อาจารย์มีท่าทีพึงพอใจ เริ่มอธิบายเนื้อหา จากที่นั่งฟังพอให้ผ่านหูไปเมื่อครู่นี้ ผมนั่งตัวตรงแล้วเริ่มฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าฝันไปว่าตนคือผีเสื้อโบยบินไปมาอย่างสำราญใจ ไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ผีเสื้อตัวนี้ไม่รู้เลยว่ามันคือจวงจื่อ แล้วทันใดก็ตื่นขึ้น รู้สึกตัวว่ามันคือจวงจื่อ”
ไม่รู้ตัวอย่างนั้นเหรอ
“เป็นการยากที่จะบอกได้ว่า ตนเองเป็นจวงจื่อที่ฝันไปว่าเป็นผีเสื้อตัวนั้น หรือผีเสื้อตัวนั้นฝันไปว่าเป็นจวงจื่อกันแน่….”
อาจารย์เริ่มลงมือเขียนกระดานให้เห็นกันทั่วห้อง “นี่คือบทกวีที่ดังที่สุดของจวงจื่อ ถูกหยิบยกไปใช้อ้างอิงมากมายในหนังหรือหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องโลกคู่ขนานและความฝัน ซึ่งวันนี้เราจะวิเคราะห์กันในเรื่องนี้ว่าสอดคล้องกับปรัชญาของเต๋าอย่างไร….”
เนื้อหาของบทเรียนยังคงติดตรึงอยู่ในหัว สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด ช่วงพักกลางวันผมจึงไปที่ห้องพักครู เธอดูแปลกใจแต่ก็เชิญผมนั่ง รินชาจากกาใส่ถ้วยให้
อารัมภบทอยู่ครู่หนึ่งพอเป็นพิธี ผมรีบเข้าเรื่องในสิ่งที่ต้องการจะรู้
“ขอโทษครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาที่เรียนไปเมื่อครู่นี้เท่าไหร่ รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายอีกหนได้รึเปล่าครับ”
“ติดขัดตรงไหนงั้นเหรอคะ”
“เรื่องที่จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อน่ะครับ” อาจารย์พยักหน้าให้ผม ตั้งใจฟังคำถาม “จะเป็นไปได้เหรอครับ ที่ผีเสื้อจะฝันว่าเป็นตัวเรา”
“อันนี้ก็แล้วแต่คนจะตีความนะคะ ถ้าในทางวิทยาศาสตร์ ผีเสื้อไม่มีทางฝันได้หรอกค่ะเพราะโครงสร้างสมองไม่ซับซ้อน แต่ในทางปรัชญา ดิฉันจะตีความว่าเป็นเรื่องของอัตตาค่ะ”
“อัตตา”
“อัตตาคือความมีตัวตนค่ะ จวงจื่อไม่แน่ใจว่าที่เขามีตัวตนเป็นเพราะผีเสื้อกำลังฝันว่าเป็นเขาอยู่รึเปล่า โยงเข้ากับลัทธิเต๋าในเรื่องการเกิดและแตกดับในธรรมชาติ แต่ก็มองได้อีกแง่คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือเป็นแค่ภาพลวงตาในความฝัน”
เมื่อผมเงียบ เธอก็อธิบายต่อ
“ความฝันเป็นแดนพิศวงนะคะ เราไม่สามารถควบคุมทุกเหตุการณ์ในฝันได้ แต่ความฝันก็ยังน่าอัศจรรย์ใจอยู่ดี” เธอเท้าคางมองผมยิ้มๆ “เพราะอย่างนี้ บางคนจึงปรารถนาที่จะอยู่ในความฝันมากกว่าโลกแห่งความจริง”
คำพูดนั่น....เคยได้ยินจากชูสุเกะในโลกกระจก
ผมมองอาจารย์ด้วยความไม่แน่ใจ นึกสงสัยในทุกเรื่อง
“เรื่องของจวงจื่อนี้ก็คล้ายกับบทกวีหากรู้ว่าเป็นเพียงฝันของโอโน โนะ โคมาจิเหมือนกันนะคะ”
หากรู้ว่าเป็นเพียงฝัน คือกลอนที่โด่งดังมากของกวีหญิงในยุคเฮอันผู้นี้ ไม่ว่าใครก็เคยได้เรียน กลอนบทนั้นผุดขึ้นมาในหัวผมทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลานึกด้วยซ้ำ
“คิดถึงคนผู้นั้น หลับเพื่อจะพบเจอ เธอยืนอยู่ต่อหน้า หากรู้ว่าเป็นเพียงฝัน ก็ไม่อยากตื่นอีกเลย”
กลอนที่กล่าวถึงหญิงสาวที่ลุ่มหลงในรัก มีฝันแสนหวานที่ไม่อยากตื่น และไม่ต้องการรับรู้ความจริงใดๆ
“แต่สิ่งแตกต่างคือจวงจื่อรู้ตัวว่ากำลังฝันและพยายามตื่นขึ้น แต่โคมาจิยังติดอยู่ในวังวนแห่งความฝัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่เราเลือกทางของเราเองว่าจะเป็นแบบไหน”
อาจารย์จ้องผมพร้อมกับรอยยิ้มที่เห็นแล้วไม่สบายใจ ดูคล้ายชูสุเกะในโลกกระจก
ความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่ แต่คนที่มีความผิดติดตัว ย่อมหวาดระแวงเสมอ
.
.
.
ปิดเทอมฤดูหนาว ผมกับมาซายะไปหายูริเอะและไอระที่เรียนอยู่อังกฤษ มาซายะไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะมาเพราะอยากเซอร์ไพรส์ ผลคือเราคลาดกับสองคนนั้น
ทั้งคู่ไปเที่ยวบาร์เซโลนาอันเป็นบ้านของเพื่อนที่มหาวิทยาลัย และอยู่จนกว่าช่วงวันหยุดปีใหม่จะผ่านพ้น มาซายะดูผิดหวังมาก สีหน้าเคร่งขรึมกว่าปกติ คงจับสัญญาณอะไรบางอย่างได้
ผมคิดว่ายูริเอะรู้ว่าพวกเราจะมาต่างหาก ถึงได้หลบหน้าหลบตา มาซายะเองก็รู้ไม่ใช่ไม่รู้ ทุกอย่างรอแค่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดออกมาก็เท่านั้น
แต่ใครจะเป็นฝ่ายพูดก่อนล่ะ
ถึงไอระกับยูริเอะไม่อยู่ แต่กำหนดการณ์เดิมของผมกับมาซายะก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง นั่นคือไปพบผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและระบบประสาท นอกจากนั้นมาซายะก็ยังนัดจิตแพทย์ชื่อดังของที่นี่ จัดการอะไรให้เสร็จสรรพไม่ถามผมสักคำ แต่ผมก็ไม่อยากบ่นมากเพราะรู้ว่าเขาหวังดี
แต่มาโรงพยาบาลแบบนี้ ก็นึกถึงยูกิโนะขึ้นมา หนาวๆแบบนี้เด็กคนนั้นก็ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยเหมือนกัน แทบจะเป็นบ้านหลังที่สองเลยก็ว่าได้
ที่โลกเดิม มาซายะคงทำหน้าที่พี่ชาย ดูแลยูกิโนะแทนผมไม่ขาดตกบกพร่อง เหมือนที่เจ้ากี้เจ้าการทำกับผมอยู่ในตอนนี้
ผมไม่ได้ร่างกายอ่อนแอขนาดนั้น แค่ปวดหัว แต่เขาก็ประคบประหงม ทำเหมือนผมเป็นคนป่วยร้ายแรงใกล้ตาย นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เรื่องมากชะมัด