก็คงไม่ผิดนัก แม้จะไม่ส่งผลกระทบโดยรวมมากมายแต่ท่านพ่อก็โดนผู้ถือหุ้นต่อว่าอย่างเผ็ดร้อน กระนั้นท่านพ่อก็ยังคงยืนกรานที่จะบริหารในรูปแบบใหม่ แต่แม้กำไรจะลดลงทว่าที่ได้กลับมาคือใจของพนักงาน รู้สึกได้เลยว่าพนักงานมีความสุขขึ้น อัตราการลาออกจากงานที่สูงเกือบ 20% ก็ค่อยๆ ลดลงจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่อัตราการสอนงานคนใหม่ๆ กลับพุ่งพรวดเพราะปากต่อปากของพนักงานทำให้มีคนเฮโลมาสมัครทุกปีรวมไปถึงการทุ่มเทด้วยความรักในกลุ่มธุรกิจจนทำให้มีคู่ค้าเพิ่มขึ้น แต่ก็นะ เรื่องพวกนี้ผู้ถือหุ้นเขาสนเสียเมื่อไหร่...
แต่หลังจาก 3 ปีที่เสียกำไรไป หลังจากที่ท่านพ่อโดนเหน็บแนมเรื่องการบริหารมาตลอดเวลา กลุ่มธุรกิจคิโชวอินก็มีผลกำไรโดยรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 200% ผงาดขึ้นมาเป็นลำดับสองเป็นรองเพียงกลุ่มคาบุรากิเท่านั้น พอมานึกถึงหน้าตาของผู้ถือหุ้นแต่ละคนที่เคยต่อว่าท่านพ่อตอนรายงานผลประกอบการในระยะเวลา 3 ปีแล้วแล้วก็อดขำไม่ได้
ว่าไปแล้วฉายาของท่านพ่อจากไอ้ไฮยีน่าก็กลายเป็นคุณลุงทานุกิด้วยนี่
เพราะเรย์กะเอาแต่กรอกหูท่านพ่อเรื่องนี้รึเปล่านะ ถ้าเป็นจริงก็น่าเศร้าใจอยู่หรอก เพราะแม้ท่านพ่อจะลงทุนเปลี่ยนสไตล์การบริหารขนาดนี้แล้วยัยน้องสาวก็ยังคงกลัวว่ากลุ่มธุรกิจของเราจะลาลับเป็นตะวันดับแสงเอาบ่อยๆ ...น้องสาวเอ๋ย...ถ้าจะทำให้กลุ่มคิโชวอินในตอนนี้เป็น “สนธยาลับฟ้า” อย่างที่พร่ำเพ้อใว้ สิบกลุ่มคาบุรากิก็เอาไม่ลงนะเธอ แถมให้ด้วยว่าถึงจะเป็นพี่ชายคนนี้ การจะแย่งเอากลุ่มธุรกิจมาจากท่านพ่อที่ได้รับความเคารพจากพนักงานอย่างล้นพ้นเนี่ย ไม่คิดว่าจะชนะหรอก
หรือแท้จริงแล้วน้องสาวของเราจะเป็นอัจฉริยะคอยกุมตำแหน่งประธานเบื้องหลังกัน!!!
อืม...สมองกรีดร้องไม่ยอมรับ สามัญสำนึกก็เหมือนจะตะโกนบอกว่าบ้ารึเปล่าเลย ก็นะเรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงเล่า ยัยน้องสาวที่ชอบหัวเราะแปลกๆ กังวลกับน้ำหนักตัวแต่ก็ซัดเอาซัดเอา ปากบอกเชื่อใจท่านพ่อแต่ก็ทำลับๆ ล่อๆ คนนั้นเนี่ยนะอัจฉริยะ เพ้อเจ้อเป็นนิยายกลับชาติมาเกิดไปได้ บางทีคงจะเครียดเพราะเป็นห่วงยัยน้องสาวมากเกินไปสินะ
แต่ถึงอย่างนั้นใว้กำหนดการว่างค่อยชวนยัยน้องสาวไปเที่ยวหน่อยดีกว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้สอดส่องยัยน้องสาวเท่าไหร่ ถ้าไม่ทำอะไรแปลกๆ หรือโดนใครหลอกเข้าก็คงจะดี
พอก้าวขึ้นรถคุณซาซาจิมะที่นั่งรออยู่ก็ส่งกำหนดการมาให้ หลังพลิกดู 2-3 หน้าก็พบว่ามีประวัติคร่าวๆ ของลูกสาวตระกูลอุริวที่สั้นกระชับอ่านง่ายพร้อมคอมเมนท์การเอสคอร์ทมาด้วย สมเป็นเลขาฯ เจนศึก ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอะไรเพิ่มเติม
บอกตามตรงว่ารู้สึกแย่เหมือนกันที่ต้องขอยืมตัวคุณซาซาจิมะมาจากคุณพ่อ แต่ว่าเลขาฯ ก่อนหน้านี้ถ้าจะให้พูดตามตรงคงต้องบอกเลยว่ามาตรฐานต่ำมาก
ถ้าเป็นผู้หญิงก็เจอแต่พวกยั่วยวน ถ้าไม่ใช่ยั่วยวนก็ไม่เป็นงาน พอเป็นผู้ชายก็เจอแต่พวกหาเศษหาเลย ไม่ก็จงใจเข้ามาตีสนิทหน้าด้านๆ ตอนทำงานใหม่ๆ มีเจ้าอิมาริมาช่วยก็เลยไม่รู้สึกว่าลำบากเท่าไหร่แต่กับพวกคนใหม่ๆ นี่อยากจะให้ไปหาหนังสือฮาวทูการทำงานมาอ่านบ้างเสียจริง ไม่ได้คิดว่าจะทำได้แบบในหนังสือที่อ่านหรอก แต่อย่างน้อยก็อยากจะให้ได้ซักครึ่งของเจ้าอิมาริล่ะนะ
หมอนั่นถึงจะดูเหลาะแหละแต่ก็สมองชั้นหนึ่ง ถึงจะชีกอขี้หลีแต่ก็เป็นคนที่รับมือกับคนได้ทุกประเภท...ที่สำคัญคือไม่เกี่ยงหญิงชายและใส่ใจทุกรายละเอียด
เป็นคนที่อยากได้มาใว้ข้างตัวที่สุดด้วยความสามารถ...แต่ก็อยากฆ่ามากที่สุดเพราะนิสัยด้วย ให้ตายสิ ถ้าไม่คอยกำกับดูแลจะเหลวแหลกเข้ารกเข้าพงไปถึงใหนก็ไม่รู้
แต่ถึงจะอยากได้แค่ไหนอย่างหมอนั่นอีกไม่นานก็คงลงเอยที่ตำแหน่งประธานบริษัทไม่ต่างกัน เพราะงั้นคงต้องปล่อยไป
หลังจมอยู่ในภวังค์พักนึงคุณซาซาจิมะก็บอกถึงสถานที่นัดพบพร้อมกับห้องอาหารที่บุ๊คกิ้งใว้เป็นภัตตาคารชื่อดังแถวเอบิสึ เข้าท่าแฮะ กะจะให้ตัดเข้ารปปงหงิได้เลยถ้าจุดแรกไม่ถูกใจสินะ แถมรอบๆ ยังมีเลาจ์อีก ดูท่าการเอสคอร์ทนี้จะง่ายกว่าที่คิด
เอาล่ะมองดูนาฬิกาเหลือเวลาอีกเกือบสิบนาทีกว่าจะถึงเวลานัด พระอาทิตย์หมิ่นเหม่จะพลบไปแล้วด้วยสิ เอาล่ะกับฐานะของทางนั้นควรให้รอสักกี่นาทีดีนะ
เหลือบไปดูคุณซาซาจิมะที่ไม่พูดอะไรต่อ หมายความว่าท่านพ่อไม่ได้ย้ำอะไรเป็นพิเศษ
งั้นก็ออกไปยืดเส้นยืดสายซักครึ่งชัวโมงดีกว่า
ใช่แล้ว การเอสคอร์ทน่ะมันก็แค่เรื่องบังหน้า หลักๆ ของกำหนดการแบบนี้คือการสอนให้รู้จักสังคมต่างหาก พวกลูกคุณหนูน่ะมักถูกตามใจจนเคยตัว ธรรมเนียมนี้จึงเป็นการสอนแบบอ้อมค้อมเพราะถ้าปล่อยให้นิสัยคุณหนูเอาแต่ใจหลุดไปต่อหน้าแวดวงชั้นสูงนี่บางทีคงไม่จบแต่ผิดใจกันแน่ๆ
เพราะฉะนั้น บทเรียนแรกของการเอสคอร์ทนี้คือการ “เป็นฝ่ายรอ”
ก้าวเท้ายาวๆ มองดูของข้างทาง ไม่ได้ออกมาเดินแบบนี้นานแล้วสินะ โอ๊ะ...มีพุดดิ้งบรั่นดีขายด้วย อาจจะเร็วไปสำหรับยัยน้องสาวแต่มีโอกาสทั้งทีก็อยากจะให้ทานล่ะนะ แต่ร้านนี้มีบริการส่งมั้ยเนี่ย
เดินเรื่อยเปื่อยไปสักพักตะวันก็ลับฟ้า คงได้เวลาแล้ว ป่านนี้คุณหนูอุริวคงกำลังทรงพระกริ้วติดต่อบ้านตัวเองจ้าละหวั่นละมัง
การรอคือการสอนให้รู้จักฐานะของตัวเองทางหนึ่ง กับเกมการเมืองทางธุรกิจ ในฐานะของคนที่อยู่เหนือกว่าจะเป็นฝ่ายรอไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มธุรกิจคิโชวอินนั้นอยู่เหนือกว่ากลุ่มอุริว ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าการเอสคอร์ทนี้เป็นการเอสคอร์ทของคุณชายจากบ้านคาบุรากิ คนที่จะต้องเป็นฝ่ายไปรอก็คือตัวผม
แม้การรักษาเวลาจะเป็นจิตวิญญาณของนักธุรกิจ แต่นั่นก็ส่วนนั่น นี่ก็ส่วนนี่ ดังนั้นจงรับไม้เรียวแห่งความรัก(?)ที่ชื่อว่าการรอคอยไปเสีย
คิดไปแบบนั้นขาก็พามาถึงจุดนัดพบ แต่กลับไม่มีคุณหนูตระกูลอุริวอยู่ กลับไปแล้วสิท่า ยังไม่ครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เฮ้อ...ใจมดกว่าที่คิดใว้เยอะเลย
แต่แบบนั้นก็ดี พรุ่งนี้ค่อยให้คุณซาซาจิมะหากระเช้าพร้อมแนบจดหมายไปให้ก็แล้วกัน เอาล่ะ...ถึงจะเร็วไปหน่อยแต่ก็ไปรับพุดดิ้งบรั่นดีแล้วเอาไปยั่วยัยเด็กบ๊องดีกว่า รสชาดผู้ใหญ่ที่จะเอาไปฝากนี่จะออกอาการยังไงน้า
“คุณคิโชวอิน ทาคาเทรุสินะคะ อุริว ยุยโกะวันนี้คงต้องขอรบกวนด้วยค่ะ”
เสียงใสไร้โทนขัดขึ้นก่อนจะก้าวเท้ากลับ เมื่อมองไปที่ต้นเสียงก็พบกับผู้หญิงที่ดูราวกับแก้วเจียรไนอยู่ในเดรสสเว็ตเตอร์ถัก ในมือถือกระเป๋าถือกับห่ออะไรสักอย่างอยู่
รอยยิ้มบางเบา ดวงตาดำขลับ ไม่มีทีท่าร้อนรนหรืออยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวที่ถูกปล่อยให้รอแม้แต่น้อย
“คิโชวอิน ทาคาเทรุครับ ออกจะเสียมารยาทที่ทำให้รอต้องขอโทษด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันเองก็ไปเที่ยวเตร่มาเช่นกัน รู้ตัวอีกครั้งก็เลยเวลากว่ายี่สิบนาทีแล้ว จะพูดไปถ้าคุณคิโชวอินไม่มาสายผู้น้อยอย่างดิฉันคงปล่อยให้คุณรอ ดังนั้นฝั่งนี้ต่างหากที่ต้องขออภัยค่ะ”
...บังเอิญเหรอ หรือว่าจะเอาแต่ใจจนเคยตัวเลยไม่แคร์ที่จะต้องมีคนรอกัน จะอย่างใหนก็ตามแต่ก็น่ารำคาญสมกับเป็นยัยคุณหนูไม่รู้มารยาททั้งคู่ อยากรีบๆ จบ รีบๆ แยกย้ายจังนะ
“เผลอเดินเที่ยวเตร่งั้นหรือครับ ดีจัง ท่าทางน่าสนุก ไปเดินเล่นต่ออีกสักนิดใหมครับ”
แม้ในใจจะคิดแบบไหน แต่ก็ใช่ว่าจะแสดงออกไปได้ ก็พอจะรู้ตัวอยู่หรอกว่าไม่ใช่คาสโนว่าตัวพ่อแบบเจ้าอิมาริแต่แค่ยัยคุณหนูอ่อนโลกก็ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้
โปรยรอยยิ้มการค้าไป จากนั้นก็พาไปทานอาหาร เล็คเชอร์ธุรกิจกับแนวบริหาร 2-3 อย่างก่อนส่งกลับบ้าน รูปแบบเดิมๆ เนื้อหาเดิมๆ แต่ก็ใช้ได้เสมอ
“โมเอ็ตแชมเปญของชิลี”
จู่ๆ แขนบอบบางเบื้องหน้าก็ยกห่อที่ถือขึ้นมา
“เคยดื่มตอนไปต่างประเทศครั้งหนึ่ง คิดว่าอร่อยดี น่าแปลกที่ไม่ค่อยแพร่หลายในณี่ปุ่น การที่ได้มาเจอที่เอบิสึนี่ตกใจมากค่ะ”
“สำหรับคุณคิโชวอินแล้วคงจะน่าเบื่อสินะคะที่ต้องคอยอบรมมารยาทให้พวกคุณหนูแบบดิฉัน”
ดวงตาดำขลับนั้นหรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบใว้ แม้สายตาจะมองตรงมาแต่กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกสะท้อนอยู่แม้แต่น้อย
“เพราะงั้น โมเอ็ตแชมเปญนี่ถือเป็นของบรรณาการ เชิญรับใว้และใช้ดิฉันเป็นข้ออ้างในการผ่อนคลายเถอะค่ะ”
เห.....แม้จะแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่
“แปลกใจมากเลยครับ แต่จะให้ทิ้งเบญจมาศขาวอย่างคุณอุริวใว้แล้วไปเที่ยวเตร่คงทำไมได้หรอก”
“งั้นหรือคะ? เช่นนั้นหากไม่รังเกียจขอความกรุณาพาดิฉันไปเที่ยวจะได้ใหมคะ”
“อา ได้อยู่แล้วล่ะครับ งั้นเรามาเริ่มด้วยภัตตาคารของเชฟมิชลินสามดาวก่อนเป็นไงครับ?”
เอาเถอะก่อนจะออกนอกลู่นอกทางไปมากกว่านี้ยังไงก็ลากเข้ากำหนดการเดิมให้ได้ก่อนดีกว่า
ถึงจะมีอะไรเกินคาดหมายไปหน่อยแต่ก็แค่นั้น ไม่มีอะไรต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
“เลิกห่วงกำหนดการไม่เข้าท่านั่นเถอะค่ะ ไม่คิดหรอกว่าระดับคุณคิโชวอิน ทาคาเทรุแห่งกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่จะมาห่วงอะไรกับค่ายกเลิกบุ๊คกิ้ง แต่ถ้าเป็นห่วงนักล่ะก็กลุ่มอุริวจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดให้เองค่ะ”
เด็กสาวเบื้องหน้าพูดด้วยใบหน้ายิ้มละไม แต่คำพูดที่ออกมาถือว่าเข้าขั้นไร้มารยาท ให้ตายสิ คุณหนูยังไงก็เป็นคุณหนูอยู่ดี ยุ่งยากจริง ดูท่าที่ประเมินใว้ตอนแรกคงจะสูงเกินไป เอาเถอะจะมาโกรธก็ใช่ที่ คงต้องโทษตัวเองที่มองคนไม่ทะลุ
“ต้องขออภัยด้วยนะครับคุณหนูอุริว ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าคุณหนูไม่ชอบการทานอาหารที่ภัตตาคาร ถ้าเช่นนั้นเราไปที่รปปงหงิเพื่อ...”
“ดิฉันขออภัยที่เสียมารยาทนะคะ แต่คุณคิโชวอินคะ...ไม่ได้มีแต่ฝั่งคุณหรอกนะคะที่ทำการสืบประวัติของอีกฝ่าย”
คำพูดนั้นขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโทนเดิม ต่างกันที่ผมไม่ได้มองคนที่อยู่ข้างหน้าว่าเป็นเด็กสาวอีกแล้ว
“เส้นสายของดิฉันเองก็พอมี สตรีที่เคยได้รับการเอสคอร์ทจากคุณหลายๆ ท่านดิฉันก็รู้จัก การใช้แพทเทิร์นเดิมๆ แผนสำรองเดิมๆ แบบนี้ โดนสืบเข้าจะแย่เอานะคะ”
อา......ไม่รู้ทำไมภาพเจ้าอิมาริโดนเมียศาสตราจารย์ไล่แทงจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนลอยมา
รู้สึกตัวว่าคิ้วกระตุก อย่างที่คิด เซนส์ของตัวเองยังไม่มีปัญหา การมองคนก็ยังใช้ได้ ที่พลาดคือการประเมิน
ผมประเมินเธอเพียงเพราะเพศสภาพและอายุ...ซึ่งนั่นก็เป็นแค่รายละเอียดคร่าวๆ จากกำหนดการ นั่นแหละที่พลาด เรื่องแบบนี้ผมควรจะถามอิมาริใว้ก่อนไม่ใช่แค่ดูกำหนดการอย่างเดียว
ที่คุณซาซาจิมะเงียบรอในรถบางทีคงเพราะรอให้ผมติดต่อหาอิมาริก็ได้
จะยังไงก็ตามแต่ เรื่องที่ตอนนี้ เวลานี้ผมโดนเด็กอายุน้อยกว่าที่ยังไม่ประสีประสาตอกกลับก็เป็นเรื่องจริง หึ หละหลวมย่อหย่อนเกินไปนะตัวผม
“ที่เสียมารยาทคิดว่าเป็นเด็กกะโปโลต้องขออภัยด้วยครับ ขอแนะนำตัวอีกครั้ง...คิโชวอิน ทาคาเทรุ เรียกทาคาเทรุก็ได้”
“ทางนี้ก็เช่นกันค่ะที่คาดหวังใว้สูงเกินไปกับการเอสคอร์ทระดับหัวกะทิ...อุริว ยุยโกะ เชิญเรียกว่ายุยโกะ จากนี้ขอรบกวนด้วยค่ะ”
ช่างเป็นมารยาทที่แย่ยิ่ง ทั้งตัวเองทั้งคนที่อยู่ตรงหน้า...แต่น่าแปลกที่ไม่รู้สึกหงุดหงิด
“เช่นนั้น จากนี้จะวางกำหนดการเช่นไรดีคะ?”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ยังไงซะก็ไม่อยากจะทำอะไรตามแบบแผนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
ผมพูดพลางคลายผมไทค์ที่คอก่อนถอดแขนออกจากชุดสูทเนื้อนิ่ม ก่อนหันไปหาเด็กสาวตรงหน้า
“อีกอย่าง...”
ผมดึงขวดโมเอ็ตแชมเปญจากอ้อมแขนเธอมาถือ อืม...อายุไม่นาน แต่กับแชมเปญแล้วเกรดของชิลีก็ใช่ย่อย แถมไม่ต้องมากพิธีแบบไวน์ เซนส์ถือว่าไม่เลว
“มีแชมเปญดีๆ แบบนี้ทำไมเราไม่ไปหาที่นั่งดื่มกันหน่อยล่ะ”
ดูท่าการเอสคอร์ทครั้งนี้คงล่มไปเป็นที่เรียบร้อยล่ะนะ
ผมยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหันหลังก้าวเดิน
----------------------------------------------------------------------------------------------------
จากการเปลี่ยนแผนกระทันหันทำให้ตอนนี้เราทั้งคู่มาอยู่ที่เคาเตอร์ของบาร์ริมทาง
แต่ถึงจะบอกว่าริมทางก็เถอะ เกรดของบาร์ก็ยังจัดว่าสูงอยู่ดี นับตั้งแต่บาร์เทนเดอร์ที่จะรับลูกค้าไม่เกินสามรายต่อคน ที่นั่งแบบจัดคู่หรือแยกตามจำนวนและสถานะของลูกค้า รวมไปถึงเครื่องดื่มราคาระยับที่อยู่ด้านหลังบาร์เทนเดอร์
ปรกติก็ไม่ค่อยจะมาร้านแบบนี้หรอก แต่นานๆ ครั้งก็ไม่เลว
หลังจากบาร์เทนเดอร์เข้าประจำที่ในเคาเตอร์ผมก็ยื่นขวดแชมเปญให้ เอาล่ะ ถึงจะไม่พิธีการอะไรมากก็คงต้องสั่งอะไรให้ยัยหนูนี่ก่อนตามธรรมเนียม...
“แบล็คเวลเว็ต ลดฟอง รินเดี่ยว ผสมโดยใช้แชมเปญขวดนั้นค่ะ”
เออ...ธรรมเนียมอะไรก็ช่างมันเถอะ
“สปลิทซ์ ฮาร์ดมิกซ์ ไม่ใส่น้ำแข็ง ระดับช่วยจัดให้เหมาะกับแชมเปญที”
บาร์เทนเดอร์วัยกลางคนโค้งหัวน้อยๆ ก่อนจะเริ่มรินเบียร์เพื่อทำแบล็คเวลเว็ท
“ว่ากันว่าค็อคเทลที่ชอบบ่งบอกนิสัยผู้ดื่ม”
เจ้าของดวงตาดำขลับที่ไม่รู้ว่ามองไปทางใหนอยู่ๆ ก็เปรยขึ้นมา
“ก้าวร้าวไม่สมกับเป็นว่าที่ท่านประธานเลยนะคะ”
“ไม่คิดว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากปากคุณหนูผู้ไม่มีเศษเสี้ยวของมารยาทเลยนะ”
การโต้ตอบสั้นๆ จบลงเมื่อแบล็คเวลเว็ทถูกวางเบื้องหน้าเธอ
เครื่องดื่มสีดำกำมะหยี่ถูกยกจรดริมฝีปากและไหลลงไปในคอระหงนั้นในคราเดียว เป็นการดื่มที่เคารพบาร์เทนเดอร์และงดงาม
“ดื่มเก่งนี่ ชอบงั้นเหรอ?”
“ไม่มีคำว่าชอบหรือเกลียดหรอกค่ะ เมื่อเครื่องดื่มวางอยู่ตรงหน้า การดื่มก็คือหน้าที่ของดิฉัน”
เสียงใสไร้โทนกังวานคลอไปกับเสียงเขย่าสปลิทซ์ ดวงตาดำขลับยังคงเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย
มีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจมาตลอดตั้งแต่แรกพบ แต่กลับนึกไม่ออกว่าคืออะไร ดูท่าตัวเราคงหละหลวมไปมากจริงๆ
“แล้ว...อยากจะพูดอะไร?”
“หมายความว่าอย่างไรคะ?”
“อย่าตอบคำถามด้วยคำถาม ผมยอมรับว่าประเมินคุณพลาด ตีค่าคุณต่ำ แต่ละครน่ะพอแค่นี้เถอะ คงไม่คิดจะทำให้ความสัมพันธ์ของกลุ่มธุรกิจหมางใจกันเพราะการเอสคอร์ทพรรค์นี้ใช่มั้ย?”
“ป่าเถื่อนจังเลยนะคะ”
แก้วสปลิทซ์ถูกวางใว้เบื้องหน้าหลังจากจบคำพูดของเธอ ผมยกขึ้นจิบเล็กน้อย.......อืม ใช้ได้
“ไม่ได้ป่าเถื่อนหรอก...”
ผมวางแก้วลง ยกมือใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่เธอให้บาร์เทนเดอร์อันหมายถึงจัดค็อคเทลตามแต่เหมาะสมให้ที
“...แค่ก้าวร้าวน่ะ”
รอยยิ้มยังคงฉาบอยู่บนใบหน้า ดวงตายังคงเหม่อลอย
“ดิฉันเป็นคู่หมั้นของเอ็นโจ ชูสุเกะค่ะ”
...อ้อ...ไอ้หนูตระกูลเอ็นโจคนนั้นหรอกเรอะ เข้าใจล่ะ แต่เพราะเรื่องแค่นี้เลยลงทุนประกาศความเป็นเจ้าของแบบนี้...สมองคงอยู่ใต้อารมณ์หึงหวงไปแล้ว ให้ตายสิ ผู้หญิงนี่ไม่ว่าหน้าไหนๆ ก็เป็นซะแบบนี้...อืม แต่กับแม่น้องสาวนี่คงเป็นไปไม่ได้แหงๆ
“เคยเจอเรย์กะด้วยเหรอ?”
