มาซายะพาผมไปหาจิตแพทย์คนเดิมตามเวลานัดหมายแล้วก็นั่งรออยู่ข้างนอกเงียบๆ ให้ผมเข้ารับการรักษา
คราวนี้ผมเล่าอาการทั้งหมดให้หมอฟัง เล่าถึงอาการปวดหัว เล่าถึงชูสุเกะในโลกกระจก ปิดบังความจริงนิดหน่อยตรงที่วิญญาณของผมลอยละลิ่วมาสิงร่างตัวเองในอีกโลกเท่านั้นเอง เขารับฟังด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่ตั้งใจฟังผมทุกคำพูด ซักถามผมเล็กน้อยแล้วก็ปล่อยให้ผมพูดต่อไปเรื่อยๆ
นานแล้วที่ไม่ได้พูดอะไรที่อยู่ในใจออกไป พอได้พูดก็รู้สึกโล่งขึ้นมาไม่น้อย
เหลืออีกสองวันก็ต้องกลับกันแล้ว เวลาสั้นๆแค่นี้ไม่ทำให้วินิจฉัยอาการของผมได้ หมอเลยจะส่งต่ออาการของผมไปให้ลูกศิษย์ที่อยู่ญี่ปุ่น แล้วก็ให้ยามาอีกหลายขนาน อธิบายว่ายาเหล่านี้จะช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมองให้กลับมาเป็นปกติ พร้อมบอกถึงผลข้างเคียงเมื่อทานยา แต่ถ้าอยากจะรักษาให้หายก็ต้องอดทน
มาซายะซักถามผมถึงเรื่องการรักษา ผมก็ได้แต่บอกเขาไปว่าเป็นเพราะความเครียด แล้วก็ต้องกลับไปหาจิตแพทย์ที่ญี่ปุ่นอีก เขาก็ทำหน้าแปลกๆแล้วชวนผมเดินเล่นริมแม่น้ำเทมส์เสียอย่างนั้น
เราเดินกันเงียบๆบนทางเดินของ The Queen’s walk ที่ทอดยาวเลียบแม่น้ำ มีคนเดินสวนมาบ้างเล็กน้อย แต่อากาศหนาวๆแถมหิมะกำลังตกแบบนี้คงไม่มีใครอยากออกมาเดินให้ลมตีหน้านอกบ้านแบบที่ผมกับมาซายะกำลังทำอยู่นี่หรอก
“มีอะไรงั้นเหรอ มาซายะ”
“เปล่านี่”
เมื่อผมจ้องหน้าเขา มาซายะถอนหายใจแล้วก็พูดออกมา
“ฉันไม่ใช่หมอ ไม่รู้จะรักษานายยังไง ก็แค่คิดว่าถ้าได้เดินกินลมชมวิว นายอาจจะหายเครียดได้บ้าง” เขายักไหล่ “แต่เรื่องที่นายกำลังเครียดอยู่ ช่วยบอกฉันหน่อยได้มั้ย”
เมื่อผมนิ่งเงียบ เขาหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าผม แววตาดูตัดพ้อเล็กน้อย
“เป็นอะไรที่หนักหนาจนบอกฉันไม่ได้เลยเหรอ”
“มาซายะ….”
“นายก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย”
เขาหัวเราะออกมาอย่างฝืดเฝื่อน แล้วเดินนำหน้าผมไป
.
.
.
.
เราแวะทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆเป็นมื้อเที่ยง ต่างคนต่างทานไปแบบเงียบๆ พอทานเสร็จมาซายะก็เรียกรถมารับแต่ให้ผมกลับไปก่อน
“ฉันจะไปหายูริเอะ จะไปดูว่ากลับมารึยัง”
“งั้นผมไปด้วย”
“ไม่ต้อง ฉันจะไปคนเดียว”
“มาซายะ”
“นายไปก็ไม่มีประโย.….เออ ช่างเหอะ” เขาตอบห้วนๆแล้วจ้องผมเขม็ง “เป็นคนป่วยก็กลับไปพักผ่อน แล้วก็ทานยาให้มันครบๆด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันจะกลับไปเช็คทีหลัง ถ้านายแอบเอายาไปทิ้งล่ะก็ ฉันฆ่านายแน่”
“มาซายะ”
“ไปได้แล้ว” มาซายะปิดประตูรถใส่หน้าผม เดินไปโบกแท็กซี่แล้วขึ้นรถไปจากที่ตรงนั้น
ช่วงเวลาที่มาซายะอกหักจากยูริเอะจะอยู่ราวๆนี้ ยังไงผมก็ปล่อยให้เขาไปคนเดียวไม่ได้ ยิ่งเหตุการณ์ไม่เหมือนกับโลกเดิมของผม ไม่รู้มาซายะจะเตลิดเปิดเปิงไปได้ขนาดไหน
แต่พอจะเปิดประตูวิ่งตามไป รถกลับล็อคเสียอย่างนั้น
ผมบอกคนขับรถให้ขับไปบ้านที่ยูริเอะพักอยู่ในอังกฤษหรือไม่ก็ปลดล็อคประตูให้ผมไปเอง แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง เขาก็ส่ายหน้าอย่างเดียว บอกว่าคุณมาซายะสั่งไว้ยังไงก็ต้องทำตาม และห้ามฟังคำสั่งผม
“กรุณากลับไปรอคุณมาซายะที่บ้านเถอะครับ” คนขับรถพูดกับผมด้วยเสียงอ่อนน้อม “คุณมาซายะเป็นห่วงสุขภาพคุณนะครับ ถึงได้ห้ามไว้”
“ตามมาซายะไปเถอะครับ นี่เรื่องสำคัญนะ” ผมชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว คนของตระกูลคาบุรากินี่จงรักภักดีกันเหลือเกินนะ
“คุณมาซายะสั่งไว้ ยังไงไม่ได้ครับ”
มาซายะทำเหมือนผมป่วยร้ายแรงใกล้ตายเดินไม่ได้ต้องคอยประคองไว้ตลอดเวลาอีกแล้วนะ น่าโมโหชะมัด
“ขับๆไปเหอะน่า” ผมตะโกนใส่คนของมาซายะด้วยความหงุดหงิด น้อยครั้งมากที่ผมจะใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใคร “ถ้ามาซายะเป็นอะไรไปก็เป็นความผิดคุณนั่นล่ะ อยากให้มาซายะตายรึไง”
“คุณชูสุเกะ…”
“ถ้าไม่ทำตามที่ผมบอกภายในสิบวินาที ผมจะโทรหาตำรวจเดี๋ยวนี้ว่ากำลังถูกลักพาตัว อยากไปนอนซังเตเล่นซักสองสามวันมั้ยล่ะ”
“.......”
“คุณมีเวลา 1...2...3...4…” ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมกดเบอร์เรียกตำรวจ
นับไปถึงเก้า คนขับก็ยอมยกธงขาว ฟังที่ผมพูดในที่สุด
“เร็วๆเข้า ไม่มีเวลาแล้วนะ ป่านนี้มาซายะใกล้จะไปถึงบ้านยูริเอะแล้วแน่ๆ” ผมตบเบาะคนขับ “เดี๋ยวพอถึงแยกหน้าแล้วเลี้ยวขวาไปเลย นั่นทางลัด”
“แต่ว่า”
“เหอะน่า!!”
คนขับรถมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยอมขับรถตามไปที่บอก ใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆกว่าจะไปถึงถนนหลักที่จะไปบ้านยูริเอะได้
ไม่รู้ป่านนี้มาซายะเป็นยังไงบ้างแล้ว