สองทุ่มเป็นเวลาเด็กดี เลยมาแจกกาวฟรุ้งฟริ้งตามชื่อกระทู้
เอ็นโจเลี้ยงต้อย >>>/webnovel/3689/174-175
------------------------
งานกีฬาสีผ่านไปแบบไม่มีอะไรตื่นเต้นนัก มาซายะโลกนี้ก็ไม่ได้เร่าร้อนกับการแข่งขี่ม้าส่งเมือง แต่ก็ยังลงกีฬาวิ่งผลัดเหมือนเดิม แล้วก็คว้าชัยชนะไปได้อย่างงดงาม ไม่มีใครกังขาในความสามารถ ส่วนผมลงกีฬาปาบอลเหมือนเดิม เพราะอยากเห็นเรย์กะใกล้ๆ ตอนทำหน้ามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังมันน่ารักชะมัด
“ไม่ยอมแพ้คุณชูสุเกะหรอกนะ” เรย์กะกำหมัด ท่าทางแบบนี้ก็น่ารักจนอยากคว้ามากอดแน่นๆแบบมันเขี้ยว
“อื๋อ จะมาชนะผมน่ะมันเร็วไปร้อยปีนะ” ผมหัวเราะ ขยี้หัวเธอเบาๆ ผมม้วนลอนนั้นชี้โด่เด่ไปมาจนเจ้าตัวโวยวายว่าผมเสียทรงหมดแล้ว
การแข่งปาบอล ห้องผมชนะ แต่ก็ต้องไปง้อร่วมสัปดาห์เธอถึงจะหายงอน แพ้หลุดรุ่ยเห็นๆ
ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงการสอบ ผมนั่งติวให้เรย์กะอย่างเคย สอบปลายภาคหนนี้ เจ้าตัวมุ่งมั่นจะกลับขึ้นไปที่สิบให้ได้ หลังจากอันดับตกมาสองครั้ง สอบปลายภาคครั้งที่แล้วผมช่วยติวก็เลยมีชื่อขึ้นบอร์ดได้ แต่ก็อยู่ลำดับที่สามสิบ เรียกได้ว่าเฉียดฉิวไปนิดเดียว เรย์กะดูไม่ค่อยพอใจกับผลสอบนี้เลย
“เคร่งเครียดไปก็ไม่ทำให้จำได้หรอก” ผมเอาดินสอกดจิ้มหว่างคิ้วของเธอ “ทำใจให้สบายๆดีกว่า”
“ก็...ฉันอยากทำอะไรเพื่อท่านพ่อบ้างนี่คะ” เรย์กะตอบอุบอิบ “หมู่นี้ท่านพ่อดูเคร่งเครียดมาก ฉันคิดว่าถ้าสอบได้ลำดับสูงๆ ท่านพ่ออาจจะดีใจ แล้วก็มีความสุขขึ้นมาบ้าง”
“หืม”
“อย่าใส่ใจเลยค่ะ แค่ความคิดเพ้อๆของฉันเองนั่นล่ะ” เธอก้มหน้าลงมองหนังสือ “มีนักเรียนจากข้างนอกเก่งๆตั้งเยอะ ที่สิบกับฉันเนี่ยคงไม่ไหวหรอก”
“ต้องไหวสิ” ผมวางมือลงบนหัวเธอ “ลืมไปแล้วเหรอว่าใครเป็นอาจารย์ให้น่ะ”
เรย์กะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้ รู้สึกอยากชวนทำอะไรที่ไม่ใช่การติวหนังสือสุดๆไปเลยล่ะ
ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบหนังสือออกมาอีกสองสามเล่มเพื่อสอน เธอดูฮึดฮัดมุ่งมั่นดีที่จะคว้าตำแหน่ง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรไปก่อกวนสมาธิ
เรานั่งติวเรื่องสมการและฟิสิกส์ที่ดูซับซ้อนน่าปวดหัวจนเย็นย่ำ พอได้เวลาที่ต้องไปแล้วก็พากันเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ขณะที่กำลังยัดชีทการบ้านใส่แฟ้ม แต่เรย์กะกลับโน้มตัวลงมาหา จูบเข้าที่แก้มอย่างแผ่วเบาเหมือนผีเสื้อขยับปีก
