>>241 ได้ กุชอบความโมเอะ แนวที่กุชอบมันหายากด้วยดิ
ประมาณว่า ไอดอลญี่ปุ่น เจอกับอุปสรรค เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ย่อท้อ เจอกำแพงwall ข้ามกำแพง loop เจอกำแพง ก็ข้ามไปเรื่อยๆ
เป็นตัวละครที่น่าเอาใจช่วย ที่สำคัญคือเราได้ข้อคิดอะไรจากการกระทำของตัวละคร เน้นพัฒนาความสามารถตัวเองไปเรื่อยๆนะ อย่างงี้อ่านไม่เบื่อ อ่านเป็น 1,000 ตอนได้
ตอนละ 9,000 ตัวอักษร
เหมือน achievement ไล่เก็บในเกมอะ ไม่เอาแบบ ผญ ต้องฟันคนนั้นคนนี้ไปทั่วนะ
แล้วก็ชอบตัวละคร สุดโต่ง แบบ จิตเวช แต่เก่งเฉพาะทาง อันนี้ก็น่าสน
ไม่เอาแนวแบบ ลูซเซอร์ แบบเพราะคนรอบข้างเป็นแบบนี้ กุเลยต้องเป็นแบบนี้ กุคือเหยื่อ
ไม่ก็พวกคนดีจอมปลอม พวกหื่นกาม พวกนี้กุโครตเกลียดเลย
นิยายที่กุอ่าน: คนอ่าน: 389/4680 แต่มันก็ลงfictionlog ด้วยนะ แต่กุมาอ่านdekd
กูเห็นโม่งอ่านนิยายนอกกระแสแบบนี้แล้ว ทำเอากูมีกำลังใจเขียนต่อขึ้นมาหน่อยเลย
ไปเรื้อนหลายมู้หลายห้องจนโดนเขารุมยำโดนมองเป็นตัวตลก ลงท้ายก็มาทำตัวเป็นกูรูขี้โม้อยู่ห้องนี้แทนเพราะไม่มีใครรู้วีรกรรมแทนเหรอวะไอโอคุง
ทำไมแนวโมเอะ แบบยุ่น มันขายไม่ค่อยดีในเด็กดวก เท่ากับแนวจีนหรือเกมออนไลน์
"คนที่แบ่งผู้หญิงของตัวเองให้คนอื่นได้เป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
กุชอบนิยาย คำคม แบบนี้ กุถึงซื้อ ว่ะ
แบบอ่านแล้วจุกชห แต่ก็คือความจริง
มีประโยคหนึ่งที่ฉันเคยได้ยินจากประเทศเก่าแก่แห่งหนึ่ง การตบคือจูบ การด่าคือรัก เธอดูซะตอนนี้ฉันจูบเธอไป สองครั้งแล้ว(ต่อย)
นี่สินิยายที่คนแบบกุควรซื้ออ่าน ชอบวะนิยายแบบนี้มันสอนให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น
ประชากรนักอ่านในเด็กดวกเกินครึ่งเป็นผู้หญิงนะโม่ง จากที่กูเคยแต่งนิยายมา ผู้อ่านหญิงรำคาญตัวละครสายซึนจะตายชัก บอกว่าน่ารำคาญเกิน ถ้าแต่งให้เป็นพวกสาวมาดนิ่งแต่เก่งต่อสู้แล้วทำตัวเท่ๆ หน่อย จะขายแพ็คได้ดีกว่ามากเลย
โม่ง แนวตัวเอกพึ่งเรียนจบออกมาหางาน เตะฝุ่น แล้วได้งานแปลกๆ เป็นจุดเริ่มพล็อต
ตัวเอกแบบนี้นักอ่านเด็กดีพอนิยมไหม หรือมีจำนวนเยอะเปล่า
หรือว่ามันต้องเป็นเด็กหนุ่มสาว โดนกดขี่แล้วมีระบบ หรือเล่นเกมออนไลน์หรือทะลุมิติ กัน แบบที่ดังๆ
>>257
โม่ง แนวตัวเอกพึ่งเรียนจบออกมาหางาน เตะฝุ่น แล้วได้งานแปลกๆ เป็นจุดเริ่มพล็อต
= วัยรุ่นไม่อินหรอก เด็กยังเรียนไม่จบจะไปเข้าใจความรู้สึกของคนจบการศึกษาสูงๆแล้วว่างงานได้ไง
หรือว่ามันต้องเป็นเด็กหนุ่มสาว โดนกดขี่แล้วมีระบบ หรือเล่นเกมออนไลน์หรือทะลุมิติ กัน แบบที่ดังๆ
= เห็นจนเบื่อ เหมือนตัวเอกเล่น very easy mode คนจริงไม่พึ่งพาระบบตัวช่วยหรอก เกมออนไลน์เหรอ สมัยนี้คนติดมือถือกาชากัน ทะลุมิติก็อิเซไคไง
เขียนๆ ไปเหอะ มีความฝันจะเขียนยังไงก็ตั้งใจเขียนไป ถ้าไม่ดังในเด็กดวกอาจจะดังที่อื่นก็ได้ ขอให้เขียนมันให้ดีๆ ก็พอ
มันไม่เกี่ยวขอให้ตัวเอก เหมือนตัวเองได้ แบบนี่แหละฉัน! เช่น พระเอก ซ่อนงำประกาย ชีวิตไม่ต้องเด่นขอเป็นเทพในเงา
พระเอกขี้ระแวงสุดขีด พระเอกจอมบงการ สร้างกองทัพ พระเอกไม่สนใจความรักอะไรทั้งสิ้น
ฮาเร็ม อะไรเลอะเทอะ พระเอกรู้จักทดแทนบุญคุณคน พัฒนาตัวเอง
เบื้องหลังมันไม่สำคัญเลย เมิงแต่งนิยายกันเป็นปะเนี่ย เมื่อกำหนดตัวเอกได้ เดียวเนื้อเรื่องมันก็ไหลออกมาเอง
บางทีเมิงก็ต้องไปเจอประสบการณ์ ถึงเขียนได้นะของพวกนี้ เพราะ นิยายที่ผญ เขียนกุไม่อ่านหรอก เพราะไม่มีความดุดัน เหี้ยมหาญ
เช่น กุจะตามแก้แค้น ผญ คนนีง ในนิยาย เมิงก็ต้องทำในชีวิตจริงด้วย เป็น10ปีก็ต้องทำ
แบบนั้นจะทำให้เข้าใจตัวละคร รวมทัั้งการตัดสินใจต่างๆ เมิงลองไปศึกษาไอดอลดูก็ได้ อาจจะเข้าใจมากขึ้น
>>263 การแต่งนิยาย มันต้องสร้างจากความเข้าใจจริงๆ สิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ แต่กุทำได้
เมิงจะเขียนเป็นฆาตกรยังไง ถ้าเมิงไม่เคยคิดอยากควักลูกตา สดๆจากเบ้าคนมีชีวิตอยู่ แล้วมากินสดๆ นิยายพวกเมิงก็ไม่ต่างไรขยะที่มีเกลื่อนตลาดหรอก
ถ้ามีความโหดดิบเถื่อน แบบกุ กุก็ซื้ออ่านแค่นั้น คนอื่นไม่ชอบไม่เป็นไรแต่กุชอบ สงสัยกุคงต้องเขียนนิยายเองซะแล้ว เด็กสมัยนี้ ไม่เข้าใจความโหดร้ายของชีวิตบ้างเลย
จะทะเลาะกันเองอีกละสัส โม่งนี่มันโม่งจริงๆ
สันดานขี้โม้อวดฉลาดของไอ้ห่าไอโอนี่มันแก้ยังไงก็ไม่หายจริงๆ ถึงได้โดนเขารังเกียจทุกห้องที่เหยียบแบบนี้
กุไม่กล้าสอน จระเข้ ว่ายน้ำหรอก แค่เขียนสิ่งที่เมิงชอบลงไป ทุกอย่างมันจะตามมาเอง
สิ่งที่เมิงนึกคิดในโลกรูปจิตไม่มีจริง มาทำให้มีจริง ก็คือการเขียนนิยาย เบสิค
ดังนั้นสิ่งที่กุอ่านไม่ใช่นิยาย แต่เป็นจิตใจของคนเขียนต่างหาก เช่น ไอน้กเขียนคนนี้ ขี้เมา นักเขียนคนนี้ เผยแพร่ลัทธิ yaoi คนเขียนนี้แม่งสนองนิ๊ดตัณหาของตนเอง เป็นต้น
แต่หลายคนลืมเบสิคกันหมด
กุก็แค่นักอ่านที่อ่านจิตใจคนทะลุปุโปร่งแค่นั้น เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง เพราะแบบนี้การอ่านนิยายมันถึงสนุกไม่ใช่หรอ
กล่าวคือ นักเขียนคือการเปลือยกายต่อหน้านักอ่านนั่นละ และทุกคนจะรู้ความคิดเมิงทุกอย่าง
ประหนึ่งโดนล้วงเข้าไปในจิตใจ
ส่วนที่กุไม่อยากเป็นนักเขียน เพราะกุไม่อยากบอกให้คนอื่นรู้ว่า กุคิดยังไง รู้สึกยังไง
กุแค่อยากเป็นคนธรรมดา อากาศธาตุไม่โดดเด่น
เหมือนที่กุเป็นมาตลอด ขอเป็นตัวประกอบดีกว่า
บ่นหน่อยกูรู้สึกปลงกับนิยายกูมากเลยว่ะ ตอนนี้ลังเลแล้วว่าเขียนเล่มนี้จบจะเขียนต่อหรือดรอปดี
