นิ่งกันไปครู่หนึ่ง ผมก็ส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรจริงๆ มาซายะ”
“เกี่ยวกับคิโชวอินใช่มั้ย”
เมื่อผมเงียบ เขาก็พ่นลมออกจมูก ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ถ้ามันหนักหนานักก็เลิกทำซะ เข้าไปยุ่งในเรื่องที่เกินตัวมันจะกลับมารัดคอนายซะเปล่าๆ”
หมายความว่ายังไงกันนะ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่คาใจอะไรบางอย่างเลยจะลองตรวจสอบเองก่อน” ผมบอกปัดด้วยรอยยิ้ม คราวนี้มาซายะดูเป็นกังวล น้ำเสียงก็อ่อนลงมาก
“ฉันช่วยเอามั้ย”
“เอาไว้ถ้าตึงมือจริงๆ จะขอให้ช่วยก็แล้วกันนะ” ผมหัวเราะ “ตอนนี้ยังไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
มาซายะทำสีหน้าแปลกๆตอนที่ผมวางมือลงบนไหล่เขา ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแล้วก็ไม่พูดออกมา
“ว่าแต่ที่รีบมาหาผมนี่มีเรื่องอะไร หรือว่าจะถูกคุณทาคามิจิสลัดรักมาล่ะ” มาซายะถลึงตามองทันทีที่ได้ยินคำเย้าแหย่นั่น “อยากให้ช่วยดามใจงั้นเหรอ เห็นผมเป็นตัวสำรองเวลาอกหักนี่มันน่าน้อยใจจังน้า”
“ไม่ใช่เฟ้ย!!” เขาชูกำปั้นขึ้น ผมเลยถอยหลังไปหลายก้าว หัวเราะให้กับท่าทางแบบนั้น “อย่าพูดอะไรน่าขนลุกแบบนั้นสิวะ ไอ้บ้านี่!!”
“ล้อเล่นน่า ว่าแต่มีเรื่องอะไรล่ะ”
“หมู่นี้ยูริเอะดูแปลกๆไป” เขาถอนหายใจออกมา “เมื่อกี้ฉันเพิ่งวางสายจากยูริเอะ รู้สึกเหมือนกำลังถูกบอกปัดเลย”
“เธอยุ่งกับการเรียนอยู่ล่ะมั้ง”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ” มาซายะยิ้มขื่นๆ “ฉันกลัวว่ามันจะไม่ใช่ปัญหานั้น”
เริ่มแล้วสินะ
จากความทรงจำของผม ช่วงเวลาที่มาซายะอกหักจะอยู่หลังงานโรงเรียน แต่ก่อนหน้านั้นมาซายะยังไม่ได้ระแคะระคายอะไรจนกระทั่งได้เห็นท่าทางของยูริเอะในงาน และยูริเอะกับไอระก็เรียนที่ญี่ปุ่น ไม่ได้อยู่อังกฤษแบบตอนนี้ด้วย
ตอนนี้ทุกอย่างดูผิดเพี้ยนไปจากเดิมหมด
“ปีใหม่ เราไปบินหายูริเอะก็แล้วกัน อีกไม่กี่เดือนเอง” ผมวางมือลงบนบ่าเขา ตบเบาๆให้กำลังใจ “อย่าเพิ่งคิดมาก มันอาจไม่มีอะไรก็ได้”
มาซายะพยักหน้า เดินมากับผมเงียบๆไปที่ลานจอดรถ นี่ก็เป็นข้อแตกต่างอีกอย่าง
ถ้าเป็นมาซายะในโลกเดิม เขาคงโทรไปสั่งให้คนจองตั๋วแล้วก็ลากผมไปอังกฤษเดี๋ยวนั้นแล้ว
ผมควรต้องไปดูสภาพน้ำตกเคเก็นหรือผาโทจิมโบไว้ล่วงหน้าก่อนมั้ยนะ
------------------------
ระหว่างคาบุรากิกับเอ็นโจ กูพยายามไม่ให้วายสุดฤทธิ์ แม้ใจจะเผลอคิดไปบ้างก็ตาม