“เคยคุยกันค่ะ”
“เข้าใจล่ะ พอรู้เรื่องมาบ้างเหมือนกัน ใว้จะเตือนเรย์กะให้”
บาร์เทนเดอร์วางแก้วสีเขียวครีมลงเบื้องหน้าเธอ เชียร่าเหรอ? หึงหวงนอกหน้าขนาดนี้ตรงใหนของเธอกันที่ดูเงียบสงบ
“ไม่จำเป็นค่ะ”
“หืม?”
“ปล่อยให้เป็นแบบนี้ดีแล้ว...ดีแล้วค่ะ”
แขนบอบบางภายใต้เดรสสเว็ตเตอร์ยกแก้วขึ้นจิบช้าๆ พอมาสังเกตก็พบว่าเป็นอย่างที่เธอบอกใว้ ลักษณะการดื่มแบบนั้นไม่ใช่วิสัยของคนชอบดื่ม แต่มารยาทในการดื่มกลับถูกต้อง
การดื่มที่กลายเป็นหน้าที่...หึ
“การผูกมัดใว้ไม่ใช่ความรักหรอกค่ะ มันก็แค่ความเห็นแก่ตัว”
“หมายความว่าคุณไม่รักคุณเอ็นโจงั้นสิ?”
“ความรักมีหลายรูปแบบค่ะ”
แก้วถูกวางลง จากนั้นเมนูก็ถูกเปิด นิ้วเรียวงามไล้ไปตามรูปภาพของไซด์ดิชสองสามชนิดพร้อมกับการค้อมหัวน้อยๆจากบาร์เทนเดอร์
“และบางครั้งการที่อยากจะเห็นใครสักคนมีความสุขก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นความรัก”
“งั้นรึ...ถ้าอย่างนั้นแล้วฐานะของคุณยุยโกะล่ะจะเป็นยังไง”
“ฮุฮุ...แม้จะบอกว่าตัวเองก้าวร้าวแต่ก็ยังคงสุภาพนะคะ กรุณาใช้คำแทนตัวดิฉันตามต้องการเลยค่ะ ไม่เช่นนั้นดิฉันคงรู้สึกแย่น่าดู”
“หึ...พึ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก”
“เป็นเกียรติที่ได้รับคำนิยมเช่นนั้นจากคุณทาคาเทรุค่ะ”
“อา...การที่ต้องคุยกับคนที่แม้แต่จะแสร้งหัวเราะให้สมจริงยังทำไม่ได้เนี่ย...นี่น่ะเป็นครั้งแรก”
เกิดความเงียบขึ้นฉับพลันระหว่างการสนทนา จานบล็อคโคลี่ดิปถูกวางใว้กึ่งกลางเราทั้งคู่ เสียงวางจานดังก้องสะท้อนไปในความสงัดนั้น
แก้วถูกยกขึ้นจิบ พอหันไปมองก็พบว่าดวงตาที่เคยเหม่อลอยนั้นจับจ้องมาอย่างงุนงง
หึ...น่าขำสิ้นดี
“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเถอะยุยโกะ บอกมาสิว่าเธอต้องการอะไร?”
ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้หน้าตาของตัวเองเป็นแบบใหน แต่บรรยากาศที่เคยเงียบในตอนนี้มีเสียงเพลงบรรเลงออกมา เมื่อกวาดตาดูก็พบว่าบาร์เทนเดอร์กำลังจัดแผ่นเสียงอยู่...นัมเบอร์ 3 อีแฟลทงั้นเรอะ ถึงจะไม่ชอบอีรอยกาเพราะการสลับโทนสูงต่ำแต่ก็เข้าใจเลือกไม่เลว คงต้องทิปหนักหน่อยล่ะ
“กรุณาเป็นผู้เฝ้าดู...ได้หรือเปล่าคะ”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“ความสัมพันธ์ของชู...เอ่อคุณเอ็นโจและคุณน้องสาวน่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะการที่จะผูกสัมพันธ์กับกลุ่มเอ็นโจ สำหรับกลุ่มคิโชวอินแล้วน่าจะเป็นผลดีไม่ใช่หรือคะ อีกอย่างตัวดิฉันเองก็อยู่กับชูมานาน การที่คู่หมั้นอย่างฉันสนับสนุนไม่เพียงแต่จะไม่ขัดแย้งกับกลุ่มอุริวแล้ว...”
“ฟังนะสาวน้อย”
น่าหัวเราะ...น่าหัวเราะจริงๆ ผมในตอนนี้รู้สึกเริงร่าอย่างไม่เคยเป็นมานาน
“ที่อยากฟังน่ะ...ไม่ใช่เหตุผลไร้สาระที่รังสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาบังหน้าแบบนั้น”
เอื้อมมือไปหยิบคอสต้าแล้วจิ้มบร็อคโคลี่ดิปก่อนจะยื่นมันไปยังคู่สนทนา
“แต่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงกล้าแนะนำหมอนั่น คุณชายเอ็นโจผู้แสนจะอ่อนหัดคนนั้นว่าเหมาะสมกับน้องสาวสุดที่รักของท่านทาคาเทรุต่างหาก”
ใบหน้าที่เคยฉาบด้วยรอยยิ้มนั้นไม่มีอีกแล้ว ดวงตาที่เหม่อลอยมองตรงมาทางนี้
รู้สึกว่ามุมปากตัวเองกระตุก ดูท่าตัวเองคงจะกำลังยิ้มอยู่
“เอ้า...ทานซะ เห็นแก่ความจองหองของเธอเวลาทานคือรางวัล...ระหว่างนั้นก็ลองตรองดูสิว่าจะพูดยังไงต่อดี”
เด็กสาวตรงหน้าเขม่นจ้องก่อนจะหลับตาอ้าปาก และโน้มตัวลงมาทานไซด์ดิชที่อยู่ในมือ
อา...ฮะฮะฮะ เอ้า จะมาไม้ใหนต่อล่ะอุริวยุยโกะ
แก้วสปลิทซ์ถูกยกขึ้นดื่มจนหมด บาร์เทนเดอร์เข้าประจำเคาเตอร์รอคำสั่งราวกับควัน
หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ
ไม่คิดจะรังแกเด็กหรอกนะ แต่ถ้าเกี่ยวกับยัยน้องสาวก็อีกเรื่อง อย่าคิดว่าโลกนี้จะเป็นไปตามต้องการทุกเรื่องน่ายัยเด็กกะโปโลเอ๊ย
“บลัดดีแมรี่”
ห้วนสั้นกระชับพร้อมการค้อมหัวรับของบาร์เทนเดอร์ ดูท่าคู่สนทนาตรงหน้าจะทานเสร็จแล้วด้วยนี่นะ
“การแต่งงานที่ไม่มีความรักมันคือการทารุณค่ะ”
“แล้ว?”
“ชู...คุณเอ็นโจน่ะ...”
“จะเรียกอะไรก็ตามใจเถอะ ป่านนี้แล้วจะใช้รูปสุภาพให้ได้อะไรขึ้นมา ต่างคนต่างก็ลอกหนังออกแล้วนี่”
เด็กสาวตรงหน้ามองมาราวกับมองดูอะไรสักอย่างที่ไม่เคยพบเจอ
เธอมันยังอ่อนด้อยนัก ยัยหนู
“ชูสนใจคุณเรย์กะค่ะ แน่นอนว่าตอนนี้มันอาจจะยังไม่ใช่ความรู้สึกรักชอบเต็มที่ แต่การที่ได้อยู่กับผู้เป็นที่รักก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนี่คะ”
เธอพูดออกมาหลังจากสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
“แล้วความรู้สึกของเรย์กะล่ะ”
“แน่นอนว่าความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นดิฉันจึงอยากร้องขอให้คุณทาคาเทรุเป็นผู้เฝ้าดูค่ะ หากชูไม่สามารถเอาชนะใจคุณเรย์กะได้แล้วก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนตัว”
“เธอบอกว่าเคยคุยกับเรย์กะสินะ ขอฟังความคิดเห็นหน่อยสิ”
“รอยยิ้มของเธอไร้เดียงสาแววตาซื่อตรง เป็นสิ่งที่หาได้ยาก เป็นสิ่งที่ดิฉันไม่มีค่ะ”
“ยอมรับว่าตัวเองเสแสร้งงั้นสิ”
“ไม่สามารถโต้แย้งได้ค่ะ ต่อหน้าคุณทาคาเทรุตอนนี้แค่จะโกรธคงยังไม่มีสิทธิ”
อย่างน้อยก็ไม่ใช่เด็กกะโปโลดาดๆ ล่ะนะ
“แล้วฐานะของเธอล่ะ”
“ตัวดิฉันเป็นได้แค่เครื่องมือค่ะ เครื่องมือสำหรับไต่เต้าก้าวข้าม เครื่องมือเพื่อการกระชับความสัมพันธ์”
“ทั้งที่เป็นแบบนั้นก็ยังคิดจะผลักไสให้เรย์กะไปอยู่ในฐานะเดียวกับเธองั้นเหรอ”
"นั่นเป็นเพียงผลพลอยได้ค่ะ...แม้จะมีจุดประสงค์แอบแฝง แต่ที่ดิฉันอยากจะปกป้องรอยยิ้มนั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ"
“ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเพื่อคนที่ไม่รู้จักนี่”
“ส่วนหนึ่งเพื่อชู เพื่อคนที่ดิฉันอยากให้มีความสุขค่ะ”
“นั่นไม่ใช่การปกป้อง มันก็แค่อัตตาของเธอ”
“....”
ฟูเนรัลมาร์ชของบีโธเฟนแผดเสียงแหลมสูง แก้วบลัดดีแมรี่ถูกวางลง
ของเหลวภายในสะท้อนแสงสีแดงเป็นประกาย
ผมยกแก้วขึ้นจิบเล็กน้อย หรี่ตามองไปยังคู่สนทนา
“สิ่งที่เธอวาดฝัน สิ่งที่เธอคาดหวังมันก็แค่การจัดสวนกล่อง”
เด็กสาวเบื้องหน้ากัดริมฝีปากแน่น ราวกับอับจนคำพูด
“เธอเขียนทับตัวตน ทับซ้อนลงไปที่เรย์กะ ใช้ตัวตนของเอ็นโจแทนตัวเองสร้างอนาคตที่สดใสในจินตนาการ”
เด็กสาวก้มหน้า อา...ตอนนี้ใบหน้าเสแสร้งนั่นเป็นแบบไหนนะ
“เธอรู้จักเรย์กะ เธอมองเห็นตัวตนของเรย์กะ ขอยอมรับในจุดนี้...แต่เธอไม่ได้รู้จักเรย์กะ”
ใช่แล้ว ถ้าฟังจากมุมมองของเธอ ตัวตนของเรย์กะที่เธอเห็นมันก็แค่ภาพมายา
“เรย์กะน่ะไร้เดียงสา แต่ในขณะเดียวกันก็บ้าบอ ต่อหน้าเธอยัยเด็กบ๊องนั่นคงถูกประเมินออกมาได้อย่างง่ายดายตั้งแต่การทักทาย...ไม่สิ เผลอๆ คงตั้งแต่สบตาด้วยซ้ำ”
ยัยเด็กนั่นบ้าบอกว่าที่คิด มีเรื่องให้เป็นห่วงมากกว่าที่คิด ไม่ใช่คุณหนูที่จะมานิยามด้วยคำว่าไร้เดียงสาหรอกน่า
“ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดล้วนเป็นผลดีต่อเรย์กะ ครอบครัวที่ดี ชีวิตที่มั่นคง และคนที่รักเธอ”
ผมเอื้อมมือไปเชยคางของเธอขึ้น
“แต่ก็ขอย้ำอีกครั้งว่านั่นก็เป็นแค่อัตตาของเธอ”
จากนั้นก็สะบัดดาบปลิดชีพ
“มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่มีผลดีต่อเรย์กะ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำเพื่อเรย์กะ”
ริมฝีปากนั้นเผยอน้อยๆ ราวกับพยายามจะพูดอะไร แต่แล้วก็หุบลงโดยไม่มีเสียงก่อนจะกลายเป็นการเม้มปาก
“ครอบครัวที่ดี? ชีวิตที่มั่นคง? คนที่รักเธอ?...แล้วไง คิดว่าของพรรค์นั้นผมคนนี้ คิโชวอิน ทาคาเทรุคนนี้ไม่มีปัญญาหาให้งั้นเหรอ”
คมดาบถูกตวัดซ้ำ ไม่มีคำว่าปราณี
“เธอคือน้องสาวของผม น้องสาวคนสำคัญ”
เพราะมียัยเด็กบ๊องคนนั้น ครอบครัวเราจึงยังเป็นครอบครัวแบบนี้...เพราะงั้น
“เพราะงั้นถ้าคิดว่าการเจรจาโน้มน้าวแบบเด็กอมมือนี่ผมจะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ ล่ะก็...”
...กับคนที่คิดจะใช้ประโยชน์จากยัยเด็กบ๊องนั่น ไม่ว่าใครหน้าใหนผมก็ไม่อภัย
“ไปตายแล้วเกิดมาอีกล้านรอบเถอะยัยหนู”
ผมถอนมือออกจากคางของเธอ ก่อนจะหยิบบลัดดีแมรี่ขึ้นจิบ
อำพันสีแดงในแก้วนั้นสะท้อนให้เห็นใบหน้าของตัวเอง
.............................ตอนท่านพ่อโดนเรียกว่าไอ้ไฮยีน่าเนี่ย...ท่านพ่อยิ้มแบบนี้รึเปล่านะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในที่สุดฟูเนรัลมาร์ชก็จบลง ท่ามกลางกองแก้วของแบล็คเวลเว็ท
แก้วที่เธอถืออยู่ตอนนี้ คือแก้วสุดท้ายที่ทำมาจากแชมเปญ
"ดื่มหนักจังเลยนะ ไม่ใช่ว่ามีหน้าที่แค่ดื่มเหรอ?"
"เพื่อให้ความเชื่อมั่นยังคงใว้ เพื่อให้อัตลักษณ์ยังคงอยู่ บางครั้งความเมามายก็เป็นสิ่งจำเป็นค่ะ"
"นิชเช่งั้นเหรอ? แล้วเอาศักดิ์ศรีไปใว้ที่ไหนซะล่ะ"
"เครื่องมือที่พังทลายลงด้วยน้ำมือคุณทาคาเทรุจำเป็นต้องมีศักดิ์ศรีด้วยหรือคะ"
ใบหน้าที่เคยขาวใสในตอนนี้แดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์...ที่ยังคงสติใว้ได้ตอนนี้ถือว่าคอแข็งพอดู
"ทำไมถึงต้องเป็นแบล็คเวลเว็ท?"
"มันหมือนตัวดิฉันค่ะ"
เธอวางแก้วลงช้าๆ
"ผสมจากของราคาถูกและของชั้นยอดหากผิดพลาดเพียงนิดก็พังทลาย ทั้งดำมืดและโสมม"
"ยัยเด็กอ่อนหัดเอ๊ย"
อา...อดหัวเราะไม่ได้เลย ไม่สิ...หัวเราะไปแล้วล่ะ หลังจากพูดว่ายัยเด็กอ่อนหัดไปแล้วก็หลุดหัวเราะไปเลย
เด็กสาวมองมาทางนี้ด้วยสีหน้างุนงง อะไรกัน...ทำหน้าตาบ้าบอก็เป็นนี่นา
“เธอน่ะยังเด็กนัก...”
เรย์กะเองถ้าไม่เปลี่ยนแปลงไปจะกลายเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ ถูกปลูกฝัง ถูกสอนสั่ง และถูกใช้เป็นบันได
ไม่สิ เทียบกับยัยเด็กตรงหน้าตอนนี้แล้วบางทียัยนี่คงจะแกล้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้เก่งกว่าล่ะนะ
"ความดำมืดของสังคมชั้นสูงน่ะ มันหนักหนากว่านั้น ถ้าเธอคิดว่าเธอพังทลายด้วยเรื่องแค่นี้จนไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้วล่ะก็..."
ผมยกสปลิทซ์แก้วที่สองขึ้นมาจิบ รสด้อยกว่าแบบใช้แชมเปญชิลีแฮะ
เวลาผ่านไป...องค์ที่สามของอีรอยกาก็เริ่มบรรเลง
"แล้วอะไรงั้นหรือคะ?...."
เสียงของเธอกังวานอีกครั้ง ผมหันไปยิ้มด้วยรอยยิ้มการค้า
"ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว ไม่ทราบว่าคุณอุริวพึงพอใจในการเอสคอร์ทครั้งนี้หรือเปล่าครับ?"
"เอ๊ะ?"
เด็กสาวชะงักงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
"จากเอบิสึกลับไปยังที่พักหากช้ากว่านี้เกรงว่าจะดึกเกินไป ถ้าไม่รังเกียจผมขออนุญาติไปส่งได้หรือเปล่าครับ"
"คะ...คุณทาคาเท...รุ?"
"อุหวา หน้าตาคุณอุริวแดงมากเลย ถึงแบล็คเวลเว็ทจะไม่แรง แต่ดื่มไปขนาดนั้นก็มีผลสินะ ถ้ายังไงเราออกไปรบลมกันหน่อยดีไหมครับ"
ผมทำมือบอกให้บาร์เทนเดอร์เช็คบิลก่อนจะควักกระเป๋าเงินหยิบแบงค์หมื่นเยนห้าใบวางใว้กับบัตรเครดิต
"คุณทาคาเทรุคะ...หมายความว่ายังไงกัน"
“เตรียมมากี่แผน”
“เอ๋...”
“แผนที่จะกล่อมผมน่ะ เตรียมมากี่แผน”
“ประมาณสิบค่ะ แต่ก็ไร้ค่า...บางแผนแค่จะหาโอกาสพูดยังไม่มีด้วยซ้ำ”
“งั้นเหรอ”
“ก็แบบนั้นล่ะค่ะ”
บาร์เทนเดอร์กลับมาพร้อมบิล ผมเซ็นไปโดยไม่มอง การดื่มครั้งนี้มีเรื่องน่าสนใจมากกว่าตัวเลขในบิลอยู่ล่ะนะ
หยิบบัตรเข้ากระเป๋าแล้วส่งมือออกไป
เด็กสาวตรงหน้าจับมือผม...
ก้าวเดินมาราวสิบนาทีด้วยความเงียบงัน ทิ้งบาร์ที่เสียงบรรเลงเพลงยังดังอยู่ใว้เบื้องหลัง
"อีกสักพักรถก็จะมารับแล้ว...แน่ใจหรือครับว่าไม่ต้องให้ไปส่ง?"
"ไม่ขอรบกวนเวลาอันมีค่าของคุณทาคาเทรุมากกว่านี้ค่ะ"
การวางแผนเจรจาถือว่าไม่เลว การเรียกความน่าเชื่อถือก็ใช้ได้ มีความสามารถระดับนั้นด้วยอายุแค่นี้คงจะเจออะไรมาหนักพอดู
"ปรกติคุณอุริวเคยเจรจาธุรกิจหรือเปล่าครับ?"
"เอ๋?"
"แผนการดึงเข้าสู่การสนทนาของคุณน่าสนใจดีน่ะ"
"ค่ะ...ถ้าแค่กลุ่มเล็กๆ"
งั้นเหรอ มิน่าเล่าถึงได้เฉียบแหลมแต่ไม่เด็ดขาด กับพวกปลาซิวปลาสร้อยเจอไล่ต้อนเข้าไปคงหลงมองแต่ส่วนดีๆ กันทั้งนั้น
ระหว่างที่คุยกันรถของบ้านอุริวก็มายังจุดนัด...ผมประคองเธอไปส่ง
"ยุยโกะ"
ผมเปิดประตูพลางเรียกชื่อเธอ
“เธอน่ะยังเด็กนัก...”
มือขวาเอื้อมไปลูบหัวเธอช้าๆ
“ใช้มันให้คุ้มค่าเถอะ อย่ารีบเติบโตไปเลย”
เธอปัดมือผมออกก่อนจะก้าวเข้าไปในรถ
“กับเครื่องมือแล้วถ้าไม่พร้อมจะใช้ก็ไร้ค่าค่ะ”
ประตูรถปิดลง เสียงรถห่างออกไปเรื่อยๆ
ผมเอื้อมมือไปหยิบมือถือ สไลด์หน้าจอจนปรากฏชื่ออันแสนคุ้นเคย
พอเอาแนบหูรอสักพักก็มีเสียงตอบกลับมา
"หายากนะเนี่ยที่นายโทรมาแบบนี้ เรย์กะจังงอนหรือไงเอ่ยคุณพี่ชาย?"
"เดี๋ยวปั๊ดต่อย"
"ฮ่าๆๆ ไม่เอาน่า...แล้ว ว่าไง มีอะไรล่ะพ่อซิสคอน"
"มาที่เอบิสึทีสิ ในสิบนาทีนะ"
"เอ๋ ไปทำอะไรเล่า แถมไกลขนาดนั้นจะไปถึงได้ยังไงใน 10 นาที"
"แกอยู่ที่รปปงหงิไม่ใช่เรอะ?"
"หา...เฮ้ยยยยย รู้ได้ไงล่ะนั่น"
"สิบนาที"
"ว้อยยยยยยยย เข้าใจแล้ว ก็ได้ๆๆๆๆ ส่งสาวน้อยในอ้อมแขนกลับบ้านแล้วจะรีบบึ่งไปหาทันที"
"หกนาที เกินกว่านั้นเจอลงทัณฑ์"
"ไอ้คนใจยักษ์เอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย"
วางสายที่เต็มไปด้วยเสียงโหยหวนของอิมาริลงจากนั้นก็เดินทอดน่องไปร้านพุดดิ้งบรั่นดี
อืม...จะว่าไปเราเองก็ยังไม่มีเลขานี่นะ
อิมาริเองก็น่าจะเหมาะที่จะสอนงานดี แถมให้เจ้าชีกออย่างอิมาริเจอยาขมหน่อยก็ไม่เลว
ช่วงนี้รู้สึกว่าจะยุ่งกับขนมหวานอย่างเรย์กะบ่อยไปแล้วด้วย
เครื่องมือถ้าไม่พร้อมจะใช้ก็ไร้ค่าเหรอ...หึ ยัยเด็กอ่อนต่อโลกเอ๊ย
ทองที่ไม่ผ่านการร่อนมันก็ไม่ต่างจากเศษทราย
เพชรที่ไม่มีการเจียรไนก็ซื้อขายกันแบบก้อนคาร์บอน
ช่างอ่อนหัด อ่อนแอ อ่อนต่อโลก และไร้เดียงสา
แต่ก็ไม่ได้ไร้ค่าขนาดที่ไม่อยากลงทุนหรอก
ผมไม่ใช่ซิสคอน...