เมื่อก่อนเขียนห่วยๆ ยังมีคนอ่านเยอะนะ อย่างแย่ก็ยัง 200+ คนต่อตอน มาตอนนี้ได้ตอนละ 20 คนก็บุญโขละ ขนาดเรื่องนี้เขียนจำนวนตอนได้เยอะที่สุดเท่าที่เคยเขียนละนะ แต่ยอดคนอ่านยังไม่เท่ากับสมัยก่อนเลย
เข้าใจว่ากลุ่มคนอ่านในเด็กดวกมันน้อยลงแหละ แต่เทียบกับเรื่องอื่นแนวเดียวกันแล้วยอดกูน่าจะน้อยกว่า 3-5 เท่าได้เลยมั้ง ของกูยังวิ่งหลักพันในขณะเรื่องอื่นๆ ที่อัพพร้อมกันวิ่งไปหลักหมื่นละ
ไม่รู้ว่าผิดพลาดตรงไหน คนอ่านน้อยจนไม่มีคอมเม้นท์ นี่อาศัยความขยันอัพถี่ๆ พยายามดึงคนอ่านที่เหลืออยู่ต่อเท่านั้นเนี่ย
>>274 เรื่องปกติที่ช่วงต้นเรื่องมีคนอ่านเยอะสุด เพราะเป็นช่วงที่คนยังไม่รู้จัก พอค่อยๆรู้จักกับมันแล้ว คนที่ไม่อ่านต่อคืออ่านไม่สนุก ไม่ใช่สไตล์ของตัวเอง จึงเหลือคนติดตามอ่านจริงน้อยลงตามระยะเวลา
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อยากจะเขียนจำนานตอนหลักร้อยหลักพันโดยคนอ่านลดน้อยลงต่อไปเหรอ หรืออาจจะลองเขียนจำนวนตอนไม่เยอะหน่อย พวกขาจรจะได้มั่นใจว่ามึงเขียนจบแล้ว จะได้เตรียมเวลาว่างมาอ่านเรื่องของมึงซะที
>>276 ต่อๆ พวกพล็อตเกม RPG เนี่ยน่าจะยากสุดในการรักษาฐานจำนวนคนอ่านเชิงปริมาณแล้ว มึงชอบ RPG สไตล์ที่ชอบ แต่มีคนอ่านบางรายกลับไม่ชอบ RPG สไตล์ของมึง มันก็จะไม่อ่านเรื่องของมึง ๆอ้ที่ยากเนี่ย RPG มักขะเขียนพล็อตยาวกว่า Action Adventure หลายสิบเท่า ยกเว้นมึงอยากตักจบเอง
>>277 เพราะว่า แนวคิดสไตล์เกม RPG พล็อตเรื่องต้องให้ความสำคัญกับความยาวเนื้อเรื่องมากกว่าบู้ล้างผลาญ พล็อตสไตล์ Action Adventure มักจะเน้นการต่อสู้
พอดีนึกออก พล็อตแนวรักอย่างจีบสาวหรือจีบหนุ่ม มึงต้องเทความสำคัญให้กับความสัมพันธ์ของตัวละคร อยากจะให้นิยายรักยาวพอๆกับพล็อต RPG แล้วมีคนอยากอ่าน ตัวละครในเรื่องต้องดีพอที่อยากเอาใจช่วยเรื่องสมหวังความรัก เช่น แฟนเช่า นิเสะโค่ย นกเยอะเกินไป อาเรียพูดรัสเซีย พี่เทพเซียนนักจีบ สคูลรัมเบิล เป็นต้น
เนี่ยแล้วปัญหาคือตอนนี้กูเขียนสไตล์ RPG ที่ว่าด้วย
เขียนสต๊อกเอาไว้ร่วม 300 ตอนได้ละ มาตอนนี้กูอยากตัดจบชิบหาย แต่เรื่องยังไปได้แค่ครึ่งทางเอง
ใจนึงก็อยากเลิกเขียนนะ แต่อีกใจก็ทิ้งไม่ลงว่ะ แต่จะให้เข็นต่อไปก็น่าจะหลายปีกว่าจะจบ เลยต้องมานั่งอมทุกข์ว่าจะเอายังไงดีมาหลายเดือนละ
>>280 เห็นหลายคนพูดทำนองนี้เหมือนกันคือเลือกอ่านนิยายจีนมากกว่า
ซึ่งพอเห็นงี้เยอะ กูก็ไม่รู้จะเขียนต่อไปแข่งทำไมแฮะ ในเมื่อผู้อ่านส่วนใหญ่มีธงในใจอยู่แล้วว่าอันนี้ดีกว่า
ทีนี้คือถ้าแนวนี้เขียนไม่ได้มันก็บังคับกลายๆ แล้วล่ะว่ากูต้องเขียนแนวรัก ไม่ก็เบียวสุดโต่งไปเลยเท่านั้น จะมา balance มี world setting มันไม่เวิร์ค
>>279 เมิงต้องรู้ว่าอะไรคือจุดแข็งเมิงก่อน
หรือว่าถ้าแนวฮาเร็ม ก็ไม่ได้กวนใจมาก เช่น
เรื่องปูมาให้อาจารย์ สาวสวยผู้เย็นชา กับ ศิษย์ซ่อนพลัง ตั้ง
แต่ตอนแรก1-1200
ตอนจบของเรื่องพระเอกแข็งแกร่งไม่มีใครต่อต้านได้ทุกคนคือมดปลวกแค่มอง ก็สามารถฆ่าทุกคนได้ แล้วก็สามารถคืนชีพให้ทุกคนได้
อยากเยอาจารย์ สักครั้ง แต่ให้อาจารย์เอ่ยชวนก่อน แต่อาจารย์ไม่ได้มีความต้องการ ไม่ได้เอ่ยชวน พระเอก ก็ไม่ได้ตื๊อต่อ ไม่เยก็ไม่เย
สรุป คือตัวละคร ไม่พัง 1-1200 ตอน จบ แบบ มีความสุข
ไม่ใช่ทำทุกวิถีทางเพื่อเย อาจารย์ ให้ได้
นิยายมันมัข้อคิดดี
ว่าไป กุก็รุกไม่เก่งด้วยดิ ชอบให้ ผญ จีบก่อนแบบพระเอกในเรื่องเลย คนไหนให้อะไรกุมากกว่า กุชอบคนนั้น
อ้อนเก่งๆ หน่อย กุอ่านนินาย ไม่เคยชอบตัวละคร ญ ไหนเลย น่าเบื่อทั้งหมด จะสู้ ไอดอล จริงๆได้ไง กุเลยสนแต่พัฒนาการของตัวเอก ที่มุ่งเป็นเส้นตรงมากกว่า
เข้ามาดูแล้วตกใจ มู้เด็กดวกวิ่งไป 10 กว่าเม้นท์ หรือว่ายุคสมัยของมู้นี้มันมาถึงอีกครั้งแล้ว
ส่วนfiction log แม่งแจกโบนัสยุ่งยากวุ่นวาย
เมิงแค่ลดราคานิยายง่ายๆแค่นี้ทำไม่เป็น
ยังงั้น เดียวกุลบแอปเด็กดีทิ้งไปเติมแอปเมิงเลย
>>282 ถ้าถามว่าจุดแข็งนิยายกูคืออะไร กูว่ามันก็คือ World build ที่โคตรแน่นนี่ล่ะ เพราะกูเขียนทุกรายละเอียด ฝ่ายไหนมีใครชื่ออะไรมีความสามารถอะไร ซึ่งกูทำเป็น Sheet เอาไว้เลยแบบโจโจ้ ทำให้กูเขียนอะไรมันจะไม่มีหลุดจากที่ตั้งเอาไว้ เนื่องกูมี Database ในมือครบ ซึ่งถ้าลองอ่านตามไปเรื่อยๆ จะพบว่าสเกลเรื่องจะขยายขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังอยู่ในโทนเดิม
แต่จุดอ่อนกูอะ กูว่าคือพระเอกนี่ล่ะ เพราะกูกำหนดให้พระเอกเป็นแค่คนธรรมดาเกินไปหน่อย ช่วงแรกค่อนไปทางกากเลยด้วยซ้ำ แถมยังเขียนออกไปแนวโลกสวยน่าขัดใจด้วย ไอ้ตอนที่ยอดคนอ่านลดฮวบก็เป็นตอนที่พระเอกเสียท่าโง่ๆ เพราะความใจดีนี่ล่ะ ซึ่งในมุมมองกูอะมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะกูกำหนดให้พระเอกมีนิสัยเป็น Neutral good แต่ในมุมมองคนอ่านกูว่าน่าจะขัดใจพอตัว
แล้วกูมีปัญหาการเขียนตัวเอกขัดใจคนอ่านมาตั้งแต่เรื่องก่อนละ จำได้เลยว่าหลายปีก่อนเขียนเรื่องเก่ากูโดนคนอ่านบ่นว่าพระเอกกากขี้แพ้ ทั้งที่กูก็ระบุเอาไว้แล้วว่าที่ฟัดด้วยนั่นคือตัว top ของเรื่อง เดาว่านี่ล่ะคือปัญหาทำให้ยอดตก
ว่าไปพูดถึงพระเอกแล้ว กูจินตนาการเขียนพระเอกแนวเบียวหรือเอ็ดจี้ ไม่ก็พอขี้เงี่ยนที่เป็นที่นิยมไม่ออกเลยว่ะ
ขนาดพยายามจินตนาการยังนึกภาพไม่ออกว่าต้องเขียนยังไง คงเพราะชีวิตจริงกูเลี่ยงคบหาคนแบบนี้มาตลอดด้วยมั้ง?
