ตอนที่เดินผ่านระเบียงทางเดินหนึ่ง ผมก็เห็นคุณทาคามิจิกำลังก้มๆเงยๆอยู่ในบ่อเลี้ยงปลา ควานมือไปทั่วเหมือนกำลังหาอะไรอยู่ คิดจะเข้าไปทักว่าเธอทำอะไร แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อมาซายะก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
ทั้งคู่คุยอะไรกันอยู่ครู่หนึ่ง มาซายะก็ถอดถุงเท้า รองเท้า และพับขากางเกงขึ้น เดินลงไปในน้ำด้วย
คุณทาคามิจิแตกตื่นใหญ่เลยล่ะ ดูจากท่าทางเธอคงพยายามจะบอกให้มาซายะขึ้นจากน้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ปล่อยให้มาซายะก้มๆเงยๆช่วยหาของด้วย
ผมยืนดูจนทั้งคู่ขึ้นมาจากน้ำ มาซายะใส่รองเท้าเรียบร้อยก็คว้าข้าวของเดินจากคุณทาคามิจิมา พอเห็นผมยืนอยู่ก็ชะงักทันที
“ถูกนางเงือกล่อลวงให้ลงไปเหรอ” ผมเอ่ยปากแซวทันที “เห็นเล่นน้ำสนุกใหญ่”
“นางเงือกอะไรกัน ก็แค่ผู้หญิงเฟอะฟะที่ไม่รู้จักปกป้องตัวเองนั่นล่ะ ให้เขารังแกอยู่ได้”
“ด้วยฐานะของคุณทาคามิจิทำได้ที่ไหน โรงเรียนนี้น่ะมีแต่ผู้มีอิทธิพลใหญ่โตกันทั้งนั้นนะ” ผมส่ายหน้า “คราวนี้เธอโดนอะไรเข้าล่ะ”
“เอากระเป๋านักเรียนกับอุปกรณ์ไปทิ้งน้ำ”
“แย่จริงเชียว”
“ฉันเกลียดการกระทำแบบนี้ชะมัด”
ผมเหลือบมองมาซายะ ถึงความรู้สึกนึกคิดบางอย่างจะต่างไปจากคนที่ผมรู้จัก แต่เขาก็ยังมีพื้นฐานนิสัยเดิมอยู่คือตรงไปตรงมา และเกลียดการเล่นสกปรกเป็นที่สุด ท่าทางของใครหลายคนในเวลานี้ทำให้มาซายะไม่พอใจมาก คงจะคิดหาทางจัดการอยู่
ผมหวังว่าจะมีเรื่องสนุกๆให้ดูในเร็ววัน
.
.
.
กลางดึก เรย์กะโทรมาหาผม พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเหมือนกำลังร้องไห้
ผมร้อนใจจนวิ่งออกไปข้างนอก สั่งให้เอารถออกแล้วไปหาเธอเดี๋ยวนี้ แต่กลับถูกห้ามไว้ไม่ให้มา
“ตอนนี้ที่บ้านไม่สะดวกน่ะ” เธอพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ขอโทษด้วยนะ”
ผมเลยต้องกลับขึ้นไปที่ห้องนอน คุยปัญหากับเธอ สาเหตุมาจากการที่ท่านพี่กับท่านพ่อของเธอทะเลาะกันในวันนี้ รุนแรงจนถึงขั้นขว้างปาข้าวของใส่
“ดูเหมือนจะมีปัญหากันมาตั้งแต่อยู่ที่ทำงานแล้วล่ะ” เรย์กะสะอึกสะอื้น “ทะเลาะอะไรกันก็ไม่รู้ น่ากลัวมากๆ ท่านแม่เองก็ห้ามไม่ได้ด้วย”
ตอนนี้ ท่านพี่ของเธอก็ออกไปจากบ้าน ส่วนประธานคิโชวอินความดันขึ้นจนต้องไปนอนโรงพยาบาลกลางดึก วุ่นวายกันไปหมด ส่วนเธอเองก็อยู่โรงพยาบาลในเวลานี้
เธอเงียบไปอีกพักใหญ่ๆแล้วก็เริ่มต้นพูด
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ”
ผมกำลังจะปลอบเธอ แต่คำพูดที่ตามหลังมากลับทำให้ต้องนิ่งค้าง ความเย็นวาบแผ่ขยายตั้งแต่ศีรษะถึงปลายนิ้ว
“ท่านพ่อพูดถูก เขามันพวกนอกคอก ไม่สมควรจะเกิดมาในตระกูลคิโชวอินเลยสักนิด” แม้เสียงจะแผ่วค่อยแค่ไหน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความชิงชังเต็มเปี่ยมจนน่าขนลุก “คนอย่างนั้นน่ะไปซะได้ก็ดี ชอบทำให้ท่านพ่อผิดหวังอยู่เรื่อย บ้านเราคงดีกว่านี้ถ้าไม่มีเขา”
“เรย์กะ”
“ฉันต้องวางแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
สายตัดไปแล้ว แต่ผมยังคงมองโทรศัพท์อยู่ในท่าเดิม
ผมคิดว่ารู้จักเธอดียิ่งกว่าใครๆ ไม่ว่าเรื่องไหนก็รับมือได้สบายมาก เอาแต่ใจอย่างไรก็น่ารัก
แต่ชั่วพริบตาที่คำพูดเหล่านั้นหลุดรอดออกมา เธอกลับดูเหมือนคนแปลกหน้าที่ผมเพิ่งเคยได้พบ
และผมไม่รู้จักเรย์กะคนนี้มาก่อนเลย
----------------------
ลงวันละนิดจิตแจ่มใส