เอ๋!!!
ฉันกระพริบตาปริบๆ เมื่อกี้นายพูดอะไรนะ...พระจันทร์สวยงั้นเหรอ
เพราะคิดว่าจะคาดคั้นเอาความจริงก็เลยเผลอสบตากับเอ็นโจเข้าให้ บ้าชะมัด เพราะแสงจันทร์งั้นเหรอคะ ทำไมหมอนี่ถึงได้ดูดีขนาดนี้กันล่ะ
ฉันไม่ตั้งใจจะมอง แต่แสงจันทร์ที่ส่องลงมา เส้นผมของเอ็นโจก็ดูจะเป็นประกายระยิบระยับเหมือนเจ้าชายในการ์ตูนเรื่องโปรดของฉัน
เป็นแค่ซาตานแท้ๆ คิดจะมีประกายเรืองรองเลียนแบบเทวดา ช่างบาปหนาอะไรเช่นนี้
เอ็นโจหัวเราะแล้วจูบหน้าผากฉันเบาๆ ฉันรู้สึกร้อนวาบตรงบริเวณที่ถูกริมฝีปากสัมผัส...นะ นี่ตราประทับของปีศาจอย่างนั้นเหรอคะ
“ทะ ท่านเอ็นโจ…”
“ครับ” น้ำเสียงเอ็นโจที่ตอบรับมานั้นแหบพร่า ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ฉะ...ฉันกลัวค่ะ” คืนนี้เอ็นโจต้องถูกผีสิงแน่ๆค่ะ มาทำตัวแบบนี้ น่ากลัวเกินไปแล้วน้า!!
มือของหมอนี่ค่อยๆสอดประสานเข้ากับมือของฉัน เอ็นโจจับมือฉันขึ้นไปจูบที่หลังมือ บริเวณนิ้วนางข้างซ้าย ช้อนสายตามองฉันแบบเชื่องช้า
“ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลยครับ”
ก็นายไงล่ะยะที่ฉันต้องกลัว
เอ็นโจยิ้มน้อยๆแล้วจูบหน้าผากฉันอีกหนเหมือนจะปลอบประโลม ค่อยๆไล่ระมาตามปลายจมูกและแก้ม สายตาเรามองกันในระยะประชิด ใกล้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ไว้ใจผมนะ”
ฉันเหมือนถูกสายตาคู่นั้นสะกดให้อยู่นิ่ง จนไม่อาจจะถอนตัวหนี
ริมฝีปากเราสัมผัสกันอย่างเชื่องช้า นุ่มนวลเหมือนขนนกลากผ่าน ความอ่อนหวานที่เคล้าเคลียอยู่ตรงปากทำเอาหัวใจฉันเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาข้างนอกอยู่แล้ว
กลิ่นดอกไม้ที่บานในตอนกลางคืนลอยตามลมมา น่าจะมีฤทธิ์มอมเมาสติหรือหลอนประสาท ฉันรู้สึกเบลอไปหมดแล้ว แข้งขาก็อ่อนแทบไม่มีแรงยืน ถ้าไม่มีแขนรั้งไว้คงนั่งลงไปกองกับพื้นแน่ๆ
สัมผัสที่นุ่มนวลเหมือนขนนกค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วฉันก็คล้อยตาม ตอบสนอง
นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ
แขนฉันไปคล้องเข้ากับคอเอ็นโจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วมืออีตานี่อยู่ตรงไหนน่ะห๊า!! กรี๊ดดดดด!!!!
