ฉันชักจะเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองขึ้นมาครันๆ พอเท้าเจ้ากรรมสะดุดก้อนหินล้มลง ฉันเลยหมดอาลัยตายอยากลุกไม่ขึ้นอีกเลย ไม่ไหวแล้วค่ะ ขอนอนเอาแรงพักหนึ่งก่อน ตื่นเมื่อไหร่ค่อยเดินย้อนกลับออกไปดีกว่า ฉานไม่ไหวแล้ว...
ทั้งที่คิดแบบนั้น พอหลับตาเงียบๆ ได้ครู่หนึ่ง กลับมีจมูกเย็นๆ ของตัวอะไรบางอย่างจิ้มแก้มฉัน พร้อมด้วยลิ้นสากๆ เลียแผลบๆ ระ..หรือว่า...หมาป่า!? นี่ฉันต้องตกเป็นเหยื่อหมาป่าตายอย่างอนาถาระหว่างทางเหรอ?! เดี๋ยวนะคุณหมาป่า นี่ไม่ใช่เทพนิยายเรื่องหนูน้อยหมวกแดงนะคะ คุณมาผิดเรื่องแล้ว อย่ากินฉันน้าาาาาาา!
ฉันเฝ้าภาวนาในใจขณะรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ตัดสินใจเด้งพรวดถอยหลังกรูดๆ ให้ห่างจากสิ่งที่คิดว่าเป็นหมาป่ามากที่สุด แต่สิ่งที่ปรากฎแก่สายตาของฉันที่ก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นดิน กลับเป็นหมาตัวโตสีขาวบริสุทธิ์ส่งยิ้มท่าทางเป็นมิตรมาให้
น่ารักจังเลยยยยยยยยยยย! มาจากไหนคะ ขนขาวสะอาดแบบนี้คงไม่ใช่หมาป่าหรือหมาจรจัดหรอกใช่มั้ย เป็นหมาเลี้ยงใช่มั้ยคะ งั้นแถวๆ นี้ก็คงมีบ้านคนอยู่ล่ะสิ ไชโย รอดไปที ไม่ต้องเป็นผีเฝ้าป่าแล้วค่า!
เจ้าหมาสีขาวเดินเข้ามาคลอเคลียเลียหน้าเลียตาฉันใหญ่ อื้ออื้อ เชื่องจังเลยนะ ขนก็นุ่มจังเลยค่ะ เยียวยาดีจังเลย
ฉันเริ่มมีกำลังใจยันตัวลุกขึ้นยืน ราวกับอ่านใจฉันออก หมาน้อยออกเดินนำหน้าฉันไปทันที อย่างกับจะช่วยนำทางฉันอย่างนั้นแหละ แสนรู้ขนาดนี้ ใครเป็นเจ้าของกันน้า ขอเอากลับบ้านได้ไหมคะ
ฉันเดินกับเจ้าหมาน้อยสองคนไปเรื่อยๆ แปลกจังเลย ไม่รู้เพราะอุ่นใจที่ได้เจอหมาน้อยหรือเปล่า รู้สึกว่าหนทางเดินง่ายกว่าตะกี้ตั้งเยอะ เรี่ยวแรงก็เพิ่มขึ้น ฝีเท้าก็เบาสบาย คงเพราะใกล้จะเจอทางออกแล้วแน่ๆ เลยน้า
เดินไปแป๊บนึงก็ได้ยินเสียงน้ำไหลริน อื๋อ... หรือว่า... ลำธารจริงๆ ด้วย! ไชโย!
