แว่บมาลงฟิคหน่อย ฟิคเอ็นโจเรย์กะเวอร์ชั่น after story ของ Kimi Dolce
ใช้มุมมองเอ็นโจกับเรย์กะสลับกันไปคนละตอน เขียนไม่ดีขออภัยด้วยนะ กูมือใหม่หัดเขียน
.
.
ผ่านมาได้แปดเดือนหลังจากที่คาบุรากิ มาซายะประกาศหมั้นกับทาคามิจิ วาคาบะ ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความราบลื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีขวากหนามใดๆมารบกวนให้ระคายเคืองใจ ทุกสิ่งเต็มไปด้วยความยินดีและสุขสมหวัง
ตัวร้ายถูกกำจัดไปแล้ว ด้วยฝีมือของคาบุรากิ มาซายะที่ปกป้องคนรักของเขา ปกป้องวาคาบะจากผู้หญิงร้ายกาจที่ชื่อคิโชวอิน เรย์กะคนนั้น
คิโชวอิน เรย์กะใช้อุบายสกปรกมากมายใส่ร้ายคุณวาคาบะ บีบบังคับให้มาซายะเข้าพิธีหมั้นกับเธอ แต่ทุกอย่างผิดแผนเมื่อมาซายะเปิดโปงการทุจริตของที่บ้านคิโชวอิน จากคุณหนูผู้หยิ่งผยองบนชั้นฟ้าก็ถูกลากลงมาคลุกดินโคลนเสียเอง เหมือนกับคนที่เธอเคยกระทำไว้
วันจบการศึกษา ไร้เงาของคิโชวอิน เรย์กะ อันที่จริงเธอไม่มาโรงเรียนอีกเลยนับจากวันนั้น วันที่เป็นการล่มสลายของครอบครัวเธออย่างแท้จริง และในเมื่อขาดเรียนไปนานขนาดนั้นก็จะต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนตามกฎ ทุกคนต่างก็พูดว่าดีแล้ว สมน้ำหน้า ตัวร้ายก็ได้รับผลกรรมในตอนจบเหมือนในนิทาน
ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดี แต่กลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ก่อกวนใจไม่หยุด
.
.
.
ผมเคาะนิ้วกับพวงมาลัยระหว่างรอรถติดไฟแดงในกลางดึกคืนหนึ่ง ครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งเดินโซซัดโซเซอยู่ตรงฟุตบาท และคงจะผ่านเลยไปถ้าไม่ได้เห็นใบหน้าของร่างนั้นเสียก่อน
คิโชวอิน เรย์กะนั่นเอง
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเธออีกครั้งในรอบแปดเดือน คิโชวอิน เรย์กะดูไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่ ถ้าไม่นับท่าเดินที่โซซัดโซเซนั่น ผมก็ยังม้วนเป็นเกลียวเหมือนเดิม ใบหน้าก็ยังเชิดขึ้นอย่างหยิ่งผยอง ขณะเดินหายลับเข้าไปในสวนสาธารณะใกล้ๆ
มืดขนาดนั้น มันอันตรายนะ
ถึงจะไม่ชอบหน้าแค่ไหน แต่จะให้มาอ่านข่าวว่ามีผู้หญิงถูกฆ่าในสวนสาธารณะบนพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับรุ่งเช้านี่ก็ออกจะเกินไปหน่อย ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หักเลี้ยวรถตามเข้าไปในสวนสาธารณะนั้น ที่จอดรถอยู่ใกล้ๆ น่าจะพอตามเธอไปได้ทัน
มองหาคิโชวอิน เรย์กะอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเอียดอ๊าดดังขึ้น เจอตัวเธอได้ไม่ยากเลยเพราะนั่งอยู่บนชิงช้า แกว่งไกวตัวเองไปมาแล้วร้องเพลง
เสียงของเธอสะท้อนกังวานไปทั่วสวนสาธารณะที่เงียบสงบ พอได้ยินเสียงฝีเท้าของผมที่เดินเข้าไปหา เธอก็หยุดร้องแล้วหันขวับมาทางผม เห็นสีหน้าที่ดูโล่งใจเล็กน้อยของเธอปรากฎขึ้นมาแว้บหนึ่งแล้วจางหายไป
อ๋อ เลิกทำเป็นเก่งก็ได้นี่นา
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ท่านเอ็นโจนี่เอง” คิโชวอิน เรย์กะทำเสียงเยาะๆ “ไม่ได้พบกันเสียนาน องค์ชายเสด็จมาทำอะไรที่นี่ล่ะเพคะ ถ้าจะมาฟังเพลงก็จ่ายเงินมาด้วย ไม่ได้ให้ฟังฟรีหรอกนะ”
“ร้องห่วยขนาดนั้นใครจะไปจ่าย” ผมกอดอก ยืนจ้องมอง “ฟังไม่รู้เรื่องซักนิดว่าร้องเพลงอะไร”
“On my own จาก Les Miserable ไงค้า ไม่รู้จักเหรอ” เธอลากเสียงยาวๆ ฟังดูน่ารังเกียจเสียจริง “คุณคงต้องหัดไปดูละครเวทีเยอะๆบ้างนะ”
“งั้นเหรอ”
“คนที่ร้านที่ฉันไปสมัครงานน่ะ เขาชมว่าฉันน่ะร้องเพลงเพราะด้วยกันทั้งนั้น” เธอมองผมด้วยหางตาแล้วแย้มรอยยิ้มเหยียดหยาม “แต่ฉันเข้าใจค่ะ ว่าคุณคงหยาบกระด้างเกินกว่าจะรู้สึกถึงศิลปะ”
“อ้อ หางานทำงั้นรึ” ผมเหยียดยิ้มตอบกลับไปบ้าง “ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากปากของคุณด้วย คุณคิโชวอิน”
“ก็ฉันไม่ได้ร่ำรวยแล้วนี่คะ ไม่เหมือนลูกคนรวยแถวๆนี้หรอกนะ วันๆไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้”
จะพูดกับคิโชวอิน เรย์กะต้องใช้ความอดทนอย่างมากที่จะไม่หงุดหงิดจนอยากจับหัวเธอกระแทกผนังสักที แม้ตกต่ำขนาดไหนก็ยังเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญไม่มีเปลี่ยน
“งานอะไรล่ะ เผื่อผมอาจจะตามไปสมน้ำหน้าถึงที่”
คิโชวอิน เรย์กะหัวเราะคิกคักด้วยเสียงแหลมสูงที่ฟังแล้วเหมือนแกล้งทำมากกว่าจะเป็นเสียงหัวเราะจริงๆ
“งานเกอิชาค่า” เธอสะบัดผมตัวเองไปมา แหวกเสื้อตัวเองข้างหนึ่งให้เห็นไหล่ที่เปลือยเปล่า “สนใจมาเป็นลูกค้ารึเปล่าล่ะคะ ท่านเอ็นโจ”