ผมนึกโกรธเธอขึ้นมาทันที “เลิกทำตัวไร้ยางอายแบบนี้ได้แล้ว”
“ถ้ามียางอายแล้วต้องอดตายล่ะก็ ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะคะ” คิโชวอิน เรย์กะลอยหน้าลอยตาตอบ ดูน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด “จริงๆก็มีงานเด็กนั่งดริงค์ด้วยนะคะ แต่ยังไม่ได้เริ่มทำเลย”
“คุณคิโชวอิน”
“ฉันน่ะรำนาฏศิลป์ญี่ปุ่นได้ เล่นดนตรี ร้องเพลงก็ ชงชา จัดดอกไม้ก็ทำได้หมด แถมยังสวย อายุสิบแปดแล้วด้วย คุณสมบัติครบขนาดนี้จะไปหาจากไหนได้อีกล่ะค้า” เธอลุกขึ้นยืน ถอดรองเท้าส้นสูงที่ดูถลอกปอกเปิดออก หยิบพัดสีม่วงแดงขึ้นมาจากกระเป๋าสะพาย “ไม่เชื่อเดี๋ยวรำให้ดูก็ได้นะ”
คิโชวอิน เรย์กะกางพัดออกแล้วเริ่มต้นตั้งท่าร่ายรำ ทุกอย่างอ่อนช้อยอ่อนหวานตามแบบของผู้ที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ผมนั่งลงบนชิงช้าตัวที่ใกล้ที่สุดมองดูกริยาพิลึกพิลั่น
เอ้า อยากทำอะไรก็ทำไปเลย
“แต่ฉันชอบบัลเล่ต์ที่สุดเลย ชอบกว่านาฏศิลป์นี่อีก” เธอหัวเราะคิกคักแล้วเริ่มฮัมเพลงเป็นทำนองของเจ้าหญิงหงส์ขาวในทะเลสาบ เปลี่ยนท่ารำของนาฎศิลป์ญี่ปุ่นมาเป็นบัลเล่ต์ ยืนบนปลายเท้าแล้วก้าวขาออกกระโดด แต่ก็เสียจังหวะล้มลงเมื่อพยายามยืนด้วยปลายเท้าอีกรอบ
ผมไม่ได้เข้าไปประคองเธอ ทำเพียงแค่นั่งดูเงียบๆ
“ใจจืดใจดำยิ่งกว่าที่ฉันคิดอีกนะ ท่านเอ็นโจ” คุณคิโชวอินเงยหน้าขึ้นมาหลังจากก้มอยู่นาน คราวแรกผมคิดว่าเธอคงจะร้องไห้ แต่คงคาดเดาความหยิ่งทระนงของเธอต่ำไปหน่อย เธอลูบๆคลำๆตรงบริเวณที่ล้ม “อา ค่อยยังชั่วที่ไม่เป็นแผล”
เธอลุกขึ้นมายืนด้วยขาของตัวเอง เดินเซๆมาที่ชิงช้าตัวที่นั่งในตอนต้น ผมได้กลิ่นเหล้าโชยมาจากตัวเธอด้วย
“นี่คุณดื่มมาเหรอ”
“ก็เป็นเกอิชาก็ต้องนั่งดื่มกับแขกด้วย ฉันก็เลยฝึกไว้บ้าง” ผมเพิ่งเห็นว่าข้างตัวเธอมีกระป๋องเบียร์วางอยู่ด้วย “ฉันอายุสิบแปดแล้ว ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้ใครๆเขาก็ทำกัน”
“คุณนี่บ้ารึเปล่า” ผมตวาดเธอไป แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้สึกรู้สา “เป็นผู้หญิงเที่ยวดื่มเหล้าแล้วกลับดึกๆดื่นๆ ทำไมต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น แล้วอาชีพอื่นๆก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่ไปทำ”
“ไม่บ้าหรอก ฉันเอาจริง” คุณคิโชวอินหยิบเบียร์ขึ้่นมาดื่มต่อ “เป็นเกอิชาก็ดีไม่ใช่เหรอ เงินดี มีบ้านให้อยู่ มีข้าวให้กิน แค่ร้องเพลง รำ แล้วก็ทำให้ผู้ชายพอใจ ไม่แน่อาจจะได้เจอคนรวยๆที่ทำให้ชีวิตฉันเลิกเฮงซวยซักที เบื่อที่จะต้องอยู่ห้องรูหนูแบบนั้นจะแย่อยู่แล้ว บางทีก็อาจจะได้เจอคนที่สามารถทำให้คาบุรากิ มาซายะล่มจมด้วยก็ได้”
“คิโชวอิน เรย์กะ”
“ฉันจำชื่อตัวเองได้ค่ะ ไม่ต้องให้ท่านเอ็นโจมาย้ำเตือนบ่อยๆ” เธอเหลือบมองผมแล้วก็หันไปสนใจกระป๋องเบียร์ต่อ “แปลกนะคะ คุณพูดกับฉันทีไรก็โมโหทุกที แล้วจะมาพูดด้วยอะไรนักหนา”
เธอมองผมขึ้นๆลงๆอยู่หนึ่งหลายทีก็แสยะยิ้ม
“ถ้าไม่ติดว่าคุณร่วมมือกับเพื่อนคุณเพื่อทำลายครอบครัวฉันด้วย ฉันคงคิดว่าคุณน่ะหลงรักฉันไปแล้วล่ะ เรียกร้องความสนใจสินะคะ”
ผมกำหมัดเข้าๆออกๆอยู่หลายที สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างสงบสติอารมณ์ อดทนที่จะไม่บีบคอเธอให้ตายไปตรงนี้เสียก่อน
“ฉันจะเป็นเกอิชาแล้ว คุณมาเป็นผู้อุปถัมภ์ของฉันก็ได้นะ” คุณคิโชวอินแหวกเสื้อคลุมเปิดไหล่อีกข้าง ส่งยิ้มที่ดูยั่วยวน “ถ้าคุณเป็นคนแรกของฉัน คงพอทำใจได้หน่อย อย่างน้อยคุณก็หน้าตาไม่เลว ดีกว่าไปนอนกับตาแก่ที่ไหนก็ไม่รู้”
“ผู้หญิงไร้ยางอายอย่างคุณน่ะ ผมไม่ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วด้วยหรอกนะ” ผมมองเธอด้วยแววตาเหมือนเห็นสิ่งที่น่าขยะแขยง
“แต่คุณก็ยังเสียเวลามาต่อปากต่อคำกับคนไร้ยางอายอย่างฉันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเลยไม่ใช่เหรอ เกลียดฉันขนาดนั้นก็ควรจะอยู่ให้ห่างๆเข้าไว้นะ” เธอวางกระป๋องเบียร์ลงแล้วเริ่มต้นเปิดกระป๋องใหม่ “เอาซักหน่อยมั้ย ฉันมีอีกสองกระป๋อง ถือซะว่าเลี้ยงคนเคยรู้จัก”