การหว่านเสน่ห์ดูเหมือนจะได้ผล เพราะคืนต่อมา เขาก็มาอีก ระบุโดยตรงว่าต้องเป็นฉันคนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สน
การพูดคุยเป็นไปได้ราบลื่นกว่าเดิมเพราะไม่มีสายตาที่จ้องเขม็งมาของเอ็นโจแบบคืนก่อน อีกทั้งผู้ปรนนิบัติมีแค่ฉันคนเดียว สามารถออดอ้อนได้เต็มที่
ฉันพูดถึงฤดูกาลของญี่ปุ่น แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว เราคุยกันได้ดีเกือบทุกอย่างและสนุกมาก สายตาเขาที่มองฉันก็ยิ่งหยาดเยิ้มมากทุกขณะ
ก่อนที่เขาจะกลับประเทศ ฉันเลยพูดถึงเรื่องเครื่องประดับบนศีรษะ บอกว่าแต่ละเดือนต้องเปลี่ยนรูปทรงไม่ให้ซ้ำกัน เป็นดอกไม้ที่เบ่งบานเป็นสัญลักษณ์ในแต่ละเดือนของญี่ปุ่น
ถ้าไม่โง่นักก็น่าจะรู้ว่าฉันต้องการอะไร
.
.
.
.
พอฤดูใบไม้ร่วง ผู้ชายคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับคณะผู้ติดตามชุดเดิมกับที่เคยมาเมื่อครั้งก่อน เอ็นโจเองก็มากับเขาด้วยเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่สาระที่ฉันต้องใส่ใจ
เขาคนนั้นเอาปิ่นปักผมรูปดอกเบญจมาศมาให้ฉัน ขออนุญาตโอก้าซังแล้วบรรจงเสียบให้ที่เรือนผม นับว่าหาข้อมูลมาดีใช้ได้
ฉันแกล้งทำเป็นยิ้มเอียงอาย กล่าวขอบคุณด้วยกริยาขัดเขิน เขาเองก็ดูจะพึงพอใจ
พอเงยหน้าไปสบตากับเอ็นโจโดยไม่ตั้งใจ สายตาที่มองมานั้นทำให้ฉันรู้สึกหน้าชาไปหมด
อีกแล้ว หมอนี่ใช้สายตาแบบนี้กับฉันอีกแล้ว มองฉันเหมือนเห็นสิ่งน่าสมเพช ด้อยค่า น่าขยะแขยง เป็นสายตาที่เขาใช้มองฉันทุกครั้งเวลาที่ฉันเข้าหาคาบุรากิเพื่อนของเขา
ฉันข่มความรู้สึกทั้งหมดลงไปพร้อมกับการหมอบคำนับ ขอตัวกับโอก้าซังไปหยิบอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการแสดงชุดต่อไป ถึงจะซื้อเวลาได้แค่ไม่กี่นาที แต่ฉันก็ไม่อยากอยู่ใกล้เอ็นโจที่มองฉันด้วยสายตาแบบนี้
พอออกมาจากห้องเก็บของ จะกลับไปที่ห้องซาชิกิก็เห็นเอ็นโจยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนกำลังมาดักรอฉันเช่นวันวาน ถ้าเป็นเมื่อก่อนหมอนี่จะด่าฉันเรื่องตามตื๊อคาบุรากิ สั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้ และเทศนาให้ฟังถึงเรื่องไม่ควรไปขัดขวางความรักคนอื่นเขา คราวนี้ก็เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนชื่อตัวละครในเรื่องเท่านั้นเอง
ผู้ชายต่างชาติคนนั้นมีภรรยาแล้วก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ แต่ฉันไม่สนเสียอย่าง ฉันแค่ต้องการใครก็ได้ที่สามารถทำลายตระกูลคาบุรากิก็เท่านั้น จะให้ทำผิดศีลธรรมไปซักร้อยข้อก็ไม่เป็นไร