ฉันควรจะแว้ดใส่ หยิกหลักมือ ดึงหู ต่อยท้อง หรือเตะหน้าแข้งเอ็นโจที่ทำแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันกลับนึกอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว ในหัวหมุนวนไปหมด
จะทำอะไรก่อนดีล่ะ เรียบเรียงความคิดไม่ถูกเลย
ยูกิโนะคุงบอกว่าแสงจันทร์สามารถดึงเอาความบ้าคลั่งในจิตใจคนออกมาได้ เอ็นโจเองก็คงกำลังตกอยู่ใต้อำนาจของแสงจันทร์อยู่ใช่มั้ย ถึงได้ดูบ้าคลั่งขนาดนี้
เรื่องที่กำลังเกิดอยู่นี่ ต้องเป็นเพราะกลิ่นดอกไม้ หรือไม่ก็มนต์สะกดจากแสงจันทร์แน่ๆค่ะ
.
.
.
เสียงนาฬิกาที่ดังขึ้นอีกหนเรียกสติฉันให้กลับคืนมา อ้าว มานั่งที่ม้านั่งตั้งแต่ตอนไหนคะ ตอนนั้นยังอยู่ในสวนดอกไม้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ
ฉันสำรวจไปรอบๆแบบงุนงง แล้วเสื้อคลุมนักเวทย์ที่เอ็นโจถอดมาคลุมให้มันหลุดหายไปไหนแล้วล่ะ เสื้อผ้าฉันยังอยู่ครบใช่มั้ย ค่อยยังชั่วหน่อย
“ตีหนึ่งแล้ว กลับกันเถอะครับ”
เอ็นโจหยิบเสื้อคลุมตัวที่ว่านั่นมาคลุมให้ฉัน มันไปพาดกับราวม้านั่งตอนไหนฉันก็งงๆอยู่ พอได้สวมก็อุ่นขึ้นมาหน่อย แต่เมื่อกี้ก็ไม่รู้สึกหนาวเลยอ่ะ
ว่าแต่ตีหนึ่งแล้วเหรอเนี่ย แย่ล่ะสิ ท่านพี่มารอนานรึยังคะเนี่ย
ฉันเกือบจะวิ่งแล้ว แต่เอ็นโจกลับยิ้มแล้วสอดประสานมือเข้ากับมือของฉัน จูงให้เดินไปช้าๆ
“อย่าวิ่งสิครับ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก” มือของเอ็นโจอีกข้างถือปีกนางฟ้าของฉันกับหน้ากากหัวกระโหลกแพะเอาไว้ อ่า จริงสิ ปีกของฉันโดนถอดออกไปแล้วนี่เนอะ
แต่เอ๊ะ!! นางฟ้าถูกถอดปีกแบบนี้ ก็กลายเป็นนางฟ้าตกสวรรค์แล้วไม่ใช่เหรอค้าา!!! แถมเป็นฝีมือของซาตานชั่วร้ายนี่อีก ถึงจะเป็นแค่บทบาทสมมติแต่ก็อดรู้สึกเคืองไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น จะไปอธิบายกับคนอื่นยังไงล่ะยะว่าฉันถอดปีกนางฟ้าออกทำไมน่ะ
ผู้เป็นสาเหตุแห่งความขุ่นเคืองทั้งหมดทั้งมวลของฉันไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย เอาแต่ยิ้มอยู่นั่น หมั่นไส้ชะมัด แกล้งขัดขาให้ล้มซะดีมะ ห๊า!!!
มัวแต่หงุดหงิดก็เลยไม่รู้ว่าเดินมาถึงหน้าห้องจัดงานตั้งแต่เมื่อไหร่ มองเข้าไปคนในงานค่อนข้างโหรงเหรง ถึงเวลาเลิกงานที่ระบุไว้ในบัตรจะบอกว่าเลิกตีหนึ่งก็เหอะ ส่วนใหญ่ก็กลับไปเกือบหมดแล้ว
แต่ยูกิโนะคุง คาบุรากิ วาคาบะจัง ท่านไอระและท่านอิมาริยังไม่กลับ ยืนคุยกันอยู่ตรงประตูทางออก ถึงจะไฟสลัวมองเห็นไม่ค่อยชัด แต่ท่านพี่ก็ยืนอยู่ด้วย