"..."ฉันเป็นบอสรุ่นแรกของโลกนี้เลยนะ ถึงจะไม่ได้เก่งกาจอะไรก็เถอะ" โอโรโบรอสพูด ดูเหมือนเธอกำลังตัดพ้อมากกว่าขอร้อง "ฉันอยู่มาตั้งแต่ผู้เล่นคนแรกๆ สมัยโลกนี้ถือกำเนิดเลย ฉันเจอคนมาเยอะมาก มีทั้งคนที่ล้มฉันได้ ทั้งคนที่โดนฉันจัดการไป ผู้เล่นหน้าใหม่บุกเข้ามาไม่เคยซ้ำ เพื่อหวังไอเทม หวังรางวัลในห้องนี้" เธอยิ้ม "ถึงฉันจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ฉันก็มีความสุขนะ เฝ้าคอยอยู่ที่นี่เมื่อพวกเขาบุกมาหาพร้อมอาวุธใหม่ๆ กลยุทธ์ประหลาดๆ ผู้ชายหล่อๆ จอมเวทหน้าตาดี ฉันมีความทรงจำที่ดีกับที่นี่ กับชีวิตที่ฉันมีอยู่นี้"... "คุณอาจไม่เรียกมันว่าชีวิตก็ได้ ฉันก็แค่มอนสเตอร์ตัวหนึ่ง คอยทำตามที่พวกคุณสั่ง เป็นสิ่งที่พวกคุณสร้าง..."..." พอละ กูขี้เกียจพิมพ์ตาม เหนื่อย ถ้าอยากอ่านเต็มๆก็ลองเปิดดูเอง อยู่ในบทที่ 2
พระเอกก็ถามโอโรโบรอสที่ตอนนี้มาเป็นเด็กในสังกัดของเขาว่า มึงมานั่งยิ้มเหี้ยไรอยู่ตรงนี้เนี่ยอีดอก เมากัญชาเหรอ AI ก็ตอบประมาณว่า อย่างน้อยๆ ได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกแบบนี้ก่อนตายก็ยังดี ถือว่าได้ใช้ชีวิตคุ้มแล้ว พอตอบไปแบบนี้ไอ้วอยด์มันก็นึกย้อนไปถึงตัวเอง ว่าอะไรกันที่เป็นเป้าหมายในชีวิตของมัน คือตอนนี้มันก็โตสุดในสายอาชีพแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ต้องดูแล ลูกเมียพี่น้องก็ไม่มี มันก็คิดได้ว่า เออ หรือก่อนตายกูควรที่จะตั้งเป้าหมายในชีวิตสักอย่างขึ้นมาดีวะ ประมาณว่าสิ่งที่มันอยากทำมากที่สุดก่อนตาย
แล้วมันก็จูบกับ AI ของตัวเอง
งงไหม คือจูบกับ AI ตัวแรกที่ชื่อเดลนะ ไม่ได้จูบกับอีบอส
คือที่กูเกริ่นไว้ตั้งแต่แรกสุดเลยว่ากูงง ว่าทำไมพระเอกมันถึงจูบกับ AI เนี่ย ในที่สุดกูก็ได้คำตอบนะ เพราะถ้ามึงลองอ่านย้อนดูดีๆ ในบทบรรยายต่างๆ ที่เขียนขึ้นเป็นปรัชญา ทั้งเรื่อง AI เป็นผี เรื่องศีลธรรม เรื่องความเป็นไปของโลกอันซับซ้อนต่างๆ ล้วนแต่ถูกบรรยายด้วยมุมมองของบุคคลที่ 3 (คือคนเขียน) ผ่านกระแสความคิดของพระเอกทั้งสิ้น คนเขียนไม่ได้บรรยายโดยใช้แค่ความคิดของตัวเอง แต่เป็นการบรรยายว่าตัวละครตัวนี้ (คือวอยด์) คิดยังไงกับเรื่องต่างๆ เพราะฉะนั้นการที่วอยด์จูบ AI ก็เหมือนกับการที่คนเขียนบอกให้เรารู้ว่า ท้ายที่สุดวอยด์เองก็ยอมรับว่า AI ไม่ใช่ภูติผี ไม่ใช่ตัวประหลาดหรือตุ๊กตายางอย่างที่เคยเปรียบเปรย แต่ AI นั้นมีความเป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเขาเอง
หรือคนเขียนอาจบอกเราทางอ้อมก็ได้ว่า สุดท้ายแล้ววอยด์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนอื่นๆ เป็นแค่ผู้ชายวัย 35 ที่ถูกตัดขาดจากโลกความจริงโดยสิ้นเชิง ลูกเมียญาติก็ไม่มี หน้าที่การงานที่พอจะดูดีก็เสือกเป็นงานที่เกี่ยวกับโลกจำลองนี้อีก จนสุดท้ายก็หลงมัวเมาอยู่ในเกม หาความสุขซึ่งหน้า ไม่สนใจแล้วว่าโลกภายนอกจะเป็นอย่างไร
จริงๆปมของเรื่องนี้ยังมีความน่าสนใจอีกหลายจุด อย่างที่คนเขียนพยายามกระเซ้าอยู่เนืองๆว่า จริงๆแล้วข้างนอกอาจไม่ได้เกิดไฟไหม้อะไรเลยก็ได้ แต่มีเรื่องบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้น และไม่อยากให้คนในเกมรับรู้ เช่น อาจมีผู้ก่อการร้ายบุกจับคนในเกมเป็นตัวประกัน หรือโลกทั้งใบกำลังสูญสลายแล้ว จึงเลือกให้คนที่อยู่ในเกมตายอย่างสงบดีกว่าจะออกมาพบกับความจริง (ที่ต้องตายอยู่ดี)
พิมพ์มาย้าวยาว เอาเป็นว่ากูชอบเรื่องนี้มาก อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นอีกมุมมองหนึ่งของนิยายเกมออนไลน์ข้าไม่ใช่มนุษย์อะไรที่เคยรีวิวไป และเนื่องจากเป็นเรื่องที่มีคนเคยเอามาสับแล้ว กูจะไม่ขอให้คะแนนก็แล้วกัน แต่ฝากไว้ว่านิยายดีๆแบบนี้ไม่น่าที่จะมีคนอ่านแค่ 250 คน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้คนที่เขียนนิยายแนวเกมลองอ่าน เผื่อจะมีประโยชน์ต่อการวางโครงเรื่องของตัวเองมากยิ่งขึ้น วันนี้ฝากไว้แค่นี้ สวัสดีครับ