>>287 ปัญหาเหมือนแฟนเช่า พวกนางเอกทำมาซะดิบดี 4-5 คน แต่คนส่วนใหญ่รังเกียจพระเอกที่ชอบทำตัวขี้แพ้ซ้ำซาก ตั้งแต่ปัญหาการพัฒนาความสัมพันธ์จนถึงความคิด พระเอกแฟนเช่าคือตัวอย่างของ sigma male ออกมาห่วยแตก ส่วน sigma male แล้วดีแทนคือพระถังซัมจั๋ง แต่ sigma male ที่ดีและห่วยพร้อมกันคือ Virgil คือดีที่สู้ทั้งเท่และเก่ง แต่กากเรื่องเดียวคือการดูแลลูกชาย (เนโร)
>>290 เปล่า แค่ยกตัวอย่าง ปัญหาของพระเอกในเรื่องของมึงคือความเป็น sigma male สูง
คุณสมบัติพื้นฐานของ sigma male
1. เสรีนิยม ลงไม้ลงมือด้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาใคร
2. มั่นใจตัวเองสูง gu เก่ง gu เก๋า
3. เรื่องของตัวเองสำคัญกว่าสังคมและประเพณี
4. การพัฒนาตัวเอง
พูดง่ายๆ หมาป่าเดี่ยวดาย
แต่ใช่ว่าทำแล้วออกมาดี เกิดบทเรื่องไม่เอื้อกับ sigma male ตัวละครสายนี้จะดูแย่ไปหมดเลย ถ้ามึงยังคิดว่าพระเอกแบบนี้แหละดีแล้วก็ขอให้อดทนต่อไป ไม่ยังงั้นต้องแก้ที่พระเอกเลย การรีไรท์ไม่สนุกอย่างที่คิด
เห็นโม่งพูดถึงแนวเบียว ในเชิงรูปธรรมเป็นแบบไหน มีคำอธิบายหรือวิธีดูไหม
ลองเอา นิยาย หรือเมะ มังงะ ยดขึ้นมาเป็นต.ย.ให้เลยก็ได้
เราว่าลองดูว่าแนวนี้เราเขียนได้เปล่า เพื่อเปิดตลาดใหม่ ที่ไม่ต้องแข่งกับนิยายจีนแปล
>>292 เอาจริงๆ นิยามของเบียวในยุคนี้ หลักๆ มันคือการนิยามตัวละครแนว Sigma Male ที่เก่งเทพเหนือล้ำกว่าคนอื่นและยอมให้ใครมาอยู่เหนือกว่านั่นล่ะ แต่ทั้งนี้พฤติกรรมของคนจำพวกนี้คือไม่สนกฎของธรรมชาติหรือสังคมเลย ประมาณว่าทำตัวนอกกรอบได้เพราะกูเทพนั่นล่ะ
แล้วพอมาเป็นเรื่องในนิยาย เราสามารถแก้กฎต่างๆ ให้เข้ากับการกระทำป่วนๆ ของเหล่า Sigma male ได้อย่างอิสระเลย เอายกตัวอย่างง่ายๆ ก็หลวมฮาจิเมะ จากเรื่อง Arifureta นั่นอะ ที่ทำเหี้ยทุกอย่างประชดบรรทัดฐานสังคมเช่น กระทืบผู้กล้า ปากหมา ข้าเจ๋ง ฯลฯ แต่สุดท้ายกลับได้ผลตอบรับที่ดี มีฮาเร็มล้อมรอบ ทั้งที่ในความเป็นจริงนิสัยแบบนี้มันไม่มีใครคบไง แต่พอเป็นเรื่องในนิยายก็ใส่ได้อิสระเลยว่ามีแวมไพร์สาวร่างโลลิมาติด มีสาวสวยห้อมล้อม
หรืออย่างเรื่องดังอีกเรื่องก็ Solo Leveling พรี่ซงจินอูนี่ล่ะ ที่แม่งแห่งได้พลังมาแบบกฎทุกอย่างที่ธรรมชาติให้มา เก่งเทพอยู่คนเดียวในเรื่องแล้วทำตัวหยิ่งๆ เอ็ดจี้ ไม่น่าคบ แต่ในเรื่องกลับเขียนให้คนรอบข้างกลับเลียว่าไอ้นี่โคตรเทพ เป็นผู้กอบกู้อะไรทำนองนั้น
อันนี้กูไม่รู้หรอกนะว่ากูโลกแคบไปเอง หรือว่าโลกปัจจุบันมันบิดเบี้ยวไปแล้วกันแน่ แต่ในชีวิตจริงกูมีเพื่อนที่รู้จักกันนิสัยแบบนี้อยู่ แล้วแม่งนัดเยสาวเป็นกิจวัตร สลับรางเป็นว่าเล่น ซึ่งกูที่รู้จักกับมันมานานจึงรู้ดีว่านิสัยมันเหี้ยขนาดไหน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดันประสบความสำเร็จในการเป็น Sigma male ซะงั้นนี่ล่ะ (แน่นอนว่ากูมองบนทุกคนเวลาคุยกับมัน)
ส่วนพระเอกสไตล์กูเขียนค่อนไปทาง Beta male ว่ะ คือไม่ทำตัวโดดเด่น เน้นรักสงบ มีจิตใจดี อ่อนโยน ฯลฯ มีกฎอะไรก็เล่นไปตามเกม ซึ่งทุกเรื่องที่กูเขียนมาพระเอกจะเป็นแนวนี้หมด อย่างเรื่องล่าสุดก็กำหนดว่าเป็นแค่คนธรรมดาที่รายล้อมไปด้วยยอดมนุษย์ ไม่ได้มีกล้ามเนื้อพลังเวอร์ๆ ให้จัดการปัญหา แต่จะทำหน้าที่เป็นมันสมองและคอยสนับสนุนอยู่แถวกลาง/หลัง มากกว่าคอยขึ้นบวกไปข้างหน้าหรือเผชิญปัญหาเอง ซึ่งพอกูเขียนให้มันพลาดท่าเวลาเจอปัญหาเกินตัวจนแก้ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้มันก็สมผลไง แต่ตรงนี้ล่ะที่น่าจะเป็นจุดทำให้คนอ่านขัดใจกัน
>>294 เบียวได้แหละ แต่ถ้าตัวละครหญิงเบียวๆ มันจะออกแนวตลกแดกมากกว่า เพราะตัวละครหญิงมันไม่เข้ากับความรุนแรงเอ็ดจี้
กลับกันถ้าเขียนมาแบบทำอะไรผิดสามัญสำนึกมันออกแนวสาวเปิ๋นเป๋ออะไรพวกนั้น ยกตัวอย่างหนูไมน์ค่าเฉลี่ย อีตู้เย็นเมเปิ้ลงี้
แต่ทั้งนี้ต้องจำกัดขอบเขตดีๆ เพราะมากเกินไปจะกลายแมรี่ซูแล้วอิหยังวะ ยกตัวอย่างก็เช่นเคสอีเมเปิ้ลตู้เย็นระบบเกมพังนี่ล่ะ
>>292 เมิงแค่ต้องยอมรับก่อน ว่าเมิงต้องแข่งกับนิยายแปลจีน ถ้าเมิงไม่อยากแข่งก็แพ้ เทียบง่ายๆ แบบเห็นภาพเลยนะ ไอติมโคนวานิลา
ที่จีนทำมาราคา15บาท คนก็ต่อคิวกินกัน เพราะรสนมอัดเม็ดที่มากกว่า ผิวสัมผัสโคนที่กรอบดีกว่า แล่วทำไมต้องไปซื้อร้านฟาสฟู่ด ตะวันตก
ส่วนความเบียว คือทำสิ่งที่คนปกติไม่ทำกัน
เช่น หนูเป็นคนไม่ชอบเอาชนะหรอก แต่เรื่องอะไรหนูต้องแพ้!
กุบอกแล้วไงถ้ามันเป็นเกมกุต้องชนะ!
The world god only know เซียนเกมรักขอเป็นเทพนักจีบ
หรืออะไรก็ได้ ที่ทำให้ทุกคนหัน คมดาบ มาใส่เมิงหมด เออ กุจะโดนหาว่า เก๊กบ่อยๆ ด้วย
แล้วก็โดนคนเกลียด ประมาณว่า ทุกคนอยากฆ่าเมิง อยากทำร้ายเมิงอะ กุโดนมาหมดละ ไม้
มีด กระบอง หมัด ลูกบอล
เบียวๆ คงจะเป็นแบบที่ทุกคนจะตามฆ่าเมิงหมดโลกอะ
แต่กุไม่ได้ทำอะไรใครเลย i have no enemy
กุก็อยากใช้ชีวิตปกติสุข เหมือนคนอื่นเหมือนกัน
พล็อตชีวิตจริงกุเลยประมาณนี้ละ
เสือกโดนยัดว่า เบียว ซะงั้น
10 ปีข้างหน้า นิยายแปลจีนอาจจะตกกระแสไม่มากก็น้อย น้อยคนที่จะชอบของเดิมๆตลอดชีวิต ส่วนมากเอียนคือเบื่อไปเลย
>>287 แบบนั้น นิยายของเมิงคงน่าเบื่อมากๆ
ถ้าเมิงจะเขียนให้โลกสวย ก็ต้องไปสุดทาง
การที่เมิงบอกว่าโลกสวย ตัวประกอบ ผิดทาง ต้องเปลี่ยนนะ กุว่าเมิงไม่ได้เข้าใจการสร้างตัวละครแบบjojoเลย
ไม่เข้าใจการพัฒนาตัวละคร ด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่าง สร้างตัวละครที่เชื่อในโลกสวยสุดขีด เมิงต้องเข้าใจตัวละครที่เมิงเขียน
เช่นตัวละครนี้ โดนคนอื่นหลอกใช้ โดนเพื่อนทรยศหักหลัง หรือโดนแทงข้างหลัง นับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งให้ความไว้วางใจแก่คนอื่น จนเจ็บไม่จำ สุดทางของตัวละครนี้คืออะไร
ก็ให้การตัดสินใจของตัวละครนี้เป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ใช่เมิงเป็นคนกำหนดeventของเหตุการณ์
ถ้ายังจบในแบบที่ตัวกุก็ยังเป็นกุเหมือนเดิม
นั่นละเขาถึงเรียกว่า ตัวเอก ของนิยาย
แต่ถ้าไม่ใช่คือเมิงเขียนตัวประกอบอยู่
ส่วนพวกที่ขายวิญญาณ เงิน ชื่อเสียง เกียรติยศ เพื่อออกจากวิถีหลัก ของตัวละคร แบบนั้นสิถึงเรียกตัวประกอบ
นิยายที่เมิงเขียนกุไม่อ่านแล้ว ถ้าเรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจ เมิงไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าใครคือตัวเอก
แต่ตัวละครต่างหากที่จะเป็นคนกำหนด
>>300 เมิงเล่นเกมจริงเปล่า
เทรนด์ไม่เคยเปลี่ยนหรอก ขอแค่ชนะในท้ายที่สุดก็พอ กุชอบpvpด้วยไง เล่นเกมซิงเกิลเพเยอร์ไม่เคยจบ
"In the end, winning is everything. No matter what it takes, no matter what methods you use, as long as you win, that's all that matters."