ดัวผมในตอนนี้สามารถพูดประโยคนี้ได้ด้วยความมั่นใจขึ้นมาอีกนิด
---------------------------------------------------------------------------------------
จบละเจ้าค่ะ
แถมรูปท่านพี่ในอิมเมจคนแต่ง อยากให้วาดรูปใครอีกมั้ยอ่ะ -3-
http://imgur.com/WzgPd9X
>>775-784 โอยยยยยย อ่านฟิคมึงแล้ววว ท่านพี่น่ากลัวมากก นี่มันยิ่งกว่าท่านเทพมาร เหมือนจะเป็นท่านมารมารอย่างเดียว ถ้าไม่ใช่เรย์กะนี่ตายสถานเดียว ขำมากตรงประโยคนี้ “แต่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงกล้าแนะนำหมอนั่น คุณชายเอ็นโจผู้แสนจะอ่อนหัดคนนั้นว่าเหมาะสมกับน้องสาวสุดที่รักของท่านทาคาเทรุต่างหาก” ย้ำ คุณชายเอ็นโจผู้แสนจะอ่อนหัด คุณชายเอ็นโจผู้แสนจะอ่อนหัด คุณชายเอ็นโจผู้แสนจะอ่อนหัด กับ น้องสาวสุดที่รักของท่านทาคาเทรุ น้องสาวสุดที่รักของท่านทาคาเทรุ น้องสาวสุดที่รักของท่านทาคาเทรุ ถ้าไม่หลงเรย์กะวันนี้จะไปรอวันไหน
อืมมม ไม่เคยสั่งแบล็คเวลเว็ตเลยมึงขาาา ความรู้ใหม่มากก ขอบคุณนะคะ
ว่าแต่นายตัวสำรองนี่บทน้อยเนาะ นึกว่าตอนนี้จะช่วยกันตามมาหาคนร้ายอีก ที่ไหนได้ โถโถ ตัดมาเป็นที่แกงค์สาว ๆ เรียนพิเศษไปเที่ยวแล้ว น่าสงสารจริง ๆ แต่อ๊ะ จะว่าไป บทก็ยังมากกว่าท่านเอ็นโจหรือเปล่าวะ? หลังๆ คาราบุกิบทเยอะชิบบบบ จะนึกว่าองค์พระเอกลงอยู่แล้ววว ... แม่งไม่ใช่ว่ากว่าจะรู้ตัวก็เสพย์ติดการออกไปตะเวนหาอาหารกินกับท่านเรย์กะนะโว๊ยยย แบบไม่มีคิโชวอินกินไม่อร่อยยย (ซึ่งจริง ๆ เป็นเพราะสาว ๆ คนอื่นไม่ยัดและชื่นชมบูชาอาหารเท่าท่านเรย์กะ เลยกินด้วยไม่สนุก แต่คาราบุกิเลเวทต่ำ คิดไปว่าเป็นเพราะชอบ ถถถถถถ)
เคยคิดฉากที่ยุยโกะแม่งฟาดปากกะท่านพี่นะ แต่มาอ่านของมึงแล้วฉากที่คิดใว้เหมือนเล่นขายของว่ะ ท่านพี่มึงเถื่อนฉิบหาย ยิ่งกว่ากำนันหวงลูกอีก แล้วบอกว่าสู้ท่านพ่อไม่ได้
กูเริ่มอยากรู้ละว่าท่านพ่อในสายตาคนนอกจะโฉดขนาดไหน
สมมติท่านพี่กับยุยโกะลงเอยกันตอนจบนี่ พวกมึงว่าจะเป็นยังไงวะ กูรู้สึกถึงความดำมืดลอยคลุ้งในบ้านคิโชวอินเลยว่ะ 55555555555
ดิบล่าสุดนี่ เขาเรียกชื่อจริงกันยังนะ?
>>775-784 ขอบคุณโม่งฟิค! มาทียาวสะใจมาก อ่านแล้วพวกสามเกลอในซุยรันนี่กลายเป็นเด็กๆ อ่อนโลกน่ารักไปเลยว่ะ พวกท่านพี่และยุยโกะอยู่กันอีกมิติหนึ่งไปแล้ว ความรู้เรื่องค็อกเทลมาตรึม นี่คือเพื่อให้อินกูต้องไปกินตามป่ะวะ 5555 แอบสะกิดใจตรงท่านอิมาริ หญิงก็ได้ชายก็ดีเลยเหรอวะ.... เดี๋ยวอ่านอีกรอบ แลดูต้องใช้เวลาขบคิดตาม
ถ้าท่านพี่เป็นเทพมาร แล้วครที่รับมือเทพมารแบบชิวๆได้อย่างท่านอิมาริล่ะมึงเป็นอะไร
กระทู้วิ่งมาถึง 800 แล้วนา ขอเสนอชื่อเบิกทาง!
ปราสาทไร้รักของท่านราชินี: งานเต้นรำหน้ากากราตรีของท่านราชินีที่ตามหาราชา และกลยุทธ์ชิงหัวใจของจอมมารที่หวังไม่ให้ราชินีมีราชาเป็นของตน!![ปราสาทหลังที่19]
.....คิดมาแบบกาวๆมึนๆ
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับใบประกาศหาคู่ของจักรพรรดินี (ใบประกาศโดนฉีกอีกแล้ว!! ครั้งที่ 19 แล้วนะ!!)
>>817 ตามการวิเคราะห์กูนะ
ท่านพี่ - คงไม่ฉีก แต่จะใช้เป็นเหยื่อล่อแล้วตามเก็บรายคน
ท่านพ่อ - ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง สั่งท่านพี่ไปก็จบแบบฟินๆ
จอมมาร - ไม่น่าจะฉีก เพราะถึงจะไม่เท่าท่านพี่แต่ก็น่าจะคิดเรื่องการกำจัดคู่แข่งได้ แต่ถึงฉีกก็คงเอาไปใส่กรอบบูชา
ริรินะ - หวงท่านเรย์กะแบบนี้ฝีมือยัยนี่ชัวร์
Q.E.D.
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับปฏิบัติการตามหาโจรขโมยหัวใจของสาวสายลับสองหน้า (น้ำยาขัดโต๊ะขวดที่ 19)
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการขี่โพนี่พุ่งทะยานข้ามแดนไปหาเจ้าชาย (หน้าตาสมัยศตวรรษที่ 19)
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับนิทานเล่าขาน "ใครจะเอาแหวนเงินไปสวมนิ้วนางเจ้าแม่" (มหกรรมการแข่งขันขว้างมีด เป้าหมายคือตาซ้ายข้างนั้น! ครั้งที่ 19)
โหวตแันนี้จ้าา//ชอบควาทย้อนยุคนี้อ่ะ555
ต่อฟิคเวียนในตำนาน >>>/webnovel/4218/154
-----------------------------
จากการแนะนำของท่านพี่ รู้สึกว่าบริษัทของนายตัวสำรองจะมาเป็นที่ปรึกษากฏหมายของโครงการที่กำลังจะทำร่วมกับเอ็นโจกรุ๊ป คอยดูแลเรื่องสัญญาและรักษาผลประโยชน์ทางฝั่งคิโชวอิน
แหม รักษากฎหมายงั้นเหรอ เป็นอาชีพที่เหมาะกับนายตัวสำรองดีจัง
“เรย์กะ ตัดสินใจได้รึยังว่าจะสั่งอะไร”
“งั้นเอาออเดิร์ฟเป็นข้าวตังหน้าตั้งกับยำส้มโอ ส่วนเมนคอร์สขอเป็นแกงมัสมั่นเนื้อ ต้มข่าไก่ กุ้งมังกรทอดขมิ้น แล้วของหวานเอาเป็นข้าวเหนียวมะม่วงก็แล้วกันค่ะ”
ฉันตัดใจจากแกงเขียวหวาน หมูผัดใบชะมวง และเป็ดซอสมะขามด้วยความยากลำบาก อะไรก็น่าทานไปหมด แต่ถ้าสั่งที่อยากทานทั้งหมดล่ะก็ น้ำหนักมันก็จะ...
อ๊ะ ขนมช่อม่วงกุหลาบนี่ดูน่าทานจัง จะสั่งเพิ่มดีมั้ยนะ แต่นายตัวสำรองอยู่ด้วยอ่า งั้นต้องสร้างภาพไว้ก่อนก็แล้วกัน
ท่านพี่สั่งตามที่ฉันพูดไป สั่งเพิ่มอีกนิดหน่อย แล้วก็ได้เวลาเข้าสู่การพูดคุยสัพเพเหระระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ
ฉันนั่งฟังท่านพี่ไปคุยกับนายตัวสำรองไป ยิ่งฟังก็ยิ่งได้ยินข้อมูลดีๆของนายตัวสำรองออกมาเรื่อยๆ ลูกชายคนเดียวของบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ใหญ่ติดอันดับ Top 5 ของประเทศบ้างล่ะ จับงานโครงการระดับร้อยล้านพันล้านบ้างล่ะ ทุกย่างก้าวดูมีแต่ความจริงจังมั่นคงสุดๆอ่ะค่ะ
นายตัวสำรองค้อมหัวรับคำชมของท่านพี่ พูดเสียงเรียบๆแบบถ่อมตัวว่ายังไม่เก่งขนาดนั้น
“ผมเองก็ต้องเรียนรู้อีกมากครับ”
“อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยครับ คนที่มีความสามารถก็ต้องได้รับคำชมสิ” ท่านพี่หัวเราะน้อยๆ “คุณมิซึซากิเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับเรย์กะสินะ น้องสาวของผมไปสร้างความเดือดร้อนให้บ้างรึเปล่า ถ้ายังไงก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ”
“แหม ท่านพี่ล่ะก็…”
“ไม่หรอกครับ คุณคิโชวอินเป็นนักเรียนดีเด่น ได้รับคำชมจากอาจารย์มากมาย ถึงจะเป็นสมาชิกของ Pivoine แต่ก็ให้ความช่วยเหลือสภานักเรียนมาเป็นอย่างดีตลอด ทางผมต่างหากที่ต้องขออภัยที่ได้รบกวนคุณคิโชวอินไว้มากขนาดนั้น”
ว่าแล้วนายตัวสำรองก็ค้อมหัวให้ฉัน อุหวา ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ
“ไม่ได้รบกวนอะไรเลยค่ะ ฉันเองต่างหากที่เต็มใจจะช่วยเหลือ การให้ความร่วมมือกับสภานักเรียนก็เป็นสิ่งที่นักเรียนซุยรันพึงกระทำไม่ใช่เหรอคะ”
“นั่นสินะ” ท่านพี่พูดยิ้มๆ
อาหารที่สั่งไปมาเสิร์ฟพอดี แต่ละอย่างใส่มาในชามกระเบื้องใบเล็กๆสีน้ำเงินเข้มบนถาดไม้ทรงสูงที่ดูสง่างาม พนักงานเสิร์ฟแนะนำว่าการเสิร์ฟแบบนี้เรียกว่าขันโตก
ยอดไปเลยค่ะ อาหารบนโลกนี้ช่างซับซ้อน ฉันเองก็ต้องเรียนรู้อีกมาก และเพื่อเป็นการเรียนรู้ เพราะฉะนั้นจะทานแล้วนะคะ
อร่อย อร่อยจังเลยค่ะ
ข้าวตังหน้าตั้ง น้ำจิ้มมีเนื้อกุ้งหวานๆเข้ากับซอสที่หวานๆเค็มๆมันๆ ทานคู่กับข้าวตังที่กรุบกรอบ มีผักชีด้วย ยอดเลย ยำส้มโอก็เปรี้ยวอมหวาน มีรสเผ็ดนิดหน่อยให้พอตื่นเต้น
แล้วเมนคอร์สอย่างมัสมั่นเนื้อก็เข้มข้น รสชาติของเครื่องแกงและกะทิเข้ากันได้ดีกับเนื้อที่หั่นมาได้พอดีคำ ต้มข่าไก่นี่ก็อร่อยชะมัดเลยค่ะหวานมันจากกะทิและเนื้อไก่ กุ้งมังกรทอดขมิ้นก็หอมเครื่องเทศ เขาเรียกว่าอะไรนะ ตะไคร้กับใบมะกรูดอย่างนั้นเหรอ อื้ออื้อ มีกระเทียมด้วยใช่มั้ยนะ
ไว้วันหลังนัดซากุระจังมาทานข้าวที่นี่ดีกว่า
ฉันปล่อยให้ท่านพี่กับนายตัวสำรองคุยกันไป แล้วหันมาจัดการกับข้าวเหนียวมะม่วงอย่างจริงจังคร่ำเคร่ง อร่อยจัง แต่ได้ยินว่ากะทิมีคอเรสเตอรอลสูง กินมากไปมันก็จะ....
ช่างมันละกัน กินๆไปก่อน เดี๋ยวไปวิ่งเอาออกทีหลัง
“เออใช่ เรย์กะ” ท่านพี่หันหน้ามาทางฉัน “จากนี้คุณมิซึซากิจะเข้ามาที่บริษัทเรา สัปดาห์ละสองครั้ง วันอังคารกับวันศุกร์ ยังไงก็ฝากด้วยล่ะ”
“ได้เลยค่ะ ท่านพี่” ท่านประธานมอบหมายงานมาให้แล้ว พนักงานอย่างฉันก็ต้องรับคำสั่ง
“ส่วนคุณมิซึซากิ ต้องการอะไรก็บอกได้เลยนะ จะข้อมูลหรืออะไรก็ถามเรย์กะได้”
“ขอบคุณมากครับ” นายตัวสำรองค้อมหัวให้
เอ วันอังคารกับวันศุกร์อย่างนั้นเหรอ....วันนี้วันจันทร์ งั้นก็พรุ่งนี้แล้วน่ะสิ
.
.
.
จบมื้อเที่ยง ฉันกับท่านพี่ก็กลับบริษัท ระหว่างทางท่านพี่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะอาหารร้านนั้นอร่อยจริงๆด้วยสินะคะ แหม ดีจัง
“ทีแรกนึกว่าเรย์กะไม่ค่อยสนิทกับคนของสภานักเรียนซะอีก แต่เห็นดูคุ้นเคยกันอยู่ก็ค่อยวางใจขึ้นมาหน่อย”
“ก็ไม่เชิงไม่สนิทหรอกนะคะ” ก็เข้าขากันได้ดีตามประสาผู้ชื่นชอบการชมรายการทีวีไดเร็คท์นั่นล่ะค่า
“เหรอ” ท่านพี่มองฉันยิ้มๆ “แล้วเรย์กะคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“มิซึซากิคุงน่ะเหรอคะ ก็เป็นคนจริงจัง หนักแน่น เอาการเอางาน เก่งกาจ แล้วก็ตรงไปตรงมาค่ะ”
“อือฮึ” ท่านพี่พยักหน้า “ถ้ายังไงก็ฝากดูแลรับรองเขาด้วยล่ะ”
“ค่า”
.
.
.
.
นายตัวสำรองมาเริ่มงานในวันรุ่งขึ้นจริงๆอย่างที่ท่านพี่บอก มาถึงก็หอบกระเป๋าที่น่าจะอัดแน่นไปด้วยเอกสารสัญญาและตำรากฎหมายเล่มหนาปึ้ก บรรยากาศดูจริงจังสุดๆจนไม่กล้าแหย่เล่นเลยล่ะค่ะ
ฉันนำทางนายตัวสำรองไปที่ต่างๆในบริษัท แนะนำให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รู้จัก แล้วก็พาไปที่ห้องทำงานที่ท่านพี่ให้คนมาจัดไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว
ห้องทำงานของนายตัวสำรองอยู่ชั้นเดียวกับฉันเลยค่ะ เหตุผลคือจะได้ไปมาหาสู่กันสะดวก เวลาจะปรึกษางานจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นเดินลงให้มันลำบาก
ฉันชี้ให้ดูกระดาษที่แปะอยู่กับโต๊ะทำงานให้นายตัวสำรองดู เป็นกระดาษบอกเบอร์โทรศัพท์ภายใน สองเบอร์แรกเป็นเบอร์ต่อสายตรงเข้าห้องทำงานของฉันหรือของท่านพี่ นายตัวสำรองฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกๆว่าเข้าใจแล้ว และเริ่มต้นทำงานทันที
เอาจริงเอาจังไม่เปลี่ยนเลยน้า
ฉันถอยออกมาแบบเงียบๆ ปล่อยนายตัวสำรองทำงานไป ฉันเองก็ต้องเริ่มงานของฉันบ้างล่ะค่ะ
มื้อเที่ยง ท่านไอระเดินเข้ามาหาฉันที่ห้องทำงาน ชวนไปทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆนี้ ฉันกำลังจะลุกขึ้นแต่นึกขึ้นได้ว่านายตัวสำรองมาทำงานแล้ว
“ขอชวนอีกคนไปด้วยได้รึเปล่าคะ”
“ตามสบายเลยจ้า”
“งั้นรอเดี๋ยวนะคะ”
ฉันกดโทรศัพท์ไปที่ห้องนายตัวสำรอง พอฝั่งนั้นรับสายฉันก็รีบพูด
“มิซึซากิคุง พวกฉันกำลังจะออกไปทานมื้อเที่ยง ถ้ายังไงก็ไปด้วยกันมั้ยคะ”
นายตัวสำรองตอบตกลง ฉันก็เลยนัดให้ไปเจอกันข้างล่าง พอไปถึงก็เจอนายตัวสำรองนั่งคอยอยู่ตรงล็อบบี้อยู่แล้ว พวกพนักงานสาวๆที่เดินผ่านไปผ่านมามองกันเหลียวหลังเลยล่ะค่ะ
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ”
“ไม่เป็นไร” นายตัวสำรองพยักหน้า หันไปมองท่านไอระที่เดินตามหลังฉันมา “เอ่อ คุณ…”
“มินาสึกิ ไอระค่า” ท่านไอระแนะนำตัวเองอย่างร่าเริง “กำลังเรียนรู้งานบริหารจากคิโชวอินกรุ๊ปอยู่ค่ะ”
“มิซึซากิ อาริมะครับ” นายตัวสำรองก้มศีรษะให้อย่างอ่อนน้อม “มาเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคิโชวอินกรุ๊ปตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
“เรื่องนั้นคุณทาคาเทรุเล่าให้ฟังแล้วล่ะ” ท่านไอระโค้งหัวรับพลางยิ้มให้ “ขอฝากตัวด้วยเช่นกันนะคะ”
พวกเราเดินข้ามถนนมาที่ร้านอาหารจีนที่เปิดมานานพอสมควร ในร้านคนแน่นขนัด แต่ท่านไอระโทรมาจองโต๊ะไว้ล่วงหน้าแล้วจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
เมื่ออาหารมาถึงก็ได้เวลาศิษย์เก่าของซุยรันที่จะเม้ามอย ท่านไอระถามข้อมูลนายตัวสำรองเสียละเอียดยิบ นายตัวสำรองก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดบัง ฉันเองก็ช่วยเสริมบ้างบางจุด แต่ส่วนใหญ่จะง่วนอยู่กับเข่งติ่มซำมากกว่า
นายตัวสำรองถือบิลไปจ่าย แม้ฉันกับท่านไอระจะปฏิเสธ แต่เขาก็บอกว่ามื้อนี้จะเลี้ยงเอง แล้วก็เดินฉับๆไปที่แคชเชียร์ จัดแจงจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ
แหม เป็นสุภาพบุรุษจังเลยค่ะ
พวกฉันจะไปทานขนมกันต่อ แต่นายตัวสำรองปฏิเสธ บอกว่ามีงานค้างอยู่ต้องรีบตรวจสอบให้เสร็จ เย็นนี้จะได้เอาไปคุยกับท่านพี่ต่อ ทั้งที่เวลาพักเหลือตั้งเยอะแท้ๆ เอาการเอางานเหลือเกินค่ะ
ฉันกับท่านไอระมานั่งกันต่อที่ร้านเค้ก สั่งขนมกับเครื่องดื่มคนละอย่าง ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการละเลียดฟองนมของลาเต้ ท่านไอระก็เอ่ยขึ้น
“เป็นคนจริงจังเอาการเอางานจังเลยเนอะ” ท่านไอระเขี่ยน้ำแข็งในแก้วโซดาเล่นๆ “น่าทึ่งมากเลยล่ะ”
“มิซึซากิคุงเป็นคนหนักแน่นจริงจังมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ”
“เรย์กะจังดูสนิทกับอาริมะคุงดีจัง นึกว่าคนของ Pivoine จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสภานักเรียนซะอีก”
“สมัยเรียนฉันเคยเป็นกรรมการนักเรียนมาก่อน ก็ได้เจอกับมิซึซากิคุงบ่อยๆน่ะค่ะ ก็รบกวนเขาไว้หลายอย่างเหมือนกัน”
ก็อย่างตอนไปไล่จับคนร้ายที่เขียนโต๊ะวาคาบะจัง หรือเม้ามอยกันเรื่องแคตาล็อคสินค้าจากทีวีไดเร็คท์อะน้า
“ชูสุเกะรู้เข้าหึงแย่”
“เอ๋” ไหงชื่อเอ็นโจโผล่มาในบทสนทนาอีกแล้วล่ะยะ
“ช่วงนี้เจ้าตัวก็ไม่อยู่ด้วย เห็นบอกจะไปเยอรมันตั้งสองเดือน กว่าจะกลับมาก็น่าจะเลยช่วงคริสต์มาสไปแล้ว” ท่านไอระเท้าคางมองฉันยิ้มๆ “น่าเสียดายเนอะที่ไม่ได้ฉลองคริสต์มาสด้วยกัน”
“เอ๋!?” เอ็นโจไปเยอรมัน....อะไรกันยะ ไม่เห็นบอกกันบ้าง “งั้นเหรอคะ”
“อื้อ เพิ่งบอกเมื่อสองวันก่อนเอง ตอนนี้คงไปถึงที่นั่นแล้วล่ะ”
แล้วท่านไอระเสียดายที่ไม่ได้ฉลองคริสต์มาสกับอีตานั่นด้วยเหรอคะ ….เฮอะ ไม่เห็นจะน่าเสียดายตรงไหน
ฉันจ้วงเค้กส้มเข้าปากอย่างหงุดหงิด บรรยากาศกำลังดีๆแท้ๆ แต่ชื่อของเอ็นโจก็ทำให้เสียอารมณ์ไปซะหมด แอบไปเมืองนอกเมืองนาโดยไม่บอกแบบนี้ก็คงไปหาสาวสวยผมทองตาฟ้าแหงๆ
เชอะ อยากไปไหนก็ไปเถอะย่ะ ตามสบายเลย
แม้จะมาทำงานที่นี่สัปดาห์ละสองวัน แต่ทุกคนในบริษัทก็รู้จักนายตัวสำรองกันหมด มีสาวๆแวะเวียนมาเดินผ่านหน้าห้องทำงานไม่ขาดสาย ก็นะ นายนี่ก็เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนี่นา
บางวันฉันก็ได้ไปนั่งทานข้าวกลางวันกับนายตัวสำรองสองคน เพราะท่านไอระไม่ว่าง บางวันท่านพี่ก็เรียกไปร่วมโต๊ะด้วย แล้วก็ได้เจอผู้บริหารจากที่อื่นๆอีก ท่านพี่ก็แนะนำนายตัวสำรองให้ได้รู้จักเหมือนกัน
นายตัวสำรองบุคลิกน่าประทับใจ ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน เป็นที่เข้าตาของผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนจนได้รับคำชมมากมาย แต่ก็ไม่เคยเหลิงไปกับคำชมนั่นสักนิด นายตัวสำรองก็ยังเป็นคนเดิมที่ฉันเคยรู้จักอยู่นั่นเอง ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ตอนฉันเอาแฟ้มเอกสารไปให้ ก็เห็นนายตัวสำรองใช้ผ้าขี้ริ้วที่หน้าตาดูคุ้นๆเช็ดถูโต๊ะตัวเองอยู่
“นั่นผ้าเมจิคัลรุ่นใหม่ใช่มั้ยคะ”
“อ๋อ ใช่ พอดีเห็นเขาโฆษณาว่าผ้ารุ่นใหม่ ถึงจะซักแล้วก็ไม่เสื่อมคุณภาพแบบรุ่นก่อนๆก็เลยลองสั่งมาใช้ดู”
นายตัวสำรองดูภูมิใจเสนอโต๊ะที่เป็นมันวับนี้มาก แหม มิน่าล่ะ แม่บ้านถึงมาพูดให้ฟังว่าโต๊ะสะอาดเอี่ยมอ่องทั้งที่ยังไม่ได้เช็ดถู ทุกจุดเนี้ยบนิ้งจนแทบไม่มีอะไรให้ทำเลย
“ฉันเองก็ลองใช้แล้วเหมือนกันค่ะ สมกับที่คุยไว้จริงๆ”
“มาตรฐานอเมริกาก็แบบนี้ล่ะนะ”
“แต่จริงๆมิซึซากิคุงไม่ต้องมาเช็ดโต๊ะแบบนี้ด้วยตัวเองก็ได้นะคะ ประเดี๋ยวแม่บ้านของที่นี่จะตกงานไปซะก่อน” ฉันเอ่ยแซว
“ก็..ก็แค่อยากลองประสิทธิภาพสินค้าดูน่ะ” นายตัวสำรองกระแอม ดูท่าทางจะเขินอยู่หน่อยๆ “สั่งมาแล้วก็ต้องใช้สิ”
พอฉันแนะนำให้สั่งน้ำยาเช็ดกระจกมาลองดู นายตัวสำรองก็รีบไปสั่ง แล้วเอามาพูดถึงประสิทธิภาพทันที ดูจะทึ่งเอามากๆด้วย
“รู้สึกกระจกในห้องทำงานจะดูใสขึ้นมาทันตาเห็นเลยล่ะ”
“แหม ดีจังเลยนะคะ”
ระหว่างมื้อกลางวัน นายตัวสำรองก็เล่าถึงตอนที่ไปอยู่ต่างประเทศให้ฟังด้วย ดูเหมือนจะได้ดูโฆษณาสินค้าทีวีไดเร็คท์ของทางนั้นเช่นกัน ก็เลยลองสั่งกรรไกรตัดกิ่งไม้แบบยืดได้สามตอนมาใช้ทำสวนด้วย แต่รู้สึกจะไม่เวิร์กเท่าไหร่ เพราะใช้งานยาก
ฉันนั่งเม้ามอยเรื่องครีมลบรอยขูดขีดบนโต๊ะกับนายตัวสำรองอย่างออกรส มีโปรซื้อ 1 แถม 1 ฉันก็คิดว่าจะสั่งมาลองใช้อยู่เหมือนกัน นายตัวสำรองก็แนะนำเครื่องทำน้ำแข็งไสแบบรวดเร็วให้ด้วย
อุเฮี้ยว มีสินค้าน่าสนใจเต็มไปหมดเลย
.
