ไม่นานก็ถึงวันงานเทศกาล ห้องของผมทำร้านคาเฟ่ ผมเลยอาสาเป็นบาริสต้าด้วยแผนการบางอย่างในใจ
พอเห็นคิโชวอินโผล่มาในร้าน ผมก็หยุดทำกาแฟให้คนอื่น และยกถ้วยกาแฟที่มีลาเต้อาร์ตรูปกระต่ายวางให้อีกฝ่าย และบอกว่า "ยูกิโนะฝากมาขอโทษในวันนั้นน่ะครับ"
คิโชวอินตอนแรกเหมือนหวาดกลัว แต่พอถึงยูกิโนะก็ยิ้มออกมา
"ฝากนี่ให้ยูกิโนะคุงด้วยได้ไหมคะ เรื่องนั้นฉันเองก็มีส่วนผิด” คิโชวอินหยิบเทียนแฮนด์เมดออกมาให้
"ด้วยความยินดีครับ" ผมพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกเล็กน้อย ให้ทุกคนในที่นั่นได้ยิน เสียงฮือฮารอบร้านตามที่คาด
"ท่านเอ็นโจทำลาเต้พิเศษให้ท่านเรย์กะงั้นหรอ! ทั้งๆที่ไม่มีบัตรคิวนี่นะ”
“แล้วท่านเรย์กะเองก็ให้เทียนทำมือกลับด้วย!”
“หรือว่าจะเป็นของแทนใจงั้นหรอคะ!?”
“เอ๋ หรือว่าที่ท่านเรย์กะเลิกยุ่งกับท่านคาบุรากิ เป็นเพราะคบอยู่กับท่านเอ็นโจงั้นหรอคะ! ! !”
“มิน่าล่ะ หลังๆท่านคาบุรากิเองก็มาสนิทกับท่านเรย์กะ เพราะเป็นแฟนของเพื่อนสนิทนี่เอง!”
ผมเห็นคิโชวอินทำท่าเหมือนสำลักลาเต้ที่กำลังดื่มอยู่ และพยายามคัดค้านข่าวลือที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเท่าไหร่ เธอหันมามองผม ผมก็ยิ้มตอบกลับไป
แต่อยู่ๆเสียงทั้งหมดก็เงียบไป ทุกคนกลับจับจ้องไปที่ที่เดียว
“คิโชวอิน เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”
มาซายะปรากฏตัวและพุ่งไปหาคิโชวอินแบบไม่สนใจคนอื่น เขาสำรวจคิโชวอินสักพัก ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง
“คิดจะทำอะไรน่ะชูสุเกะ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่”
ผมตอบรับยิ้มๆ คนในร้านเงียบกริบมองมาซายะกับผมสลับกันไป
“ถ้านายคิดจะทำอะไรคิโชวอินล่ะก็ ต่อให้นายเป็นเพื่อนฉัน ฉันก็ไม่ปล่อยไว้หรอกนะ”
“งั้นหรอ มาซายะ”
เอ็นโจยิ้มรับ แต่รู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของตัวเองคงน่ากลัวไม่น้อย เพราะมาซายะเองก็ดูหวาดๆขึ้นมา แต่ก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนคำพูด เหมือนรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ยังพยายามจะสู้
ขณะที่ทุกคนในร้านกำลังตึงเครียดกับสถานการณ์ ไม่มีใครกล้าทำเสียงอะไรเลย ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ก็มีเสียงถาดหล่นดังสนั่นไปทั่วร้าน
“ขอโทษค่ะ” ทาคามิจิที่เพิ่งออกมาจากหลังร้านพูดขณะรีบนั่งลงเก็บคุกกี้ที่ตกและเตรียมทำความสะอาด คนในห้องก็เบนความสนใจไปที่วาคาบะจังทันที
“คุณทาคามิจินี่เก่งด้านเรียกร้องความสนใจจังเลยนะคะ”
ใครสักคนในนั้นพูด เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น
“อุ้ย ขอโทษค่ะ”
มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเดินไปเหยียบมือทาคามิจิ
“ไม่ระวังเลยนะคะเนี้ย คุณทาคามิจิ”
“นั่นสินะคะ” คิโชวอินพูดขึ้น “ไม่ระวังเลยจริงๆ”
ทุกคนกลับไปเงียบกริบเหมือนเดิม คิโชวอินส่งยิ้ม พร้อมหันไปมองคนที่เหยียบมือทาคามิจิ
“ยังกล้าว่าคนอื่นว่าไม่ระวังอีกงั้นหรอคะ”
“เอ๊ะ...ท่านเรย์กะ” ผู้หญิงคนนั้นหน้าซีด
ผมมองเหตุการณ์นั้นอย่างตกตะลึง แม้จะเคยได้ยินมาก่อนก็เถอะว่าเธอเคยปกป้องทาคามิจิ แต่ไม่คิดว่าจะทำในรูปแบบอย่างนี้ ตอนนี้เธอดูงามสง่าราวกับจักรพรรดินีที่ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผู้คนด้วยความยุติธรรม สายตาที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส ก็สะท้อนถึงความเย็นชา ใครก็ตามที่ได้เห็นคงเขาอ่อนจนไม่กล้าแม้แต่จะพูดขัด
“ทาคามิจิ ไม่เป็นไรใช่ไหม ไปห้องพยาบาลกันเถอะ”
มาซายะมาดูทาคามิจิอย่างอ่อนโยน ผมเห็นคิโชวอินมองทั้งสองคนนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า เหมือนเสียใจจนไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
เวลาต่อมาผมก็ออกจากร้านทันทีที่รู้จากสายข่าวใครกำลังมา ยังไงก็คงต้องหนีสักพักล่ะมั้ง
ผมแอบไปดูที่ร้านของห้องคิโชวอิน อีกฝ่ายมานั่งเศร้าๆเฝ้าร้านอย่างที่คิด พอผมเห็นคนที่ต้องการหลบเดินผ่านออกไปแล้ว ก็เข้าไปทักทายคิโชวอิน อีกฝ่ายไม่ได้หวาดกลัวผม ดูเหมือนว่าการเห็นมาซายะกับทาคามิจิหวานแหววกันจะบั่นท่อนกำลังใจของเธอมากทีเดียว
พอได้คุยจริงๆ คิโชวอินเป็นคนที่ตลกจนน่าแหย่เล่นเอามากๆ ทำให้ผมที่เคร่งเครียดกับว่าที่คู่หมั้นเมื่อกี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คิโชวอินถามนู้นนี้ผมอย่างสนใจแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้บางคำถามจะดูคล้ายๆมาซายะตอนรัวๆก็เถอะ
ตอนผลสอบรอบสองออก ผมแอบเห็นคิโชวอินทำหน้าตกใจแบบเหลือเชื่อ ก็รู้สึกฮาก๊ากในใจ พอผมทักว่านั่นไม่ใช่ผลสอบปีเรา คิโชวอินก็พยายามกลบเกลื่อนไปเรื่อย น่ารักจังเลยนะ
แต่เมื่อคิโชวอินเห็นมาซายะพูดอย่างสนิทสนมกับทาคามิจิ คิโชวอินก็เดินออกไปเลย ทั้งๆที่จะยังไม่ได้ดูคะแนนด้วยซ้ำ สายตานั้นเจ็บปวดมากจริงๆ ถึงอยากเข้าไปปลอบ ผมก็ได้แค่มองเท่านั้น