มาวางกาว งวดนี้เป็นกาวต่อจาก Ch.15 กับช่วงเวลาที่หายไป
กาวจ้ะ เน้นว่ากาวล้วน 100% ไม่มีวัตถุเจือปน
-----
"...ไม่ ไม่ต้องไป เจ้าจะไม่อยู่กับข้าสักพักหนึ่งก่อนเหรอ?"
นอกจากน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนแอแล้ว กระทั่งฉันเองก็แปลกใจที่ตัวเองไร้สติขนาดเรียกให้เขาอยู่ด้วย
คามิลเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนขยับตัวกลับมา และทรุดลงข้างๆบนพื้นหินเย็นเฉียบของคุกใต้ดิน
ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมจึงรั้งเขาไว้ แต่ในเวลานี้ฉันไม่ได้สนใจหาคำตอบของปริศนานั้น
ฉันกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์เข้ากับตัว กอดเข่า พลางขบคิดเรื่องบาปและนักบวชลึกลับผู้นั้นอีกครั้ง
บาปของฉัน บาปจากการสังหารคนในครอบครัวเพียงหยิบมือ กลับเพียงพอที่จะชดเชยบาปทั้งหมดที่พวกเขาก่อ ช่างน่าขันจริง
จุดประสงค์ของเขาคืออะไรกัน? นักบวชผู้นั้นจะได้อะไรจากการแบล็คเมล์ฉัน? เขาคิดจะทำอะไร? ศาสนจักรจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?
มีคำถามมากมายภายในหัวที่ฟุ้งซ่าน
ฉันนึกถึงการเป็นตกเครื่องมือศาสนา ความดำมืดเบื้องหลังศรัทธาที่เคยได้ยินในวิชาประวัติศาสตร์ที่โลกเก่า
แต่กับโลกนี้ ฉันไม่รู้อะไรเลย
"ขมวดคิ้วเป็นปมงั้นจะแก่เร็วเอาน่า ซาร์"
เสียงคามิลดังแทรกมาในความคิด
ฉันเหลือบตามอง เขานั่งใช้มือเท้าพื้น รอยยิ้มประดับใบหน้าอย่างทุกทีซึ่งไม่เข้ากับบรรยากาศคุกใต้ดินเหม็นอับนี้สักนิด
"ยังคิดถึงพิธีนั้นอยู่งั้นเหรอ?"
"......"
"บาป--- อา ถึงข้าจะไม่รู้ว่าบาปของเจ้าคืออะไร แต่ว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกน่ะ"
"......"
"เจ้าไม่ใช่คนเลวร้าย บาปของเจ้าย่อมได้รับการให้อภัยอยู่แล้วล่ะ"
ไม่ เจ้าไม่รู้อะไรเลย คามิล
ฉันไม่ได้ตอบใดๆกลับไป ทั้งไม่แก้ไขความเข้าใจผิดที่เขาคิดว่าฉันยังกังวลเรื่องบาปอีกด้วย
คามิลถอนหายใจ ส่ายหัวเล็กน้อย
"ถึงจะทำตัวอย่างกับผู้ใหญ่ แต่เด็กน้อยจริงๆนั่นแหละนะ ซาร์เนี่ย"
".... อะไร?"
เขากลั้วหัวเราะเบาๆทั้งยิ้มกว้างคล้ายดีใจที่ฉันติดกับเข้าร่วมสนทนาสักที
"มันก็...เพียงแค่บาป ไม่ใช่สิ่งที่ต้องผวาหรือวิตกจริตอย่างที่เจ้ากำลังเป็นอยู่เลย ก็เพียงผงตะกอนที่หลงเหลือจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจทำลงไปแล้ว ดีร้าย มันก็คือผลลัพธ์จากอดีตเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลยซักนิด"
"........พูดอย่างกับว่าเจ้าเองก็มีงั้นแหละ"
".........นั่นสิ มนุษย์ทุกคนต่างก็มีบาปที่ต้องแบกรับเป็นของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ"
เขายิ้มด้วยสีหน้าคลุมเครือ หากแต่ชั่ววูบหนึ่ง ในนัยน์ตาสีแดงเข้มที่จับจ้องมาคู่นั้นคล้ายปรากฏหลุมดำมวลใหญ่ที่อารมณ์อันหลากหลายถูกดูดกลืนเข้าไปภายในนั้น ที่ทำเอาฉันเย็นวาบจนต้องเลี่ยงสายตา และซุกใบหน้ากับเข่าตัวเอง
นั่นมันอะไรกัน? เหมือนเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้าอย่างนั้นแหละ....