ช่วงนี้กุว่าเกม IRL สนุกกว่าสมัยก่อนอีก
>>299 ทำไมต้องบอกว่า ตกกระแส
กุอ่านในห้องสมุด หนังสือนิยายเก่าๆ สมัยก่อน จีนเขียนได้ดีหมด
เพราะกุไม่ได้พึ่งมาอ่าน นิยายจีนนะ กุอ่านตั้งแต่ โกวเล้ง อุนสุยอัน และเรื่องเก่ากว่านี้อีกจำชื่อไม่ได้ กลิ่นกระดาษจากนิยาย ที่ทำให้เราเหมือนเข้าไปโลดแล่น ในเรื่องนั้นจริงๆ
คือกุงง ว่าพวกเมิงเพิ่งเคยอ่านนิยายจีนกันหรอ
ส่วนกุอ่านมา20กว่าปีแล้วไม่เคยตกยุคนะ
ถึงสมัยนี้พวกweb novel จะไม่ละเอียดเท่าสมัยก่อน รายละเอียดไม่เท่า นิยายจริงๆ
มันก็คงเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตที่เร็วขึ้นของคนสมัยนี้
กุว่าถ้าพวกเมิงเขียนนิยายแล้วสู้นิยายจีนแปลไม่ได้ ควรพิจรณาตัวเองได้ละ ถ้าไม่คิดจะพัฒนาตัวเองอะนะ ไม่ต่างกับละครน้ำเน่าที่เนื้อหาแบบเดิมตลอด50-60ปี แล้วหวังว่าจะมีคนมาอ่าน
กูไม่รู้ กูเขียน NC 18+ ขายง่ายดี พล็อตมีหรือไม่มีก็ไม่เป็นไร ถ้าอ่านแล้วเสวถือเป็นใช้ได้ ซี๊ดดด ท่อนของนายมาอยู่ในมดลูกตูดชั้นได้ยังไงงง อ๊ากกก
>>304 แล้วแต่คน กุชอบ นิยายให้แง่คิด จนเซฟภาพเก็บไว้ ว่าแต่พวกเมิงเซฟภาพนิยายในเด็กดีไงวะ กุต้องใช้มือถืออีกเครื่องถ่าย
ยกตัวอย่างในนิยายที่กุอ่านนะ
"เจ้าหนอนแมลงเอ๋ย เจ้ายั่วยุข้าแล้ว" เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากความว่างเปล่า
"เจ้าโง่! ข้าคือหนอนแมลงจริงๆ! แต่ข้าใช้เวลาวินาทีเดียว ก็เปลี่ยนจากหนอนแมลงเป็นคนได้!
เราไม่เหมือนกัน! เจ้าตาย แต่ข้ารอด!" พระเอกหัวเราะ
นี่มันกูชัดๆๆ
มันจะให้ข้อคิดเราตลอดแบบนี้ กุเลยเลือกที่จะซื้ออ่านต่อ
>>305 เน้นขายพวกขี้เงี่ยนเฉยๆ น่ะ คนเงี่ยนแอบแฝงมีเยอะนะเว้ยทำเป็นเล่นไป หนังโป๊ เมะโป๊ มีไม่ดู มาอ่านนิยายกูในเว็บเด็กดวกซะงั้น เนื้อหานิยายกูนี่แม่งตรงกันข้ามกับชื่อเว็บเลย แต่คงเป็นเพราะคนชอบอะไรพิสดารมันมีอยู่เยอะประกอบกับมีความขี้เงี่ยนแอบซ่อนไว้ในตัว นิยายวายแนวคนกับครึ่งสัตว์ตัวผู้แต่ท้องได้เลยขายดี๊ดี โดยเฉพาะกับประเภทเงือกชายนี่ขายดีเป็นพิเศษไม่รู้ทำไม ขายใน ธวล. กับ รอร. ยังขายไม่ดีเท่าที่นี่ กูว่ากูพอก่อนดีกว่าเดี๋ยวโม่งแตก
จากสิ่งที่กูพูดมาสรุปได้ว่าสาววายในเว็บเด็กดวกมีเยอะและกำลังซื้อก็มีมากด้วย ถ้าเป็นแนวอื่นๆ ที่มึงพูดกันมาข้างบน ต้องโชคดีจริงๆ ถึงจะดังได้วะ
ถึงพยายามจะทำตัวเป็นกูรูยังไง สุดท้ายความขี้โม้หลงตัวเองของแม่งก็ปิดไม่มิดจริงๆ นะไอ้เอ๋อไอโอเนี่ย
>>311 หมายถึงพวกชอบด่าคนอื่นว่าเบียว แต่ไม่คิดจะส่องกระงกเงาตัวเอง เพราะ EQ (ความฉลาดด้านการควบคุมอารมณ์ตัวเองต่อสิ่งปลุกเร้า) ของตัวเองนั่นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
นอกจากพวกที่ชอบดูถูกว่าไอ้นี่เบียว ไอ่นั่นก็เบียว สมัยนี้เห็นตัวอย่างง่ายสุดคือพวกโว๊ก ที่จะมีอาการโมโหโทสะด่าคนเห็นต่างว่าพวกเกลียดความหลากหลาย-ความเท่าเทียมทางเพศ
กลับเข้าเรื่องเถอะ
กูชักจะถอนหายใจเลย พวกแม่งหาเมียชีวิตจริงไม่ได้รึไง ถึงอยากมีอารมณ์กับสัตว์ของโลกแฟนตาซี
https://www.dek-d.com/board/writer/4120060/
https://www.dek-d.com/board/writer/4120070/
https://www.dek-d.com/board/writer/4120082/
>>311 ชื่อไอโอมาจากห้องเกมเพราะมันอวยเกมขยะกากๆ เกมนึงเหมือนไอโอการเมืองตามโซเชียล ถึงสุดท้ายตัวมันก็ทนความห่วยแตกของเกมไม่ไหวจนเลิกเล่นไปก็เถอะ
มันอยู่หลายห้องแล้วก็โดนเขาไล่เหมือนหมูเหมือนหมาทุกห้องเพราะเพ้อเจ้อแบบนี้เนี่ยแหละ เพราะฉะนั้นเวลามันเบียวฝอยอะไรมาก็ไม่ต้องไปคิดจริงจังมากหรอก พวกมึงเห็นมาหลายวันน่าจะเริ่มเข้าใจแล้วใช่มั้ยล่ะว่ามันขี้โม้แค่ไหน
>>312 ก็จริงตามนี้ นักเขียนที่วันๆ เอาแต่โทษนั่นโทษนี่ ก็เพราะพวกนี้ความพยายามไม่มากพอ หรือ ไม่มีความเบียวมากพอ ความมีวินัย
ทำไมไม่มีคนอ่านนิยานกุเลยละ?
เมิงไม่ต้องสนหรอก ว่ามีคนอ่านนิยายเมิงกี่คน ตลาดชอบแนวไหนอยู่ เขียนสิ่งที่เป็นนิยายตามที่มันควรจะเป็นจริงๆก็พอ
ทำไมต้องเล่นเกมฮิตนะ อ่านนิยายยอดฮิตbest seller ต้องตามที่คนส่วนใหญ่ชอบ
>>315 เคยคุยในโม่งกับมันอยู่ เมื่อเดือนนี้ละต้นๆเดือน กุว่ามันก็คุยดีนะ ถูกคอ ถ้าคนอื่นในโม่งมีแต่พวกน่าเบื่อทั้งนัั้นเลย
>>314 ไอโอ มันใช้กับเกมได้ด้วยหรอ เมิงมีหลักฐานหรอว่าเกม จ้าง มันมาโปรโมทในโม่ง
มันอาจจะคลั่งไคล้เกมhardcoreก็ได้
คนเราไม่จำเป็นต้องเล่นเกมตามกระแส
จำไว้นะ ปลาที่ทวนกระแสคือ ปลาเป็น ส่วนปลาไหลตามกระแสน้ำคือปลาตาย
>>313 เออ กุไม่เคยชอบเนื้อเรื่องสัตว์เลี้ยงเท่าไร
หรอก มันดูเบียดเนื้อเรื่องหรือตัวละครเสริมมากกว่า ก็น่ารำคาญที่ต้องมีบทพวกนี้แม้ไม่ได้สำคัญ เรื่องไหนสีสัตว์หน้าปก กุหลีกเลี่ยงเลย
เรื่องที่เห็นชัดๆ ก็ S class that i raised
แล้วพวกชอบfuryมันก็คืออาการอย่างหนี่งของ พวกlgbtเหมือนกัน
ผิดมั้ยที่กูขำไอ้ >>316 ว่ะ ความเบียวแต่ละคำที่แม่งพูดจนกูหยุดหัวเราะไม่ได้
>>313 ไอ้เคสนี้อีกที่ทำกูขำกลิ้ง ไอ้ตัวเริ่มนี่ก็ปั่นชิบหาย เห็นแล้วรู้เลยว่าแม่งมาหาเรื่อง
เข้าเรื่องๆ
ช่วงนี้กูรู้สึกว่าวิธีการเขียนแบบที่คนยุคก่อนหน้าพร่ำสอนนี่เอามาใช้กับยุคนี้ไม่ค่อยได้แล้วแฮะ เมื่อก่อนทุกคนแม้แต่ บก. เองก็ยังบอกว่าเวลาเขียนอะไรให้ศึกษามาก่อนจะได้เขียนได้สมจริง แต่พอมาตอนนี้คนอ่านบอกว่าไม่อยากอ่านอะไรเรียลๆ ซะงั้น กลับกันยิ่งหลุดโลกเท่าไรยิ่งมีแต่คนชอบ ทำเอากูนั่งคิดบ้างละว่าคราวหน้าลองเขียนอะไรที่มันเบียวหลุดโลกบ้างดีมั้ยกันเลย
เออ กุก็โดนโม่งจิ้ม บอกว่ากุเบียว
กุก็ไม่เคยแคร์พวกเมิงนะ ว่าจะหาว่า กุเป็นยังงั้น ยังงี้ เพราะ กุไม่เคยจำกัดความตัวเอง
และกุไม่เคยให้คนอื่นมากำหนดว่ากุเป็นคนยังไง
แต่กุเป็นกุคนเดิมตั้งแต่เกิดมา อดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต 100ปีนี้ จากนี้กุก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เมิงพยายามได้นะ แต่เมิงเป็นแบบกุไม่ได้หรอก
เลิกหาว่าคนอื่นเบียว หรือขำหัวเราะคนอื่น บางทีเมิงอาจจะแต่งนิยายดีๆได้สักเรื่อง แต่ว่ากุดูแล้วพวกเมิงน่าจะทำไม่ได้
