Fanboi Channel

ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ :ปาร์ตี้​น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับท่านเทพเกศาบันดาลรัก โปรดรับบรรณาการนี้ไปด้วยเถิด!!! (บรรณาการจานที่ 16)

Last posted

Total of 1000 posts

345 Nameless Fanboi Posted ID:V4FGAwL/2

สองทุ่มเป็นเวลาของเด็กดี เชิญพบกับเอ็นโจเลี้ยงต้อย >>>/webnovel/3689/378-380
คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ ไม่เจอะเจอกันกับฉัน.....
---------------------------------------------

เช้าวันจันทร์ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อยตามสภาพอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน

พยากรณ์อากาศรายงานว่าจะมีฝนตกทั้งวัน ติดต่อกันไปเป็นสัปดาห์เพราะพายุเข้า สภาพอากาศชวนหดหู่อย่างนี้ ผมก็นึกถึงยูกิโนะขึ้นมา

ที่โลกนั้น ป่านนี้เด็กคนนั้นจะแข็งแรงขึ้นรึยังนะ พายุเข้าทีไรก็อาการหอบหืดกำเริบทุกที

ยูกิโนะที่ร่างกายอ่อนแอต้องมาเป็นผู้สืบทอดตระกูลเอ็นโจแทนที่ ในกรณีที่ผมหรือยูกิโนะเกิดเป็นอะไรไป พ่อก็มีแผนสำรองเพื่อรับมือเพื่อให้แน่ใจว่ากิจการของตระกูลเอ็นโจจะดำเนินต่อไปไม่มีติดขัด

อาจจะฟังดูใจดำ แต่เพื่อตระกูลแล้วก็ต้องทำแบบนี้ ตระกูลใหญ่ๆที่ไหนก็เป็น

แต่งตัวเสร็จก็ลงไปทานมื้อเช้าแล้วไปขึ้นรถเพื่อไปโรงเรียนเหมือนอย่างทุกวัน มองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกกระทบกับกระจกหนักมากจนเกือบไม่เห็นทางข้างหน้า ฝนที่เป็นเหมือนม่านที่กั้นสองโลกเอาไว้

วันสุดท้ายที่ผมอยู่ในโลกเดิมก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ ก็คือวันที่ฝนตกหนักอย่างนี้ด้วยเช่นกัน มันควรจะเป็นภาพความทรงจำที่เลวร้าย แต่มันก็มีความสุขแฝงอยู่ด้วยเสมอ

ฝนตกทีไร ผมก็มักจะนึกถึงคุณคิโชวอินที่วิ่งฝ่าสายฝนมาหา เพื่อเอาหนังสือมาให้ยูกิโนะทุกครั้งไป

ถึงจะเพื่อยูกิโนะ แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มให้ผมแบบจริงใจ ไม่มีความหวาดระแวงหรือสิ่งอื่นใดเจือปน สายตาที่มองตรงมาไม่เลี่ยงหลบ สะกดให้ทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่ง

วินาทีนั้น ผมก็ได้รู้ตัว...ว่าหลงรักเธอมาเนิ่นนาน อาจจะตั้งแต่วันที่แรกที่ได้พบด้วยซ้ำ

น้ำเน่าชะมัด

ยูกิโนะที่ได้รับหนังสือนิทานไป อ่านจบก็ส่งต่อมาให้ผม บอกยิ้มๆว่าให้ยืม แต่ก็ไม่ทวงคืนสักที ปล่อยให้มันอยู่ในห้องผมไปแบบนั้น

ผมอ่านจนจำได้ขึ้นใจในทุกตัวอักษร มองกระทั่งภาพวาดประกอบ จดจำรายละเอียดไม่มีตกหล่น ให้ท่องก็ท่องได้ทั้งเล่ม ยิ่งกว่าตำราเรียนเสียอีก

พอมาโลกนี้ ผมหาซื้อนิทานเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะพิมพ์ออกมากี่ครั้ง กี่สำนักพิมพ์ ก็ไม่มีซักเล่มที่เหมือนกับเล่มในความทรงจำของผม

สุดท้าย นิทานเรื่องนั้นผมก็ไม่ได้ซื้อ แม้เนื้อหาข้างในจะเหมือนกัน แต่ผมก็อยากได้หนังสือที่เหมือนกับโลกเดิมทุกอย่าง

ดูเป็นความยึดติดไร้สาระ แต่ถ้าผิดเพี้ยนไปจากนี้ผมก็ไม่ต้องการ

.
.
.