พอฉันยักไหล่ไม่ยี่หระ หมอนี่ก็ก้าวมาประชิดตัวฉัน คว้าข้อมือฉัน ดึงให้เข้าหาตัว
เรื่องนี้ออกจะทำให้ฉันตกใจพอสมควร แต่ไหนแต่ไรมาเอ็นโจถึงจะชอบด่าหรือสั่งสอนฉัน แต่ก็ไม่เคยมาถูกเนื้อต้องตัวกันแบบนี้
ฉันสะบัดข้อมือตัวเองออก ยิ้มเย็นชาให้เอ็นโจ ทำเป็นไม่สนใจอาการปวดแปลบตรงที่ถูกบีบ ทั้งที่จริงมันเจ็บมาก มือฉันสั่นไปพักหนึ่งเลยทีเดียว
ลูกค้าคนนั้นก็สังเกตถึงรอยแดงบนข้อมือฉันได้ ตอนฉันรินเหล้าให้ก็ถามไถ่อาการอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่าไปโดนอะไรมา พร้อมกับลูบข้อมือตรงรอยนั่น
ฉันเหลือบมองเอ็นโจที่จ้องมองมาแล้วก็ฉีกยิ้มหวานหยด
“แมลงน่ะค่ะ” ฉันตอบชัดถ้อยชัดคำ ใส่จริตมารยาลงไปในน้ำเสียงเป็นการยั่วโทสะเอ็นโจอีกทาง “เมื่อครู่นี้ที่ออกไปข้างนอก อยู่ๆก็มีแมลงตัวใหญ่มากๆมาเกาะมือ...ฉันตกใจก็เลยเผลอฟาดมือตัวเองแรงไปหน่อย เจ็บมากเลยล่ะค่ะ”
เอ็นโจถลึงตาใส่ แต่ฉันไม่สนใจ เข้าไปออดอ้อนลูกค้าชาวต่างชาติคนนั้น ส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้ จนเอ็นโจสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น เปลืองตัวนิดหน่อยแต่แลกกับการได้เห็นหมอนี่โกรธหรือโมโหก็ถือว่าคุ้มค่า
แต่ไหนแต่ไรมา ฉันก็เกลียดหน้ายิ้มๆแบบนั้น มันสุดแสนจะเสแสร้ง ทุกคนในซุยรันก็โง่ชะมัด ไม่มีใครดูออกหรือยังไงว่าหมอนี่กำลังใส่หน้ากากอยู่ ตัวตนที่อ่อนโยนของหมอนั่นแค่การแสดงละครเท่านั้น
ไอ้หน้ายิ้มๆแบบนั้นน่ะ บิดเบี้ยวเป็นอย่างอื่นบ้างซะก็ดี
.
.
.
.
เอ็นโจไม่มาอีกเลยนับจากนั้น แต่ฉันก็ไม่คาดหวังให้หมอนั่นมาอยู่แล้ว ที่ฉันต้องการน่ะก็แค่ผู้ชายรวยๆพอให้เกาะได้ก็เท่านั้น
ลูกค้าชาวต่างชาติคนนั้นก็กลับประเทศตัวเองไปแล้ว ไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ ฉันไม่อยากตั้งความหวังไว้ที่เขาคนเดียวเลยพยายามหว่านเสน่ห์ใส่ลูกค้ารายอื่นๆไปด้วย แต่ก็ไม่มีใครกระเป๋าหนักเท่าเอ็นโจเลยซักคน
มีแว้บหนึ่งที่ฉันเคยคิดขึ้นมา ถ้าฉันหว่านเสน่ห์ใส่เอ็นโจ ให้หมอนั่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์ของฉันล่ะ จะได้ไม่ต้องไปนอนกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ความคิดนี้ก็ถูกปัดตกไปแทบจะในทันที
จะให้ฉันไปทำฉอเลาะออดอ้อนหมอนั่น แค่คิดก็ขนลุกขนพองแล้ว
เอ็นโจเองก็คงไม่อยากมายุ่งเกี่ยวกับฉันนักหรอก หมอนั่นตามประกบเพื่อนตัวเองแจหยั่งกะหมาหวงเจ้าของ พอฉันเข้าใกล้คาบุรากิก็ออกมาด่าทุกที หรือไม่ก็มองด้วยสายตารังเกียจเหยียดหยาม
ถ้าคาบุรากิไม่ได้รักกับยัยทาคามิจินั่น ฉันคงนึกว่าสองคนนั้นเป็นคู่เกย์ หรืออะไรทำนองนั้นแล้ว