.
.
วันแล้ววันเล่าผ่านไปเช่นนั้น แล้ววันคริสต์มาสก็ใกล้เข้ามา ฉันก็พบปัญหาอีกแล้วค่ะ
คริสต์มาสมันเป็นวันของคู่รัก แต่จนเวลาล่วงเลยมาถึงป่านนี้ ฉันยังไม่เคยใช้ช่วงเวลานี้กับใครเลยไม่ใช่รึไงค้าาาา!!!
ท่านพี่ไม่อยู่ที่บริษัทตั้งแต่บ่าย ส่วนท่านไอระตอนเลิกงานก็รีบกลับเลย คงจะมีนัดเดท ลูกน้องสาวๆในแผนกก็ทยอยกันกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เหลือฉันนั่งเหี่ยวๆอยู่คนเดียวในห้องทำงาน
วันนี้วันศุกร์ด้วยนี่นะ เฮอะ คริสต์มาสอีฟที่ตรงกับวันศุกร์ง้านเหรอ ดูจะเป็นวันหยุดที่สนุกสนานจังเลยนะคะ คริสต์มาสอะไรกันว้า เจ้าพวกไม่นับถือในพระพุทธศาสนา ขอให้หิมะตกลงมาถล่มจนการจราจรเป็นอัมพาตไปเลยเถอะ
นั่งเซ็นเอกสารจนมาถึงแฟ้มสุดท้าย เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นห้องของนายตัวสำรองยังเปิดไฟอยู่ หนุ่มป็อบอย่างหมอนี่ไม่มีนัดเดทกับใครเขารึไงนะ
ฉันปิดแฟ้ม บิดขี้เกียจแล้วเดินออกจากห้องทำงาน เคาะประตูห้องนายตัวสำรองก็ได้รับคำตอบว่า “เชิญครับ” เลยเปิดเข้าไป
“ยังไม่กลับอีกเหรอคะ”
“ว่าจะกลับแล้วล่ะ แต่ขออ่านตรงนี้ให้เข้าใจก่อน”นายตัวสำรองเงยหน้าขึ้นมองแป๊บเดียวแล้วก็ก้มหน้าลงไปอ่านต่อ แต่ก็ชะงักไปนิดหน่อย ฉันไม่ปล่อยให้กริยานั้นรอดพ้น รีบซักถามทันที
“มีอะไรงั้นเหรอคะ”
“เปล่า แค่คิดว่าเธอยังไม่กลับเหรอ”
“ฉันก็ต้องเคลียร์งานเหมือนกันค่ะ”
“เหรอ” นายตัวสำรองเลิกคิ้ว “นึกว่าเธอมีนัดไปกับเอ็นโจซะอีก”
“เอ๋!!!” ฉันกระพริบตาปริบๆ “ทำไมฉันต้องไปกับท่านเอ็นโจด้วยล่ะคะ”
“อ้าว ก็พวกเธอคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ห๊ะ!!!!” ฉันอ้าปากค้างทันที พอตั้งสติได้ก็รีบพูด “เปล่านะคะ ฉันกับท่านเอ็นโจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด มิซึซากิคุงไปฟังเรื่องเหลวไหลพวกนั้นมาจากไหนน่ะ”
“เอ้า ใครๆเขาก็รู้กันทั่ว”
“ไปกันใหญ่แล้วค่ะ ไม่จริงเลยนะคะ”
หนอย ข่าวลือพวกนั้นมาจากไหนกันห๊ะ!! ฉันกับเอ็นโจไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อยนะยะ แค่เพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้นเอง
ฉันฉุนเฉียวนักล่ะที่ได้ยินข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงแล้วถูกเผยแพร่ไปผิดๆ แต่นายตัวสำรองพยักหน้าเนิบๆ ทำเหมือนเข้าอกเข้าใจแล้วก็ก้มลงไปอ่านเอกสารต่อ
เข้าใจอะไรของนายยะ ห๊า!!
ฉันกระแทกเท้ากลับห้องทำงานตัวเองแบบฉุนเฉียว เตรียมติดต่อหาเซริกะจังหรือคิคุโนะจังให้ช่วยแก้ข่าว แต่ยังไม่ทันจะหยิบมือถือมาพิมพ์ส่งเมล์ นายตัวสำรองก็เปิดประตูห้องทำงานฉันเข้ามาพอดี
“เออ คิโชวอิน เธอหิวรึเปล่า” นายตัวสำรองถามขึ้น “ฉันว่าจะลงไปกินอะไรที่ร้านใกล้ๆนี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ จะไปด้วยกันมั้ย”
“ขยันเกินไปแล้วนะคะ”
“ก็คุณทาคาเทรุจ้างซะแพงนี่นะ ก็ต้องทำงานให้คุ้มกันล่ะ”
ฉันมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็จะหนึ่งทุ่มแล้วด้วย ที่จริงก็กะจะกลับบ้านไปทานข้าวอะนะ แต่ก็ได้เวลาอาหารแล้ว ช่วยไม่ได้แฮะ งั้นทานนอกบ้านไปก็แล้วกัน
“งั้นเอาเป็นร้านราเมงแถวๆนี้ก็ได้ค่ะ”
“ราเมงงั้นเหรอ”
“ทำไมคะ”
“เปล่า แค่คิดว่าคุณหนูแบบเธอไม่น่าจะเข้าร้านพวกนี้”
“แหม จะดูถูกกันเกินไปหน่อยแล้วนะคะ” ฉันเชิดหน้าขึ้นหน่อยๆ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
ฉันคว้ากระเป๋าสะพายที่เก็บเตรียมไว้ขึ้นมาถือ กะว่าทานเสร็จก็กลับบ้านเลย นายตัวสำรองไม่ได้เอากระเป๋าไปเพราะจะกลับมาทำงานต่อ
ระหว่างเดินลงไปด้านล่างฉันก็อธิบายถึงแรงค์กิ้งร้านราเมงแถวๆนี้ให้นายตัวสำรองฟัง หมอนั่นดูจะทึ่งมากที่ฉันรู้ละเอียดขนาดนี้ แล้วฉันก็อธิบายถึงซิกเนเจอร์ของแต่ละร้านว่าเป็นอย่างไรด้วย
“งั้น ฉันลองราเมงซุปเกลือบ้างดีกว่า”
“ฉันว่าซุปเต้าเจี้ยวก็อร่อยนะคะ”
“แต่โชยุก็ฟังดูไม่เลว”
“หมูชาชูของร้านที่กำลังจะไปก็อร่อยมากเลยค่ะ หอมซอสถั่วเหลืองที่ใช้หมักแล้วก็มีรสหวา….เอ๋!!.....”
คำพูดฉันชะงักไปเมื่อเห็นรถที่ดูคุ้นๆตาจอดอยู่ตรงทางออกของบริษัท เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ
ราวกับจะตอบคำถามฉัน เพราะประตูรถฝั่งคนขับเปิดออก ขายาวๆในกางเกงแสลคสีดำสนิทก็ก้าวออกมาจากข้างใน ก้าวเท้ามาหาฉัน แย้มรอยยิ้มที่สุดแสนจะคุ้นตาให้ แต่ฉันรู้สึกเย็นยะเยือกกับรอยยิ้มนั่นสุดๆ
“สายัณห์สวัสดิ์ครับ คุณเรย์กะ”
เอ็นโจ!!!!
--------------------------------------
นักต้มตุ๋นปะทะผู้รักษากฎหมาย ใครจะอยู่ใครจะไปเชิญต่อได้ตามสบาย
>>831-834 กรี๊ดดดด วันนี้วันดีจังค่ะ ต่อจากฟิคท่านพี่ก็มีฟิคเวียนมาต่อ กับนายตัวสำรองก็ยังเป็นสมาคมแม่บ้านซุยรันเหมือนเคยเลยนะคะ 55555 โอ๊ย เซ็ทติ้ง หล่อ รวย มีความรับผิดชอบ นิสัยดีทุกอย่าง แต่เข้าสมาคมแม่บ้านและคนสวนนี่มันทำใจลำบากจริงๆ ปกป้องท่านเรย์กะจากนักต้มตุ๋นให้ได้นะ นายตัวสำรอง!
ป.ล. อธิบายอาหารได้น่ากินมาก แฉรด ถ้าเป็นท่านเรย์กะตอนไดเอ็ทอาจจจะสั่งแต่สลัดผักชีก็ได้นะ เห็นว่าฮิตกันอยู่
>>845 แถมเป็นคืนคริสมาสอีฟที่เหล่าคู่รักมักใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
นึกถาพเอ็นโจเร่งเคลียร์งานที่เยอรมันจนเสร็จก่อนกำหนด เพื่อกลับมาเซอร์ไพรซ์ท่านเรย์กะคืนวันคริสมาสต์อีฟ ดีไม่ดีจองร้านอาหารเพื่อพาท่านเรย์กะไปกินข้าว2ต่อ2
แล้วพอลงเครื่องบินต่อรถมาถึงหน้าบริษัทคิโชวอิน เจอท่านเรย์กะเดินคู่มากับอาริมะเพื่อเตรียมไปกินข้าวเย็นด้วยกัน
ตอนหน้าจอมมารจุติแน่นอน
>>851 วิธีลงรูป http://imgur.com/a/DbbEi
ต่อฟิคเวียนจ้าาาาาา >>831-834 ชอบการปรากฏตัวเอ็นโจตอนท้ายมาก มือสั่นต้องรีบแต่งต่อ ฮือ T///T
ทำไมเอ็นโจถึงมาอยู่ที่นี่ได้!! ไหนท่านไอระบอกว่าอยู่เยอรมันไงคะ? โกหกกันเหรอ!?? ในระหว่างที่ฉันกำลังอึ้งกับการปรากฏตัวของเอ็นโจ สองคนนั้นก็ผงกหัวทักทายกัน เอ็นโจเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
"กำลังจะไปไหนกันเหรอ" ......ถึงแม้พูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มแบบนั้นทำไมมันน่ากลัวอย่างนี้ละคะ ท่านพี่ช่วยน้องด้วย
"จะไปกินราเม็งกันน่ะ พอดีฉันกับคิโชวอินเลิกงานดึกทั้งคู่เลยจะไปหาอะไรกินแล้วค่อยกลับมาทำงานกันต่อ"
"อ๋อ.. คิโชวอินกรุ๊ปนี่งานหนักเอาเรื่องนะเนี่ย สนใจมาทำที่เอ็นโจกรุ๊ปมั้ยล่ะ" เดี๋ยวเถอะ เอ็นโจ! จะมาแย่งพนักงานของคิโชวอินกรุ๊ปไปง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะ ที่มาตามป้วนเปี้ยนใกล้ท่านไอระบ่อยๆก็เพราะอยากได้คนเก่งๆไปทำงานด้วยใช่มั้ยล่ะ อย่ามาแย่งคนของท่านพี่ไปนะ! ดูท่าเอ็นโจจะสังเกตเห็นสายตาอาฆาตแค้นของฉันเลยหันมายิ้มให้ อ๊ะ ไม่ได้ๆต้องเก็บอาการ หลักการสำคัญในแวดวงธุรกิจคือการเก็บอารมณ์ค่ะ จะให้ฝั่งตรงข้ามรู้ไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่
"นึกไม่ถึงว่านายจะมีมุมตลกแบบนี้กับเขาด้วย แต่มาก็ดีแล้ว พาคิโชวอินไปสิ คริสต์มาสทั้งที จะปล่อยให้ใช้เวลาแบบนี้คนเดียวได้ไง" ทำไมฉันรู้สึกว่าคิ้วเอ็นโจกระตุกหน่อยๆ..
"แล้วมิซึซากิคุงไม่ไปไหนเหรอ"
"ไม่ล่ะ ฉันเดตกับงานอยู่" ฉันกับเอ็นโจเผลอหันมามองหน้ากันแวบหนึ่ง ในใจฉันอดสงสารนายตัวสำรองไม่ได้ โถ... วันแบบนี้ยังต้องเดตกับงาน
"งั้นฉันไปละ" นายตัวสำรองโบกมือลาแล้วรีบเดินหนีไป ก่อนที่ฉันจะตั้งสติทันก็พบว่าตอนนี้เหลือแค่ฉันกับเอ็นโจซะแล้ว เอ๋----
"เชิญครับ คุณคิโชวอิน" เอ็นโจเปิดประตูรถและเชื้อเชิญให้ฉันขึ้นด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ดูไม่น่าไว้ใจสุดๆอะ!
ทะ ทำไงดี ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยไปฉลองวันคริสมาสต์กับผู้ชายสองต่อสองเลยนะคะ ทางนั้นจะคิดว่าฉันด้อยประสบการณ์หรือเปล่า กรี๊ด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาวิธีทำให้ดูโปรเฟสชั่นแนลในการออกเดตวันคริสต์มาสทันไหมคะ เอ๊ะ แต่นี่ไม่ใช่เดตนี่ งั้นคงไม่ต้องเกร็งมากหรอก เอ็นโจอาจจะแค่ผ่านมาที่บริษัทแล้วไม่มีใครเลยมาชวนไปกินข้าวด้วยกันเฉยๆ ใจร่มๆนะตัวฉัน
"จะไปกินราเม็งกับมิซึซากิคุงหรือครับ คุณคิโชวอิน" กรี๊ด จะพูดอะไรก็ให้สุ้มให้เสียงหน่อยสิคะ!
"เอ่อ.. ค่ะ"
"แหม งั้นเหรอ แต่มากับผมแล้ว น่าเสียดายจัง"
"แหม ก็ไม่ได้เสียดายอะไรหรอกนะคะ"
"งั้นเหรอ แล้วถ้าวันนี้ไม่ไปกินราเม็ง คุณคิโชวอินอยากไปไหนเหรอ"
"หืม.. ไม่ไปกินราเม็งเหรอคะ" คริสต์มาสทั้งทีฉันก็อยากไปร้านอะไรน่ารักๆอย่างไปร้านขนมหวาน คาเฟ่อะไรงี้นะ แต่...
"งั้นไปร้าน ****** กันไหมครับ" เอ๋ ร้าน ****** นี่มันขึ้นชื่อว่าร้านขนมที่มีคนเข้ามากสุดในวันคริสต์มาสนี่คะ ฉันอยากไปนานแล้วแต่ถ้าไปคนก็ต้องรู้แน่เลยว่าไม่มีใครไปด้วยเลยต้องทนเก็บความเจ็บช้ำน้ำใจมาหลายปี
"แต่ท่านเอ็นโจไม่ชอบทานของหวานนี่คะ.."
"เอ๊ะ จำได้ด้วยเหรอ ดีใจจัง" อุ๊... "ก็ไม่เชิงว่าไม่ชอบขนาดนั้นหรอกนะ ถ้าหวานไม่มากก็ทานได้เรื่อยๆแหละ อีกอย่าง.."
"อีกอย่าง?"
"ถ้าคนที่ไปด้วยชอบจะไปไหนก็น่าไปหมดแหละครับ :)" อุเงี้ยว ที่ไปเยอรมันนี่ก็ไปฝึกสกิลเตรียมเป็นหัวหน้าหมูบ้านคาสโนว่าเหรอคะ ประตูเมืองหมูบ้านไร้รักโดนเขย่าอย่างรุนแรง กรี๊ด ไม่ใช่นะคะ ที่หน้าร้อนนี่เป็นเพราะรถตระกูลเอ็นโจแอร์เสียแน่ๆเลยค่ะ หัดตรวจเช็คสภาพรถบ้างคะ!
อยากเห็นจอมม่รยันแตกอ่าาาา อย่าถอยง่ายๆ สิทั่นรัชทายา---
โธ่ ทำไมอาริมะรีบหนีไปล่ะ กูเปลี่ยนเรือแล้วนะ เบื่อจอมมารที่ชอบโผล่มาแกล้งท่านเรย์กะ ตุ๋นจนเปื่อยตลอดเวลา ไม่เปิดทางเลือกให้นางเลย
บ้าจริงอาริมะ เราอุตส่าห์เชียร์นาย เจาะเรือตัวเองทำไม นายต้องช่วยท่านเรย์กะจากนักต้มตุ๋นก่อนสิ555555
ว่าแต่ เดทคริสต์มาสนี่ก็ทำให้นึกถึงฟิคกาลครั้งหนึ่งในฝัน... โม่งฟิคยังอยู่มั้ยเนี่ย 5555
>>863 จะมีspin off เป็นเรือ อาริมะก็ได้น้า ลองจิตนาการคู่รักพ่อบ้านแม่บ้าน ดูสิ
เรย์กะ:"คุณค่ะ ของ...ที่ซื้อมาจากอันนี้ใช้ดีจังเลย ขอบคุณนะคะ"
อาริมะ:"ไม่เป็นไรหรอก พอดีเห็นในช่อง...พอดีน่ะ" ขยับแว่นแล้วก็ ท่าซึนนิดๆ
ไม่ก็โมเม้น ช่วยกันทำงานบ้าน งานสวน อาริมะไล่เรย์กะออกจากครัวอะไรงี้
กริ๊ดดด อาริมะกลับมาก่อนนนน
คือฟิคดีงามจนอยากให้นายตัวสำรองดันให้คุณนักต้มตุ๋นตกกระป๋องเลย
สรุปรายชื่อที่เสนอชื่อกระทู้ใหม่
>>814 ปราสาทไร้รักของท่านราชินี: งานเต้นรำหน้ากากราตรีของท่านราชินีที่ตามหาราชา และกลยุทธ์ชิงหัวใจของจอมมารที่หวังไม่ให้ราชินีมีราชาเป็นของตน!![ปราสาทหลังที่19]
>>815 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับใบประกาศหาคู่ของจักรพรรดินี (ใบประกาศโดนฉีกอีกแล้ว!! ครั้งที่ 19 แล้วนะ!!)
>>819 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับปฏิบัติการตามหาโจรขโมยหัวใจของสาวสายลับสองหน้า (น้ำยาขัดโต๊ะขวดที่ 19)
>>821 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการขี่โพนี่พุ่งทะยานข้ามแดนไปหาเจ้าชาย (หน้าตาสมัยศตวรรษที่ 19)
>>825 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับนิทานเล่าขาน "ใครจะเอาแหวนเงินไปสวมนิ้วนางเจ้าแม่" (มหกรรมการแข่งขันขว้างมีด เป้าหมายคือตาซ้ายข้างนั้น! ครั้งที่ 19)
เฮลโหลๆ นี่โม่งที่ขอต่อฟิคเวียนเองนะ พอแต่งๆดูแล้วท่าจะยาวววววน่าดู อยากจะให้ตัดตอนลงดีไหมเอ่ย เพราะกระทู้ใกล้เต็มแล้วด้วย
>>834 >>857 อ้าวววว อาริม้าาาา ทำไมถอดใจไปง่ายๆ แบบนี้ แหม เสียแรงท่านพี่อุตส่าห์ชงให้ซะขนาดนี้ จะไปยอมแพ้ทางเอ็นโจทำม๊ายยยยยย ไม่ได้นะ ไม่ได้นะ อาริม๊าาา คิดถึงสมัยที่สู้ในสภานักเรียนเพื่อปกป้องสิทธินักเรียนซุยรันธรรมดาสิ ความกล้าที่จะสู้กับเหล่าา Pivoine หายไปไหน ฮือฮือ ก็รู้ว่าเอ็นโจเค้าเป้นพระเอกในฟิคเวียน แต่ได้เห็นตัวประกอบบ้างก็ดีนะ
>>831 - >>834 ต่อฟิคเวียนในตำนาน
มุมมองเอ็นโจ
------------------------------------------------------
ใกล้วันงานฮาโลวีนแล้ว
“.....ฮาโลวีนเหรอ”
ผมมองจดหมายจาก Pivoine ที่อยู่ในมือของตัวเองแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย
ตอนที่เรย์กะไปเยี่ยมยูกิโนะที่โรงพยาบาลผมก็คิดอยู่ว่าจะหลอกถามยังไงดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ดันติดธุระเสียก่อนจะได้ลงมือทำอะไร แต่โชคก็เหมือนจะเข้าข้างที่ยูกิโนะตะล่อมถามเอาจากเจ้าตัวได้สำเร็จด้วยใบหน้าเทวดาจอมปลอมนั่น
หืม ทีผมนี่แทบจะไม่ยอมตอบอะไรไม่ก็ตอบเลี่ยงๆแล้วก็ระวังตัวเกินไปเลยนะ แต่นั่นก็เป็นจุดที่น่ารักมากของเธอ
เหมือนกระต่ายหิมะเลยล่ะ
ถ้าละสายตาไปแปปเดียวก็จะหาตัวได้ยาก เป็นกระต่ายขาวช่างระแวงตัวหนึ่ง .....แต่เฉพาะกับผม
นอกนั้นแล้วเธอก็เปิดใจให้คนอื่นได้อย่างง่ายดาย ทั้งยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่ออยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวผม แต่ผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะทำให้คนที่ตัวเองรักมีความสุขด้วยน้ำมือของตนเอง มันไม่ใช่ของที่ใครจะมาทำแทนให้ได้ ยอมรับเลยว่าผมแอบอิจฉาคนเหล่านั้น
ความพยายามสิบกว่าปีที่ผ่านมาเหมือนจะไม่เป็นผลเลย ผมคงจะคิดแบบนั้นถ้าเกิดว่าไม่ได้เห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างจากเดิม โดยเฉพาะหลังจากช่วงงานโรงเรียน
มันทำให้ผมมีความหวัง
เหยื่อน่ะ หากอยู่ในอาการหวาดกลัว สัญชาติญาณระแวงภัยจะยิ่งมีความเฉียบคมมากจนไม่สามารถรุกเข้าไปแบบมั่วๆได้ เพราะมันจะหนีก่อนที่จะได้ทำอะไร แต่หากอยู่ในอาการสับสนลังเลทำอะไรไม่ถูก ช่วงนั้นล่ะคือโอกาสทองที่จะรุกเข้าใส่จนไม่สามารถหนีไปไหนได้
เรย์กะตอนนี้คือกระต่ายน้อยที่อยู่ในอาการสับสนตัวนั้น แล้วอะไรกันที่ทำให้เธอทั้งหวาดกลัวและลังเล?
“......” ผมไม่ตอบคำถามที่ตัวเองไม่รู้หรอก
“.............”
มาซายะมักจะพูดอยู่บ่อยๆเรื่องการรุกเข้าหาใส่คนที่ชอบ ถึงส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับคุณวาคาบะก็เถอะ
มาซายะแสดงอารมณ์ความรู้สึกกับคนรอบตัวอย่างตรงไปตรงมาเสมอ และเป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะแสดงความรักกับคุณวาคาบะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตาม คงเพราะแบบนั้นคุณวาคาบะถึงได้ตกหลุมรักมาซายะในที่สุด
ผมเคยถามเขาว่าทำไม
‘ถ้าเจ้าตัวไม่รู้ จะแสดงออกยังไงเขาก็ไม่เข้าใจหรอก!’
จำได้ว่ามาซายะตอบแบบนี้ แต่นั่นก็สมกับเป็นตัวเขาดี
แต่ผมมันประเภทปิดทองหลังพระซะด้วยสิ แล้วที่สำคัญ การแสดงความรู้สึกมากเกินไปในวงการนี้มันอันตรายมากด้วย
ยิ่งเก็บซ่อนมันไว้ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แต่กับเรื่องความรักแล้วมันยากมากจริงๆ การไม่สามารถแสดงความรักออกมาทั้งที่ความรักนั้นเอ่อล้นอยู่ในใจเต็มเปี่ยมได้นั้นช่างลำบากเกินทน ผมในวัยเด็กจึงพยายามอดทนเพื่อให้เวลานั้นมาถึง
หลังจบการศึกษาผมก็ได้จัดการทุกอย่างและ “ทำความสะอาด” บริษัทจนหมดจดและไม่มีพันธะใดหลงเหลืออยู่อีกและในงานแต่งงานของเพื่อนร่วมรุ่นผมก็รู้แล้ว
.....ตอนนี้ผมสามารถรักเธอได้อย่างเปิดเผยแล้ว
ไม่ว่าเธอจะผลักไล่ไสส่งแค่ไหนผมก็จะทำต่อไป
ผมจะแสดงความรัก
อยากให้คุณได้เห็นถึงความรักของผม
อยากให้คุณได้สัมผัสกับความรักของผม
อยากทำให้คุณมีความสุขได้ด้วยมือของผม
.....