ฉันเรียกหมาน้อยที่ทำท่าจะเดินข้ามสะพานเล็กๆ ไปก่อน มันเหลียวกลับมา เอียงคอหน่อยนึงทำหน้างงๆ แต่ก็วิ่งกลับมาอย่างว่าง่าย อื้อ อุตส่าห์เจอน้ำใสสะอาด ขอพักซักแป๊บนะคะ ฉันเกล้าผมขึ้นแล้ววักน้ำมาล้างหน้าตาที่มอมแมม ฮ้า เย็นสดชื่นจัง เหลียวซ้ายแลขวา นอกจากฉันกับหมาน้อยแล้วก็ดูไม่มีใครอื่นอีก คงไม่เป็นไรมั้งน้า
ฉันถอดเสื้อนอกแล้ว ปลดกระดุมเสื้อตัวใน ดึงออกข้ามหัวไป เหลือแต่เสื้อบังทรงตัวบางๆ ติดกาย หยิบผ้าขนหนูที่ติดกระเป๋ามาชุบๆ น้ำเช็ดผมเช็ดตัว ฮ้า~ ค่อยยังชั่วหน่อยหน่อย ...ไม่อยากพูดไปเลยอ่ะค่ะ... คือฉันโดนอึนกแหมะใส่ตัวอีกแล้ว ถ้าไม่ล้างออกก่อนนี่คงทนไม่ไหวแน่ๆ เผ่าพันธ์นกนี่มีความแค้นอะไรกับฉันนักหนาน่ะหา~
หูแว่วๆ เหมือนได้ยินเสียงหมาน้อยร้องงี้ดง้าด อื๋อ? มีอะไรหรือเปล่านะ? ฉันเหลียวกลับไปมอง แต่เห็นแต่หมาน้อยหันหลังให้ฉันแน่วนิ่งไม่ยอมกระดุกกระดิก หูชี้ตั้งเชียว คอยระวังภัยให้ฉันเหรอคะ? เป็นเด็กดีจังเลยน้า~
พอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น ฉันก็เก็บของเดินต่อ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนขนตรงหน้าหมาน้อยจะแดงๆ ยังไงชอบกล ไปเปื้อนดินลูกรังมาหรือเปล่าคะ ?
เดินไปอีกซักพัก พวกเราก็หลุดจากป่าออกมายังทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ตรงหน้าเป็นหอคอยสูงลิบลิ่วจนฉันต้องแหงนคอตั้งบ่าขึ้นมอง นี่น่ะเหรอคะหอคอยของพ่อมด?! แล้วไหงถึงต้องถ่อไปอยู่ซะสูงขนาดนั้นด้วยล่ะ ที่เขาว่าคนชอบที่สูงๆ มีแต่คนบ้ากับลิงนี่ท่าจะจริงสินะคะ
ฉันมัวแต่ชะเง้อชะแง้มอง พอก้มลงมาอีกก็หาหมาน้อยข้างตัวไม่เจอเสียแล้ว หมาน้อยคะ!? หมาน้อย! หมาน้อยไปไหน! ฉันใจหายวูบ ถึงจะเจอกันแค่แป๊บเดียว แต่ขนนุ่มๆ กับหน้าตายิ้มแย้มของหมาน้อยช่วยทำให้ฉันอุ่นใจเหมือนมีเพื่อนคู่ใจจริงๆ นะ หายไปไหนแล้วล่ะ...
สุดท้ายฉันเลยตัดสินใจเดินดูทั่วๆ ให้รอบหอคอย เผื่อเจ้าหมาน้อยจะแอบไปซุกซ่อนอยู่ตรงส่วนไหน แต่เดินวนจนรอบแล้วก็ไม่ยักกะเจอ แต่ดันไปเจอประตูเข้าสู่ด้านในของหอคอยเสียนี่ นี่ถ้าฉันละลาบละล้วงเดินเข้าไป คุณพ่อมดจะโกรธแล้วสาปฉันให้เป็นตัวประหลาดหรือเปล่าคะ คงไม่น่า... ถ้าไม่อยากให้คนเดินเข้ามาเอง ก็หัดติดระฆังหรือวางยามไว้ที่หน้าประตูเสียหน่อยสิคะ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเสียมารยาทหรอกนะ แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา
ว่าแล้วฉันก็ปลุกปลอบใจให้กล้า ดึงประตูหนาหนักออก ก้าวเข้าไปข้างใน...
------------ (อยากเขียนฉากเดินป่าขนาดนั้น ไม่ไปเขียนแฟนฟิคเพชรพระอุมาเลยล่ะเฮ้ย) -----------