จากการวินิจฉัยของแพทย์ ผมได้ยามาหลายขนาน มาซายะมานั่งคุมเชิงให้ผมทานลงไปให้หมด พอกลืนยาอีกตัวลงคอก็ส่งน้ำให้แล้วก็หยิบยาอีกแผงมาแกะรอ ชักเข้าใจความรู้สึกของยูกิโนะที่ถูกบังคับให้ทานยาหลากหลายชนิดแล้วสิ
มาซายะบอกให้ผมพักผ่อนแล้วก็ออกไปจากห้อง ฤทธิ์ยาทำให้ผมง่วงและซึม แต่ก็นับว่าดีที่ไม่ปวดหัว
จิตแพทย์ที่คุยด้วยก็วินิจฉัยว่าผมเป็นโรคเครียดเหมือนจิตแพทย์ที่ญี่ปุ่น แต่ดวงตาเขาเหมือนคนรู้ทันว่าผมกำลังปิดบังเรื่องที่สำคัญมากอยู่ คนไข้ไม่ร่วมมือ หมอเองก็ไม่สามารถรักษาให้ถูกจุดได้
ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เล่าให้ใครฟังก็ต้องถูกหาว่าบ้าแน่นอน
ประสบอุบัติเหตุแล้ววิญญาณหลุดมาเข้าร่างตัวเองในอีกโลก แย่งชิงร่างกายนี้ไป ส่งเจ้าของเดิมที่เป็นเด็กสี่ขวบไปกักขังในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจและสวมรอยแทนที่นับตั้งแต่นั้น
จะว่าไป ผมไม่ได้เจอชูสุเกะในโลกกระจกนานมากแล้ว เขามีช่วงเวลาที่หายไปนานๆเหมือนกัน แต่ไม่มีครั้งไหนนานเท่าครั้งนี้
ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมอยู่สงบเสงี่ยม แต่ตราบใดที่จิตใจผมยังเข้มแข็ง เขาก็จะไม่มีวันออกมาจากโลกที่ผมขังเขาไว้
หรือว่า เขาจะเข้าร่างของผมในโลกเดิมไปแล้ว
พยายามนึกความเป็นไปได้ต่างๆนานาแต่ฤทธิ์ยาก็ทำให้ผมง่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องโยนทฤษฎีทั้งหลายทิ้งไปแล้วหลับตาลง พักเรื่องวุ่นๆเอาไว้ก่อน
.
.
.
ตื่นเช้ามาด้วยความปลอดโปร่งแจ่มใส คงเป็นเพราะได้นอนพักผ่อนเต็มที่ ผมเดินลงมาข้างล่างก็เห็นมาซายะนั่งอยู่หน้าเตาผิง ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่
“อรุณสวัสดิ์ มาซายะ ตื่นเช้าจังนะ”
“ยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก” มาซายะพึมพำตอบกลับมาพลางพลิกหน้ากระดาษ
“อ่านอะไรน่ะ ท่าทางจะสนุกนะ ถึงกับไม่หลับไม่นอนเชียวเหรอ”
มาซายะชูหน้าปกให้ดู เป็นนิยายเรื่อง “ด็อกเตอร์เจเคิลกับมิสเตอร์ไฮด์” แล้วก็ก้มหน้าอ่านต่อ ผมเห็นว่าเหลือไม่กี่หน้าก็เลยนั่งลงเป็นเพื่อน รอให้มาซายะอ่านจบจะได้ไปทานมื้อเช้าด้วยกัน
“นึกยังไงถึงหยิบมาอ่านกันล่ะนั่น”
มาซายะเงยหน้าขึ้น ทำหน้าประหลาดใจ
“ก็นายเป็นคนแนะให้ฉันอ่านไม่ใช่เหรอ”
“ผมไปแนะมาซายะตอน…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค สิ่งที่นึกขึ้นมาได้ก็ราวกับถูกฟ้าผ่าใส่ เกิดอาการชาวาบจากศีรษะจรดปลายนิ้ว ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนถูกน้ำเย็นซัดสาด หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นจนมือเท้าเย็นเฉียบ
หรือว่า….
“เมื่อคืนฉันเห็นนายลงมานั่งอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ ชวนคุยเรื่องนี้แล้วก็เอาให้ฉันอ่าน”
“เอ่อ ใช่ ขอโทษทีนะ เมื่อคืนเบลอๆนิดหน่อยน่ะ” ผมกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ในใจกำลังหวาดวิตกรุนแรง “ไปทานมื้อเช้ากันเถอะ ผมหิวแล้วล่ะ”
มาซายะขมวดคิ้วใส่ผม ปิดหนังสือแล้ววางกลับขึ้นไปบนชั้น เดินตามไปที่โต๊ะอาหาร
เช้าวันนั้น มือผมสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็น ทานอะไรแทบไม่ลงแต่ก็ต้องทานเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย แล้วขอตัวกลับขึ้นห้องปล่อยให้มาซายะออกไปธุระข้างนอกคนเดียวโดยอ้างว่ายังปวดหัวอยู่
เขาดูไม่ติดใจสงสัยอะไร แต่บอกให้ผมนอนพักแล้วจะรีบกลับมา
ระหว่างที่เดินขึ้นบันได หัวใจผมเต้นถี่รัวด้วยความหวาดหวั่น ทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้แต่เหงื่อกลับไหลท่วมร่างจนเสื้อเปียกชุ่มไปหมด
เป็นไปไม่ได้ ชูสุเกะคนนั้นจะออกมาได้ยังไง ทำไมผมถึงไม่รู้
ผมพยายามบอกตัวเองว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ไม่จริง มาซายะตาฝาดไปเอง ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะออกมาได้
ไม่จริง ไม่ใช่เรื่องจริง ต้องฝันอยู่แน่ๆ
--------------------------------------
สาระท้ายตอน
-หากรู้ว่าเป็นเพียงฝัน มาจากบทกวีชื่อ Yume to shiriseba แต่งโดยโอโน โนะ โคมาจิ นักกวีหญิงงามในสมัยเฮอัน