สองทุ่มเป็นเวลาของเด็กดี เชิญพบกับเอ็นโจเลี้ยงต้อย >>>/webnovel/3689/378-380
คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ ไม่เจอะเจอกันกับฉัน.....
---------------------------------------------
เช้าวันจันทร์ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อยตามสภาพอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน
พยากรณ์อากาศรายงานว่าจะมีฝนตกทั้งวัน ติดต่อกันไปเป็นสัปดาห์เพราะพายุเข้า สภาพอากาศชวนหดหู่อย่างนี้ ผมก็นึกถึงยูกิโนะขึ้นมา
ที่โลกนั้น ป่านนี้เด็กคนนั้นจะแข็งแรงขึ้นรึยังนะ พายุเข้าทีไรก็อาการหอบหืดกำเริบทุกที
ยูกิโนะที่ร่างกายอ่อนแอต้องมาเป็นผู้สืบทอดตระกูลเอ็นโจแทนที่ ในกรณีที่ผมหรือยูกิโนะเกิดเป็นอะไรไป พ่อก็มีแผนสำรองเพื่อรับมือเพื่อให้แน่ใจว่ากิจการของตระกูลเอ็นโจจะดำเนินต่อไปไม่มีติดขัด
อาจจะฟังดูใจดำ แต่เพื่อตระกูลแล้วก็ต้องทำแบบนี้ ตระกูลใหญ่ๆที่ไหนก็เป็น
แต่งตัวเสร็จก็ลงไปทานมื้อเช้าแล้วไปขึ้นรถเพื่อไปโรงเรียนเหมือนอย่างทุกวัน มองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกกระทบกับกระจกหนักมากจนเกือบไม่เห็นทางข้างหน้า ฝนที่เป็นเหมือนม่านที่กั้นสองโลกเอาไว้
วันสุดท้ายที่ผมอยู่ในโลกเดิมก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ ก็คือวันที่ฝนตกหนักอย่างนี้ด้วยเช่นกัน มันควรจะเป็นภาพความทรงจำที่เลวร้าย แต่มันก็มีความสุขแฝงอยู่ด้วยเสมอ
ฝนตกทีไร ผมก็มักจะนึกถึงคุณคิโชวอินที่วิ่งฝ่าสายฝนมาหา เพื่อเอาหนังสือมาให้ยูกิโนะทุกครั้งไป
ถึงจะเพื่อยูกิโนะ แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มให้ผมแบบจริงใจ ไม่มีความหวาดระแวงหรือสิ่งอื่นใดเจือปน สายตาที่มองตรงมาไม่เลี่ยงหลบ สะกดให้ทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่ง
วินาทีนั้น ผมก็ได้รู้ตัว...ว่าหลงรักเธอมาเนิ่นนาน อาจจะตั้งแต่วันที่แรกที่ได้พบด้วยซ้ำ
น้ำเน่าชะมัด
ยูกิโนะที่ได้รับหนังสือนิทานไป อ่านจบก็ส่งต่อมาให้ผม บอกยิ้มๆว่าให้ยืม แต่ก็ไม่ทวงคืนสักที ปล่อยให้มันอยู่ในห้องผมไปแบบนั้น
ผมอ่านจนจำได้ขึ้นใจในทุกตัวอักษร มองกระทั่งภาพวาดประกอบ จดจำรายละเอียดไม่มีตกหล่น ให้ท่องก็ท่องได้ทั้งเล่ม ยิ่งกว่าตำราเรียนเสียอีก
พอมาโลกนี้ ผมหาซื้อนิทานเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะพิมพ์ออกมากี่ครั้ง กี่สำนักพิมพ์ ก็ไม่มีซักเล่มที่เหมือนกับเล่มในความทรงจำของผม
สุดท้าย นิทานเรื่องนั้นผมก็ไม่ได้ซื้อ แม้เนื้อหาข้างในจะเหมือนกัน แต่ผมก็อยากได้หนังสือที่เหมือนกับโลกเดิมทุกอย่าง
ดูเป็นความยึดติดไร้สาระ แต่ถ้าผิดเพี้ยนไปจากนี้ผมก็ไม่ต้องการ
.
