.
.
.
...ทำไมตอนนั้นฉันถึงไม่ออกปากคัดค้านให้เต็มที่มากกว่านี้นะ…
บางทีในใจลึกๆ ฉันอาจจะอยากทำอาหารก็ได้
เพราะมันเป็นการแสดงถึงความเป็นสาวน้อยอย่างหนึ่งที่ฉันคิดว่าทำได้ดี
คงเหมือนตอนเข้าชมรมงานฝีมือล่ะมั้ง
ฉันจึงไปเหมาซื้อหนังสือทำอาหารมาจำนวนหนึ่ง
และนั่งอ่านในคาเฟ่
อืมมม มีอะไรที่น่าสนใจบ้างนะ
ฉันไล่เปิดหนังสือไปเรื่อยๆ
“น้ำชาที่สั่งได้แล้วครับ...เฮ้ย โคโรเน่นี่!”
ฉันรีบหันไปตามเสียงตกใจ
ถึงจะพอรู้ว่าเป็นใครเพราะมีแค่คนเดียวที่เรียกฉันแบบนี้
“คันตะคุง!?”
น้องชายของวาคาบะจังนี่นา มาทำอะไรที่นี่เนี่ย หรือว่างานพิเศษ?
แต่จำได้ว่าคันตะคุงตอนนี้น่าจะอยู่ม.3 เพราะงั้นก็ไม่น่าจะ...
“นี่เป็นร้านญาติน่ะ บางทีก็มีมาช่วยงานที่ร้านน่ะ”
คันตะคุงเหมือนอ่านสีหน้าของฉันออก จึงตอบออกมา
“แล้วนี่คิดจะทำอาหารเรอะ...อย่างโคโรเน่เนี่ยนะ”
ฮึ่ม ยังขาดสัมมาคารวะไม่เปลี่ยนเลยนะคะ
แต่ฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไร จะเรียกว่าชินแล้วก็คงไม่ใช่
คงเป็นเพราะรู้ว่าคันตะคุงมีนิสัยแบบนี้อยู่แล้วมากกว่า
“จริงสิ! คันตะคุงทำอาหารได้ใช่ไหม
ถ้ามาช่วยชิมกับติชมอาหารที่ฉันทำจะได้รึเปล่า”
เมื่อฉันเล่าสาเหตุที่ฉันมานั่งศึกษาตำราทำอาหารและขอความช่วยเหลือออกไป
แต่เขากลับเบ้ปาก
“หาา จะให้ฉันไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดการฆาตกรรมหมู่ของเธอหรือไง ไม่เอาด้วยหรอก”
เจ้าเด็กบ้าาาาาาาา บังอาจมาว่าการทำอาหารของฉันเป็นฆาตกรรมหมู่ได้ยังไงยะ!
“ไปขอให้พี่เค้าช่วยสิ ทั้งตอนทำอาหารเลี้ยงกับช็อกโกแลตที่ผ่านมา ก็ทำกับพี่ไม่ใช่เหรอ”
ครั้งนี้ฉันตั้งใจจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หากไปขอร้องคุณอาคิมิหรือวาคาบะจัง
คงจะเข้าอีกหรอบเดิมว่าให้ฉันนั่งอยู่เฉยๆ
ถ้าหากเป็นเด็กอย่างคันตะคุงล่ะก็คงไม่คิดทำทุกอย่างคนเดียวแน่ๆ
ที่ฉันต้องการคือคนที่จะมาช่วยแนะนำวิธีแนวทางมากกว่าที่จะทำให้
ฉันออกปากขอร้องคันตะคุงอีกครั้ง
เหมือนว่าจะได้ผล เขาทำหน้าชั่งใจพักใหญ่ก่อนสีหน้าจะยอมอ่อนลงให้เล็กน้อย
“...ก็ได้ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ช่วยพี่มาตลอดละกัน
แล้วถ้าปล่อยไปเฉยๆ เกิดมีคนตายขึ้นมา คงนอนไม่หลับแหง”
“ขอบใจมากนะ คันตะคุง!”
แต่ประโยคหลังไม่ต้องพูดออกมาก็ได้นะคะ
คันตะคุงเดินเข้าไปคุยคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์
บางทีอาจจะเป็นญาติที่เป็นเจ้าของร้านที่พูดถึงก็ได้
ทั้งสองคนคุยกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนคันตะจะถอดผ้ากันเปื้อนที่เป็นยูนิฟอร์มของร้าน
และเดินกลับมานั่งที่โต๊ะของฉัน
“ขอดูหน่อยนะ”
คันตะคุงไล่ดูตำราที่ฉันซื้อมา ระหว่างนั้นก็ถามถึงรายละเอียดของปาร์ตี้
หลังจากมองดูปกผ่านๆ เขาก็เลือกหยิบออกมาหนึ่งเล่ม
และเริ่มอ่านคร่าวๆ
“อืม...ถ้าเป็นปาร์ตี้ลำลอง...ทำอาหารง่ายๆ แบบพอดีคำสไตล์ปาร์ตี้ค็อกเทลก็น่าจะดี
ของที่กรรมวิธีไม่เยอะและดูดีไปในตัว...ก็น่าจะเป็นอันนี้...ส่วนวัตถุดิบ...ก็”
เขาพูดพึมพำกับตัวเองพร้อมกับหยิบกระดาษโน้ตเขียนอะไรยุกยิกลงไปอย่างคล่องแคล่ว
ฉันได้แต่ตกตะลึงเล็กๆ ว่าเด็กท่าทางกวนโอ๊ยอย่างคันตะคุงก็มีสีหน้าจริงจังแบบนี้อยู่ด้วย
“...ก็ประมาณนี้”
เมื่อหยิบกระดาษโน้ตขึ้นอ่าน ในนั้นเขียนถึงวัตถุดิบและวิธีทำคร่าวๆ
แถมบางกรรมวิธียังวาดรูปกำกับเพื่อให้เข้าใจง่ายอีกด้วย
“สุดยอด! สมกับเป็นลุกชายร้านขนมเค้กเลย!”
“แค่เรื่องพื้นฐานน่า แล้วคิดจะเริ่มฝึกเมื่อไรล่ะ”
เมื่อได้วันที่ว่างตรงกันแล้วคือวันหยุดสุดสัปดาห์หน้า
ฉันจึงบอกจุดนัดพบเพื่อให้คนขับรถของฉันมารับคันตะคุง
พร้อมกับแลกเบอร์และเมล์ติดต่อไว้
“ห้ามบอกใครเด็ดขาดเรื่องที่ฉันให้คันตะคุงมาสอนนะ
โดยเฉพาะวาคาบะจัง เพราะไม่อยากให้เธอต้องเป็นห่วงน่ะ”
“ได้อยู่แล้ว ขืนไปบอกใคร แล้วเกิดมีใครตายเพราะอหารเธอขึ้นมา ฉันก็ซวยกันพอดี”
เอ๊ะ ทำไมปากคอเราะร้ายจังเลยล่ะคะ...