เรย์กะกดริมฝีปากตัวเองเข้ากับปากผม แค่แตะๆไม่เกินเลยไปมากกว่านี้ ผมรู้สึกว่าริมฝีปากนั้นสั่นระริก มือทั้งสองข้างที่กำคอปกเสื้อผมก็สั่นด้วย
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน
ในหัวผมคิดอย่างสับสนอยู่นั้นเอง เธอก็ปล่อยมือออก ถอยหลังไปหลายก้าว สองข้างแก้มแดงก่ำเหมือนมีใครสาดสีแดงใส่หน้า
“จะ จูบวันนั้น ฉันไม่ได้รังเกียจหรอกนะ แต่...”
ไม่รอให้พูดจบประโยค ผมก็คว้าข้อมือเธอ เดินลิ่วๆไปที่ห้องเรียนว่างๆห้องหนึ่ง เรย์กะดูจะงุนงงไม่น้อยกับท่าทีนั้น พอจัดการล็อคกลอนไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามหรือขัดจังหวะได้ ก็ดันร่างนั้นไปชิดประตูแล้วแนบริมฝีปากลงไป มือสอดประสานเข้ากับมือเธอที่ตรึงไว้บนผนัง
สิ่งที่กักเก็บไว้มาเนิ่นนาน พังทลายได้ง่ายดายเพียงแค่จูบ
“อ้าปาก อ้าปากสิ” ผมกระซิบชิดริมฝีปาก พอเธอทำตาม ผมก็มอบความหวานล้ำให้ คล้ายกับผู้ใหญ่ที่เอาขนมหวานมาล่อเด็กน้อยให้เข้าหา
เรย์กะดูจะกล้าๆกลัวๆ แต่ก็ยอมโอนอ่อนตามโดยง่าย
เห็นเธอตอบสนอง ผมก็ยิ่งยินดี
ผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ไม่มีใครทราบ ริบบิ้นที่มัดอยู่ตรงปกเสื้อเธอก็เลื่อนหลุดไปพร้อมกระดุมเม็ดบนที่ถูกปลดออก ผมซุกหน้าลงกับต้นคอของเธอ จูบเบาๆแต่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ จากที่ยืนๆอยู่เปลี่ยนมานั่งกับพื้นกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะผละออกจากร่างนั้น กลิ่นหอมหวานที่เย้ายวนเหมือนจะมอมเมาสติ ยิ่งได้ยินเสียงหอบหายใจน้อยๆที่ดังอยู่ข้างหูที่เหมือนจะแกล้งกัน ยิ่งทำให้รู้สึกทรมาน
ผมได้แต่บอกตัวเองว่าครั้งแรกต้องไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่หน้าประตูห้องเรียนแบบนี้
“เรย์กะ” ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ร้องไห้แบบคราวนั้น อันที่จริงมันตรงกันข้ามด้วยซ้ำ มันดู เอ่อ...ยั่วยวน ถ้าใช้คำนี้คงจะเหมาะที่สุด
ตอนนี้ผมมองเธอแทบไม่ได้เพราะกลัวตัวเองจะกระโจนใส่แบบขาดสติเหมือนเมื่อครู่นี้ สองมือติดกระดุมกลับคืนที่ให้ มองหาริบบิ้นที่อาจจะตกอยู่แถวๆนั้น พอพบก็ส่งคืนให้เจ้าของ
“ขอโทษด้วยนะ”
“คุณชูสุเกะไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” เรย์กะหันไปมองทางอื่น สองข้างแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ “ไม่ต้องขอโทษหรอก มะ เมื่อกี้ก็รู้สึกดีด้วย”
“เอ๋ เมื่อกี้พูดอะไรนะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ไม่ได้ยินเลย”
“พะ พอเลย” เธอทุบลงบนไหล่ผม “บอกว่างั้นๆนั่นล่ะ”
“จริงเหรอ”
เมื่อได้จ้องตากันใกล้ๆแบบนี้ เรย์กะก็เป็นฝ่ายหลบตาก่อน พูดด้วยเสียงอ้อมแอ้ม
“ที่จริงแล้ว วันนั้นฉันดีใจมากเลยนะที่คุณชูสุเกะ เอ่อ...จูบฉัน ข้างในมันก็หวิวๆแปลกๆ ใจสั่นไปหมด”
“อือฮึ”
“แต่ แต่ว่าฉันน่ะ ยังลืมท่านคาบุรากิไม่ได้ ก็เลยรู้สึกสับสนเอามากๆ”
หัวใจผมหล่นวูบลงไปเล็กน้อยเมื่อชื่อของมาซายะเข้ามาข้องเกี่ยว
“ฉันรู้ว่าคุณชูสุเกะคิดยังไงกับฉัน แต่การที่ฉันยังไม่ลืมท่านคาบุรากิ มันก็เหมือนหลอกให้คุณชูสุเกะรักฉันไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมาย รู้สึกว่าตัวเองแย่มากๆ ก็เลยร้องไห้ออกมา ไม่ได้ร้องไห้เพราะรังเกียจหรืออะไรหรอกนะ”
เธอช้อนตามองผมด้วยสายตาแบบเดิมที่ทำมานับครั้งไม่ถ้วน
“คุณชูสุเกะจะเกลียดฉันก็ได้นะ”
“แค่นี้เองเหรอ” ผมฟุบหน้าลงบนไหล่เธอแล้วเริ่มต้นหัวเราะ “นึกว่าเป็นเรื่องอะไรใหญ่โตซะอีก”
“เอ๋”
“ผมรู้ว่าจะทำใจให้ลืมรักแรกน่ะมันยาก แต่เรย์กะก็อย่าปิดกั้นตัวเองขนาดนั้น” สองมือผมสอดประสานเข้ากับมือของเธอ “มีผู้ชายที่เลิศเลอขนาดนี้มาอยู่ตรงหน้า ไม่รีบคว้าเอาไว้ระวังจะมาร้องไห้เสียดายทีหลังไม่ได้นะ”
“แน้” เธอทำปากยื่นแบบเด็กที่ถูกขัดใจ “หลงตัวเอง”
“หรือไม่จริง”
จ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง เรย์กะก็เป็นฝ่ายหลบตาก่อน “ฉัน...จะพยายามนะ ช่วยรอฉันหน่อย ขอให้ฉันจัดการความรู้สึกตัวเองอีกหน่อยนะคะ”
“ได้สิ” ผมพยักหน้า “จะให้รอเท่าไหร่ก็ได้”
เรย์กะยิ้มออกมาได้ในที่สุด รอยยิ้มน่ารักจนผมรู้สึกมันเขี้ยว อดไม่ได้ที่จะฉกฉวยความน่ารักจากริมฝีปากนั้นอีกหน กระซิบเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองต่อสอง
“แต่อย่าให้รอนานก็แล้วกัน”