พอไปถึงห้องเรียน มาซายะก็มาแตะบ่า บอกให้ไปคุยกันก่อน ท่าทางเคร่งเครียดจริงจังจนไม่กล้าพูดแหย่

“ถ้าในญี่ปุ่นไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่รักษานายได้ ช่วงที่เราไปหายูริเอะที่อังกฤษ ฉันเลยติดต่อไปหาคนนี้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคสมอง” มาซายะพูดขรึมๆ ยื่นนิตยสารการแพทย์ให้ “โชคดีที่เขาว่าง และเขาบอกว่าจะตรวจให้”

ผมลองเปิดหน้าที่เขาคั่นไว้ เป็นบทสัมภาษณ์นายแพทย์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง เนื้อหาเกี่ยวกับงานวิจัยเรื่องสมองและการบำบัด ได้รับรางวัลมากมายที่การันตีความสำเร็จ

“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้น่า” ผมเงยหน้าขึ้นมอง

“ต้องทำสิ ฉันอยากให้นายหายป่วย” เขาดูฮึดฮัดขึ้นมา ชี้นิ้วใส่หน้าผม “แล้วยานั่นก็เพลาๆซะ กินมากไปมันไม่ดี ถ้าเครียดมากนัก นายอยากไปที่ไหนฉันจะพาไป ไปสูดอากาศ ไปพักร้อน หรืออะไรก็ได้ที่ไม่มีเรื่องหนักสมอง”

ผมกระพริบตาปริบๆ จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก

เมื่อสองวันก่อนที่เครียดเรื่องยูริเอะ แต่พอรู้ว่าผมป่วยก็ไปหาข้อมูลมาให้ จัดแจงนัดแนะให้เสร็จสรรพ เป็นความหวังดีและใจดีในแบบของเขา ไม่ต่างจากโลกเดิมเลย

เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้นขัดจังหวะ มาซายะเดินลิ่วๆนำหน้าไปเป็นเชิงบอกว่าจะไม่รับคำปฏิเสธ ผมต้องเดินตามให้ทัน ดึงแขนเสื้อเขาที่กำลังจะก้าวเข้าห้องตัวเองไป

“ขอบคุณนะ มาซายะ”

มาซายะเหลือบมองผมแล้วก็ยิ้มออกมา

“เออ”

ผมกลับเข้าห้องเรียนมาทันเวลาที่อาจารย์กำลังจะเริ่มสอนอยู่พอดี พอก้มหัวกล่าวขอโทษก็ได้รับการบอกว่าไม่เป็นไรอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นนักเรียนทั่วไปคงโดนลงโทษไปแล้ว แต่เป็น Pivoine ที่มีอภิสิทธิ์อยู่ในโรงเรียนนี้ ได้รับการปล่อยผ่านทุกอย่าง

คาบเช้าวันนี้คือวิชาปรัชญา เป็นวิชาบังคับเรียนของซุยรันในโลกนี้ เนื้อหาที่อาจไม่ได้ลงลึกเท่าพวกที่เลือกเรียนเป็นวิชาเอกในมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องใช้การวิเคราะห์ตีความอยู่พอสมควร

อาทิตย์ที่แล้วเราเรียนเรื่องปรัชญาลัทธิเต๋าและแนวคิดกว้างๆของลัทธินี้ วันนี้เลยเจาะลึกมากยิ่งขึ้นด้วยการเรียนเกี่ยวกับจวงจื่อ นักปรัชญาของลัทธิ มีชีวิตอยู่เมื่อสองพันสามร้อยปีมาแล้ว

อาจารย์บอกชีวประวัติเขาคร่าวๆแล้วเริ่มพูดถึงผลงาน “มีใครเคยได้ยินเรื่องจวงจื่อกับผีเสื้อบ้างรึเปล่าคะ” คนในห้องยกมือกันประปราย เด็กผู้หญิงท่าทางคงแก่เรียนพูดขึ้นหลังจากได้รับอนุญาต

“ที่จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อที่ฝันว่าเป็นจวงจื่อกันแน่ ใช่รึเปล่าคะ”

346 Nameless Fanboi Posted ID:V4FGAwL/2

อาจารย์มีท่าทีพึงพอใจ เริ่มอธิบายเนื้อหา จากที่นั่งฟังพอให้ผ่านหูไปเมื่อครู่นี้ ผมนั่งตัวตรงแล้วเริ่มฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าฝันไปว่าตนคือผีเสื้อโบยบินไปมาอย่างสำราญใจ ไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ผีเสื้อตัวนี้ไม่รู้เลยว่ามันคือจวงจื่อ แล้วทันใดก็ตื่นขึ้น รู้สึกตัวว่ามันคือจวงจื่อ”

ไม่รู้ตัวอย่างนั้นเหรอ

“เป็นการยากที่จะบอกได้ว่า ตนเองเป็นจวงจื่อที่ฝันไปว่าเป็นผีเสื้อตัวนั้น หรือผีเสื้อตัวนั้นฝันไปว่าเป็นจวงจื่อกันแน่….”