แต่ผลจากการที่ไม่แสดงอะไรเลยให้อีกฝ่ายเห็นนั้น ทำให้เมื่อถึงเวลาจริงๆก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ทำให้ผมนึกถึงสมัยที่มาซะยะกำลังหาทางรุกจีบวาคาบะอยู่โดยมีเรย์กะคอยช่วยเหลือทั้งด้านหน้าและลับหลัง
ผมจึงใช้วิธีไปเจอกันบ่อยๆเข้าไว้ทำให้เธอเริ่มจะคุ้นชินกับตัวผม แล้วค่อยชวนไปไหนต่อไหน หรือเอาง่ายๆก็เรียกว่า “เดท” แต่จนแล้วจนรอดก็มีพญายมคอยกีดขวางทางผมอยู่คนหนึ่ง
คิโชวอิน ทาคาเทรุ
....ให้ตายสิ เขาเป็นคนที่รักน้องมากจริงๆ ผมคิด
โบราณว่าผีเห็นผีฉันใด ผมกับคิโชวอิน ทาคาเทรุก็เป็นฉันนั้น
นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอเขาผมรู้ทันทีว่า “เรามันคนประเภทเดียวกัน”
และพี่ชายอย่างเขาคงไม่ยอมที่จะยกเธอให้กับผมที่เป็นคนประเภทเดียวกันกับเขา เขาไม่ยอมให้ผมเล่นกับอารมณ์สีหน้าและท่าทางของเธอได้ตามใจเหมือนกับที่เขาทำกับน้องสาว
“มีคนอย่างฉันอยู่ข้างเรย์กะอยู่แล้วทั้งคน อย่างแกน่ะมันไม่จำเป็น” เขาคงคิดแบบนี้ ....แน่นอน สำหรับผมแล้วก็เห็นด้วยนะ ถ้ามีใครรู้ไส้รู้พุงของผม ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกคุกคามประเภทหนึ่งที่อธิบายได้ยาก แต่อย่างหนึ่งที่แน่ชัดคือเขารู้ว่าผมรักเรย์กะแค่ไหน
ทั้งที่เขารู้แต่ก็ยังคงหาทางขัดขวางเพราะความหวงน้องสาวนั้นมีมากเกินเยียวยาตามประสาซิสค่อนอาการหนัก
บอกเลยว่าตรงจุดนี้ถ้าไม่มียูกิโนะผมคงลำบากยิ่งกว่านี้ แต่น้องชายที่รู้จักพี่ดีเกินไปนี่มันไม่น่ารักเอาซะเลยน้า
แต่ก็ขอบคุณมากเลยไอ้น้องชายตัวแสบ
เพราะแบบนี้ผมถึงรู้ว่าเรย์กะจะไปร่วมงานแน่ๆถ้าไม่มีผม แล้วไอระเองก็เมลล์มาบอกว่าไปเลือกชุดด้วยกันอย่างสนุกสนานเลยด้วย
ชุดนางฟ้าในวันฮาโลวีนเหรอ หืม
ระวังจะถูกปิศาจทำให้แปดเปื้อนจนไม่ได้กลับสวรรค์นะ....เรย์กะ
.
.
ถึงวันงานจนได้
ตลอดเวลาจนถึงวันก่อนงานจะเริ่มเนี่ย ผมทำงานหนักมากๆ เพื่อที่จะได้วันว่างแค่วันเดียวมาหาเธอในงานนี้
ผมโดนมาซายะบ่นใสว่า “ปั่นงานตาเหลือกแบบนั้นระวังจะไม่ไหวเอานะ!” แล้วก็จ้างคนมาช่วยผมทำจนมีเวลาพักผ่อนก่อนเริ่มงานพอดี ขอบคุณสำหรับความเห็นใจนะมาซายะ
วันนี้ผมจงใจใส่ชุดปิศาจและหน้ากากแพะเต็มหน้าเพื่อไม่ให้คนรู้ว่าผมเป็นใครจะได้แยกตัวออกมาทำอะไรได้ง่าย
สถานที่จัดงานวันนี้คือโรงแรมในเครือคาบุรากิแล้วได้มาดามคาบุรากิลงมาคุมงานด้วยตัวเอง งานจริงยิ่งใหญ่อลังการสมกับที่เป็นงานสังสรรค์ของเหล่าอมนุษย์ แต่มีคนแต่งตัวน่าสมจริงอยู่หลายคนเรย์กะจะยอมเข้างานมาหรือเปล่านะ ผมมองไปรอบๆงานเห็นมีนางฟ้าหลายคนเดินผ่านไปมา มีบ้างที่มาทักแต่ผมก็ทักทายตามมารยาทแล้วก็ถอยออกมา
อ่า....ตื่นเต้นเป็นสาวน้อยเลยนะผมเนี่ย
พอคิดว่าคนที่ตัวเองรักอยู่จะสวมชุดแบบไหนมานั้นผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนอยู่ไม่สุข
จะมีคนเข้าไปหาเธอหรือเปล่า
มีผู้ชายคนไหนจะเข้าไปหาเธอหรือเปล่า
เธอจะสนใจผู้ชายคนไหนหรือเปล่า
ความคิดผมวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้จนแทบทนไม่ไหว
“ท่านพี่? อย่าบอกนะว่าตื่นเต้นน่ะ” ยูกิโนะที่อยู่ข้างตัวผมถาม
“หือ....เปล่านี่” ผมยิ้มแล้วก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่ข่มอารมณ์ของตัวเอง
“โกหกอีกแล้ว แต่เอาเถอะ ผมพอจะเดาได้น่ะนะ” ยูกิโนะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
ยูกิโนะมองไปที่พระจันทร์เต็มดวงแล้วพูดขึ้นมา
“วันนี้เป็นวันปล่อยผี นานๆทีปลดปล่อยมันออกมาบ้างก็ดีนะท่านพี่”
“นั่นสิน้า.....”
ไม่ต้องพูดแบบนั้นผมก็รู้อยู่แล้ว ที่ผมทำงานเป็นบ้าเป็นหลังก็เพื่อสิ่งนี้นี่แหละ
นับวันความรักของผมยิ่งเอ่อล้นขึ้นมา เรย์กะนับวันยิ่งสวย นับวันยิ่งน่ารัก เมื่อห่างไกลกันก็คิดถึงจนแทบทนไม่ไหว ซักวันหนึ่งเขื่อนแห่งศีลธรรมที่ผมได้สร้างไว้คงจะพังลงเป็นแน่แท้หากไม่ได้แสดงความรักที่มีต่อเธอแบบตรงๆ ถึงตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปบ้าง
....ผมตัดสินใจว่าวันนี้ผมจะทำให้มันชัดเจน
....จะทำให้มันชัดเจนตราตรึงลงไปในใจของเธอจนไม่มีอะไรลบให้หายไปได้
“ไงชูสุเกะ พักผ่อนพอหรือยัง” เสียงอันคุ้นเคยของมาซะยะดังมาจากทางด้านหลัง
“แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ ว่าแต่ชุดอัศวินสินะ หืม” ผมตอบกลับแล้วมองไปที่ชุดของมาซายะ ชุดนี่ไม่ร้อนเหรอ? อยากจะถามอยู่หรอก แต่มาซายะเอาจริงเอาจังมาก นี่คงจะอดทนอยู่ด้วย เห็นแก่ที่จ้างคนมาช่วยผม ผมจะทำเป็นไม่เห็นสายตาที่มองมายังชุดของผมด้วยความภาคภูมิใจก็แล้วกัน
“วันนี้จัดเต็มเชียวนะ ว่าไง? จะให้ฉันเปิดห้องที่ชั้นบนเอาไว้ไหม?” มาซายะถาม ในฐานะของคนที่เคยผ่านจุดนั้นมาก่อนเขาคงจะรู้ว่าผมคิดจะทำอะไร แต่ว่าเขาคิดเตลิดไปไกลถึงขนาดไหนล่ะนั่น?
“ขอบคุณนะมาซายะ แต่ไม่จำเป็น”
“เอาน่า เผื่อไว้ๆ ฉันจะทำให้ทางสะดวกเอง” ว่าแล้วมาซายะก็เรียกคนมาจัดการตามเรื่อง
โอเค....ผมยอมลงให้ก็ได้มาซายะ แต่หลังจากงานนี้คนที่จะได้ใช้ห้องนั้นน่าจะเป็นนายมากกว่านะมาซายะ?
“ขอโทษสำหรับการเสียมารยาทนะคะท่านเอ็นโจ” คุณวาคาบะในชุดกระโปรงสุ่มแบบโบราณก้มหัวขอโทษแทนมาซายะแล้วหัวเราะแห้งๆ
“ไม่เป็นไรครับ”
“คิกๆ...ท่านเอ็นโจวันนี้เองก็ดูกระตือรือร้นมากเลยนะคะ ขอให้สุขสมความปรารถณานะคะ” เนื่องจากตอนนี้เธอมีสถานะเป็นหนึ่งในมาดามคาบุรากิด้วยจึงไม่สามารถรั้งอยู่ได้นานจึงรีบตามมาซายะไปทักทายแขกที่มาร่วมงาน
ทันใดนั้นหัวใจของผมก็เต้นแรง
เธอนั่นเอง เธออยู่ตรงนั้น ผมมองไปยังทางที่มาซายะพูดคุยกับแขกอยู่
ที่อยู่ตรงนั้นคือนางฟ้าตนหนึ่ง
เป็นนางฟ้าที่แสนบริสุทธ์และงดงามที่สุดในบรรดานางฟ้าทั้งหมดในงานนี้ ช่างงามล้ำยิ่งกว่าหยาดฟ้ามาดิน
โดยเฉพาะเมื่อหรี่ไฟลงชุดของเธอก็ส่องประกายดั่งดาวจรัสแสงบนท้องฟ้าที่ไม่อาจจับต้องได้
ผมรู้สึกว่ากลายเป็นคนบาปคนหนึ่งที่ริอ่านมารักนางฟ้าผู้สูงศักดิ์และปรารถณาทุกสิ่งที่เป็นเธอขึ้นมา
ปรารถณาจะฉุดความขาวบริสุทธ์นั่นลงมาแปดเปื้อนและอยู่คู่กับเขาไปชั่วนิจนิรันดร์ ไม่ให้ใครได้เห็น ไม่ให้ใครได้ยิน สมบัติล้ำค่านี้นั้นเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว นับจากนี้และตลอดไป
“.....ไอระ”
ผมก้าวเข้าไปหาไอระกับยูกิโนะแล้ววางแผนด้วยกัน
.
.
.
วงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลง หลายๆคนก็จับคู่กันแล้วเริ่มเต้นรำ
คู่ของผมคือไอระ และที่คู่กับเรย์กะอยู่คือน้องชายของผม
บอกตามตรงผมล่ะอิจฉาชะมัด แต่ก็ต้องอดทนเพราะมันเป็นแผน
เรย์กะยิ้มแย้มอย่างสดใสเมื่อเต้นรำกับยูกิโนะแม้ว่าจะดูแห้งๆบ้างเพราะหน้ากากที่น่ากลัวของเขา ผมหวังว่าสักวันคนที่เธอส่งยิ้มให้จะเป็นผมนะ
อื๋อ มองมาทางนี้ด้วยล่ะ
ถึงหน้ากากนั่นจะปิดบังหน้าตาของเธออยู่ก็จริง แต่ความสงสัยใคร่รู้ในแววตาปิดไม่มิดเลยนะแม่นางฟ้า
“....เอ็นโจ” ไอระกระซิบ
...ดูท่าจะถึงเวลาแล้วสิ
เมื่อถึงจังหวะหมุนตัวผมก็เข้าไปแทนที่ยูกิโนะ
เรย์กะหมุนตัวกลับมาสู่ท่าเริ่มต้นแล้วก็รู้สึกตัวว่าไม่ใช่ยูกิโนะ แล้วก็งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่
...ผมไม่พลาดโอกาสนี้แน่
ผมค่อยๆใช้จังหวะเต้นรำพาเราออกห่างจากกลุ่มคนมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันผมก็ต้องพยุงเธอดีๆไม่ให้ได้ต้องเจ็บตัว ผมพยายามใส่การสัมผัสที่ทะนุถนอมที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วพาไปอยู่ตรงกลางวง
ฟ้าเหมือนจะเป็นใจมากทีเดียว เหนือขึ้นไปยังโดมกระจก เมฆได้ลอยหายไปจากผืนผ้าแห่งดวงดาวและเผยโฉมความงามแห่งรัตติกาลด้วยรัศมีของดวงจันทร์
แม้เธอจะอยู่ในความมืดก็ส่องประกายดั่งดาวพร่างพรายบนท้องฟ้า แม้อยู่ในความสว่างก็ส่องแสงอบอุ่นดั่งดวงสุริยัน สำหรับผมแล้วไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็เป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับผมอยู่เสมอ
ไม่ว่าผมจะหลงลืม หลงทาง หรือจะเป็นอะไร
ทุกครั้งที่ผมมองเธอ ผมก็ตกหลุมรักเธออยู่เรื่อยไป
รัก รัก รัก
ผมสังเกตได้ว่าคนออกจากฟลอร์ไปหมดแล้วเหลือแต่พวกเราเท่านั้น
ยอดเยี่ยมมากมาซายะ แม้ว่าผลงานนั้นจะเป็นขอยูกิโนะซะเกือบหมดก็เถอะ กลับไปต้องให้รางวัลสักหน่อย
เสียงเพลงเริ่มเปลี่ยนไปเป็นจังหวะที่เร่าร้อนขึ้น มาแล้วสินะ บทเพลงที่ผมจะใช้เป็นตัวประกาศแสดงความเป็นเจ้าของกับเธอ
แม้เจ้าตัวจะไม่ได้คิดอะไรแต่ต้องเกิดข่าวลือขึ้นแน่นอน
ข่าวลือนั่นจะทำให้พวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูงรู้อย่างชัดเจนว่า “ผมจองเธอแล้ว” แล้วจะไม่มีหน้าไหนมาเข้าใกล้เธออีกเป็นครั้งที่สอง
เรย์กะดูเหมือนจะแปลกใจน่าดูที่เพลงเป็นเปลี่ยนเป็นแทงโก้ที่ตัวเองเต้นไม่ค่อยถนัด แต่ผมจะนำเธอให้เอง
“ท่านเอ็นโจ” เรย์กะเอ่นชื่อของผมออกมาด้วยความสงสัย
ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ ดีใจนะที่เธอเดาว่าเป็นผม
“ครับ” ผมตอบกลับด้วยอารมณ์ดี
เรย์กะมองผมด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเต้นแทงโก้เป็นด้วยความคมกริบ นี่ๆหัวคิ้วย่นแล้วนะ
“ไหนว่าจะไม่มายังไงล่ะคะ” เธอถาม
“นั่นยูกิโนะพูดเอง” ผมหัวเราะ “ผมไม่ได้บอกซักหน่อยว่าจะไม่มา”
เรย์กะมองผมด้วยสายตาเคืองๆแบบ ไหนว่าจะไม่มาไง!? แต่ใครสนล่ะ ผมก้มลงไปใกล้ๆเธอตามสเต็ปแทงโก้ แล้วเอามือรองแผ่นหลังของเธออย่างดี
....รู้อยู่หรอกว่าใส่ชุดเปิดหลังมาแต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้....ผมพยายามข่มสติของตัวเองไม่ให้เตลิดไปกับสัมผัสอันเรียบลื่นจากแผ่นหลังนั้น เมื่อเพลงจะจบลงเธอก็เอาขามาเกี่ยวต้นขาของผมตามสเต็ปเพลง แล้วเสียงปรบมือก็ดังสนั่นลั่นฟลอร์ แต่ผมอดคิดเกินเลยไปไม่ได้เลย ผมนับเลขในใจหลายครั้งกว่าจะสงบลง เมื่อเราคำนับให้กันเธอก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่นี่มันโอกาสของผม ผมไม่ยอมให้ใครได้ไปหรอกนะ
ผมจับมือของเรย์กะแล้วลากตัวออกไป ผมเปิดประตูทางออกอีกทาง แล้วพาเธอลงบันไดเดินไกลออกมาจากงานเลี้ยงยังสวนหิ่งห้อยที่ปลอดคนทันที
.
.
.
“พอได้ออกมาข้างนอกก็ค่อยยังชั่วหน่อย ในงานคนเยอะจริงๆ” ผมพาเธอมานั่งที่ม้านั่งใกล้ๆกัน บริเวณนี้เป็นซุ้มดอกไม้ที่ปลูกไว้อย่างสวยงาม มีแสงจันทร์จากพระจันทร์เต็มดวงสาดส่องมาเพิ่มความโรแมนติคให้ด้วย ผมอยากให้บรรยากาศมันสมบูรณ์แบบที่สุดน่ะนะ
“นะ...นั่นน่ะสิคะ”
“หน้ากากนี่ก็อึดอัดจัง คุณเรย์กะช่วยผมถอดหน่อยสิ” ผมพูดสองแง่สองง่ามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่นานๆจะได้อ้อนสักที ที่เธอไม่สนใจผมมากว่าสิปปีน่ะ งอนมากเลยรู้ไหม
จบคำพูดเรย์กะก็ถลึงตาใส่ผม ผมหัวเราะแล้วพยายามแกะออกเอง แต่ผมจงใจทำเหมือนกับว่ามันแกะยาก เรย์กะเลยเอื้อมมือไปดึงพวกสายรั้งอะไรพวกนั้นให้ออกไปเป็นการช่วยผมอีกแรง
พอหน้ากากหลุดออกไป ผมเผ้าของผมก็ยุ่งเหยิงพอสมควร แต่เพราะตอนนี้ผมมีความสุขมากจึงยิ้มกว้าง
“นึกยังไงถึงแต่งตัวแบบนี้กันล่ะคะ”
“ยูกิโนะ มาซายะ ไอระช่วยกันออกไอเดียน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ “ต้องนั่งเป็นหุ่นลองเสื้อให้สามคนนั้นตั้งนาน กว่าจะได้ที่ถูกใจที่ยากไม่ใช่เล่นเลยนะ” มาซายะชอบความสมบูรณ์แบบมากเกินไปเลยลำบากในหลายๆความหมาย
“เอ๋!?”
เรย์กะทำสายตาไม่ไว้วางใจผม คิดว่าผมหลอกอยู่สินะ ไม่ไหวเลยแฮะ ทำกระต่ายระแวงอีกแล้วสิ....
“คุณเรย์กะไม่ดีใจที่ผมมาเหรอ” ผมถามด้วยความรู้สึกจากใจจริง
“แหม ก็…” เรย์กะอ้ำอึ้งแล้วตอบไม่ถูก ดูเหมือนว่าผมจะมีความหวังเพิ่มขึ้นแฮะ
“อื๋อ” ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“กะ ใกล้เกินไปแล้วนะคะ”
“ก็นานๆทีจะมีโอกาสได้เห็นนางฟ้านี่นา” ผมยิ้มกริ่ม “ก็อยากมองใกล้ๆไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
นี่ผมพูดจริงนะ แล้วนางฟ้าที่ว่าต้องเป็นเธอเท่านั้นด้วย
“พอมองแล้วก็อยากสัมผัส”
ผมใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามใบหน้าของเธออย่างหลงไหลและรักใคร่ ผมล่ะอยากจะกอดเธอจริงๆ ผมอยากจะแสดงความรักที่ผมมีให้คุณได้เห็นมันตอนนี้ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเกิดผมทำจริงๆเธอคงจะเกลียดผมไปชั่วชีวิต
แต่ว่า....ถ้าไม่ระบายความรู้สึกนี้ออกไปให้เธอรับรู้ ผมก็คงทนไม่ไหว แล้วตายด้วยความรักที่เต็มล้นนี้แน่นอน
เธอยกมือขึ้นกันผมออกมาอย่างเงอะงะ แต่ผมรวบข้อมือฉันไว้ทั้งสองข้าง กดจูบเบาๆแล้วเอามือของเธอมาแนบแก้มตัวเอง เธอจะดึงมือตัวเองออกถูกผมจับไว้ไม่ปล่อย เหมือนจะอ้อนวอนขอให้เรย์กะได้รับรู้ความรักของผมผ่านสัมผัสเหล่านั้นสักนิดก็ยังดี
“ทะ ท่านเอ็นโจ อย่าล้อกันเล่นแบบนี้สิคะ”
อื๋อ คุณเรย์กะคิดว่าล้อเล่นเหรอ” ผมมองเธอตอนจูบฝ่ามือของเธออย่างอ้อนวอน
ขอร้องล่ะ ความรักของผม ได้โปรดรับรู้มันด้วยเถอะนะ
“คุณเรย์กะรู้มั้ย จูบที่ฝ่ามือน่ะแปลว่าอะไร” ผมมองมือของเธอที่ผมจูบด้วยความรัก เธอคงไม่สนเรื่องความหมายหรอกแต่ว่า...
“แปลว่าผมกำลังอ้อนวอนคุณ”
เรย์กะมองผมอย่างสงสัยว่าอ้อนวอนอะไร
ผมหัวเราะแล้วกระซิบข้างหูของเธอ “ถ้าจะอ้อนวอนขอจูบ คุณเรย์กะจะยอมหรือเปล่าล่ะครับ”
ได้โปรดให้ผมได้แสดงความรักแก่เธอทีเถอะ ได้โปรดมอบความรักให้ผมทีเถอะนะ
ทันทีที่ได้ยินเรย์กะก็หน้าแดง หูแดงและอ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อ คงกำลังกำลังว่าผมหน้าไม่อายอยู่ใช่ไหมครับ?
ใช่ครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังอ้อนวอนขอร้องเธอด้วยความรู้สึกที่มีทั้งหมดแล้ว ถ้าเพื่อสิ่งนี้แล้ว ไม่ว่าจะให้ทำอะไรผมก็ทำได้อย่างไม่อายเลย
เพราะความรู้สึกรักนั้นมีมากมายเหลือเกิน
“ว่ายังไงล่ะครับ” ผมไล้นิ้วโป้งไปตามริมฝีปากของเธอเบาๆ “ที่เงียบไปนี่แปลว่าตกลงใช่มั้ยเอ่ย”
“ไม่ตกลงค่ะ” เรย์กะรีบถอยกรูดไปข้างหลัง แล้วเอามือตะครุบปากตัวเอง
“ไม่ได้จริงๆเหรอ” ผมยิ้ม
“ไม่ได้ค่ะ”
“นะ?”
เรย์กะถอยตัวกรูดไปจนกระทั่งหลังชนกับเรือนกระจกขนาดใหญ่ ขณะที่ผมยิ้มกว้างขยับตัวย่างสามขุมตามเข้าไปช้าๆ
"คุณเรย์กะ" ผมเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดของผม และส่งสายตาอ้อนวอน
"เรย์กะ" ผมเรียกชื่อของเธออีกครั้ง แล้วขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ๆพร้อมกับจ้องมองลึกลงไปในดวงตาที่สั่นระริกของเธอ
"ไม่ได้ค่ะ! ฉัน ฉันไม่ใช่ท่านไอระนะคะ!!!" เธอร้องดังลั่น พร้อมกับใช้มือดันตัวผมออกไป
....ไอระงั้นเหรอ?
"หือ? ไหงพูดถึงไอระขึ้นมาล่ะ?" ผมถอยไปเล็กน้อย พร้อมกับรวบมือของเธอที่กำลังจะดึงกลับมาไว้ในทันที ผมไม่ยอมให้เธอหนีไปไหนจนกว่าจะตอบคำถามผมหรอกนะ ผมเอียงหัวเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยทั้งที่ยังยิ้มอยู่
เรย์กะยิ้มกริ่มเบาๆเหมือนจะคิดว่า เป็นไงล่ะฉันรู้เท่าทันเธอนะ! เลยล่ะ ผมคิด
อ้อ ผมลืมไปเลยว่าเธอมีนิสัยที่ชอบคิดเองเออเองด้วยสิ
ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัวเธอ เรย์กะพยายามจะหนีแต่ว่าหลังก็ติดเรือนกระจกแล้ว แถมมือก็โดนจับรั้งไว้อยู่ ไม่มีทางให้หนีไปได้เลยล่ะ ไม่ให้หนีหรอกนะกระต่ายน้อย
"คราวนี้คิดเองเออเองเรื่องอะไรอีกแล้วล่ะครับ?"