ผมกระพริบตาปริบๆแบบงุนงง ส่วนเรย์กะแย้มรอยยิ้มที่ดูซุกซนเหมือนปีศาจน้อยๆ
“ค่าตอบแทนที่ติวให้ยังไงล่ะคะ”
“เอ๋ แค่นี้เองเหรอ” ผมหรี่ตา “ไม่เห็นจะคุ้มตรงไหน”
“อย่าโลภสิคะ” เธอยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะปาก ชวนให้นึกถึงจูบในวันนั้น “ไม่เคยได้ยินเหรอคะ ว่าโลภมากลาภหายน่ะ”
“ทำงานมันก็ต้องได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่าสิ” ผมหัวเราะ “หรือเรย์กะคิดว่าจ่ายแค่นี้แล้วก็จบกันไปนะ งั้นเหรอ”
พอผมลุกขึ้นยืน เธอก็ถอยหลังไปหลายก้าว อะไรกัน เมื่อกี้ยังทำเป็นเก่งอยู่เลยนี่นา
“ยะ ยังไม่เห็นผลลัพธ์ซักหน่อย อาจจะไม่ได้ที่สิบก็ได้” เธอพูดอุบอิบในลำคอ
“งั้น มาดูกันมั้ย...” ระยะแค่นั้น เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ผมคว้าเธอเข้ามาในอ้อมแขน เรย์กะจนมุมได้อย่างง่ายดาย “...ว่าการสอนของผมจะพาเรย์กะไปถึงตำแหน่งไหน”
ริมฝีปากผมคลอเคลียอยู่ข้างใบหู งับเบาๆพอให้เจ้าตัวสะดุ้ง เรย์กะขืนตัวออกห่างจนสุดแขน แต่เมื่อถูกกอดอยู่อย่างนี้ การขัดขืนเล็กๆน้อยๆนี่ก็แทบจะไม่มีผลอะไร
“นี่มันที่โรงเรียนนะ”
“ถ้าเป็นที่อื่นจะโอเคงั้นเหรอ”
“ที่ไหนก็ไม่โอเคทั้งนั้นล่ะ” แก้มขาวๆนั่นขึ้นสีแดงก่ำ เห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เธอเลยบิดหูผมเข้าให้ทั้งสองข้างจนต้องร้องโอ๊ย
“ใจร้ายชะมัดเลย” ผมแกล้งทำเป็นโอดครวญ “ทำงานหนัก ค่าตอบแทนไม่คุ้ม แล้วยังโดนทุบตี นี่มันแรงงานทาสชัดๆ”
“ไม่พอใจก็ออกไปหาใหม่ซะสิ” เธอเชิดหน้าขึ้น “รัฐบาลคิโชวอินปกครองด้วยระบอบเรย์กะธิปไตย นั่นคือเรย์กะเป็นใหญ่เท่านั้น”
“งั้นขอรัฐประหาร” ผมก้มลงไป จูบลงบนริมฝีปากนั้น เรย์กะดูขัดขืนเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี
ใช้เวลาอยู่อีกครู่ใหญ่ๆกว่าจะผละออก เธอและผมหอบหายใจน้อยๆเหมือนเพิ่งไปออกแรงวิ่งกันมา หน้าเรย์กะที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงหนักขึ้น
“เท่านี้ก็น่าจะล้มล้างรัฐบาลเก่าได้นะ” เสียงกระซิบของผมแนบชิดปากริมฝีปากเธอ “ตอนนี้รัฐบาลเอ็นโจได้เข้ายึดอำนาจแทนที่รัฐบาลคิโชวอินแล้ว หากรัฐบาลคิโชวอินไม่พอใจ...”
ผมเกลี่ยนิ้วลงบนริมฝีปากเธอแล้วก็เอามาแตะปากตัวเอง
“...ก็มายึดอำนาจคืนได้ทุกเมื่อ”
เรย์กะถลึงตามใส่ ทุบผมเข้าให้ที่ไหล่อีกทีแล้วคว้ากระเป๋าขึ้น เดินลิ่วๆออกไปจากห้อง พอผมหัวเราะเธอก็รีบวิ่งไปเลย
น่ารักจริงๆเลยน้า