ไร้สาระชิบหายพิมบ้าไรกันเนี้ย ที่บอกแต่งนิยายได้เอาลงแพตฟอมอื่นด้วยมั้ยลองเอาลงหลายๆที่ดูก่อนได้นะเรื่องตัวเอกนี่ตราบใดที่มีพัฒนาการเดี๋ยวคนก็ชอบเอง มีเรื่องนึงในเด็กดีช่วง1-300ตอนแรกๆคนด่าพระเอกโง่กากไม่เจียมตัวเห็นแก่ตัวโลกแคบเต็มไปหมดแต่หลังจากนั้นคนแต่งก็ทำให้นักอ่านหันมาชอบพระเอกได้เพราะบทมันเติบโตขึ้นทุกวัน บทตัวร้ายคู่ปรับพระเอกวางมาให้คนเกลียดก็ทำสำเร็จคนเกลียดมันมากแต่ตอนหลังก็เขียนให้คนชอบได้อีก หรือถ้าคิดว่าเรื่องที่ตัวเองแต่งมันไปต่อไม่ไหวจริงๆก็ลองทำให้มันกระชับแล้วหาทางลงซะไปเริ่มเรื่องใหม่ ลองแต่งแฟนฟิคซักด้อมดูจะเกมหรือเมะหรือหนังก็ได้หาฐานแฟนไปในตัวพอได้แฟนผลงานแล้วก็หยอดๆว่า ผมมีผลงานออรินะครับใครสนใจไปอ่านได้นะ ลองเกาะกระแสอะไรสักอย่างไปก่อน ชญ ชช ญญ ได้หมดสตาวอ อวาตาร์งี้ สู้นะคับขอให้สักวันเป็นวันของคุณ ^×^V
>>326 เรื่องนึงในเด็กดีช่วง1-300ตอนแรกๆคนด่าพระเอกโง่กากไม่เจียมตัวเห็นแก่ตัวโลกแคบเต็มไปหมดแต่หลังจากนั้นคนแต่งก็ทำให้นักอ่านหันมาชอบพระเอกได้
เดี๋ยวนะโม่ง รี้ดของโม่งมันใจดียอมทนอ่านมา300กว่าตอนจนพระเอกเก่งได้เลยเหรอ โคตรใจดี
ยุคนี้3ตอนแรก ไม่มีแววเก่ง แทบจะเทกันหมด จึงไม่แปลกใจทำไมต้องเอาระบบมาช่วยถึงพอขายได้
>>327 เรื่องนั้นพระเอกมันเก่งอยู่แล้วเก่งในระดับนักกีฬาต่อสู้อะแต่เหนือฟ้ายังมีฟ้าแค่มันมีคนเก่งกว่าแล้วเรื่องมันมีจุดเป้าหมายตัวละครรอบข้างพระเอกน่าสนใจคนแต่งวางเซ็ทติ้งและระดับพลังดีด้วย แต่นิยายสมัย10กว่าปีที่แล้วด้วยแหละสมัยเด็กดีบูมๆและไม่มีนิยายจีนทะลุมิติครองชาร์ท
ตั้งแต่กูกลับมาเขียนลงเด็กดวกเกือบ 10 ปีที่แล้ว มันก็นิยมพระเอกเก่ง ด่าพระเอกกากมาตลอดละนะ
เอาจริงกูอยากลองเขียนตัวเอก sigma male แบบที่โม่งเบียวมันฝอยออกมานะ แต่พอจินตนาการตามแล้วกูขนลุกอะ ไม่ใช่สไตล์เลยจริงๆ
อยากอ่านตัวเอกที่เป็น sigma loli ไม่เคยเห็น
>>331 ซิกม่าเมลอะไร ศัพท์แปลกๆอีกละ เอาจริง กุไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย
ตอนเด็ก3ขวบ กุตกบันได หัวแตกเย็บ10เข็ม หมดสติทันที บันไดไม้นะ ดังนั้นสมอง กุยังดีอยู่ แต่กุมีแผลเป็นที่หน้าผากรอยบาก แต่เป็นสิ่งที่ถือว่าโชคดีที่สุดของกุก็ว่าได้ อย่างที่เขาว่ากันว่า วาสนามักมาในคราเคราะห์
เวลาลูบแผลเป็น ความหวาดกล้วจะเข้าท่วมตัวกุทันที มันฝังลึกในร่างกายคนเรา จิตใต้สำนึก
ทำให้กุมีนิสัยประหลาด คือ ขี้ระแวงสุดขีด ขึ้นมา
อะไรที่คนปกติไม่ระวัง กุระวังไว้ มีแผน2แผน3แผน4แผน5
ทำให้กุต้องมีความมั่นคง รอบครอบ และใจเย็น
ซึ่งกุว่าความหวาดกลัวไม่ได้แย่
ถ้ากุดีใจจนเกินไป กุจะลูบแผลเป็น เพื่อควบคุมตัวเอง การดีใจเกินไปจะนำอันตรายมาสู่ตัวเรา
ถ้ากุเสียใจจนเกินไป กุก็จะลูบแผลตัวเองให้กุได้สติไม่โดนอารมณ์ควบคุม จนตอนนี้ความหวาดกลัวก็กลายเป็นแกนหลักของตัวกุไปแล้ว
ถ้าไม่มีมัน กุคงไม่เป็นตัวกุแบบทุกวันนี้
กุเชื่อนะว่าความหวาดกลัวสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ เหมือนที่คนอื่นเจอเหตุการณ์ต่างๆมา ก็แตะคนอื่นเป็นสีดำได้
และนอกจากนี้กุยังเอาไปใช้กับการเล่นหุ้น หมากรุก กับpokerด้วย และอื่นๆอีกมากมาย บางทีเมิงก็อาจมีพลังก็ได้ แต่เมิงแค่ไม่เคยสังเกตุกันแค่นั้น
ความมืดกับแสงสว่าง เป็นของคู่กัน
ถ้าไม่มีความมืด ก็ไม่มีแสงสว่าง พูดไปโลกนี่ก็มีคนที่เกิดจากสิ่งพวกนี้เหมือนกัน มันน่าค้นหานะว่าไหม
ทำไม แนว แฟนตาซี แบบrpg มันถึงนิยมในระดับสากล
>>335 ปูทางมาดีผ่านเกม RPG ญี่ปุ่น แล้วฝั่งยุโรปก็เล่น Table top RPG แนว Sword and magic มาเองก่อนแล้วด้วย
มันแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันไปมาน่ะ คนญี่ปุ่นเห็นฝรั่งเล่น DnD แล้วเห็นว่าเข้าท่า เอามาต่อยอด เพิ่ม Lore เพิ่มองค์ประกอบอื่นๆ ลายเส้นมังงะญี่ปุ่นวาดสวยออกตีตลาดต่างประเทศ พอเริ่มเป็นที่นิยมมันก็แพร่หลายไปได้เอง แต่เอาจริงๆ พอเวลาผ่านไป ความนิยมของโลกมันก็เปลี่ยนตาม เรื่องของ RPG แฟนตาซีเลยกลายเป็นแต่เซตติ้งอย่างนึง เป็นพื้นหลังของแนวต่างๆ ที่กำลังฮิตแทน (เช่นแนวเกิดใหม่ต่างโลก, แก้แค้น)
ทั้งเกม นิยาย หนัง พักหลังๆ มันก็ไม่ค่อยมีเพียวแฟนตาซีออกมาขายบ่อยแล้ว แนวเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โลกอนาคต หรือโลกหลังยุคล่มสลายจากสงครามก็มีเพิ่มขึ้นมากละ
>>335 ต้องถามกลับดีกว่าว่าทำไมมันถึงจะไม่ล่ะ?
ส่วนตัวกูมองว่าแนวแฟนตาซีคลาสสิคถ้าแต่งดีๆ มันค่อนข้างจะครบรสในตัวอยู่แล้ว ความหลากหลายของตัวละครและความสัมพันธ์เอย ความละเอียดของเซ็ตติ้งและพื้นเพของโลกเอย ความแตกต่างและวิถีชีวิตที่มึงไม่ได้เห็นในโลกประจำวันบ่อยๆ เอย เหลือแค่การเล่าเรื่องผูกเรื่องกับการแต่งให้จบเนี่ยแหละที่จะทำให้มันดีหรือไม่ดี แต่พวกที่ดีๆ มันก็จะดังในระดับสากลแบบที่มึงว่านั่นล่ะ ต่างกับพวกที่ดัดแปลงจากแนวนี้มาแบบอิเซไคหรือ rpg หน้าต่างสเตตัสที่ถึงดังมันก็ดังแบบประเดี๋ยวประด๋าว ผ่านไปไม่กี่ปีก็โดนเรื่องใหม่ๆ กลบหมดแล้ว
ติดแค่ว่าแม่งขายไม่ได้ในโซนนี้เพราะเทสคนพักหลังๆ แม่งเสพติดแต่ความฉาบฉวยเนี่ยแหละ ปูพื้นนิดหน่อยก็ว่ายิืด ตัวเอกไม่เทพซ่าไม่เฟียสกีตบคู่แค้นเก่าด้วยตัวคนเดียวในไม่กี่ตอนไม่ได้แม่งก็บอกกากกูดรอปละ
>>337 คนนิยมเยอะ คนอยากเกาะกระแสเยอะ การแข่งขันยิ่งสูง แก่งแย่งชิงผู้บริโภคไม่สนความเท่าเทียม ความกดดันรุนแรงขึ้น ความเครียมสะสมทวีคูณ ผู้แพ้ต้องถอนตัวจากการแข่งขัน ผู้ชนะต้องแบกรับความเครียดต่อไป
>>335 ตอบแบบกำปั้นทุบดิน กลุ่มคนเจน z เจน alpha เกิดมามีเกมให้เล่นตั้งแต่เด็ก เจน z เกิดทันช่วง FF7 สมัยเพลย์1 แต่ได้เล่นก็น่าจะประมาณยุค FF12 หรือ half life 2 เด็กเจน alpha ก็นึกไม่ออกว่า แฟนตาซีปราศจากระบบเกมอย่างโทลคีนกับแฮรี่พ่องตายมันถึงยิ่งใหญ่กว่านิยายระบบสมัยนี้ยังไง
