ผมเดาท่าทีของเธอในตอนนั้นไม่ออกจริงๆว่าคิดอะไรอยู่ จะดีใจไหมที่มาซายะอกหักจากยูริเอะ หรือจะเสียใจที่มาซายะไปรักชอบคุณทาคามิจิแล้ว
เมื่อก่อนผมคงไม่คิดอะไรเช่นนี้ แต่พอรู้ตัวถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ผมทั้งกลัวและกังวลไปหมด พยายามจะห้ามไม่ให้ตัวเองคิดไปต่างๆนานาจนฟุ้งซ่าน
หรือควรจะหักห้ามใจตั้งแต่เนิ่นๆดีนะ จะได้ไม่เจ็บมาก
มาซายะเองก็เทียวมาหาผมที่ห้องทุกครั้งที่ว่าง แต่ดูเหมือนจะใช้ผมเป็นสะพานไปหาคุณทาคามิจิมากกว่า เห็นหน้าระรื่นแบบนั้นมันน่าหมั่นไส้ชะมัด ช่างมีความสุขเหลือเกินนะ
ถ้าจะแช่งให้อกหักอีกหน คนที่ลำบากก็ต้องเป็นผมอีกนั่นล่ะ
.
.
.
วันแล้ววันเล่าผ่านไปเช่นนั้น จนกระทั่งผมได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ห้องพยาบาลเรื่องอาการหอบของยูกิโนะกำเริบ แม้จะมีแผนรับมือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็อดที่จะตกใจไม่ได้อยู่ดี
ที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ คุณคิโชวอินเป็นคนแบกยูกิโนะขึ้นหลังมาส่งที่ห้องพยาบาล
พอไปถึงที่ห้องพยาบาลของฝั่งประถม ก็เห็นคุณคิโชวอินนั่งอยู่ข้างๆเตียงยูกิโนะ ใบหน้านั้นขาวซีดไม่มีสีเลือด ผมสอบถามอาการของน้อง ยูกิโนะดูขืนตัวเองเล็กน้อยตอนที่ผมช่วยประคองให้ลุกขึ้น ถ้าให้เดาก็คงมาจากการที่ไม่อยากทำตัวอ่อนแอไปมากกว่านี้ต่อหน้าคุณคิโชวอินนั่นล่ะ
พอกล่าวขอบคุณที่ช่วยเหลือยูกิโนะและบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณอย่างแน่นอน คุณคิโชวอินก็โบกไม้โบกมือปฏิเสธใหญ่บอกว่าอย่าไปถือเป็นบุญคุณ แค่ช่วยมาบอกอาการยูกิโนะก็พอ ทำเอาอึ้งไม่น้อย
ส่งน้องไปถึงมือหมอได้ ผมก็กลับมาครุ่นคิดพิจารณา
ผมถูกสอนมาว่าคนเราทำอะไรมันก็หวังผลตอบแทนหรือสิ่งแลกเปลี่ยนด้วยกันทั้งนั้น โลกนี้มันไม่มีอะไรได้มาฟรีๆหรอก การให้ความช่วยเหลือแล้วสร้างสายสัมพันธ์ที่เรียกว่าบุญคุณ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ควบคุมบงการคนอื่นให้ทำตามความต้องการของเราได้
แต่กับคุณคิโชวอินไม่ใช่อย่างนั้น เธอรักและห่วงใยยูกิโนะจากใจจริง ช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร ช่วยอย่างเต็มกำลังและความสามารถทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เก่งกาจ ทำด้วยใจอย่างจริงแท้ ผมที่พบเจอคนมามากมาย ยังไม่เคยเห็นใครเหมือนเธอมาก่อน
เพราะเธอเป็นแบบนี้ ผมถึงได้ชอบ และความรู้สึกนั้นมันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
คราวแรกที่คิดว่าจะตัดใจตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อไม่ให้เจ็บหนักมาก แต่วินาทีนั้นผมก็ได้ตระหนักว่าผมกำลังถลำลึกลงไปจนยากที่จะถอนตัว
จะให้หักห้ามความรู้สึกตอนนี้ เห็นทีคงทำไม่ได้แล้ว
.