น้ำเสียงของผมแข็งกระด้างขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนที่จะก้มลงไปกระซิบที่หูข้างขวาของเรย์กะ
"เรย์กะใจร้ายจังเลยน้า"
ใช่ ใจร้ายมากเลย ทั้งที่ไม่ยอมสนใจผมและหลีกเลี่ยงผม แต่มาคิดว่าผมแอบรักไอระอยู่ซะงั้น
แต่นี่นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่า ผมเองก็มีตัวตนอยู่ในใจของเธอ ในสารบบความคิดของเธอยังมีผมอยู่ข้างในนั้น ผมดีใจนะ
เพราะผมจะได้สื่อความรู้สึกของตัวเองไปได้ง่ายขึ้น
ผมใช้ปลายนิ้วข้างหนึ่งไล้บนแก้มของเธออย่างแผ่วเบา
"ที่ผมทำมาทั้งหมดเนี่ย ถ้าผมไม่สารภาพ คุณจะไม่รู้เลยจริงๆงั้นเหรอ?"
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมหวังว่าเธอจะรับรู้ได้บ้างแท้ๆเชียว แต่บ้าจริง
ทั้งผมทั้งเธอต่างเป็นคนโง่ในเรื่องความรักของตัวเอง
ผมดีแต่รอให้เธอรู้สึกถึงความรักของผมทั่งที่ไม่ได้ทำอะไรให้เธอได้รู้สึกเลย
เธอเองก็รอคอยความรักจากผู้อื่นทั้งๆยังไร้เดียงสาไม่รู้จักความรักที่แท้จริง
รุ่นพี่ที่เธอหลงรักนั้นเป็นเพียงความหลงในชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นมันเป็นความรักที่ใกล้เคียงกับความหลงไหล ไม่ใช่ความรักลึกซึ้งที่ผมมีให้เธอ
คนหนึ่งรอไม่ไปไหนแต่ไม่รับรู้ ส่วนอีกคนเอาแต่รอให้รู้สึกไปรุกคืบหน้า แบบนี้เมื่อไหร่เราจะรู้เสียทีว่าใครกำลังรักเราหรือเรากำลังรักใคร
ผมขยับใบหน้ามาที่ข้างหน้าของเธออีกครั้ง แล้วจ้องมองเธอด้วยความจริงจัง
"ผมไม่เคยทำแบบนี้กับคนอื่นเลยนะ" ผมยกมือของเรย์กะขึ้นมาจูบเบาๆอีกครั้ง "....แค่คุณเท่านั้น"
"!!!"
เรย์กะทำท่าลนลานและหันรีหันขวาง แต่ผมไม่ปล่อยโอกาสให้คุณหรอกนะ
"เรย์กะ..." ผมเรียกเธอด้วยเสียงแผ่วเบา ไม่รู้ว่าใบหน้าของผมเป็นสีอะไรแล้วนะตอนนี้ แล้วขยับตัวเข้าไปใกล้เรื่อยๆ
"เรย์กะ... ที่ผ่านมา... ตลอดเวลา... ผมน่ะ..." ผมกำลังจะสารภาพบาป
ใช่แล้ว บาปที่ว่าคือการไปหลงรักนางฟ้าองค์นี้ จนตัวเองต้องมาทรมาณกับความรักและมีความสุขกับความรักแบบนี้
แต่ก่อนที่ผมจะพูดจบเสียงนาฬิกาในสวนก็ลั่นดังเหง่งหง่างขึ้นมาพอดี เพราะว่าที่นี่มันเงียบสนิทมาตลอดเลยทำให้เราทั้งคู่สะดุ้งโหยง พอผมชะงักไป เรย์กะก็รีบพูดขัดผมทันทีอย่างร้อนรน
"อะ เอ่อ เที่ยงคืนแล้ว กลับเข้าข้างในกันเถอะค่ะ!!!"
ผมแอบเดาะลิ้นเบาๆ แล้วถอยหายใจก่อนจะยิ้มให้เธอ
"เรย์กะเป็นนางฟ้า ไม่ใช่ซินเดอเรลล่าสักหน่อย จะรีบไปไหนล่ะครับ?"
"เอ่อ....... เราออกมาข้างนอกนานแล้ว เดี๋ยวคนอื่นๆจะเป็นห่วงนะคะ"
"ถ้าเป็นไอระหรือยูกิโนะ พวกเขารู้อยู่แล้วล่ะว่าเรย์กะอยู่กับผมสองคนคงไม่ได้ห่วงเท่าไหร่หรอกน่า"
...และที่สำคัญผมก็ใช้ทั้งไอระ ยูกิโนะและมาซายะให้คอยรั้งคนอื่นอยู่ด้วย เวลาน่ะ “เหลืออีกเยอะ”
"เอ่อ...... ข้างนอกมันหนาวน่ะค่ะ....." เรย์กะทำท่ากอดแขนอย่างหนาวสั่น แต่ก็จริงเพราะเธอใส่ชุดเปิดหลังมาเอง ไม่ใช่ความผิดของผมเสียหน่อย แต่ว่านะ.....
"ไล้สายตามองอะไรแบบนั้นกันน่ะคะ! เสียมารยาท!!"
ผมหัวเราะเล็กน้อยก่อนพูดขอโทษ
"อา ไม่หนาวก็แปลกแล้วล่ะครับ..."
จากนั้นผมก็ถอดเสื้อคลุมนักเวทย์ของตัวเองออกมาและกำลังจะเอาไปคลุมให้เรย์กะ
"อ๊ะ"
"หือ?"
"เรย์กะหันหลังหน่อยซิครับ"
"หา?"
"เสื้อคลุมมันจะติดตรงปีกที่หลังเอาน่ะ แกะออกก่อนดีกว่านะ"
"อ้อ นั่นซินะคะ"
เรย์กะหันหลังให้ผมอย่างว่าง่าย
"ทะ ท่านเอ็นโจ!" เรย์กะร้องขึ้นเมื่อรู้สึกตัวว่าแผ่นหลังของเธอนั้นผมจะเห็นทั้งหมด
"นิ่งๆซิครับ" ผมทำเสียงดุ เพราะว่าผมไม่อยากให้มันนานไม่มากกว่านี้เดี๋ยวเธอจะไม่สบายเอา ผมส่งปีกนางฟ้าให้เธอแล้วไม่พูดอะไร ก่อนวางเสื้อคลุมบนไหล่ให้
เรย์กะถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกำลังจะใช้มือรวบผมตัวเอง ผมเห็นว่ามันท่าจะลำบากเลยจับมือเธอเอาไว้
"ผมช่วยนะ" ผมบอกพลางเอามือไปจัดผม ออกจากเสื้อคลุมช้าๆ กล่าวกันว่าลำคอของหญิงสาวนั้นคือจุดหนึ่งที่ทำให้มีสเน่ห์ ตอนนี้ผมเห็นด้วยกับประโยคนี้มาก โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นลำคอของคนที่คุณรัก...
"ขะ ขอบคุณค่---!!!" เรย์กะชะงักไปเมื่อผมจูบลงไปที่หลังคอของเธออย่างแผ่วเบา
"ใส่ชุดเปิดเผยขนาดนี้ เป็นนางฟ้าที่นิสัยไม่ดีเลยนะ...” ผมพูด รู้สึกตัวได้เลยว่าน้ำเสียงของผมมีความปรารถนาเจือปนอยู่ด้วย
ผมมองเห็นสีหน้าที่เขินอายและตกตะลึงจากด้านหลังผ่านกระจกได้ชัดเจนเลยล่ะ
เรย์กะออกอาการแตกตื่นลนลานอย่างน่ารักจนเสื้อคลุมร่นมาอยู่ที่เอวแทน
ผมค่อยๆจูบแผ่นหลังของเธออย่างอ่อนโยนโดยค่อยๆเลื่อนลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง ผมล่ะรักทุกสิ่งที่เป็นเธอจริงๆ
เรย์กะรีบหันหน้ามาเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะไล่ลงต่ำไปเรื่อยๆ หน้าของผมเลยฝังอยู่กับช่วงท้องของเธอ นึกถึงช่วงที่เธอกำลังลดน้ำหนักแล้วผมล่ะอยากจะเอาหน้าซุกไปที่ท้องจริงๆ คงจะนุ่นิ่มน่าดู โดยเฉพาะถ้าเกิดเราได้แต่งงานและมีลูกกันจริงๆผมคงจะพิงหัวฟังเสียงลูกอยู่ทุกวันเลยล่ะ ไม่ได้การ.... ผมที่อยู่ในท่านั่งคุกเข่าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มมุมปาก แล้วมองเธอด้วยความหลงไหลรักใคร่
“ทะ ท่านเอ็นโจ”
“ครับ”
“กะ...กลับเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ ขอร้องล่ะ”
“เอ เรย์กะง่วงแล้วเหรอครับ”
“ก็ประมาณนั้นล่ะค่ะ”
“นั่นสินะ เที่ยงคืนกว่าแล้วด้วย” ผมลุกขึ้นมายืน สวมเสื้อคลุมกลับคืนที่ให้เรย์กะ ผมไม่ยอมให้ใครที่ไหนได้เห็นแผ่นหลังของคนที่ผมรักหรอกนะ
เรย์กะทำท่าโล่งใจที่ผมทำตัวว่าง่าย อา....ท่าทางนั้นช่างน่ารักจริงๆ
ผมกอดเธอไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปไหนอีก
“มาซายะเปิดห้องไว้ให้ผมน่ะ เราสองคนได้ที่นอนพอดีเลยเนอะ”
ขอบคุณมากมาซายะ ถ้านายไม่เปิดห้องให้วันนี้ ผมคงไม่มีข้ออ้างใดมาแกล้งเธอได้อีกแล้ว
“มะ ไม่เอาค่ะ ไม่เอา” เรย์กะรีบส่ายหน้าหวือๆ
“ห้องสวีทด้วยนะ วิวสวยเชียว” ผมยิ้มมุมปาก แล้วมองดูด้วยความสนุก “ไม่อยากขึ้นไปดูวิวหน่อยเหรอ”
“มีขนมที่ยูกิโนะซื้อมาแช่ไว้ในตู้เย็นตอนนั่งรอแต่งตัวด้วยนะ” ผมเอาขนมมาล่อนิดหน่อย แต่ก็ไม่น่าจะติดกับง่ายขนาดนั้นหรอก “ผมไม่ทานขนม เรย์กะช่วยไปทานให้หมดหน่อยสิ”
“ท่านพี่ต้องมารับฉันกลับบ้านนะคะ”
“เรย์กะโตแล้วนี่ครับ ต้องมีผู้ปกครองมารับกลับอีกเหรอ” ผมหัวเราะ
อันที่จริงผมไม่อยากจะให้หมอนั่นมาขัดจังหวะเลยสักนิด วันนี้มันเป็นวันที่ผมจะทำให้มันชัดเจนที่สุด แต่เจ้าตัวดันปฏิเสธที่จะรับรู้และรับฟังเลยอย่างนั้น ผมเลยต้องรุกหนักกว่าเดิมอีก ถ้าเกิดมาจริงๆ ทุกอย่างที่วางเอาไว้คงจะพังหมด
“ถ้าอยากกลับจริงๆ ผมขับรถไปส่งให้ก็ได้นะ”
“ไม่กล้ารบกวนท่านเอ็นโจหรอกค่ะ”
“ประธานเอ็นโจเสนอตัวให้เชียวนะครับ ปฏิเสธได้ลงคอเชียวเหรอ” ผมใช้น้ำเสียงและสายตาออดอ้อนเต็มที่“ค่าจ้างก็ถูกด้วยนะ”
“ไม่เอาค่ะ”
“อื๋อ” เรย์กะถลึงตาใส่ผม แต่ผมก็หัวเราะ
คนที่เรารักเนี่ย ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักไปหมดจริงๆนั่นล่ะ
“อย่าทำหน้าบึ้งแบบนั้นสิครับ” ผมก้มลงไปใกล้ๆ “คืนนี้พระจันทร์สวยออกนะ”
อ่า....ว่าแล้ว กับเรื่องแสดงความรู้สึกผ่านคำพูดนี่ไม่ถนัดเลย รู้ตัวอีกที่ก็บอกอ้อมๆเกินไปเสียแล้ว
เรย์กะกระพริบตาปริบๆ แล้วกำลังจะคาดคั้นเอาจากผมด้วยความสงสัยเลยจ้องมองมาที่ผมตรงๆ จากนั้นเธอก็เริ่มหน้าแดงอีกครั้ง
ผมหัวเราะแล้วจูบหน้าผากของเธอเบาๆ
“ทะ ท่านเอ็นโจ…”
“ครับ” น้ำเสียงผมที่ตอบรับมานั้นแหบพร่า
“ฉะ...ฉันกลัวค่ะ” เรย์กะตอบด้วยความรู้สึกที่หวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก
นั่นสินะ ผมเองก็กลัวเหมือนกัน
กลัวว่าเธอจะปฏิเสธผม
กลัวว่าเธอจะรังเกียจผม
กลัวว่าเธอจะขับไล่ไสส่งผม
การถูกรังเกียจและขับไล่โดยคนที่ตัวเองรักนั้นเป็นสิ่งที่ผมหวาดกลัวเป็นที่สุด
แต่สิ่งที่ผมได้รับในวันนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมยังมีโอกาส ผมยังมีความหวัง
ผมค่อยๆสอดประสานเข้ากับมือของเรย์กะ แล้วจับมือฉันขึ้นไปจูบที่หลังมือ บริเวณนิ้วนางข้างซ้าย ก่อนที่ผมจะช้อนสายตามองเธอแบบเชื่องช้า
“ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลยครับ”
เรย์กะมองมาเหมือนจะปฏิเสธว่าสิ่งที่เธอกลัวนั้นคือตัวผม
แต่ผมรู้ว่าเธอกลัวอะไรมากกว่า นอกเหนือจากตัวผมแล้ว สิ่งที่ทำให้เธอกลัวคือความรู้สึกอันเต็มล้นที่มีให้กับเธอ มันคือความรักลึกซึ้งที่เธอไม่รู้จัก ดังนั้นจึงหวาดกลัว และกลัวใจตัวเอง
ผมยิ้มน้อยๆแล้วจูบหน้าผากของเธออีกครั้งโดยหวังจะปลอบประโลม ค่อยๆไล่ระมาตามปลายจมูกและแก้ม สายตาเรามองกันในระยะประชิด ใกล้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆในชีวิต
“ไว้ใจผมนะ” ผมพูดเบาๆ
ใช่แล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวเลย เพราะว่าผมน่ะ....
เรย์กะมองผมด้วยดวงตาอันใสกระจ่างและไม่มีแววหวาดกลัวอีกแล้ว
ริมฝีปากเราสัมผัสกันอย่างเชื่องช้า นุ่มนวลเหมือนขนนกลากผ่าน ความอ่อนหวานที่เคล้าเคลียอยู่ตรงปากทำเอาหัวใจเต้นรัวด้วยความสุข
กลิ่นดอกไม้ที่บานในตอนกลางคืนลอยตามลมมาเหมือนอยู่ในความฝัน ผมมอบรสสัมผัสที่อ่อนโยนและอ่อนหวานมากที่สุดให้กับเธอเท่าที่จะทำได้
เมื่อสัมผัสที่นุ่มนวลเหมือนขนนกค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเรย์กะก็คล้อยตาม ตอบสนองโดยเขาแขนมาคล้องคอผม นั่นทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด
ในที่สุดคุณก็ได้รับรู้ความรู้สึกของผมเสียที
แม้จะเพียงแค่เล็กน้อย แต่สิ่งที่เธอรู้สึกเกี่ยวกับผมจะไม่มีความกลัวเข้ามาแทรกมากกว่านี้อีกต่อไป
เหลือไว้แต่ความอ่อนหวานที่เธอไม่รู้จักและกำลังจะได้เรียนรู้ต่อจากนี้ไปเท่านั้น
.
.
.
เสียงนาฬิกาตอนตีหนึ่งดังขึ้นทำให้เรย์กะสะดุ้งตื่นขึ้นมา
อ้ะๆ ผมไม่ได้ทำอะไรไร้จรรยาบรรณนะ ในระหว่างที่เธอหมดสติไปผมก็เฝ้าคอยมองหน้าของเธอตอนหลับอย่างมีความสุขเท่านั้นเอง
....สงสัยจะจูบเกินไปหน่อย...
ริมฝีปากของเธอดูบวมชื้นอวบอิ่มด้วยสีกุหลาบ น่าดูไม่เลว ผมรู้ว่าลิปสติดน่าจะติดมาที่ปากของผมด้วยก็เลยปล่อยไว้แบบนั้นแหละ เดี๋ยวคนก็เข้าใจเอง
เรย์กะมองไปรอบๆด้วยความงง ผมจึงใส่เสื้อคลุมให้ก่อนที่จะพูดว่า
“ตีหนึ่งแล้ว กลับกันเถอะครับ”
เรย์กะทำท่าจะวิ่ง ผมจึงจับไว้ก่อนที่เธอจะเผลอล้มทำตัวเองเจ็บตัวแล้วยิ้มก่อนจะสอดประสานมือเข้ากับมือของเธอ จูงให้เดินด้วยกันไปช้าๆ
“อย่าวิ่งสิครับ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก” มือขอผมอีกข้างถือปีกนางฟ้าของเธอกับหน้ากากหัวกระโหลกแพะของตัวเองเอาไว้
เรย์กะทำท่าคิดเหมือนว่าตัวเองเป็นนางฟ้าที่ถูกถอดปีกโดยซาตานอย่างไรอย่างนั้นเลย
แต่ก็จริง เพราะผมไม่ใช่เทวดาเสียหน่อย
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องจัดงาน มองเข้าไปคนในงานค่อนข้างโหรงเหรง ถึงเวลาเลิกงานที่ระบุไว้ในบัตรจะบอกว่าเลิกตีหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ก็กลับไปเกือบหมดแล้ว ยอดเยี่ยมมาก คนที่ยังอยู่ก็เป็นคนที่รักจักกันอยู่แล้วจะยิ่งแพร่กระจายข่าวลือได้มากขึ้น
ทุกคนกำลังยืนกันอยู่ที่ประตูทางออกรวมถึงคิโชวอิน ทาคาเทรุด้วย แย่หน่อยนะที่ศึกคราวนี้ผมชนะ
“อ้าว ท่านพี่กับคุณพี่เรย์กะนี่ครับ” ยูกิโนะคุงหันหน้ามาเห็นเข้าก็โบกมือให้ผมเดินไปหา โดยที่...ผมกำลังจับมือเรย์กะอยู่
เรย์กะหันรีหันขวาเลิกลั่กและมองมาแบบขอให้ปล่อยมือด้วย แต่ใครสนล่ะ ผมจะประกาศสงครามเต็มรูปแบบแล้วล่ะ
ผมกล่าวทักทาย คิโชวอิน ทาคาเทรุ โดยที่ยังยิ้มและจับมืออยู่ สายตาทุกคนมาหยุดที่มือของผมที่จับมือเรย์กะ ปีกนางฟ้าในมือของผม แล้วก็เสื้อคลุมที่อยู่บนตัวของเธอ
ท่านไอระ ยูกิโนะ คุณวาคาบะและคุณอิมาริมองเรย์กะยิ้มๆ คิโชวอิน ทาคาเทรุ กระแอมไอเล็กน้อยแล้วทักทายตอบผม
ผมชนะนะคราวนี้ นับแต่นี้ไปผมจะเอาจริงด้วย เราส่งสายตาที่สื่อความหมายให้กัน เขาก็ตอบกลับมาว่าจะไม่มีเป็นครั้งที่สองแน่
“นึกว่าพาขึ้นห้องไปแล้วซะอีก” คาบุรากิหันไปกระซิบกระซาบกับผมที่มีรอยยิ้มประดับบนหน้า
“อื๋อ มาซายะ?”ผมยิ้ม
“.....ก็ได้ๆ ไม่ยุ่งก็ได้”มาซายะสะดุ้งแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังคุณวาคาบะอย่างรวดเร็ว
“นี่ก็ดึกมากแล้ว คงต้องขอพาเรย์กะและคุณไอระกลับก่อนนะครับ” คิโชวอิน ทาคาเทรุ เอ่ยขึ้น
“งั้นพวกเราก็กลับกันดีกว่านะ” คาบุรากิพยักเพยิดหน้า แล้วทุกคนก็ทยอยกันกลับ
ไอระเดินไปสมทบกับ คิโชวอิน ทาคาเทรุ แล้วไม่ลืมที่จะตบไหล่ผมเบาๆ “ฉันกลับก่อนนะ ชูสุ….อ๊ะ”
เสียงอุทานหลุดออกมาไม่ดังมาก แต่ก็เรียกความสนใจจากทุกคนได้
“มีอะไรเหรอ” ผมจงใจถาม
“ใส่หน้ากากเต็มหน้าแท้ๆ แต่ช่างแต่งหน้าเขาทาปากให้ด้วย...” ไอระหยุดพูดไปชั่วครู่แล้วหันหน้ามองผมสลับกับปากเรย์กะ
ไอระยิ้มมีอย่างเลศนัยและคุณวาคาบะก็จ้องเรย์กะอยู่นานโข
เสียงหัวเราะคิกคักของไอระและคุณวาคาบะดังขึ้นพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย ยูกิโนะกับมาซายะก็หัวเราะด้วย ตบหลังตบไหล่ผมกันใหญ่
ผมรู้น่าว่าคิดอะไรอยู่ ว่าแล้วก็เอานิ้วแตะๆปากตัวเอง สีแดงสดเหมือนกลีบกุหลาบติดปลายนิ้วมาเล็กน้อย
สีเดียวกับสีลิปสติกที่ทามาในวันนี้ของเรย์กะ
อิมาริผิวปากดังหวือ มองไปที่ผมด้วยสายตาที่ดูรู้ทัน แต่เรย์กะเขินอายจนหน้าแดงก่ำ
ผมมองนิ้วตัวเองแล้วก็มองเธอ รู้ใช่ไหมว่ามันหมายถึงอะไร?
เรย์กะโผเข้าหา คิโชวอิน ทาคาเทรุ แล้วหลบไปซุกหลัง ทำตัวได้น่ารักจริงๆเลยน้า แต่ว่าสี่คนนั้นยังไม่หยุดหัวเราะด้วยความเอ็นดูเลย
“เอาล่ะๆ ทุกคนพอดีกว่า” อิมาริพูดด้วยเสียงเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ “อย่าแกล้งเรย์กะจังมากไปกว่านี้เลยนะ”
นั่นสินะ ขืนแหย่มากกว่านี้เดี๋ยวจะหนีเอามากกว่า
“กลับกันได้แล้วล่ะ เรย์กะ” คิโชวอิน ทาคาเทรุ เอ่ยกับเรย์กะอย่างอ่อนโยน
“ขะ ขอตัวก่อนนะคะทุกท่าน”เรย์กะกุลีกุจอรีบกลับบ้าน เมื่อถึงหน้าโรงแรมแล้วผมก็ส่งเสียงเรียกเธอ
“คุณเรย์กะ”
ผมเอามือไขว้หลังพร้อมกับหน้ากากแพะในมือ
“ฝันดีนะครับ”
ตรงที่เธอยืนอยู่คือสุดปลายบันได ส่วนผมยืนอยู่ขั้นบนสุด พระจันทร์ที่อยู่เบื้องหลังสาดแสงลงมาทำให้เงาของผมทอดตัวยืดยาวออกมาทาบทับกับตัวเรย์กะ
ใช่แล้ว คุณน่ะหนีผมไม่พ้นแล้วล่ะ
เรย์กะสะดุ้งแล้วจ้ำอ้าวไปหา คิโชวอิน ทาคาเทรุ ที่ยืนรออยู่ที่รถ เปิดประตูแล้วขึ้นไปไม่เหลียวหลังมามองผม ผมหัวเราะเบาๆ เชื่อสิว่าเธอยังต้องได้ยินเสียงของผมอย่างแน่นอน....
>>894-902 อุ๊ยตาย อะไรกันคะ กูอ่านไปยิ้มไป แอบเสียดายตรงที่นึกว่าจะหื่นกว่านี้//แค่กๆๆๆๆๆๆๆ
ซาตานมันชั่วร้ายจริงๆเลยนะคะ แต่ที่วาร์ปข้ามมาตีหนึ่งเพราะเป็นลมไปซะก่อนเหรอ นึกว่าจูบมาราธอนจนลืมตัวลืมเวลาซะอีก 555555555555 แต่นายไปท้าทายท่านพี่ทำไมกันหา นั่นท่านเทพมารนะเว้ย อิทธิฤทธิ์สูงส่งหาใดเทียบเทียมนัก เดี๋ยวก็โดนกระทืบเข้าให้หรอก นายควรจะเคารพนอบน้อมสักการะบูชาแบบอิมาริเซร่!!!