อาจารย์เริ่มลงมือเขียนกระดานให้เห็นกันทั่วห้อง “นี่คือบทกวีที่ดังที่สุดของจวงจื่อ ถูกหยิบยกไปใช้อ้างอิงมากมายในหนังหรือหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องโลกคู่ขนานและความฝัน ซึ่งวันนี้เราจะวิเคราะห์กันในเรื่องนี้ว่าสอดคล้องกับปรัชญาของเต๋าอย่างไร….”

เนื้อหาของบทเรียนยังคงติดตรึงอยู่ในหัว สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด ช่วงพักกลางวันผมจึงไปที่ห้องพักครู เธอดูแปลกใจแต่ก็เชิญผมนั่ง รินชาจากกาใส่ถ้วยให้

อารัมภบทอยู่ครู่หนึ่งพอเป็นพิธี ผมรีบเข้าเรื่องในสิ่งที่ต้องการจะรู้

“ขอโทษครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาที่เรียนไปเมื่อครู่นี้เท่าไหร่ รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายอีกหนได้รึเปล่าครับ”

“ติดขัดตรงไหนงั้นเหรอคะ”

“เรื่องที่จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อน่ะครับ” อาจารย์พยักหน้าให้ผม ตั้งใจฟังคำถาม “จะเป็นไปได้เหรอครับ ที่ผีเสื้อจะฝันว่าเป็นตัวเรา”

“อันนี้ก็แล้วแต่คนจะตีความนะคะ ถ้าในทางวิทยาศาสตร์ ผีเสื้อไม่มีทางฝันได้หรอกค่ะเพราะโครงสร้างสมองไม่ซับซ้อน แต่ในทางปรัชญา ดิฉันจะตีความว่าเป็นเรื่องของอัตตาค่ะ”

“อัตตา”

“อัตตาคือความมีตัวตนค่ะ จวงจื่อไม่แน่ใจว่าที่เขามีตัวตนเป็นเพราะผีเสื้อกำลังฝันว่าเป็นเขาอยู่รึเปล่า โยงเข้ากับลัทธิเต๋าในเรื่องการเกิดและแตกดับในธรรมชาติ แต่ก็มองได้อีกแง่คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือเป็นแค่ภาพลวงตาในความฝัน”

เมื่อผมเงียบ เธอก็อธิบายต่อ

“ความฝันเป็นแดนพิศวงนะคะ เราไม่สามารถควบคุมทุกเหตุการณ์ในฝันได้ แต่ความฝันก็ยังน่าอัศจรรย์ใจอยู่ดี” เธอเท้าคางมองผมยิ้มๆ “เพราะอย่างนี้ บางคนจึงปรารถนาที่จะอยู่ในความฝันมากกว่าโลกแห่งความจริง”

คำพูดนั่น....เคยได้ยินจากชูสุเกะในโลกกระจก

ผมมองอาจารย์ด้วยความไม่แน่ใจ นึกสงสัยในทุกเรื่อง

“เรื่องของจวงจื่อนี้ก็คล้ายกับบทกวีหากรู้ว่าเป็นเพียงฝันของโอโน โนะ โคมาจิเหมือนกันนะคะ”

หากรู้ว่าเป็นเพียงฝัน คือกลอนที่โด่งดังมากของกวีหญิงในยุคเฮอันผู้นี้ ไม่ว่าใครก็เคยได้เรียน กลอนบทนั้นผุดขึ้นมาในหัวผมทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลานึกด้วยซ้ำ

“คิดถึงคนผู้นั้น หลับเพื่อจะพบเจอ เธอยืนอยู่ต่อหน้า หากรู้ว่าเป็นเพียงฝัน ก็ไม่อยากตื่นอีกเลย”

กลอนที่กล่าวถึงหญิงสาวที่ลุ่มหลงในรัก มีฝันแสนหวานที่ไม่อยากตื่น และไม่ต้องการรับรู้ความจริงใดๆ

“แต่สิ่งแตกต่างคือจวงจื่อรู้ตัวว่ากำลังฝันและพยายามตื่นขึ้น แต่โคมาจิยังติดอยู่ในวังวนแห่งความฝัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่เราเลือกทางของเราเองว่าจะเป็นแบบไหน”

อาจารย์จ้องผมพร้อมกับรอยยิ้มที่เห็นแล้วไม่สบายใจ ดูคล้ายชูสุเกะในโลกกระจก

ความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่ แต่คนที่มีความผิดติดตัว ย่อมหวาดระแวงเสมอ

.
.
.