แต่ที่เขาว่ามาก็ไม่ผิด ใครๆก็มีบาปเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น บาปที่มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นจึงรู้ดีที่สุด และสุดท้ายก็ขึ้นกับว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร
ขณะที่ขบคิด ฉันรู้สึกถึงฝ่ามือลูบศีรษะอย่างปลอบโยน
"และที่พวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ก็เพื่อไถ่บาปเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบาปของตัวเอง... หรือของผู้อื่นก็ตาม..."
นี่คงเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว ร่างกายเด็กๆของฉันที่วุ่นวายกับพิธีการต่างๆมาทั้งวันสองวันที่ผ่านมาจึงอ่อนล้านัก
ปลายนิ้วของเขาปัดป่ายเส้นผมเบาๆชวนเคลิบเคลิ้มให้ก้าวสู่นิทรา
"ข้าเองก็อยู่ที่นี่เพื่อชดใช้บาปของพ่อข้าเช่นกัน..."
เสียงพึมพำนั้นคล้ายจะกลืนหายไปในอากาศ
สติสัมปชัญญะพร่าเลือน คงไว้แต่สัมผัสของความรู้สึกประหลาดบนศีรษะ
หลังบทสนทนาที่ไม่ได้เข้ากับเด็กๆนักยุติ นอกจากเสียงเปรี๊ยะของเปลวไฟในคบเพลิง และเสียงกรนแผ่วเบาของเด็กน้อยหลังลูกกรง ก็ไร้ซึ่งเสียงใดอีก
ก่อนที่ฉันจะผล็อยหลับไป
▪▫▪
คืนนั้น ฉันฝัน
ฝันถึงเรื่องสมัยเด็ก ไม่ ไม่ใช่ชาตินี้
เป็นเรื่องราวในชาติก่อน สมัยรุ่นราวคราวเดียวกับปัจจุบัน
ช่วงเวลาหลังเลิกเรียน เด็กหญิงขี่หลังพ่อที่มารับกลับบ้าน
ผู้คนและรถรามากมายในเมืองหลวง ช่างน่าหวาดหวั่นสำหรับเด็กหญิงตัวน้อย แต่บนแผ่นหลังกว้างของผู้เป็นพ่อ ทุกสิ่งก็คล้ายจะไม่น่ากลัวอีกต่อไป
ถ้าเพียงมีแผ่นหลังนี้ โลกใบนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
ฉันฝัน
แต่แผ่นหลังอันอบอุ่นและปลอดภัยนี้ ช่างสมจริงเหลือเกิน
▫▪▫
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาบนเตียงตัวเองทั้งยังสวมเสื้อคลุมขนสัตว์
บนตั่งข้างเตียงที่เคยมีผลไม้ กลับเหลือเพียงเปลือกและเมล็ดไว้ดูต่างหน้า
ฉันถอนหายใจ
แอบกินของของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังจะทิ้งเรี่ยราดไว้อีกเนี่ยนะ ไร้มารยาทจริงๆ
(จบ)
----
ก็ยังว่าแต่งยากจังว้อย มึงคุยอะไรกันเนี่ย 55555
นึกโมเมนต์อื่นไม่ออกละ กาวเกลี้ยงแล้วจ้ะ สวัสดี