นี่กูแต่งเป็นครั้งแรกเลยนะมึง อาจจะสนุกน้อยหน่อย
อย่าว่ากันนะ
-------------------------------------------------
“ใส่แล้วก็ขึ้นดีนะเนี่ย คันตะ”
ทาคามิจิ วาคาบะเมียงมองดูผมที่กำลังลองชุดกักคุรันที่เป็น
เครื่องแบบโรงเรียนมัธยมปลายของรัฐบาลที่จะเข้าเรียนในฤดูใบไม้ผลิหน้าที่จะถึง
“ไซส์มันไม่ใหญ่ไปเหรอเนี่ย แขนเสื้อยังท่วมข้อมืออยู่เลย”
ผมบ่นพลางมองดูปลายแขนเสื้อนอกที่เลยข้อมือไปเกือบคืบ
ทว่าเจ้าตัวบอกว่ามันเหมาะดีแล้ว
“ก็ซื้อเผื่อโตไง จะได้ไม่ต้องซื้อบ่อยๆ ชุดนักเรียนตัวนึงก็หลายตังค์อยู่นะ
ถึงจะไม่แพงเหมือนชุดของซุยรันก็เถอะ
เฮ้อ จะว่าไปก็ไม่ได้ใส่ชุดยูนิฟอร์มมาตั้งหลายปีแล้วนี่นะ”
พี่สาวทอดถอนใจ เหมือนอาลัยชุดนักเรียนและช่วงชีวิตมัธยมปลายอยู่เล็กๆ
ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไร เพราะช่วงชีวิตของพี่ตอนนั้น เป็นช่วงที่ได้พบเจอสิ่งต่างๆ มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นสังคมอันหรูเริดของเหล่าคุณหนูในโรงเรียนที่กีดกันสามัญชน
หรือต้องผจญอุปสรรคต่างๆ (ที่เมื่อเจ้าตัวกลับมองไป กลับดูเป็นเรื่องน่าหัวเราะซะงั้น)
จนกระทั่งชีวิตพลิกผันจากลูกสาวร้านขนมธรรมดาๆ
ได้มากลายเป็นคนรักและคู่หมั้นของทายาทตระกูลดังอย่างคาบุรากิ มาซายะ
“ช่วงมัธยมปลายเป็นช่วงที่สนุกที่สุดของพี่เลยล่ะ
ทั้งเจอคนที่พี่รักและคนที่รักพี่ และยังมีเพื่อนที่สุดวิเศษอีก
ถ้าคันตะได้เจออะไรสนุกๆ เหมือนพี่ก็ดีสิ”
พี่ยิ้มน้อยๆ พลางมองที่นิ้วนางข้างซ้าย
ที่มีแหวนสีเงินประดับด้วยมรกตที่เจียระไนเป็นรูปใบไม้สีเขียว
การที่พี่สามารถผ่านพ้นเรื่องไม่ดีมาจนสามารถจบชั้นมัธยมปลายได้อย่างราบรื่นนั้น
ก็ต้องขอบคุณเพื่อนเธอ ที่คอยให้ความช่วยเหลือมาตลอด
ไม่ว่าจะเป็นคุณคาบุรากิ (เอ๊ะ หรือผมต้องเรียกว่าท่านพี่มาซายะนะ?) คนรักของพี่
คุณเอ็นโจ เพื่อนรักของคุณคาบุรากิ คุณมิซึซากิ ประธานนักเรียนของรุ่น
และก็...
