จากฟิคหลังเรียนจบ อยากแต่งต่อ แต่คิดไม่ออก เลยออกมาเป็น
พาร์ทเอ็นโจ(หลังเรียนจบ)
-------------------
นับตั้งแต่การหมั้นหมายถูกทำให้ล่มไป แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกของเอ็นโจกรุ๊ปจะดำเนินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าเบื้องหลังภายในบริษัทนั้นกลับสาหัสกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้
ไม่ว่าจะพนักงาน ผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่กลับล้วนแล้วแต่เป็นคนของทางนั้นเสียกว่าครึ่ง ชอนไชกลืนกินจนเสถียรภาพในบริษัทสั่นคลอน ราวกับเป็นแผนการที่วางไว้ ข่าวและเอกสารเท็จเกี่ยวกับการทุจริตที่ถูกปล่อยลือกันภายในอย่างหาต้นตอไม่ได้ จนท่านพ่อโดนสอบสวนในการประชุมผู้ถือหุ้น กระทั่งมีแนวโน้มจะถูกปลดตำแหน่งประธานออกจากบริษัทตัวเอง อำนาจในมือกลายเป็นเพียงเสือกระดาษ ทุกอย่างหนักหน่วงจนเรียกได้ว่าตระกูลเอ็นโจแทบจะไร้ที่ยืนในที่ที่บรรพบุรุษของเราเองก่อตั้งมา ด้วยฝีมือของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเรียกว่า "ญาติ"
หากไม่ใช่มิตร-ทองแผ่นเดียวกัน ก็เป็นศัตรูที่ต้องขจัดทิ้งให้สิ้นซาก เขาคงคิดแบบนั้น
ท่านพ่อตัดสินใจลาออกเพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายจนเกิดการแทรกแซง และส่งมอบตำแหน่งให้กับว่าที่ประธานบริษัท ซึ่งก็คือผมที่กำลังฝึกงานในขณะนั้น ชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัย นอกจากการเรียนแล้ว ผมจึงต้องแบกรับภาระและง่วนอยู่กับเรียนรู้การบริหารธุรกิจของครอบครัวที่ระส่ำระส่าย
ในขณะที่ผู้บริหาร หุ้นส่วนและบริษัทคู่ค้าต่างดูแคลนว่าเด็กมหาลัยจะดูแลบริษัทขนาดยักษ์ได้อย่างไร เธอคนนั้นก็มาปรากฏตัว เพื่อเย้ยหยันและปรามาสว่าทุกอย่างเป็นความผิดของผมที่ทำร้ายจิตใจเธอที่เป็นหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัว เอ็นโจกรุ๊ปคงจะล่มสลายด้วยน้ำมือของผมเอง พร้อมกับจะยื่นข้อเสนอทางออกที่จะทำให้คนของเธอรามือให้ แน่นอนว่ายาพิษเช่นนั้นผมไม่ต้องการจึงปฏิเสธไปอย่างไม่ใยดี
ผมถลำตัวเข้ากับการทำงานจนถึงขั้นหามรุ่งหามค่ำ เพื่อไม่ให้ทุกอย่างที่มีมาแต่อดีตของตระกูลต้องพังทลายไม่เป็นท่าตามคำครหา จนทำให้ท่านแม่และยูกิโนะต้องเป็นห่วงตลอดเวลา
โชคดีที่นอกจากท่านพ่อแล้ว ก็ยังมีคนที่ไว้ใจได้และพวกเพื่อนๆที่เชื่อใจคอยสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ ปลดล็อคออกไปทีละเรื่องทีละอย่าง ในการแสดงความบริสุทธิ์ของท่านพ่อและตระกูล การที่ทำให้ผมได้รับการยอมรับในฐานะประธานบริษัท การทำให้เอ็นโจกรุ๊ปกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง และการทำความสะอาด กำจัดหนอนบ่อนไส้และมะเร็งเนื้อร้ายเหล่านั้นออกไป
แน่นอนว่า 'หากไม่ใช่มิตร ก็เป็นศัตรูที่ต้องขจัดทิ้งให้สิ้นซาก'
จนกระทั่งวิกฤติผ่านพ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ผมรู้สึกตัวอีกที เวลาก็ผ่านมาหลายปี เพื่อนๆก็ทยอยเข้าประตูวิวาห์กันแล้ว
ครั้งหนึ่ง มาซายะในชุดเจ้าบ่าวตบหลังผมดังพลั่กๆอย่างเต็มแรง กล่าวเยาะเย้ยว่า
"ไม่เป็นไรนะ ชูสุเกะ ในฐานะซีอีโอโรงแรมในเครือคาบุรากิ ไว้ฉันจะสร้างคานทองนิเวศน์โปรเจ็คสำหรับนายเอง!"
ผมได้แต่ยิ้มตอบเงียบๆและแอบกระทืบใส่เท้าเขาเบาๆในตอนเผลอ จนเขาร้องโอ๊ยแล้วหนีไปออดอ้อนเจ้าสาว
ได้ทีล่ะเอาใหญ่เชียวนะ เจ้าบ้าเอ้ย
เพราะมัวแต่ทำงาน แค่ตรวจสอบเอกสารก็แทบจะไม่ได้นอน นอกจากงานเลี้ยงที่เกี่ยวข้องกับแวดวงธุรกิจแล้ว ก็แทบจะไม่ได้พบปะสังสรรค์กับใครเลย
... ต่อให้ไปก็ใช่ว่าจะได้พบกับคนที่อยากเจอด้วยซิ
ปกติแล้วการจะได้เข้าใกล้เธอก็เป็นเรื่องยากจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งพอพวกเราเรียนจบเข้ามหาวิทยาลัย แถมผมยังต้องง่วนกับการทำงานจนแทบลืมวันลืมคืน โอกาสที่จะได้พบเจอกันก็ยิ่งไกลโข
หลายครั้งที่ผมเคยคิดระหว่างพักสมองจากการทำงาน ว่าบางทีช่วงที่ผมวุ่นวายกับบริษัท เธออาจจะพบเจอใครที่ต้องชะตาด้วยไปแล้ว หรือหากว่าหนึ่งในการ์ดแต่งงานที่ได้รับเชิญ เกิดมีชื่อของเธอขึ้นมา... เพียงแค่คิดก็รู้สึกขมขื่น ได้แต่ประคับประคองจิตใจให้ประคับประคองบริษัทให้ไปรอดเสียก่อน
โชคดีที่มันไม่เป็นอย่างนั้น