คำตอบของผู้อ่านนะไม่ยากหรอก วงการเพลงก็ไม่แตกต่างกัน บูมเมอร์โตมากับเพลงลูกทุ่งลูกกรุง เอาค่านิยมส่วนตัวไปให้คนรุ่นหลังฟัง ผลตอบคือไม่อิน คนรุ่นหลังติดใจ j-pop k-pop หรือ heavy metal มากกว่า ไม่มีทางรู้ว่า เมื่อเจน alpha อายุ 50 ปีขึ้นไป ลูกหลานตังเองจะมีรสนิยมชื่นชอบเพลงตรงกับพวกเจน alpha สมัยวัยรุ่นรึเปล่าล่ะ
เพราะงั้น ถึงแม้ปัจจุบัน แนวคิด rpg ระบบตัวช่วยของแฟนตาซีจะเป็นที่นิยม ในอีก 20-40 ปีต่อมา จะยังใช้ได้กับเด็กที่เป็นลูกๆของพวกเจน alpha เหมือนเดิมอีกมั้ย
เรารู้สึกว่า ถ้าเพิ่งเริ่มแต่งนิยายเรื่องใหม่ ถ้าแต่งแนวจีนไม่เป็น แต่งแนวrpg fantasy มีตัวเอกเก่งๆ เวลอัพไปเรื่อยๆ จะเซฟสุด
โม่งเห็นด้วยไหม
>>341 กูก็เริ่มต้นมาจากจุดนี้แหล่ะ แรกๆ คือเขียนแบบตามใจตัวเองอย่างโคตรจะมือสมัครเล่นเลย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงอยากตะโกนด่าตัวเองว่า "มึงเอามือพิมพ์หรือเอาปลายตีนเขี่ยจอถึงได้นิยายแบบนี้ออกมา"
แต่ด้วยความที่ชอบอ่านนิยายคนอื่นด้วย อ่านมากๆ มันก็ซึมซับ เริ่มเรียนรู้ที่จะยืมมาใช้ เวลาแต่งเองมีโดนคนอ่านทักเหมือนกันว่าฉากนี้ของกูคล้ายเรื่องนั้นเลย หรือคำพูดประโยคนี่มันมาจากตัวละครนี้ชัดๆ ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้เพราะฝีมือการดัดแปลงของกูตอนนั้นยังกากอยู่ พอนานๆ ไปถึงจะสามารถยืมมาใช้แล้วคนอ่านจับไม่ได้ว่าเอาแรงบันดาลใจมาจากไหน แต่อารมณ์ความประทับใจในฉากยังดีพอๆ กัน และต่อให้กูจะยังไม่เก่งแต่ก็พยายามหลีกเลี่ยงเรื่อง plagiarism เพราะการลอกคนอื่นมาทั้งดุ้นนี่มันน่าทุเรศเกิน มึงต้องเขียนจนกว่าจะจับจุดได้เองว่าควรทำยังไงถึง
ส่วนตัวกูน่ะอ่านฉากนั้นซ้ำๆ แล้ววิเคราะห์ดู ว่าเจ้าของเรื่องมันใช้วิธีเขียนแบบไหนให้เราชอบ อ่านแล้วรู้สึกว่ามันดี มันเจ๋ง ใช้อารมณ์ความคิดตัวละครหรือใช้การกระทำที่เกิดขึ้นเป็นตัวกลางในการสื่อ หรือวิธีอื่นๆ พอสรุปได้แล้วก็ลองเขียนแบบนั้นดูบ้างแล้วไปรอดูผลตอบรับจากคนอ่านเอาอีกที
สำหรับการแก้ไขความขัดใจหรือรำคาญ อันนี้ง่ายกว่าอันแรก เพราะถ้ามึงอ่านแล้วหงุดหงิดตรงไหน แค่ลองคิดว่า "ถ้ากูเป็นตัวละครนั้นแล้วโดนทำแบบนี้นะ กูจะ..." หรือ "ตัดสินใจแบบนี้ได้ไงวะ ไม่สมเหตุสมผลเลย" แล้วมึงก็แก้ต่อจากจุดนั้นในฉาก แล้วเก็บข้อมูลไว้ใช้ เผื่อบางที่ในอนาคตนิยายมึงมีเหตุการณ์แบบนี้มึงจะได้ยืมมาใช้ได้ทันที แต่มึงต้องอย่าลืมว่าการแก้นั้นควรเหมาะกับนิสัยตัวละครด้วย ถ้าการตัดสินใจทีมึงแก้ใหม่จนถูกใจตัวเองดันไปทำให้ตัวละครเกิด ooc (ขัดแย้งกับนิสัยใจคอปกติ) ก็อย่าทำเหมือนกัน เดี๋ยวจะสร้างความขัดใจอันใหม่ให้คนอ่าน
เช่นตัวเอกบาทหลวงสายบุญจิตใจเมตตา อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปลดแอกคนยากจน เอาไม้กางเขนไล่ทุบหัวทหารตายเรียบ แบบนี้ก็ไม่ไหว ถึงมึงจะหงุดหงิดที่ชาวบ้านยอมให้พวกขุนนางเอาเปรียบเรื่อยๆ ก็ตาม แต่เอาตัวละครอ่อนแอที่วันๆ ทำแค่สวดมนต์มาบู้แหลกมันก็คงไม่ได้ มึงต้องหาวิธีอื่นมาใช้จัดการตัวร้ายแทนแบบที่อ่านแล้วจะไม่ทำให้คนอ่านร้องอิหยังวะในใจ ซึ่งก็วนกลับไปตรงที่มึงอ่านนิยายมาเยอะแค่ไหน เคยอ่านเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้มั้ย เรื่องอื่นๆ เขาเขียนให้แก้ปัญหายังไง ละเลือกมาสักอย่างนึงเอามาเขียนให้ออกมาโอเค
ก็คือ อ่านเยอะๆ - แก้เนื้อหาที่ขัดใจ - ยืมไอเดียที่ชอบมาใช้ ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ได้ก็จะดีขึ้นเอง
มีใครแนะนำนิยายตัวเองบ้าง ขอแบบเหี้ยมหาญ ดุดันสะใจ ไม่มีฮาเร็ม ไม่มีโรแมนซ์
แนวให้ข้อคิด ขอแบบคุณภาพนิยายจีนนะ
แนวพระเอกเจอคนที่เทพกว่า ถ้าคิดหาทางไม่ได้
ก็ต้องคิดหาทางให้ได้ และก็มีสถานการณ์ ที่ต้องเร่งอัพเวลไรงี้ เจอวิกฤติแต่รอดมาได้ทุกสถานการณ์ เพราะความเตรียมตัว เช่น วางแผนไว้10ปี ก่อนเกิดเหตุการณ์นั้น สุดโต่ง
แล้วพระเอกต้องคิดแบบ ฉันคือคนดี ส่วนคนที่อยู่ตรงข้ามกับตัวเอง คือความเลว ต้องโดนกำจัดสิ้นซาก
กุขอยากไปไหม หมดหวังกับเด็กเขียนนิยายรุ่นนี้แล้ววะ ชอบทำตัวหน่อมแน๊ม
แล้วพระเอกต้อง ซ่อนงำประกาย
ชีวิตไม่ต้องเด่น ขอเป็นเทพในเงา พระเอกไม่เปิดเผยพลัง แต่ก็รู้จักทดแทนบุญคุณ ไม่ชอบติดค้างใคร แล้วก็ไม่หื่นกามแบบกัด้วย
>>351 มันหมายถึงมุกหนังจีนเก่าๆ ที่ตัวเอกต้องวางแผนไว้ล่วงหน้านานมากเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบตอนจะเข้าต่อสู้ เพราะถ้าสู้กันตรงๆ กับตัวร้ายไม่ไหวมีแต่จะโดนฆ่าตายฟรี อธิบายแบบนี้คงเข้าใจยาก เดี๋ยวกูจะให้ตัวอย่างมึงอ่านก็แล้วกัน
เรื่องมันเริ่มตรงที่ตัวร้ายเคยฆ่าพ่อแม่ตัวเอก ตัวเอกรอดตาย ถึงจะแค้นมากแค่ไหนแต่ก็ทำไรไม่ได้เพราะตอนนั้นยังกากอยู่ ระหว่างที่ตัวเอกเร่ร่อนไปตามเมืองต่างๆ แบบคนไร้บ้าน ได้อาจารย์ท่านหนึ่งเมตตาช่วยรับเลี้ยงเพราะเห็นว่ามีหน่วยก้านดีพอจะฝึกวิชาได้ ก็ฝึกวรยุทธควบคู่กับวิชาลมปรานไปตามปกติ พร้อมกับเก็บความแค้นไว้ในใจ
สาเหตุที่ตัวร้ายมาฆ่าครอบครัวตัวเอกเป็นเพราะตระกูลของตัวเอกมีสูตรยาเพิ่มพลังลมปรานอะไรสักอย่าง ตัวร้ายอยากได้ยานี้มากแต่ขอซื้อเท่าไหร่พ่อกับแม่พระเอกก็ไม่ยอมขายสูตรปรุงยาให้ สุดท้ายเลยวางแผนเข้าปล้นหนังสือสูตรยาตัวนั้นแล้วฆ่าทุกคนในบ้านเพื่อปิดปาก
ตัวเอกที่ควรจะตายไปแล้วจากคมกระบี่รอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ด้วยเหตุที่เป็นทายาทสายตรงหนึ่งเดียวที่ได้รับการสืบทอดความรู้ทางยามาจากผู้เป็นพ่อ พอรู้ว่าตัวร้ายชิงสูตรยาตัวไหนไปก็เริ่มปูทางวางแผนตั้งแต่ตอนได้รับการชุบเลี้ยงทันที
ตัวเอกรู้ว่ายาเพิ่มพลังลมปรานนั้นมีผลข้างเคียงที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา ว่าถ้าใช้ยาตัวนี้แล้วลมปรานจะเพิ่มพูนได้อย่างรวดเร็วก็จริงแต่ความต้านทานต่อวิชายุทธสายพลังเย็นจะลดต่ำตามไปด้วย เลยจงใจขอให้อาจารย์สอนวิชาฝ่ามือสายน้ำแข็งให้ตน ฝึกวิชากระบี่เงินอ่อนที่เน้นการกวัดแกว่งมากกว่าการทิ่มแทง แล้วทำงานเก็บเงินสะสมไว้ซื้อแร่เหล็กที่ขุดได้จากยอดเขาเก้าหิมะ เอาไว้ตีเป็นกระบี่อ่อนที่แผ่รังสีความเย็นได้เมื่อได้รับปรานจากมือผู้ใช้