.
.
พอไปถึงห้องเรียน มาซายะก็มาแตะบ่า บอกให้ไปคุยกันก่อน ท่าทางเคร่งเครียดจริงจังจนไม่กล้าพูดแหย่
“ถ้าในญี่ปุ่นไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่รักษานายได้ ช่วงที่เราไปหายูริเอะที่อังกฤษ ฉันเลยติดต่อไปหาคนนี้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคสมอง” มาซายะพูดขรึมๆ ยื่นนิตยสารการแพทย์ให้ “โชคดีที่เขาว่าง และเขาบอกว่าจะตรวจให้”
ผมลองเปิดหน้าที่เขาคั่นไว้ เป็นบทสัมภาษณ์นายแพทย์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง เนื้อหาเกี่ยวกับงานวิจัยเรื่องสมองและการบำบัด ได้รับรางวัลมากมายที่การันตีความสำเร็จ
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้น่า” ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“ต้องทำสิ ฉันอยากให้นายหายป่วย” เขาดูฮึดฮัดขึ้นมา ชี้นิ้วใส่หน้าผม “แล้วยานั่นก็เพลาๆซะ กินมากไปมันไม่ดี ถ้าเครียดมากนัก นายอยากไปที่ไหนฉันจะพาไป ไปสูดอากาศ ไปพักร้อน หรืออะไรก็ได้ที่ไม่มีเรื่องหนักสมอง”
ผมกระพริบตาปริบๆ จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก
เมื่อสองวันก่อนที่เครียดเรื่องยูริเอะ แต่พอรู้ว่าผมป่วยก็ไปหาข้อมูลมาให้ จัดแจงนัดแนะให้เสร็จสรรพ เป็นความหวังดีและใจดีในแบบของเขา ไม่ต่างจากโลกเดิมเลย
เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้นขัดจังหวะ มาซายะเดินลิ่วๆนำหน้าไปเป็นเชิงบอกว่าจะไม่รับคำปฏิเสธ ผมต้องเดินตามให้ทัน ดึงแขนเสื้อเขาที่กำลังจะก้าวเข้าห้องตัวเองไป
“ขอบคุณนะ มาซายะ”
มาซายะเหลือบมองผมแล้วก็ยิ้มออกมา
“เออ”
ผมกลับเข้าห้องเรียนมาทันเวลาที่อาจารย์กำลังจะเริ่มสอนอยู่พอดี พอก้มหัวกล่าวขอโทษก็ได้รับการบอกว่าไม่เป็นไรอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นนักเรียนทั่วไปคงโดนลงโทษไปแล้ว แต่เป็น Pivoine ที่มีอภิสิทธิ์อยู่ในโรงเรียนนี้ ได้รับการปล่อยผ่านทุกอย่าง
คาบเช้าวันนี้คือวิชาปรัชญา เป็นวิชาบังคับเรียนของซุยรันในโลกนี้ เนื้อหาที่อาจไม่ได้ลงลึกเท่าพวกที่เลือกเรียนเป็นวิชาเอกในมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องใช้การวิเคราะห์ตีความอยู่พอสมควร
อาทิตย์ที่แล้วเราเรียนเรื่องปรัชญาลัทธิเต๋าและแนวคิดกว้างๆของลัทธินี้ วันนี้เลยเจาะลึกมากยิ่งขึ้นด้วยการเรียนเกี่ยวกับจวงจื่อ นักปรัชญาของลัทธิ มีชีวิตอยู่เมื่อสองพันสามร้อยปีมาแล้ว
อาจารย์บอกชีวประวัติเขาคร่าวๆแล้วเริ่มพูดถึงผลงาน “มีใครเคยได้ยินเรื่องจวงจื่อกับผีเสื้อบ้างรึเปล่าคะ” คนในห้องยกมือกันประปราย เด็กผู้หญิงท่าทางคงแก่เรียนพูดขึ้นหลังจากได้รับอนุญาต
“ที่จวงจื่อฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อที่ฝันว่าเป็นจวงจื่อกันแน่ ใช่รึเปล่าคะ”