ปิดเทอมฤดูหนาว ผมกับมาซายะไปหายูริเอะและไอระที่เรียนอยู่อังกฤษ มาซายะไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะมาเพราะอยากเซอร์ไพรส์ ผลคือเราคลาดกับสองคนนั้น

ทั้งคู่ไปเที่ยวบาร์เซโลนาอันเป็นบ้านของเพื่อนที่มหาวิทยาลัย และอยู่จนกว่าช่วงวันหยุดปีใหม่จะผ่านพ้น มาซายะดูผิดหวังมาก สีหน้าเคร่งขรึมกว่าปกติ คงจับสัญญาณอะไรบางอย่างได้

ผมคิดว่ายูริเอะรู้ว่าพวกเราจะมาต่างหาก ถึงได้หลบหน้าหลบตา มาซายะเองก็รู้ไม่ใช่ไม่รู้ ทุกอย่างรอแค่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดออกมาก็เท่านั้น

แต่ใครจะเป็นฝ่ายพูดก่อนล่ะ

ถึงไอระกับยูริเอะไม่อยู่ แต่กำหนดการณ์เดิมของผมกับมาซายะก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง นั่นคือไปพบผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและระบบประสาท นอกจากนั้นมาซายะก็ยังนัดจิตแพทย์ชื่อดังของที่นี่ จัดการอะไรให้เสร็จสรรพไม่ถามผมสักคำ แต่ผมก็ไม่อยากบ่นมากเพราะรู้ว่าเขาหวังดี

แต่มาโรงพยาบาลแบบนี้ ก็นึกถึงยูกิโนะขึ้นมา หนาวๆแบบนี้เด็กคนนั้นก็ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยเหมือนกัน แทบจะเป็นบ้านหลังที่สองเลยก็ว่าได้

ที่โลกเดิม มาซายะคงทำหน้าที่พี่ชาย ดูแลยูกิโนะแทนผมไม่ขาดตกบกพร่อง เหมือนที่เจ้ากี้เจ้าการทำกับผมอยู่ในตอนนี้

ผมไม่ได้ร่างกายอ่อนแอขนาดนั้น แค่ปวดหัว แต่เขาก็ประคบประหงม ทำเหมือนผมเป็นคนป่วยร้ายแรงใกล้ตาย นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เรื่องมากชะมัด

347 Nameless Fanboi Posted ID:V4FGAwL/2

จากการวินิจฉัยของแพทย์ ผมได้ยามาหลายขนาน มาซายะมานั่งคุมเชิงให้ผมทานลงไปให้หมด พอกลืนยาอีกตัวลงคอก็ส่งน้ำให้แล้วก็หยิบยาอีกแผงมาแกะรอ ชักเข้าใจความรู้สึกของยูกิโนะที่ถูกบังคับให้ทานยาหลากหลายชนิดแล้วสิ

มาซายะบอกให้ผมพักผ่อนแล้วก็ออกไปจากห้อง ฤทธิ์ยาทำให้ผมง่วงและซึม แต่ก็นับว่าดีที่ไม่ปวดหัว

จิตแพทย์ที่คุยด้วยก็วินิจฉัยว่าผมเป็นโรคเครียดเหมือนจิตแพทย์ที่ญี่ปุ่น แต่ดวงตาเขาเหมือนคนรู้ทันว่าผมกำลังปิดบังเรื่องที่สำคัญมากอยู่ คนไข้ไม่ร่วมมือ หมอเองก็ไม่สามารถรักษาให้ถูกจุดได้

ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เล่าให้ใครฟังก็ต้องถูกหาว่าบ้าแน่นอน

ประสบอุบัติเหตุแล้ววิญญาณหลุดมาเข้าร่างตัวเองในอีกโลก แย่งชิงร่างกายนี้ไป ส่งเจ้าของเดิมที่เป็นเด็กสี่ขวบไปกักขังในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจและสวมรอยแทนที่นับตั้งแต่นั้น