ตามหลักการแล้วเมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งอายุมากขึ้นพลังของผู้ฝึกยุทธก็จะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ฝึนฝน ทำให้ตัวเอกที่ตอนแรกเป็นแค่เด็กในตระกูลทำยาไม่มีทางตามทันตัวร้ายที่ฝึกพลังยุทธมาตั้งแต่แรกได้แน่ๆ แต่คนเขียนก็ทำให้คนอ่านได้พอมองเห็นว่าตัวเอกมีการพัฒนาทางวิชายุทธที่ดี และเตรียมพร้อมสำหรับการสู้ศึกสุดท้ายมาพอสมควร แต่การเตรียมตัวนั้นจะเพียงพอหรือไม่ก็ต้องตามอ่านกันดู
พอเดินเรื่องมาถึงจุดที่ 70-80% ก็เป็นฉากตัวเอกบุกไปยังสำนักที่ตัวร้ายเป็นเจ้าของอยู่เพื่อท้าดวล ประกาศตัวว่าเป็นใคร มาเพื่อแก้แค้นที่ตัวร้ายเคยฆ่าพ่อแม่ตัวเองไว้ ถ้าไม่อยากเสียชื่อต่อหน้าบรรดาลูกศิษย์ก็ให้ออกมารับคำท้าแต่โดยดี แล้วก็ตามสูตรแนวนี้คือตัวร้ายก็จะใช้ลิ่วล้ออย่างพวกลูกศิษย์ที่มีฝีมือหน่อยมาตัดกำลังตัวเอกก่อน อาจส่งมาสัก 3-4 คน จะได้ดูเชิงว่าตัวเอกต่อสู้แบบไหนพร้อมกับทำให้ตัวเอกเหนื่อยล้าไปด้วย
พวกศิษย์เอกจะสู้กับตัวเอกได้อย่างสูสีแต่ก็แพ้ไปทั้งๆ ที่ช่วยกันรุม ตัวเอกจะไว้ชีวิตคนพวกนี้เพราะไม่ได้มีความแค้นต่อกันและเข้าใจว่าทำตามคำสั่ง จากนั้นพวกศิษย์ที่กระจอกกว่านี้ก็จะเข้ามาหิ้วปีกศิษย์พี่อาการปางตายออกไปจากลานประลอง เป็นสัญญาณให้บอสใหญ่ต้องลุกขึ้นแล้วลงมาจัดการด้วยตัวเอง
เปิดฉากด้วยการต่อสู้อย่างดุเดือด แต่ด้วยความที่ต้องสู้อย่างต่อเนื่องทำให้ตัวเอกค่อนข้างเสียเปรียบ สถานการณ์จะค่อยๆ เลวร้ายลงจนตัวเอกเข้าตาจนได้แผลเพิ่มขึ้นและแทบจะพลาดท่าเป็นพักๆ แต่ระหว่างนั้นตัวร้ายรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ พอตัวเอกสังเกตเห็นก็เริ่มพูดอย่างเบียวๆ ว่า "มันเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ ผลกรรมที่เจ้าก่อเอาไว้"
ตัวร้ายจู่ๆ ก็สายตาพร่ามัว การมองเห็นค่อยๆ มืดลงจนแทบจะคล้ายคนตาบอด ร่างกายขยับได้ยาก การตอบสนองก็ช้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทั้งหมดเกิดจากสาเหตุสองประการ คือการสูดเอาไอเย็นในพื้นที่ต่อสู้เข้าไปเรื่อยๆ หลังจากพระเอกแอบปล่อยไอเย็นจากคมกระบี่ออกมา กับฤทธิ์ของยาพิษที่จะกำเริบเฉพาะในเวลาที่เหยื่อได้รับไอเย็นจากวิชายุทธเข้าสู่ร่างกายต่อเนื่องนานเกินไป
ตอนที่ตัวร้ายกำลังสั่นสะท้านเพราะพิษไอเย็น ตัวเอกก็อธิบายว่าไม่เสียแรงที่คอยแวะมาปลูกต้นไม้บางชนิดไว้รอบๆ สำนักนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คงไม่มีใครนึกว่าเด็กหนุ่มหน้าตามอมแมมที่มาเก็บของป่าขาย จะเป็นลูกชายของคนปรุงยาผู้ล่วงลับ ดอกของต้นไม้ที่ว่าจะส่งกลิ่นหอมจางๆ ไปเป็นวงกว้างแต่ไม่มีผลอะไรกับผู้ดมจึงไม่สามารถตรวจพบได้ว่ามีพิษ
"ข้ารอเวลาอยู่นานหลายปีให้ต้นไม้เหล่านี้เติบโตพอจะออกดอกและใช้ประโยชน์จากมันได้ และในวันนี้ยามที่ดอกหิมะโปรยเบ่งบาน นั่นก็ถือเป็นวันตายของเจ้า!"
ว่าจบตัวเอกก็ซัดผ่ามือภูติเหมันต์เข้ากลางหน้าอกตัวร้ายจนกระอักเลือด แม้พลังยุทธจะแตกต่างกันอย่างมากแต่ผลจากการกินยาเพิ่มลมปรานติดต่อกันเป็นเวลานาส่งผลให้วิชาสายเย็นทะลุการป้องกันของกำแพงลมปราน ตัวร้ายทำอะไรไม่ได้กลายเป็นเป้านิ่งให้ให้ตัวเอกตัดหัวด้วยกระบี่เงินอ่อนอย่างง่ายดาย ปิดฉากการแก้แค้นที่ต้องใช้เวลาเตรียมการนานหลายปีลงในพริบตา
บรรดาลูกศิษย์หลายสิบคนได้แต่ยืนมองด้วยแววตาพรั่นพรึง ตอนตัวเอกถีบร่างเจ้าสำนักจนหงาย เช็ดเลือดจากคมกระบี่ด้วยเสื้อผ้าบนตัวศพ แล้วเดินจากไปพร้อมสายลมเย็นยะเยือก
ตัวเอกจงใจหายไปจากยุทธภพ เปลี่ยนชื่อแซ่ตัวเองใหม่ จ้างแพทย์ขูดกระดูกเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงหน้า แล้วไปเข้าทำงานในสำนักคุ้มภัย ส่งตั๋วแลกเงินไปยังบ้านของอาจารย์ที่เคยสอนวิทยายุทธให้ ลูกสาวอาจารย์ตอนรับของมาก็พบตั๋วแลกเงินจำนวนมากอยู่ภายในพร้อมกับจดหมายสั้นๆ
"โปรดดูแลท่านอาจารย์แทนข้าด้วย"
จบเรื่องตามหลักการ -บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ- ที่ตัวเอกไม่กลับไปสำนักเดิมเพราะคิดว่าตัวเองมือเปื้อนเลือดไปแล้ว ถึงรู้ว่าลูกสาวอาจารย์มีใจให้แต่ตนคงไม่คู่ควรพอจะโอบกอดนางอีกต่อไป ก็เลยเลือกทำแบบนี้แทน
ตอนแรกว่าจะเล่าย่อๆ สุดท้ายล่อซะเก็บเต็มเรื่อง กูนิ
มีข้อมูล 2 ข้อที่กูลืมบอกไปข้างบนคือคนเขียนอ้างเรื่องเซตติ้งเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของสำนักตัวร้ายว่าอยู่ในหุบเขา ซึ่งกูเข้าใจว่าถ้าสำนักตั้งอยู่บนยอดเขาแล้วมุกใช้พิษทางอากาศด้วยการปลูกต้นไม้ล้อมสำนักไว้จะใช้ไม่ได้ เพราะมันจะดูไม่สมเหตุสมผล (ต้นไม้อยู่ต่ำกว่าพื้นที่และอากาศไหลเวียนได้ง่ายกว่าบนยอดเขา) กับเรื่องที่ว่าตัวเอกก็ดมไอเย็นจากกระบี่เหมือนกันทำไมถึงไม่โดนพิษ ตอบได้ง่ายๆ ว่าเป็นเพราะกูแดกยาต้านพิษก่อนมาบุกแล้วไงสัส
เอาจริงๆ นิยายจีนเก่าๆ ที่ดีมีเยอะนะ มุกอาจจะซ้ำไปบ้าง อย่างบังเอิญเจอคัมภีร์วิชาเทพซ่าส์ก่อนขึ้นเป็นเจ้าสำนัก หรือการแก้แค้นกันไปมาของตัวละครในเรื่อง (ซึ่งไม่ต่างอะไรกับไปต่างโลกที่ฮิตกันตอนนี้) แต่เรื่องการวางโครงเรื่องกับข้อคิดและคติสอนใจมันทำได้ดีจริงๆ ทำให้คนมองเห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และการหนีไปอยู่ชนบททำไร่ไถนาของพระเอกนางเอกตอนจบเรื่อง ทำให้ชีวิตสงบสุขมากกว่าการท่องยุทธภพเป็นไหนๆ เพราะถ้าไม่ต้องเจอผู้คน มึงก็ไม่ต้องเจอความขัดแย้ง แต่ปัจจุบันนี้มันทำได้ยากแล้ว ถ้าไม่อยู่ทำงานในเมืองใหญ่ก็มีแต่จะอดตาย ใครอยู่ในวัยทำงานแบบกูก็สู้ต่อไปนะ
>>352 >>353 >>354 ถูกตามนี้ เลย
กุชอบเตรียมตัวให้พร้อม สั่งงานวันนี้เสร็จเมื่อวาน
แบบทำให้คนอื่นแปลกใจได้ตลอดอะ
กุก็แค่อ่านนิยายที่ชอบ โดยไม่สนว่าแนวไหนฮิต
หลักๆมันก็แค่นี้แหละ แต่จะได้แนวคิดใหม่จากที่อ่านไหม จนคู่แค้นเคยมาบอกกับกูละนะ
ว่า3ปี กุยังไม่ลืมความแค้นหรอ
กุจะเป็นความหวาดกลัวไร้สิ้นสุดให้เมิงเอง55555+ ไม่ว่าหน้าไหนก็ดาหน้าเข้ามาพร้อมกันเลย!