>>894-902 ว้อยยยย กรี๊ดดดดด ฟกดหหดเาสง โอ๊ยยยย ดีงามมากค่าา จอมมารนี่จอมมารจริงๆ
ขอโทษค่ะที่เมื่อกลางวันนึกอยากให้เปลี่ยนบทพระเอกกลางเรื่อง 555555
ช่วงดวลาที่หายไปแค่สลบหรอกเหรอ โธ่ นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้
5555 คิดงัดข้อกับว่าที่พี่เขยนี่จะดีเหรอวะเอ็นโจ
ขอบคุณสำหรับกาวก่อนนอน รอพาร์ทต่อนะคะะะ
ฟิคกาลครั้งหนึ่งในฝันก็มีpovเอ็นโจมาละแล้วฟิคเวียนล่ะคะ จะมีมั้ยื55555555
ฟิคเวียนตอนนี้ถึงคริสมาสต์ อีเว้นท์ใกล้ๆก็วาเลนไทน์กับวันไวท์เดย์ กูไม่ได้อยากอ่านpovเอ็นโจตอนได้ช็อคโกแลตเล๊ยยยย ไม่อยากอ่านจริงจริ๊งงงงงงง
>>901 คืนนี้พระจันทร์สวย แต่นางฟ้าสวยยิ่งกว่า ฮิ้วว~~
บอกรักด้วยพระจันทร์มันโรแมนติคจริงๆ เผื่อใครไม่รู้ที่มาของพระจันทร์สวย มาจาก 「月が綺麗ですね」(Tsuki ga kirei desu ne) เป็นคำพูดของ นัตสึเมะ โซเซกิตอนสอนภาษาญี่ปุ่นให้นักเรียนต่างชาติ นักเรียนคนนึงแปลคำว่า "I Love You" ออกมาเป็นคำบอกรักทื่อๆอย่าง 「我君を愛す」(Wagimi wo aisu) นัตสึเมะเลยบอกให้เปลี่ยนมาเป็นประโยคนี้ และบอกว่าถ้าเป็นคนญี่ปุ่น เท่านี้ก็เพียงพอที่จะเข้าใจแล้ว
ส่วนเวลาจะตอบรับกับประโยคพระจันทร์สวย คือ 「死んでもいいわ」- ให้ตายตอนนี้ก็ยังได้ มีที่มาจาก นิยายของรัสเซียชื่อ Aся ของ Ivan Turgenev เป็นฉากที่นางเอกมาพบพระเอกที่พยายามหักห้ามใจ เจ้าหล่อนก็กอดเขาไว้แล้วกระซิบว่า "ваша..." แปลว่า "Yours" (ฉันเป็นของคุณ) ซึ่งฟุตาบะเทย์ ชินเมย์ นักแปลนิยายเรื่องนี้ก็แปลออกมาเป็น 死んでもいいわ (ให้ตายตอนนี้เลยก็ยังได้)
ให้เป็นข้อมูล เผื่อมีใครเก็บไปเขียนฟิค 5555555
>>894-902 กูกรี๊ดดดด ไม่ไหวแล้วววว มึงงขาา ท่านเอ็นโจงานดีมากกกก กรี๊ดด กรี๊ดด จะมีพาร์ตสองอีกเหรอออ กูรักมึงงงง กรี๊ดดด ดีงาม ดีงาม พูดไม่ออก ขอแค่กรี๊ดด ท่านเอ็นโจเจ้าขาาาา ตอนหัวค่ำไม่น่าคิดจะไปลงเรืออาริมะเลย กูผิดไปแล้วววว ท่านเอ็นโจช่างดี กรี๊ดดดดด แต่อ้าวววว นึกว่าจูบมาราธอนด้วยทู นึี่มันอะไร ท่านเรย์กะแพ้ สลบไป ไม่ได้นะ เอ็นโจ โมเมนต์แบบนี้มีน้อย ทำให้สลบไปได้ไง เสียเวลาาาาๆๆๆๆ // ทุบโต๊ะทุบเก้าอี้หน้าากลิ้งเกลือก
อะไรน่ะ บรรยากาศที่เหมือนเรือจะแล่นด้วยความโอตะทีวีไดเร็ก กับ Gap Moe ของทั้งนายตัวสำรองและท่านเรย์กะนั่น
นายตัวสำรอง นายจะได้ตายดีมั๊ยเนี่ย ขโมยผู้หญิงของจักรพรรดิและจอมมารในคราวเดียวกัน
*ลุ้นนนน*
บ้าเอ้ยย กูชอบเวลาสองคนนี้คุยกันจัง คุยเป็นธรรมชาติดีเหลือเกิน เรย์กะก็ไม่ได้หวดระแวงเหมือนตอนคุยกะใครบางคน ดูสนิทสนมกันดีจังเลยน้า งานอดิเรกก็ใกล้เคียงกัน เข้ากันได้ดีจังเลยน้า~
เรย์กะไปกับอาริมะได้ดีจนดูเฟรนด์โซนเลย อยากพายเรืออื่นให้กระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง
แต่ภาพหลอนคุณนายข้างบ้านคุยกันมันหลอกหลอนจนพายไม่ออก คานซังบังตากูอยู่แน่ๆ คานซัง!เอามือออกไป!
อ้อ โลกียโลก > โลกีย์ หรือโลกียะ นะโม่งแปล
อาริม้าาาาา นายมันคนดีชะมัดเลย คนดีๆแบบนี้ดันบทน้อยกว่านกพิราบ โฮวววววว ไอ้หนุ่มสองคนนั้นหัดเอานิสัยดีๆแบบนี้ไปใส่ตัวบ้างสิวะ ตอนท้ายๆก็น่ารักกกก อาริมะเป็นโอตาคุโดนท่านเรย์กะแซวหนักจนหลุดมาดคุณหนูกันเลยทีเดียว ทำไมมันน่ารักขนาดนี้วะ ฮึ่ยยยย จะน่ารักกันเกินไปแล้วนะ
อย่างกะพวกโอตาคุคุยกันเลยแฮะ 555
บรรยากาศเหมือนพูดกับคนชอบแต่งหญิง(จำชื่อไม่ได้ ขออภัยยิ่ง)จริงๆน้า~
ทั่นเรย์กะ +Get Friend!
แปลตอนล่าสุด ท่านเรย์กะหลุดมาดรั่วๆมาแล้ว คงไม่ได้ไปปักธงอาริมะหรอกนะ
เวลาอยู่กับจักรพรรดิ-เจ้าชายเคยแต่หลุดโมโห ไม่มีหลุดแบบรั่วๆให้2หนุ่มนั้นเห็นเลย
ท่านเรย์กะไม่คิดจะยั้งไว้บ้างเลยหรือไง ถ้ากูเป็นนายตัวสำรองคงเงิบอะ ช่องว่างกับความเขินอายระหว่างเพศมันอยู่ตรงไหนนนน ถ้าเป็นนางเอกเรื่องอื่นมีผู้หล่อๆมาชมนี่ต้องมโนแล้วนะท่านเรย์กะ เรื่องนี้มันช่างแห้งแล้งเหลือเกิน!
>>921 กูรู้สึกว่าเรย์กะหลุดรั่วบ่อยนะ แค่นางไม่รู้ตัวเอง เราอ่านมุมนางกันก็คิดกันไปด้วยว่าคนอื่นไม่รู้ เรย์กะซามะเนี่ยถ้าไม่มีคนทักก็จะชอบเข้าข้างตัวเองว่าคนอื่นไม่รู้ คนอื่นไม่คิด แต่จริงๆกูว่าหลุดโป๊ะบ่อย คนรอบข้างแค่ฟิลเตอร์หนาพร้อมเบลอ.. เหมือนไอ้ตอนที่นางเที่ยวเอาเกลือชำระไล่โปรยตอนทัศนศึกษา ตอนแรกอ่านมุมนางก็เข้าใจว่าคนอื่นไม่รู้ ที่ไหนได้ รู้ทั้งนั้นนี่หว่า หลุดมาแล้วเห็นๆ โป๊ะแตกชัดๆ แต่กลุ่มเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ยังคงตั้งมั่นปกป้องภาพลักษณ์ให้สุดฤทธิ์..
.
.
แล้วเอาจริงๆต่อหน้าคาบุตอนไปซุปเปอร์แล้วไปอ้อนลุงขายไก่ร่าเริงกับไก่แถมฟรีนั่นกูว่าก็หลุดรั่วแล้วนะ...ไอ้ตอนที่ทักเรื่องผมเองๆว่าเป็นมิจฉาชีพทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นใครกูว่าก็รั่ว.. หลุดนิสัยแปลกๆมาตั้งหลายหนแล้ว แต่เพิ่งมีท่าทีผ่อนคลายจนลดความระมัดระวังตัวลงก็กับอาริมะนี่แหละ
จะว่าไปท่านเรย์กะ ถ้านับอายุจิต(ไม่นับร่างกายม.ปลายนิ้ว) สมองน่าจะอายุประมาณ 35 แล้วมั้ง สำหรับญี่ปุ่น 35 นี่ก็ป้าแล้วนะ ไทโชโคโตะนั่นอีก เข้ากันมากๆ.เลยล่ะท่านเรย์กะ
>>922 ถ้าเรย์กะทำตัวห่ามๆเฮ้วๆแบบนี้มาตั้งแต่ต้น เหล่าหนุ่มๆในเรื่องคงคิดว่าเป็นเพศเดียวกันแหงๆ ไปตีๆแขนเขาแล้วหัวเราะก๊ากใส่นี่โครตจะไม่ใช่กริยาของคุณหนู แถมแซวซะ.... อารมณ์จับได้ว่าเพื่อนทำอะไรน่าอายก็เอามาแซวให้อายกันไปข้าง
>>926 กูว่าที่กล้าทำเพราะอาริมะดูอ่อนข้อให้ บวกกับเปิดเผยใจจริงว่ะ เลยกล้าเล่นด้วย กับอีตานักต้มตุ๋นนั่นต้องมาระแวงว่ามันคิดอะไรอยู่ จะเคืองมั้ย ลิมิตเล่นได้แค่ไหน อีกอย่าง...ยังไม่เจอเรื่องของจอมมารที่บอกใครเขาไปก็อายตายชักแบบอาริมะนั้นล่ะ กูว่าถ้าเรย์กะรู้น่าจะแซวจนเสียหมาตามไปอีกคนแน่ๆ
เราว่าท่านเรย์กะก็แซวเอ็นโจบ่อยนะ พอตั้งท่าจะแซวแล้วมันมีอิร่ารอยยิ้มทะมึนตามมาทุกที
*อ๊ะ ต้องแซ็วสินะ ฮา
ตอนนี้น่ารักดีนะ คุยกันงุ้งงิ้งๆ แซวกันอีก ดูสนุกสนานและสนิทกันดี ฮ้าาา
ดีกว่าใครบางคน โผล่มาก็แซะเค้าบ้างล่ะ ข่มเค้าบ้างล่ะ ล่าสุดยังไปทำท่ารู้ทัน(หรือสู่รู้) ไปขู่เค้าอีก
หืมมม หล่อมากดิ ทำไรก็ได้เหรอ หมั่นไส้จริงๆ
ชิ...
ระเบิดเรือตัวเองทำไมวะกุ แต่ช่างเถอะ พักนี้รำคาญฮี กุเชียร์คนนอกสายตาดีกว่า
หรือจะจบแบบอยู่กับท่านพี่ไปตลอดชีวิตก็ไม่เกี่ยงแล้วเว้ย!
มีซาโตมิอีกคนที่แซวกลับได้สบายมาก แต่โดนสององครักษ์ลากไปสั่งสอนในมุมมืดอยู่เป็นเนืองนิจ แต่ไม่เคยเข็ดหลาบ 5555555555
กำลังคิดว่าถ้าเอ็นโจเคยตามสโตกท่านเรย์กะแบบที่เคยมีคนบอกจริง
แล้วเห็นท่านเรย์กะคุยกระหนุงกระหนิงเอานิ้วไปจิ้มๆอาริมะ
ตอนหน้าจะมีระเบิดอีกไหมเนี่ย
เออ ดีนะ อยู่กันแบบ เราสองสามคน
ท่านอิมาริ ท่านพี่ และคุณน้องสาว อ่าส์ เพ้อออ
อ่านตอนวาคาบะบอกว่าภูตจิ๋วร้านรองเท้ามาทำความสะอาดโต๊ะให้ พวกมึงว่าวาคาบะจะรู้มั้ยว่าเรย์กะนั่นล่ะที่มาทำ แต่เฉไฉตอบอาริมะไปอย่างนั้นเอง ไม่ให้รู้ว่าสนิทกัน
อาจจะไม่รู้ว่าใครทำก็ได้มั้ง เรย์กะไม่น่าหลงเหลือหลักฐานทิ้งไว้
แต่กูก็สงสัยนะว่าเจ้าตัวไม่คิดจะมาเช้าเพื่อหาความจริงให้ตัวเองบ้างเหรอ ต่อให้ไม่แคร์ว่าใครแกล้ง แต่ก็น่าจะสงสัยว่าทำไมโต๊ะตัวเองเงาวับทุกเช้าหน่อย...
หรือเพราะตารางรถไฟ เลยมาเช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ถถถ
>>947 กูว่าเพราะตารางรถไฟมั้ง เลยมาเช้ากว่านี้ไม่ได้ละ แต่คนที่แกล้งนางแม่งโครตอุตสาหะเลย เขาลบทุกวันก็ยังเขียนได้ทุกวัน ไม่ใช่ว่าแหกขี้ตาตื่นมาเขียนข้อความด้วยนะ มึงเอารางวัลคนพยายามประจำเรื่องนี้ไปเลย
กูว่าวาคาบะรู้ว่ะ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ เพื่อให้เรย์กะสบายใจ ตอนโป๊ะแตกเรื่องจดหมายเตือน เรย์กะยังอายแทบแทรกแผ่นดินหนี วาคาบะคงเห็นว่าเรย์กะจะอายมั้ง ก็เลยไม่พูดอะไร ปล่อยให้เล่นบทพระรอง แต่จริงๆรู้ตั้งแต่ไก่โห่แล้ว
Side Story of ch.247
“งั้นหรอกหรือครับ ขอบคุณมากนะครับ รบกวนคุณมัตสึโมโต้แย่เลย”
ปลายสายรีบพูดแย้ง
“จะรบกวนได้ยังไงล่ะครับ ตอนลูกสาวผมเข้าโรงพยาบาลก็ได้ท่านเอ็นโจช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ ถ้าไม่ได้ท่าน ลูกสาวผมก็คง....” น้ำเสียงของชายวัยกลางคนสลดลง ก่อนจะพูดต่อด้วยความกระตือรือร้น “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยอีก บอกได้ทันทีเลยนะครับ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ คุณมัตสึโมโต้ ผมคงรบกวนเวลาของคุณแค่นี้ล่ะครับ ขอบคุณครับ”
..
พักนี้คุณคิโชวอินมักจะอยู่กับมิซึซากิ อาริมะ
พอตามสืบข่าวจากพนักงานรักษาความปลอดภัยที่คอยตรวจตรากล้องวงจรปิด ก็พบว่าก่อนหน้านั้นคุณคิโชวอินมาโรงเรียนแต่เช้า และมักจะไปทำความสะอาดโต๊ะที่ถูกขีดเขียนของคุณทาคามิจิทุกวัน
‘แหม คุณหนูเธอเป็นคนมีน้ำใจจริง ๆ เลยครับ ขัดทั้งโต๊ะทั้งล็อคเกอร์ของเด็กที่ถูกแกล้งซะจนสะอาด สมัยนี้หาคนแบบนี้ได้ยากมาก ๆ อย่าว่าแต่จะเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านคิโชวอินคนนั้นเลย เด็กธรรมดาสมัยนี้จะหาคนที่ช่วยเหลือคนอื่นอย่างไม่หวังผลตอบแทนก็หาได้ยากยิ่งกว่าตัวโนซุจิซะอีก อา นอกจากคุณหนูคนนั้นก็มีแต่ท่านเอ็นโจล่ะครับ’
ผมนึกถึงคำพูดของคุณมัตสึโมโตะแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ฮืมม์ คนที่ช่วยคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนงั้นหรือ? ผมคงไม่กล้ารับตำแหน่งนั้นหรอกนะ
‘แล้ว...เด็กที่มาแกล้ง...’
น้ำเสียงในตอนนั้นของคุณมัตสึโมโตะลังเล ถ้าไม่มีใครสืบ ทางทีมรักษาความปลอดภัยก็ไม่อยากเข้าไปยุ่มย่ามกับการกลั่นแกล้งในโรงเรียนเท่าไหร่ โดยเฉพาะถ้าผู้เสียหายไม่ได้เรียกร้องหรือเป็นผู้มีอิทธิพลใดๆ
‘ถ้าแจ้งทางผู้อำนวยการไปจะลำบากคุณมัตสึโมโตะเปล่าๆ เรื่องนี้ให้จัดการกันเองเถอะครับ’
ผมบอกไปอย่างนั้น เพราะเรื่องของคุณทาคามิจิผมไม่คิดจะเข้าไปมีส่วนร่วมแม้แต่น้อย ถึงเธอจะเป็นคนที่มาซายะชอบก็เถอะ
แต่การที่ต้องให้คุณคิโชวอินมาเก็บกวาด แถมยังเข้าไปพัวพันกับมิซึซากิ อาริมะ...
แค่คิดว่าประธานนักเรียนคนก่อนเป็นใคร ผมก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจซักเท่าไหร่
ถ้าไม่ทำอะไร...ก็คงไม่ได้สินะ
......
หมู่นี้นอกจากองครักษ์ซ้ายขวา คุณคิโชวอินก็มีนางสนองพระโอษฐ์เพิ่มขึ้นมาอีกคน
ตอนที่อยู่ใน Pivoine ผมเห็นคุณคิโชวอินกับเธอคนนั้นพูดคุยอย่างสนุกสนานบ่อยครั้ง มาซายะเล่าให้ฟังว่าเธอคนนั้นชอบเรื่องลึกลับแปลกๆ ที่ไม่มีอยู่จริง
ผมที่นั่งฟังมาซายะบรรยายเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่นาซ่าเพิ่งค้นพบปลายตามองไปยังทั้งสองคนที่พูดคุยกันอย่างน่าสนุกสนาน ท่าทางเกร็ง ๆ เมื่อตอนแรกที่เพิ่งเริ่มคุยกันผ่อนคลายลงมาก ระดับของความหวาดระแวงผิดกับตอนที่พูดคุยกับผมลิบลับ
เห็นอย่างนั้นผมจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องของทาคามิจิ พอบอกไปว่านอกจากเหตุการณ์ที่คุณทาคามิจิโดนปาขยะใส่ ก็ได้ยินว่าเธอถูกกลั่นแกล้งมากกว่านั้น มาซายะจึงรีบชวนผมออกไปยังห้องประชุมลับทันที พอพวกเราลุกขึ้น สมาชิกใน Pivoine ก็ทักอำลาตามมารยาท คุณคิโชวอินที่กำลังคุยอย่างสนุกสนานกับเพื่อนใหม่เงยหน้าขึ้นมามองพวกเราด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มกลับเมื่อผมส่งยิ้มไปให้
ไม่ต้องเดินถึงห้องประชุม มาซายะก็พิมพ์อีเมล์เรียกตัวคุณคิโชวอินทันที ไม่นานนัก คุณคิโชวอินก็มายังห้องประชุม ทักทายผมตามมารยาท แล้วก็มองข้ามผมเข้าไปยังมาซายะ
พอคุณคิโชวอินมา มาซายะก็เปิดประเด็นเรื่องที่คุณทาคามิจิโดนกลั่นแกล้งทันที ยิ่งคุยเธอก็ยิ่งมีสีหน้าลำบากใจขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะยิ่งตอนที่มาซายะประกาศก้องว่าจะจับตัวคนร้าย คุณคิโชวอินก็ทำท่าทางตระหนก
หือม์?
จริงสินะ คุณคิโชวอินกับมิซึซากิ อาริมะคนนั้น...คนที่คอยช่วยเหลือลับหลัง กับคนที่รักความยุติธรรมสุดๆ ถ้ารู้ว่ามีคนพยายามกลั่นแกล้ง จะไม่สืบหาตัวคนร้ายเลยก็แปลก
เพราะงั้นคุณคิโชวอินที่ร่วมมือกับศัตรูหัวใจของมาซายะไปแล้วจึงรีบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด พอเห็นเธอมีท่าทีอึดอัดมาก ๆ ผมก็อดช่วยไม่ได้
“ผมเห็นด้วยกับคุณคิโชวอินนะ” ผมที่นิ่งเงียบมองทั้งสองคนมาตลอดพูดขึ้น “สาเหตุที่คุณทาคามิจิตกเป็นเป้าหมายแห่งความริษยาของพวกผู้หญิงส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมาซายะด้วย ยิ่งถ้ามาซายะออกตัวมาปกป้องคุณทาคามิจิอย่างเปิดเผย ก็จะยิ่งเหมือนราดน้ำมันเข้ากองไฟนะ”
สีหน้าปลื้มปิติของคุณคิโชวอินที่ส่งมาให้ผมเจิดจ้ายิ่งกว่ารอยยิ้มที่ผมเคยได้รับมาทั้งหมด ผมอดยิ้มตอบไม่ได้ ก่อนจะสุมไฟมาซายะและเตือนคุณคิโชวอินเป็นนัยด้วยประโยคถัดไป
“แล้วดูเหมือนเธอเองก็มีพรรคพวกที่คอยช่วยเหลืออยู่อย่างมิซึซากิ คงไม่จำเป็นต้องห่วงมากนักหรอกมั้ง”
มาซายะของขึ้นทันทีตามที่คาดไว้ ส่วนคุณคิโชวอินเสริมต่อผมด้วยท่าทีกระตือรือร้นแบบที่ไม่ได้ยินคำเตือนในคำพูดแฝงนัยของผมเลยแม้แต่น้อย...
อ้อมค้อมไปสินะ
พอมาซายะพูดเรื่องที่โต๊ะของคุณทาคามิจิถูกขีดเขียน คุณคิโชวอินก็ทำตาโต ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดในใจเหมือนจะเขียนไว้บนหน้าผากของเธอหมด ประมาณว่า รู้แล้วงั้นเหรอ?! รู้ได้ไง??!!!
