เข็มนาฬิกาเดินไป แต่ละนาทีที่ไหลผ่านนั้นทำให้รู้สึกกดดันพอสมควร นึกภาวนาในใจไม่ให้เขาคิดทำอะไรบ้าๆอย่างหนีไปฆ่าตัวตายแบบในโลกเดิมของผม
ผมโทรหาทั้งมาซายะ ไอระ ยูริเอะแต่ไม่มีใครรับสาย พอขับเข้ามาใกล้บ้านของยูริเอะก็ได้เห็นมาซายะยืนอยู่กับยูริเอะที่หน้าบ้าน ท่าทางเหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่
การโต้เถียงจบลงด้วยยูริเอะวิ่งเข้าบ้าน ส่วนเขายืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
“มาซายะ”
นานพอดูกว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าผมยืนอยู่ข้างๆ มาซายะเงยหน้าขึ้นมาแล้วหันมาพยักหน้าให้แบบเนือยๆ มีรอยแดงรูปฝ่ามือประทับอยู่ที่แก้มซีกซ้าย
“ชูสุเกะ”
“อื้อ”
“มาทำอะไรที่นี่ ก็บอกให้ไปรอที่บ้านไม่ใช่รึไง”
“มารับนายกลับบ้าน”
“จุ้นไม่เข้าเรื่อง” มาซายะถอนหายใจ “เอ้า กลับก็กลับ รถอยู่ไหนล่ะ”
เขาเดินตามผมมาขึ้นรถแต่โดยดี แล้วก็เอาแต่นั่งเงียบมองออกไปนอกหน้าต่างไม่พูดไม่จา
รถขับข้าม Tower Bridge มาได้ ผมก็บอกให้คนขับจอดรถแล้วดึงแขนมาซายะออกไปที่ The Queen’s walk แบบที่มาซายะทำกับผมเมื่อตอนเที่ยง บอกคนขับว่าจะกลับกันเองแล้วปิดประตูใส่ มาซายะดูงงๆแต่ก็ยอมเดินตามมาด้วย
“มีอะไร”
“เปล่านี่” ผมยิ้มให้เขา “ก็แค่คิดว่ามาเดินเล่นอาจจะช่วยให้หายเครียดได้บ้าง”
“เฮอะ” มาซายะกลอกตาขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม
เราเดินกันไปเรื่อยๆแล้วก็หยุดพักที่ใกล้ๆกับสะพานมิลเลนเนียม เกาะราวยืนมองวิวทิวทัศน์อะไรกันไปเรื่อยไม่มีใครพูดอะไร
ผมรอเวลาให้เขาพูดออกมาเอง ไม่กดดัน ไม่คาดคั้น แค่ยืนอยู่ข้างๆเงียบๆ
“ชูสุเกะ”
“ว่าไง”
“เมื่อกี้ ฉันไปหายูริเอะ”
“อือ”
“ฉันเจอผู้ชายคนหนึ่งยืนกอดยูริเอะอยู่หน้าบ้าน แล้วก็ทำเหมือนจะจูบ...” ผมเหลือบมองมาซายะ เขาจ้องไปข้างหน้าด้วยแววตาเลื่อนลอยไม่มีจุดหมาย “....ฉันเลยเข้าไปต่อยมัน”
ผมไม่ได้พูดอะไร แต่ปล่อยให้เขาพูดออกมาให้หมดเป็นการระบายความทุกข์
“แล้วยูริเอะก็ตบฉัน ไล่ฉันไปให้พ้นๆหน้า บอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับฉันแม้แต่นิดเดียว เบื่อที่ฉันตามติดเธอแบบนี้ หนีมาอังกฤษก็ยังตามมา ฉันทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด”
มาซายะหลับตาลงช้าๆ สีหน้าดูเจ็บปวด
“ฉันรู้ รู้อยู่แล้วว่าเวลานี้ต้องมาถึง ฉันก็แค่หลอกตัวเองไปวันๆว่ายูริเอะคงพอจะมีใจให้ฉันบ้าง แต่ที่จริงเธอน่ะรำคาญฉันเต็มทีแล้ว โดนตบก็ดีเหมือนกัน จะได้หายโง่”
“มาซายะ”
“ฉันรู้ ฉันรู้” เขาหัวเราะ แต่น้ำเสียงฟังดูขมขื่น “ฉันรู้แต่ก็ยังหลอกตัวเอง ฉัน...”
คำพูดนั้นขาดหายไปเมื่อผมถอดพันผ้าพันคอตัวเอง เอาไปพันใส่หัวและหน้าเขาจนสุดความยาวของผ้า มาซายะแกะผ้าออกมาแบบทุลักทุเล พอแกะได้ก็ถลึงตาจ้องอย่างกราดเกรี้ยว
“ทำบ้าอะไรเนี่ย”
“เอาไว้ให้ซับน้ำตาไง”
“เฮอะ ใครจะไปร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ฟะ บ้ารึเปล่า” มาซายะแยกเขี้ยวแล้วโยนผ้าพันคอคืนมา “ข้างนอกนี่หนาวชะมัด กลับกันได้แล้ว”
“อือ”
ผมเดินตามหลังเขา มาซายะก็หันมาจ้องแบบไม่พอใจ
“อย่ามาเดินตามหลัง ทำตัวเป็นผู้คุมประพฤติฉันจะได้มะ ฉันไม่ทำอะไรโง่ๆหรอกน่า”
“ก็ได้ๆ” ผมออกเดินนำหน้าเขาไป คอยฟังเสียงฝีเท้าที่ตามหลัง หันไปดูเป็นระยะๆว่าเขายังอยู่ ไม่ได้ไปทำอะไรโง่ๆอย่างปากว่า
หันไปมองอีกทีก็เห็นมาซายะหยุดเดิน ก้มหน้า ใช้หลังมือขยี้ตาตัวเองอยู่