.
.
วันรุ่งขึ้น ผมไปรายงานอาการของยูกิโนะให้คุณคิโชวอินทราบตามที่ได้สัญญากันไว้ เธอหน้าเสียไปเลยเมื่อได้ยินว่ายูกิโนะต้องเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว พอบอกว่ายูกิโนะเองก็จ๋อยที่ต้องให้ผู้หญิงมาแบกขึ้นหลัง คุณคิโชวอินก็ทำหน้าแปลกๆ แต่คงเป็นความเอ็นดูมากกว่า
ผมก้มหัวให้เป็นการขอบคุณ คุณคิโชวอินก็รีบห้ามเอาไว้
มาซายะเดินมากับคุณทาคามิจิพอดี คุยกันสนิทสนม คุณคิโชวอินหันไปมองทางนั้น ทำตาโตแบบสงสัย ชะเง้อคอมองแบบคนสอดรู้สอดเห็นเต็มขั้น
ผมสังเกตท่าทีของเธอ ไม่เห็นความเสียใจหรือผิดหวังอยู่บนใบหน้าและแววตาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา
แต่เมื่อจะเสนอช่วยไขคำตอบให้กับสิ่งที่เธอกำลังสงสัย คุณคิโชวอินที่หันมาจ้องตาผมก็ชะงักค้างแล้วรีบเผ่นหนีไปเลย อะไรกัน ท่าทีดีใจของผมมันปรากฎชัดขนาดนั้นเลยเหรอ
ถึงจะเสียดายที่คุณคิโชวอินไม่ยอมตกหลุมพรางที่ผมพยายามขุดล่อ แต่ได้เห็นท่าทีของเธอเหมือนจะยืนยันคำตอบในสิ่งที่ผมสงสัย
คุณคิโชวอินไม่ได้มีใจให้มาซายะ ผมยังมีโอกาสอยู่
.
.
.
พอยูกิโนะออกจากโรงพยาบาลก็เที่ยวเดินไปเดินมาในห้องผม เปิดนั่นเปิดนี่ดูไปเรื่อย แล้วก็ออกไปจากห้องด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่คุณคิโชวอินคงไม่มีวันได้เห็น
วันต่อมา น้องก็เอาผ้าขนหนูมาให้ ทำหน้าออดอ้อนแบบน่ารักว่าอยากให้ผมใช้มันที่โรงเรียน แต่แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว การแสดงแบบนี้มีแต่คุณคิโชวอินเท่านั้นล่ะที่จะตกหลุมพรางน่ะ
จะไปขัดคอก็คงไม่ดี ผมเลยแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร รับผ้าผืนนั้นมาใช้แต่โดยดี
เป็นไปตามคาดที่ยูกิโนะจะส่งผ้าขนหนูแบบเดียวกันไปให้คุณคิโชวอินใช้ด้วย แล้วก็ยังมีเทียนอโรมากลิ่นที่ผมชอบ เจตนาชัดเจนแบบนี้ ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้
ผมมองจากอีกฟากของสนาม เห็นเธอหยิบผ้าที่เหมือนกันกับของผมขึ้นมาใช้ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นเธอใช้ของเข้าคู่กันกับตัวเอง เหมือนได้สร้างสายสัมพันธ์ที่เป็นพิเศษขึ้นมาได้อีกขั้น
มิน่า คนเป็นแฟนกันถึงชอบใช้ของเป็นคู่กัน เพราะเหมือนกับการประกาศความเป็นเจ้าของไปในตัว เป็นสิ่งพิเศษสำหรับคนสองคนเท่านั้น
แต่เวลาของความสุขนั้นช่างแสนสั้น มีคนไปทักเธอเรื่องผ้าขนหนูที่เป็นคู่กันกับผม เป็นไปตามคาดที่เธอจะเก็บผ้าผืนนั้นลงกระเป๋าทันที ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆกับตัวเอง รู้สึกขมปร่าในอก รู้ทั้งรู้ว่าคุณคิโชวอินพยายามเลี่ยงพวกผม แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้
รังเกียจกันขนาดนั้นเลยเหรอ