จะว่าไป ผมไม่ได้เจอชูสุเกะในโลกกระจกนานมากแล้ว เขามีช่วงเวลาที่หายไปนานๆเหมือนกัน แต่ไม่มีครั้งไหนนานเท่าครั้งนี้

ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมอยู่สงบเสงี่ยม แต่ตราบใดที่จิตใจผมยังเข้มแข็ง เขาก็จะไม่มีวันออกมาจากโลกที่ผมขังเขาไว้

หรือว่า เขาจะเข้าร่างของผมในโลกเดิมไปแล้ว

พยายามนึกความเป็นไปได้ต่างๆนานาแต่ฤทธิ์ยาก็ทำให้ผมง่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องโยนทฤษฎีทั้งหลายทิ้งไปแล้วหลับตาลง พักเรื่องวุ่นๆเอาไว้ก่อน
.
.
.

ตื่นเช้ามาด้วยความปลอดโปร่งแจ่มใส คงเป็นเพราะได้นอนพักผ่อนเต็มที่ ผมเดินลงมาข้างล่างก็เห็นมาซายะนั่งอยู่หน้าเตาผิง ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่

“อรุณสวัสดิ์ มาซายะ ตื่นเช้าจังนะ”

“ยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก” มาซายะพึมพำตอบกลับมาพลางพลิกหน้ากระดาษ

“อ่านอะไรน่ะ ท่าทางจะสนุกนะ ถึงกับไม่หลับไม่นอนเชียวเหรอ”

มาซายะชูหน้าปกให้ดู เป็นนิยายเรื่อง “ด็อกเตอร์เจเคิลกับมิสเตอร์ไฮด์” แล้วก็ก้มหน้าอ่านต่อ ผมเห็นว่าเหลือไม่กี่หน้าก็เลยนั่งลงเป็นเพื่อน รอให้มาซายะอ่านจบจะได้ไปทานมื้อเช้าด้วยกัน

“นึกยังไงถึงหยิบมาอ่านกันล่ะนั่น”

มาซายะเงยหน้าขึ้น ทำหน้าประหลาดใจ

“ก็นายเป็นคนแนะให้ฉันอ่านไม่ใช่เหรอ”

“ผมไปแนะมาซายะตอน…”

พูดยังไม่ทันจบประโยค สิ่งที่นึกขึ้นมาได้ก็ราวกับถูกฟ้าผ่าใส่ เกิดอาการชาวาบจากศีรษะจรดปลายนิ้ว ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนถูกน้ำเย็นซัดสาด หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นจนมือเท้าเย็นเฉียบ

หรือว่า….

“เมื่อคืนฉันเห็นนายลงมานั่งอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ ชวนคุยเรื่องนี้แล้วก็เอาให้ฉันอ่าน”

“เอ่อ ใช่ ขอโทษทีนะ เมื่อคืนเบลอๆนิดหน่อยน่ะ” ผมกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ในใจกำลังหวาดวิตกรุนแรง “ไปทานมื้อเช้ากันเถอะ ผมหิวแล้วล่ะ”

มาซายะขมวดคิ้วใส่ผม ปิดหนังสือแล้ววางกลับขึ้นไปบนชั้น เดินตามไปที่โต๊ะอาหาร

เช้าวันนั้น มือผมสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็น ทานอะไรแทบไม่ลงแต่ก็ต้องทานเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย แล้วขอตัวกลับขึ้นห้องปล่อยให้มาซายะออกไปธุระข้างนอกคนเดียวโดยอ้างว่ายังปวดหัวอยู่

เขาดูไม่ติดใจสงสัยอะไร แต่บอกให้ผมนอนพักแล้วจะรีบกลับมา

ระหว่างที่เดินขึ้นบันได หัวใจผมเต้นถี่รัวด้วยความหวาดหวั่น ทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้แต่เหงื่อกลับไหลท่วมร่างจนเสื้อเปียกชุ่มไปหมด

เป็นไปไม่ได้ ชูสุเกะคนนั้นจะออกมาได้ยังไง ทำไมผมถึงไม่รู้

ผมพยายามบอกตัวเองว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ไม่จริง มาซายะตาฝาดไปเอง ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะออกมาได้

ไม่จริง ไม่ใช่เรื่องจริง ต้องฝันอยู่แน่ๆ

--------------------------------------
สาระท้ายตอน
-หากรู้ว่าเป็นเพียงฝัน มาจากบทกวีชื่อ Yume to shiriseba แต่งโดยโอโน โนะ โคมาจิ นักกวีหญิงงามในสมัยเฮอัน

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.