“มานั่งเคลิ้มถึงอดีตแบบนี้เป็นป้าแก่หรือไง
เดี๋ยววันนี้ผมไปข้างนอกหน่อยนะ ไม่ต้องทำข้าวเย็นเผื่อก็ได้”
“หืม อีกแล้วเหรอ เห็นน้องๆ บอกว่าคันตะไม่อยู่กินข้าวเย็นตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา
เอ๋~~~~ หรือว่า…”
“อย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อน่า
เดี๋ยวตัวเองก็ต้องไปเตรียมงานซักอย่างในฐานะศิษย์เก่าซุยรันไม่ใช่เรอะ”
พี่ตาโต อ้าปากหวอเหมือนกับเพิ่งนึกขึ้นได้
ถึงจะเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ตระกูลใหญ่
แถมยังโดนจับเข้าคอร์สคุณหนูเป็นครั้งเป็นคราว
แต่ก็ยังเป็นวาคาบะ พี่สาวคนโตและลูกสาวร้านขนมทาคามิจิอยู่ดี
“หวาๆ ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ยยยย”
“งั้นผมไปก่อนนะ”
“เอ๋? ไปทั้งชุดกักคุรันเนี่ยนะ ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเหรอ”
“ไม่ล่ะ มีเหตุผลนิดหน่อยน่ะ ไปล่ะนะครับ”
ผมบอกพี่สาวก่อนออกจากบ้านมาทั้งๆ อย่างนั้น
เหตุผลงั้นเหรอ…
ผมนึกพลางยิ้มที่มุมปากเล็กๆ
ขณะที่ขาก้าวไปยังจุดนัดพบที่มีรถคันโตสีดำจอดรออยู่แล้ว
ใช้เวลาไม่นานนัก รถก็พามาถึงคอนโดหรูที่สูงระฟ้าในเมือง
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า ผมเหมือนมองเห็นควันดำลอยออกมาจากหน้าต่างชั้นบน
“ต้องรบกวนท่านทาคามิจินะครับ ถ้าหากไม่มีคุณล่ะก็...”
ชายสูทดำทีเป็นคนขับรถพามากล่าวพร้อมโค้งขออภัยให้ขณะที่ผมลงจากรถ
ผมโค้งรับพอเป็นพิธี อ่าา เห็นเหงื่อผุดเต็มหน้าเลย เหนี่อยหน่อยนะครับ
เมื่อเข้าไปในอาคารและแตะคีย์การ์ดที่ลิฟท์
ลิฟท์ก็พาผมไปถึงชั้นจุดหมายโดยไม่ต้องกดหมายเลขชั้น
เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย กลิ้นไหม้จางๆ ก็ลอยมาปะกับจมูก
ให้ตายสิ ไม่เคยเข็ดหรือไง
เหมือนเป็นเรื่องน่าเหนื่อยใจ แต่ทำไมรอยยิ้มที่มุมปากมันกลับยกสูงขึ้นนะ
เมื่อถึงชั้นปลายทางแล้ว ตรงหน้าผมเป็นประตูบานใหญ่
ที่เป็นทางเข้าของเพนท์ชันเฮาส์เหมาชั้นของคอนโดหรูแห่งนี้
ผมแตะคีย์การ์ดอีกครั้ง ก่อนเข้าไปภายใน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ อีกทั้งไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดควันดำนี้ด้วย
ผมจึงเดินเข้าไปยังจุดกำเนิดของควันดำได้ในทันที
จุดหมายก็คือ...ห้องครัว
เมื่อเข้าไปแล้ว ก็เห็นหญิงสาวผู้มีผมม้วนทรงโรโคโค่อันเป็นเอกลักษณ์
ในมือถือถาดอบที่เพิ่งเอาออกจากเตามาใหม่ๆ
“คันตะคุง! มาพอดีเลยนะคะ
ฉันอบพายชาร์โคลที่ตั้งใจจะทำในงานศิษย์เก่าเสร็จพอดีเลย
อาจจะไม่เหมือนอย่างที่คันตะคุงเคยสอน “นิดหน่อย” แต่ต้องอร่อยแน่ๆ!”
ตาของเธอเป็นประกายสดใส ต่างจากของสีดำสนิทที่อยู่ในถาดอบอย่างสิ้นเชิง
“ยัยโคโรเน่!”
ทำไมผมถึงยอมมาเป็นครูสอนทำอาหารจำเป็นของยัยนี่ได้นะ...