เห็นสีหน้าอย่างนั้น ผมเองก็อดสะใจไม่ได้ โลกนี้ไม่มีความลับหรอกนะครับ คุณคิโชวอิน เพราะว่าสีหน้าตกใจของเธอตลกมาก ผมก็เลยแกล้งอีกหน่อย
“เรื่องนั้น ผมก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
สีหน้าที่บอกว่า ‘คนทรยศ’ กรีดร้องบนใบหน้าที่เหมือนตุ๊กตานั่น ผมยิ้มเย็น ๆ คนทรยศงั้นเหรอ เป็นคุณที่ทรยศไปสนิทสนมกับประธานนักเรียนก่อนนะครับ คุณคิโชวอิน
แต่ถึงแม้ว่าผมอยากจะแกล้งเธอมากกว่านี้ แต่ก็ไม่อยากให้เธอวิ่งหนีไปเหมือนกระต่ายน้อยจนผมเข้าประชิดตัวไม่ได้อีก ดังนั้นผมเลยพูดช่วยเธอต่ออีกประโยค
“ช่วงที่สอบปลายภาคเสร็จละมั้ง ได้ยินเรื่องนั้นมาแว่วๆ เหมือนกัน แต่ดูเหมือนระยะนี้จะหายไปแล้วนะ”
“งั้นเรอะ” มาซายะหันหน้ามาหาผม สีหน้ายังคงเคลือบแคลง
“อื้อ จะไปควานหาตัวคนร้ายทางโน้นคงยาก ไม่จำเป็นต้องไปแหย่เรื่องที่สงบไปแล้วให้กระพือขึ้นอีกครั้งหรอก ที่สำคัญก็คือเจ้าตัวเขาจะคิดยังไงน่ะนะ บุคคลที่สามอย่างพวกเรามานั่งเถียงกันนั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร ถามเจ้าตัวโดยตรงดีกว่านะ ว่าเขาอยากให้มาซายะช่วยหรือเปล่า”
ใช่ คุณคิโชวอินก็ด้วย ทั้ง ๆ ที่เด็กคนนั้นไม่ได้ขอ แต่คุณก็ยังลงทุนตื่นแต่เช้ามาทำความสะอาดให้เธอทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ผมคอยช่วยคุณหลายอย่าง แต่ต้องทวงบุญคุณถึงจะยอมออกหน้าช่วยผม
ถ้ายังใจร้ายเฉพาะกับผมคนเดียว...ผมจะไม่ใจดีด้วยแล้วนะ
เห็นคุณคิโชวอินมีสีหน้าแปลกใจ ผมก็พูดต่อ “มาซายะฉวยโอกาสตอนไปเจอเขาโดนปาขยะใส่ขอคำสัญญาเดทครั้งต่อไปได้น่ะสิ บอกว่าไปดูหนังด้วยกันเปลี่ยนบรรยากาศไหม”
พอพูดถึงหนัง ทั้งสองคนก็พูดคุยกันเรื่องหนังจนลืมผม ผมมองคุณคิโชวอินที่มีสีหน้าโล่งใจ พลิกดูโปรแกรมหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ อันที่จริงตั้งแต่ผมรู้จักเธอมา ก็ไม่เคยได้ไปไหนด้วยกันสองคนซักครั้ง ต้องเอายูกิโนะมาล่อนั่นแหล่ะถึงจะไป การที่เธอไปไหนมาไหนก็มาซายะสองคนเป็นเรื่องที่ทำให้ผมหงุดหงิดนิดหน่อย ผมมองคุณคิโชวอิน แล้วนึกถึงตอนที่คุยโทรศัพท์กับคุณมัตสึโมโตะ
‘วันนี้คุณหนูคิโชวอินกับผู้ชายคนนั้นก็มาคุยกันตั้งแต่เช้าครับ ดูท่าทางสนิทสนมเชียว’ คุณมัตสึโมโตะพูดแกมหัวเราะ ‘คิดถึงตอนสมัยผมหนุ่ม ๆ ก็ตื่นแต่เช้าเพื่อจะได้ไปดักเจอผู้หญิงที่ชอบ ดูท่าคุณหนูเธอก็คงพอใจผู้ชายคนนั้นไม่น้อย เพราะเดินเล่นกันจนถึงเวลาเข้าเรียนเชียว’
“เรื่องนี้ก็น่าจะดีนะ หนังสปาย” ผมชี้ไปยังภาพโปสเตอร์โปรโมตภาพยนตร์ในนิตยสาร “ภาพยนตร์แนว Crime Suspense ที่บอกเล่าถึงอนาคตอันทารุณของตัวเอกที่กลายเป็นสปายสองหน้าไงล่ะ”
พอมาซายะก้มหน้าก้มตาอ่านเนื้อเรื่องย่อ ผมก็หันไปหาคุณคิโชวอิน
“คุณคิโชวอินก็ชอบหนังสปายด้วยหรือเปล่า”
คุณคิโชวอินนิ่งไปซักพัก ก่อนจะตอบกลับมา
“คงเฉย ๆ ละมั้งคะ”
สีหน้าของเธอหลังจากที่ตอบผมดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูท่าคำพูดของผมจะแทงใจดำเธอไม่น้อย
ร่วมมือกับประธานนักเรียนจริง ๆ ด้วยสินะ
“แต่จุดจบของสปายสองหน้าเนี่ยไม่ว่ายุคไหนก็แล้วแต่โหดเหี้ยมทารุณทั้งนั้นเลยนะ พอตัวจริงเปิดเผยออกมาก็ถูกพรรคพวกตัดขาด โดนฝั่งศัตรูตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ โดนไล่ล่าแล้วก็โดนเก็บ”
สีหน้าของคุณคิโชวอินซีดลงเรื่อย ๆ พอเห็นอย่างนั้นผมก็อดยิ้มไม่ได้
หน้าตอนดีใจของคุณคิโชวอินน่ารัก
แต่สีหน้าตอนลำบากใจเพราะผม...น่ารักยิ่งกว่า
วาระสุดท้ายก็ไปจบที่อยู่ก้นทะเลไม่ก้ในหุบเขาโดยไม่มีใครล่วงรู้ละมั้ง... จะยังไงซะ ก็ไม่น่ารับบทเป็นสปายสองหน้าเลยจริง ๆ เนอะ”
ผมหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าของคุณคิโชวอินตอนที่ผมพูดว่าไม่น่าเป็นสปาย อ๊ะ ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ ถึงจะบอกว่าสีหน้าลำบากใจของคุณคิโชวอินน่ารักมาก แต่ผมชอบตอนที่เธอใกล้จะร้องไห้เพราะโดนผมแกล้งที่สุด
คุณคิโชวอินจ้องหนังสือในมือไม่ตอบผม ตาไม่ได้อ่านหนังสือเลยด้วยซ้ำ ไม่แม้กระทั่งจะรับรู้ว่าผมตบไหล่ของเธอเบา ๆ ด้วยความสนิทสนม
โทรศัพท์มือถือของผมสั่นบอกว่ามีอีเมล์เข้ามา ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นสองอีเมล์ อีเมล์แรกมาจากยุยโกะเมื่อสิบนาทีที่แล้วแต่ผมไม่รู้ตัว ผมเลื่อนเคอร์เซอร์ผ่านอีเมล์ของยุยโกะไปเปิดอ่านอีเมล์ที่สองทันที
‘ขอโทษด้วยนะครับท่านเอ็นโจ อาทิตย์หน้าผมลาพักผ่อนไปเที่ยวกับครอบครัวครับ แต่ผมส่งยูสเซอร์กับรหัสเข้าดูกล้องรักษาความปลอดภัยของซุยรันมาให้ สามารถต่อดูออนไลน์ได้ เผื่อท่านเอ็นโจอยากจะคอยดูแลคุณหนูคิโชวอิน ถึงแม้ว่าจะไม่มีกฎห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องดูกล้องวงจรปิด แต่ยังไงก็ขอให้ท่านเอ็นโจปิดเรื่องนี้เป็นความลับให้หน่อยนะครับ – มัตสึโมโตะ’
ผมเลิกคิ้ว ก็ไม่คิดว่าจะตามดูด้วยตัวเองหรอกนะ แต่...
ผมเงยหน้ามองคุณคิโชวอินที่ทำท่ามีพิรุธ
จับตาดูไว้หน่อยดีกว่า
.............
ช่วงนี้กระทู้วิ่งกันรัว
เรื่องโหวตชื่อห้องใหม่ สรุปคะแนนเป็นไงบ้าง
น่าจะปิดโหวตได้แล้วมั้ง
>>814 ปราสาทไร้รักของท่านราชินี: งานเต้นรำหน้ากากราตรีของท่านราชินีที่ตามหาราชา และกลยุทธ์ชิงหัวใจของจอมมารที่หวังไม่ให้ราชินีมีราชาเป็นของตน!![ปราสาทหลังที่19]
= 3 แต้ม
>>815 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับใบประกาศหาคู่ของจักรพรรดินี (ใบประกาศโดนฉีกอีกแล้ว!! ครั้งที่ 19 แล้วนะ!!)
= 1 แต้ม
>>819 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับปฏิบัติการตามหาโจรขโมยหัวใจของสาวสายลับสองหน้า (น้ำยาขัดโต๊ะขวดที่ 19)
= 2 แต้ม
>>821 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการขี่โพนี่พุ่งทะยานข้ามแดนไปหาเจ้าชาย (หน้าตาสมัยศตวรรษที่ 19)
= 9 แต้ม
>>825 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับนิทานเล่าขาน "ใครจะเอาแหวนเงินไปสวมนิ้วนางเจ้าแม่" (มหกรรมการแข่งขันขว้างมีด เป้าหมายคือตาซ้ายข้างนั้น! ครั้งที่ 19)
= 0 แต้ม
ช่วงนี้กูอยากโดดลงเรืออาริมะเต็มตัวมาก ถ้าไม่ติดเรื่องเฟรนด์โซ... อะแฮ่มๆสมาคมแม่บ้านทีวีไดเร็กกับเรื่องที่อาริมะอาจจะชอบวาคาบะละก็นะ ดีต่อใจชะมัด เป็นหนึ่งในกี่คนในโรงเรียนที่ท่านเรย์กะอยู่ด้วยแล้วผ่อนคลายจนหลุดมาด แถมไปแซวเขาซะเขินอีก 5555
มีแต่มุมมองเอ็นโจเป็นจอมมาร อยากได้มุมมองเอ็นโจแบบเซื่องซื่อ แค่ไก่อ่อนที่จีบสาวไม่เป็นบ้างจัง ถถถ
โถ อาริมะกับท่านเรย์กะตอนนี้น่ารักดีแท้ ท่านเรย์กะหลุดเอานิสัยชาติที่แล้วมาอีกแล้วเหรออ จริงๆ ก็สงสัยนะ ชาติที่แล้วก็จริง แต่ก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วนะ ทำไมนิสัยใหม่จากสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ฝังรากลงไปในตัวท่านเรย์กะเสียทีเนี่ยยยยย โอ๊ยย อยู่ดีๆ ก็เกิดอยากลงเรืออาริมะะะะะ เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ กรี๊ดดด
>>952-954 ขอบคุณโม่งฟิคคคคคคคคคคคค กูรักมึงงงง อ่านตอนนี้แล้วเอ็นโจใจร้ายจังนะ แอบงอนๆ โดยที่ทางโน้นก็ไม่รู้ตัวว่าเพราะอะไร โถโถ ท่านเอ็นโจคะ เลิกดูท่านเรย์กะผ่านกล้องวงจรแล้วออกไปคุยเลยดีไหมคะ ดีไม่ดี ตอนคุณลุงภารโรงกลับมา ท่าทางจะยึดห้องกล้องวงจรปิดเป็นศูนย์บัญชาการแล้วสินะ อ๊ะ หรือว่าไม่ ใช้วิธีต่อกลับไปดูที่คฤหาสน์เอ็นโจนะ????
กลายเป็นว่าวันนึงนั่งดูอึน ๆ อยู่ ยูกิโนะโผล่เข้ามาพอดี
"ท่านพี่ดูอะไรอยู่ฮะ"
"....." เอ็นโจปิดหนีไม่ทัน
"อ๊ะะ คุณพี่เรย์กะนี่นาา ผมดูด้วยคนสิฮะ"
กว่าจะรู้ตัว สองพี่น้องมีงานอดิเรกคอยดูท่านเรย์กะเสียแล้ว อาจมีการจ้างคนเพื่อคัดกรองเอาแต่โมเมนต์ท่านเรย์กะโดยเฉพาะ
มุมที่โรงอาหาร
ยูกิโนะ : "คุณพี่เรย์กะกินโอเปร่าเค้กไปชิ้นนึงแล้ว ยังจะสั่งเยลลี่ส้มอีกเหรอฮะ?"
เอ็นโจคนพี่ : "อืมมม" (เงียบ ๆ แต่ในใจคิดว่าจะไปทักเรย์กะเรื่องชุดหน้าร้อน)
ที่ห้องชมรม
ยูกิโนะ : "ท่านพี่ฮะ คิดถึงคุณพี่เรย์กะถักทานุกิหรือแมวน้ำฮะ?"
เอ็นโจคนพี่ : "อืมมม" (เงียบ ๆ แต่ในใจคิดว่าจะไปทักเรย์กะเรื่องติดพ่อ)
ต่อฟิคเวียน (พาร์ทเรย์กะ) >>857
กูไม่แน่ใจว่าเพื่อนที่แต่งพาร์ทเอ็นโจจะจบตอนที่ช่วงไหน แต่กูคันไม้คันมือจนขออนุญาตแทรกแล้วกัน หากว่าไปขัดช่วงต่อของเพื่อนโม่งก็ขออภัยด้วยค่ะ *ไหว้*
-----------
อุหวา อุหวา หวาา ทำยังไงดีล่ะเนี่ย
รู้สึกหน้าร้อนจนคิดอะไรแทบไม่ออกเลย
เอ็นโจเปิดประตูฝั่งคนขับและขึ้นนั่งจับพวงมาลัย หันมาส่งยิ้มให้
ในที่แคบๆสภาพปิดอย่างในรถแบบนี้ นี่มันใกล้เกินไปแล้ว!
มันเป็นเวลาเกือบสองเดือนตั้งแต่คืนฮาโลวีนวันนั้นที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงเอ็นโจมาตลอด
แต่อยู่ในรถแบบนี้ก็แย่แล้วซิคะะ!!
"อื๋อ? คาดเบลล์ด้วยซิครับเรย์กะ... มาผมคาดให้"
ไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ็นโจก็ขยับตัวเอื้อมมือเข้ามาใกล้
กะ ใกล้เกินไปแล้ว!
ฉันตกใจจนนิ่งค้าง สายตาเจ้ากรรมก็ดันเผลอจับจ้องไปที่ริมฝีปากของคนตรงหน้า พลันให้นึกถึงค่ำคืนในวันนั้นขึ้นมาอีก
กรี๊ดดด ไม่น้าาาา มานึกอะไรตอนนี้กันเล่า!!!!!
"มะ ไม่เป็นไรค่ะ!!"
ฉันร้องเสียงหลง รีบผลักตัวเอ็นโจกลับไปทันที ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มเล็กๆ นี่แกล้งกันอีกแล้วใช่มั้ยน่ะหา!!?
ฉันทั้งรู้สึกหน้าร้อนวูบทั้งฉุน เลยส่งสายตาเขม็งใส่อย่างแค้นเคือง หนอยแน่!!!
เอ็นโจยังคงหัวเราะยิ้มละไมไม่สะทกสะท้านสักนิด ยังทำสายตาแปลกมองกลับมาอีก
"ยอมมองหน้าผมตรงๆสักทีเนอะ"
"เหะ?"
"ก็ตั้งแต่วันฮาโลวีนนั้น เรย์กะก็หลบหน้าหลบตาผมตลอดเลยนี่นา"
อึก กะ ก็ความผิดใครกันล่ะคะ!!!
เอ็นโจยกมือเข้ามาใกล้ ฉันผงะและขยับถอยตัวหลังชิดประตูรถ แต่แขนยาวๆนั่นก็ยังจะเอื้อมมาถึงอีกแน่ะ
มือหนาสัมผัสใบหน้าของฉันแผ่วเบา ปลายนิ้วนั้นเย็นจนทำเอาใบหน้าร้อนๆของฉันกระตุกเล็กน้อย
มัวแต่โฟกัสที่มือที่ไล้ใบหน้า พอมองเบื้องหน้าอีกที ใบหน้าของเอ็นโจก็โน้มเข้ามาใกล้แล้ว!
ดะดะดะ เดี๋ยวก่อนสิ! จะทำอะไรน่ะค้า!?
ฉันรู้สึกงุ่มง่ามทำอะไรไม่ถูกไปทั้งหมด ทำไงดีๆ
"อยากให้ในสายตาคุณมีแค่ผมจัง..."
"!!!!!!!!"
อะไรสักอย่างระเบิดดังบรึ้มในหัว แล้วระบบก็ขัดข้อง สมองฉันนิ่งงันไม่ทำงานใดๆแล้ว
"เรย์กะ?"
"อะอะอะ อุเงี้ยวววววววววว"
ฉันแหกปากดังลั่นรถจนเอ็นโจสะดุ้งชะงักไป สบโอกาสฉันก็หันเปิดประตูรถ แล้วชิ่งออกไปทันที!
"เอ๋!? เรย์กะ!!"
มะ ไม่ไหวแล้วค่าาาาาาา!!!
สถานการณ์ที่ไม่เคยเจอะเจอแบบนี้ทั้งชาตินี้ชาติก่อน นี่มันอะไรกันน่ะคะ!? ทำไงดีๆๆๆ?
ไม่ไหวแล้ว ฉันรับมือไม่ได้จริงๆค่าาาา
ลงจากรถฉันก็วิ่งเผ่นแบบไร้ทิศทาง ได้ยินเสียงเอ็นโจไล่ตามมา ฉันก็วิ่งแบบไม่คิดชีวิต
โอ๊ยย ดันใส่ส้นสูงลงมาด้วยซิ เห็นว่าจะกินราเมงใกล้ๆ รู้งี้น่าจะเปลี่ยนรองเท้าก่อน!
มองไปข้างหน้า ในย่านการค้าที่มีแต่คู่หนุ่มสาวควงคู่เดทกันในคืนคริสต์มาสอีฟ แล้วดูฉันซิต้องมาวิ่งป่าราบ บ้าที่สุดเลย!
โอ๊ย เหนื่อย แต่เอ็นโจก็ยังคงฝ่าฝูงชนตามมาที่ข้างหลัง สติสตังฉันยังไม่สู้ดีก็คิดได้แค่วิ่งต่อไปเท่านั้นล่ะค่ะ
ฉันวิ่งหักหลบเลี้ยวลดหวังจะสลัดให้หลุด จนเริ่มหอบแฮ่ก ผ่านไปอีกหนึ่งเลี้ยวโค้ง ก็เห็นหลังของคนคุ้นๆยืนต่อคิวอยู่หน้าร้านราเมงที่มีลูกค้าแน่นเอี้ยด
เห็นแบบนั้นฉันก็คว้าแขนคนๆนั้นหมับ
"มิซึซากิคุง!!!"
"หือ? คิโชวอิน? ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ?"
"ช่วยฉันด้วยค่ะ!!"
มิตรแท้แห่งความยุติธรรม ได้โปรดช่วยลูกด้วยเถอะค่า!!
"อะไร? เกิดอะไรขึ้น?"
"คะ คือว่า..."
"เรย์กะ"
"อุกรี๊ด!"
เอ็นโจโผล่ตัวมาจากข้างหลัง ทำเอาฉันสะดุ้งสุดตัว รีบไปเกาะข้างหลังนายตัวสำรองเป็นกำบัง
เอ็นโจหายใจหอบเล็กน้อย ผิดกะฉันที่แทบจะเข่าอ่อนแล้ว แถมยังคงมีรอยยิ้มปะใบหน้า รอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกถึงพายุหิมะบนยอดเขาสูง นะ น่ากลัวสุดไปเลย! ฉันจะร้องไห้แล้วจริงๆนะ!
"เฮ้ นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ คิโชวอิน!"
นายตัวสำรองหันมากระซิบกะฉันที่กำเสื้อกันหนาวของเขาแน่น
"ช่วยฉันด้วยเถอะค่ะท่านประธาน!"
"ตอนนี้บริษัทเธอเป็นนายจ้างฉันต่างหากเล่า! อย่าลากฉันไปเกี่ยวกับปัญหาคู่รักซิ!"
"ก็บอกแล้วไงล่ะ ว่าฉันกับเอ็นโจไม่ได้เป็นอะไรกันน่ะ!"
" ซุบซิบอะไรกันเหรอ ทั้งสองคน"
"!!!!"
เสีนงเอ็นโจดังแทรกการกระซิบกระซาบของฉันกับนายตัวสำรอง น้ำเสียงเยียบเย็นจนนายตัวสำรองก็ยังตัวกระตุกเบาๆ
"เรย์กะคงลืมของไว้กับคุณมิซึซากิสินะ"
"หา?"
"คุณมิซึซากิส่งคืนมาได้แล้วน่า"
เอ็นโจเดินทอดน่องเข้ามใกล้ ผายมือเหมือนขอรับของที่มา นายตัวสำรองหันขวับมาที่ฉัน สายตาบอกว่า "รีบออกไปซิ!"
ไม่นะ! ฉันไม่ใช่สิ่งของนะยะ!!!
ให้ตายก็ไม่ตามไปสองต่อสองด้วยหรอก!
อยากจะบอกแบบนั้นจังค่ะ แต่ใจไม่กล้าพอ แง้
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆเลย เราสามคนนิ่งงันดูเชิงกัน จนกระทั่งมีบุคคลที่สี่เข้ามา
"เอ่อ... ลูกค้ากี่ที่ครับ?"
"ที่เดียวครับ" นายตัวสำรองตอบพนักงานร้านราเมง
"สองที่ค่ะ!" ฉันรีบพูดแทรก นายตัวสำรองทำตาเขียวปั๊ดใส่ เอ็นโจก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ไม่เอาอะ ขอพระคุ้มครองหนูด้วยเถอะค่า
นายตัวสำรองหันรีหันขวางไปมา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกถามเอ็นโจ "ทานราเมงด้วยกันมั้ย...?"
เอ็นโจจ้องฉันนิ่ง สายตาเหมือนคาดโทษจนรู้สึกตัวหดเล็กลงทุกที
เอ็นโจถอนหายใจ ยิ้มขื่นๆ
"ถ้าเรย์กะอยากทาน งั้นก็ได้ครับ"
"3ที่ครับ"
นายตัวสำรองหันสรุปจำนวนที่นั่งกับพนักงาน
-------
กูพาอาริมะกลับมาแล้ว คริสต์มาสของสามเรา 5555555
>>974-975 มึ๊งงงงงงงงงงงงง!!!! ชนะเลิศมากดีไหมมมม แหม แหม ตอนแรกกูก็นึกว่าจะมีฉากสวีทจูบในรถอีกเล็กน้อยไปจนถึงเกือบเยอะ ที่ไหนได้ ท่านเรย์กะสมองระเบิดอุทานแปลก ๆ ไม่เป็นภาษา (ถ้าท่านเรย์กะไม่วิ่งลงมาจากรถเสียก่อนคงถูกล้อแล้วสินะ) แล้วย้อนกลับไปหาอาริมะอีก โถโถ คริสต์มาสของสามเราจริงๆ แถมยังเป็นคืนกินราเม็ง รันทดได้ใจมากมึงงง ชอบๆๆๆๆๆ 55555555 ว่าแต่ไหนท่านพี่พาอาริมะมาขัดเอ็นโจไม่ใช่เหรอ ทำไมรีบเข็นท่านเรย์กะออกไปจัง ไม่มีคิดจะรั้งไว้เลยเหรอ หรือจะรู้ว่าศึกครั้งนี้ลงไปก็ไม่ได้ประโยชน์ โถโถ
ลืมฮ่ะ ขอบคุณมึงงงง
บางทีกูก็สงสัยนะ คนกระทู้นี้คือตื่นเช้าหรือยังไม่ได้นอนกันวะ....
กริ๊ดดด ทำดีมากมึง
เอาอาริมะกลับมาได้ โมเมนต์คู่นี้นี่ดีต่อใจจริงๆ
เอาให้คุณนักต้มตุ๋นร้อนใจกระวนกระวายเยอะๆเลยค่าาาา
>>974-975 กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด คริสต์มาสของเราสองสามคน จะว่าฮาก็ฮา จะว่าอนาถก็อนาถ ท่าทางจะเป็นคริสต์มาสแรกที่ได้ใช้เวลาด้วยกันทำไมมันรันทดอย่างเนร้ อย่าลืมเอาไว้เล่าให้ลูกให้หลานฟังไปชั่วกาลปาวสานนะ คุณนักต้มตุ๋น 5555555555555555
มีใครต่อมั้ย ขอจองคิวหน่อย กูจะแกล้งคุณนักต้มตุ๋น //ชูไม้ชูมือสูงๆค่ะ
ขอบคุณนะโม่งฟิคดีใจที่มีฟิคอ่านก่อนสอบTT//สงสารอาริมะแท้อุตส่าห์หนีได้แล้วแท้ๆต้องมาทนสายตาจอมมารอีกรอบ555
สถานีต่อไป สถานีหมู่บ้านคานทองนิเวศน์ ท่านสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปยังสายหมู่บ้านมีรักได้ที่สถานีนี้ โดยประตูรถจะเปิดทางด้านขวา
>>>/webnovel/4296/
เชิญวิ่งโพนี่กันได้ตามสบาย
>>974-975 ทีแรกกูก็นึกไปฉากวาบหวิวติดเรทซะอีก แต่ดันเป็นฉากหักธงงั้นเร้ออออออ สมเป็นเจ้าแม่จริงๆ โอกาสมากองแทบเท้าดันหักธงไม่เหลือชิ้นดีเลย คริสต์มาสมันควรเป็นค่ำคืนโรแมนติคของคู่รัก แต่ดันไปนั่งโซ้ยราเมงกันสามคนเนี่ยนะ หมดกันความโรแมนซ์ ถ้าท่านพี่เช็คกล้องวงจรปิดเห็นน้องสาววิ่งออกจากรถ มีไอ้หนุ่มวิ่งตามไปคงฮาน่าดู 555555555555555555555
อาริมะ: ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ไม่ต้องมาดีกับฉัน ถึงเธอจะไม่รักฉันแต่มาทำแบบนี้ฉันก็หวั่นไหว~~~~
ตอนต่อไป การเผชิญหน้าระหว่างชูสุมอย หมาป่าเงิน และลูกทานุกิปุ้มปุ้ย!
เดี๋ยวนี้กระชุ่มชุ่มชวยหัวใจจริมๆ
เหลืออีกนิดมีใครจะส่งท้ายอะไรไหม ฮา
ขอให้คานซังยอมแพ้เจ้าแม่!
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.