https://i.imgur.com/5JjaSDj.png
ถ้าชีวิตจริงเหมือนในนิยายกุคงเป็นตัวแบบนี้
ว่าไปคงเป็นเพราะกูไม่เคยอ่านนิยายจีนแท้ๆ ด้วยล่ะมั้งถึงไม่อินกับแนวนั้น นอกจากสามก๊ก (ฮา)
สมัยก่อนกูอ่านแต่นิยายไต้หวันที่จะมีความเป็น RPG ค่อนไปคล้ายกับฝั่งญี่ปุ่นค่อนข้างสูง จะต่างกันแค่ตัวละครและวิธีการพูดคุยจะออกไปทางจีนหน่อยๆซึ่งวิธีการดำเนินเรื่องจะต่างจากนิยายจีนที่โม่งยกตัวอย่างขึ้นมาแบบคนละด้านเลย
ส่วนที่เคลมว่านิยายจีนได้ กูเคยอ่านแค่พวกเรื่องดังๆ อย่างมังกรหยก เซียวฮือยี้ อะไรพวกนี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นนิยายจีนไม่เต็มปากอะ มันเขียนในยุคที่ยังเป็นฮ่องกงอยู่ วัฒนธรรมแล้วความคิดตัวละครมันเลยต่างกันสุดๆ เมื่อเทียบนิยายจีนยุคนี้ ส่วนเรื่องที่กูยังอ่านจนถึงปัจจุบันเหลือแค่หงสาจอมราชันย์ละ ซึ่งโดยเทคนิคแล้ว ...มันก็การ์ตูนฮ่องกงว่ะ กูสัมผัสไม่ได้เลยถึงความเบียวสุดโต่งแบบนิยายจีนที่ยกมาเลยซักนิด ถถถถ
>>358 สามก๊ก มันสอนการอ่านใจคน และมองคนทะลุปุโปร่งหลักๆมีแค่นี้
เช่นกวนอู ยึดถือความซื่อสัตย์ ไม่เคยทรยศหัวใจตัวเอง แม้จะมีจุดจบอย่างอนาถสิ้นดี
แต่ถ้าย้อนเวลาไปได้ จะทำแบบเดิมหรือเปล่า
กุจะทำแบบเดิม! บางทีจุดจบในชีวิตกุก็คงจะตกตายโง่ๆ แบบนั้นก็ได้ ชีวิตมนุษย์มันไม่ได้มีค่าขนาดนั้นหรอก แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีค่า คือหัวใจที่กล้าแกร่งต่างหาก
เปราะบางไร้ค่า ไร้ความหมาย แต่ก็เจิดจรัส อย่างที่สุดในช่วงเวลานั้นเช่นกัน
ความตายไม่น่ากลัวสักนิด
นิยายจีนกุซื้ออ่านล่าสุดคือเจินหวนสนุกดีอ่านจนตาแฉะ
>>363 ลองเขียนแนวทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จนต้องอ้าปากค้างไหม เวลาคนมอบงานให้กุ กุจะทำเสร็จก่อนdeadline จนคนสั่งงานทึ่ง จริงดิ จริงหรอ กุว่ามันฟินดี สิ่งที่ให้เวลาอาทิตย์นึง แต่กุทำคืนนึงเสร็จ
ลองสร้างพระเอก ที่ซ่อนงำประกาย แล้วก็ระเบิดพลังขยี้ตัวร้ายในเสี้ยววิ จนตัวร้ายร้องว่า ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อ!
ถ้าเมิงเขียนได้ทัชใจ กุอุดหนุนแน่นอน ยันเมิงเขียนจบ แล้วก็สอดแทรกแนวคิด สัจธรรม ความจริงเข้าไปในเรื่องก็ดี พระเอกแนว บงการ ไม่เน้นต่อสู้ แต่ถ้าลงมือ ก็เด็ดขาด เผด็จการ ไร้ต้าน
จนอีกฝ่าย เยี่ยวราด คุกเข่า สั่นกลัว จนเสียสติน้ำลายไหล
>>366 36 กลยุทธ์พิชัยสงคราม ซุนวู หนี คือกลยุทธ์คือ กลยุทธ์ที่ดีที่สุด
เมิงจะต้องการสมเหตุสมผลอะไร
ผู้แข็งแกร่งไม่ใช่ผู้อยู่รอด แต่คนที่อยู่รอดต่างหากคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
เมิงแต่งนิยายเป็นไลเนียร์ เส้นตรงหรือไง
ตราบใดที่กุชนะในท้ายที่สุดก็พอ ไม่สำคัญ กุต้องเสียสละอะไร
ถ้าในเกมที่ต้องสู้กันอย่างตรงไปตรงมา กุตุ๋ยบ้านมันให้แตกก็พอ กลยุทธ์ที่ดีกว่า รบร้อยครั้งชนะ100ครั้ง คือการที่ไม่ต้องรบเลย คือการชนะที่ดีที่สุด
พิชัยสงครามซุนวู เมิงแต่งได้เยอะเลย คิดว่ากุต้องสู้อย่างยุติธรรมหรือไง ค้านสายตาก็ช่างแม่ง
สงสัยกุต้องแต่งนิยายเองซะแล้วแบบนี้ ต้องเป็นคนที่เล่นหมากรุก pokerเป็นหน่อย ไม่ใช่เขียนแต่อะไรไร้สาระ
ขอถามตามตรง สมัยนี้ พวกคนไทยที่ชอบเขียนนิยายจีนโบ จะมีสักกี่คนอยากอ่านสามก๊ก แม้มีแปลไทยวางขายมานานแล้ว
>>367 เขียนเรื่องหักเหลี่ยมมันไม่ง่ายหรอกนะ
มึงอาจจะวางโครงเอาไว้แล้วว่าจะให้จบยังไงได้ แต่การที่จะหาใส่ระหว่างทางนี่ล่ะมันไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ หรอกนะ ไม่งั้นทุกคนคงเขียน Death Note กันหมดแล้ว
อีกอย่างถ้ามึงบอกไม่เลือกวิธีการ และจะเสกให้ตัวเอกชนะทันทีแต่หาเหตุและผลมาอ้างอิงการกระทำตัวละครไม่ได้ว่ายังไง เมื่อไรและตอนไหน สุดท้ายมันก็จะเข้าอีหรอบอภินิหาริย์ Deus Ex machina หรือ Plot armor หนาเตอะและกลายเป็นเรื่องให้คนด่านั่นล่ะ
ยกตัวอย่างเด็กยุคนี้น่าจะรู้จักกันทันจิโร่ที่จู่ๆ ใช้ปราณตะวันได้นี่ กว่าจะแถว่าใช้ได้ไงก็อธิบายยาวอยู่นะ ว่าพ่อเคยได้รับการสอนมาจากคนอื่นแล้วเอามาทำตาม แล้วทันจิโร่ก็จำมาลองทำตามดูอีกต่อ ซึ่งถ้าลองไม่มีความเป็นมาอ้างอิงดูดิ มันจะกลายเป็นเด็กเส้นเหมือนแก้งแมลงสาปโกลด์เซนต์เลย
>>373 ไม่เกี่ยวว่ะ กุไม่ชอบคนเลว สิ่งที่เมิงคิดมันผิด แต่คนมักจะแยกแยะคนดีกับคนเลวไม่ออก
เหมือนผู้ชาย badbad ผญ มักชอบคิดว่าผู้ชายคนนี้ดี ไม่โง่
ส่วนผู้ชายที่เป็นคนดี ก็บอกว่าไอนี่โง่ หลอกง่าย
พูดอะไรก็เชื่อ ผชแบบนี้ละที่เป็นคนเลว
อะไรคือความเลวและความดี
ฆ่าคนคือความเลวจริงไหม ถ้ามันช่วยให้คนหมู่มากรอดได้
การช่วยเหลือคนคือความดีจริงไหม ถ้ามันทำให้คนเหล่านั้นสามารถกลับมาทำความเลวได้อีก
เหมือนกับเหรียญที่มี2ด้าน และกุไม่คิดว่า ทาเนียมันเลวนะ มันเป็นคนดี
ต่อให้คนส่วนใหญ่ชอบ และกุต้องชอบตามคนส่วนใหญ่หรือไง ถึงจะเป็นคนดี
ถ้าต้องเป็นคนดีของสังคม ตัวฉันคงเหลือทางเดียวคือต้องทำลายสังคมทิ้งซะ!
ถ้าตัวละครออกมากลวง ต่อให้เป็นคนดีหรือคนเลวก็ไม่แตกต่างกัน เป็นได้แค่ปั้นน้ำเป็นตัว
บอร์ดเด็กดวกถามอะไรเยอะแยะ ไม่ถามโม่งบ้างเหรอวะ
>>376 ที่หนีมาเล่นโม่งก็เพราะไม่อยากตอบคำถามจำไมพวกนั้นนั่นแหล่ะ ปล่อยให้กูรู เซียนคีย์บอร์ด กับสุดยอดไลฟ์โค้ชตอบกันเอา มันมีขาประจำคอยตอบให้อยู่แล้ว จะให้คนเหี้ยๆ อย่างพวกกูไปตอบ เดี๋ยวจะเสียบรรยากาศทุ่งลาเวนเดอร์เอา พูดมากเดี๋ยวเจอหาว่าอวดฉลาดอีก เอาไว้มีคนอยากรู้อะไรจริงๆ มาพิมพ์ถามในนี้ค่อยมาตอบตอนมีเวลาว่างเอา
ตอนนี้นิยายเด็กดี มีแต่สายจีน
ไอ้แนวย้อนอดีต ที่กำลังดังตอนนี้ เอาจริงๆ ก็แค่แนวจีนโบราณ ไม่ก็จีนยุค90-80 ทั้งนั้น
ตอนแรกนึกว่า แนวใหม่จะทำให้เลิกฮิตจีนโบ เสียอีก กลายว่า แนวจีนโบมันแค่กลายพันธุ์ เท่านั้น
กุจีน75% อ่านนิยายจีนผิดด้วยหรอ
แนวจีนมันกลืนเด็กดวกมาตั้ง 5-6 ปีแล้ว แล้วความนิยมก็เหมือนจะไม่ตกด้วยมั้ง
กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไมถึงยังฮิตติดลมมานานแบบนี้
แนวระบบนี่ยังนิยมต่อเนื่องเลยแฮะ ไม่ตกเลย แต่ระบบต้องน่าสนใจหน่อย ไม่ซ้ำซาก
ไม่ใช่เล่นเองสนุกกว่าดูคนอื่นเล่นหรอก แต่ทนอ่านไม่ได้เพราะระบบเกมที่เขียนมาแม่งห่วยแตกเหมือนคนไม่เคยเล่นเกมมาเขียนต่างหาก
เกือบทุกเรื่องเลยคือบาลานซ์ระยำหมาชนิดว่าถ้าเกมพรรค์นี้มีอยู่จริงๆ บนโลก มึงไม่มีทางฮิตคนเล่นเป็นล้านแบบที่เขียนอวยตามเนื้อเรื่องหรอก เจ๊งบ๊งตั้งแต่ปีสองปีแรกแน่ๆ
>>385 ก็นั้นแหละ เพราะระบบที่นักเขียนออกแบบมันมีอยู่ 2 ประเภท
1. เขียนระบบเพราะจำมาจากมังงะหรือนิยายของคนอื่น (หรืออนิเมะ)
2. เขียนระบบจากเกมที่ตัวเองเคยเล่น
ปัญหาของข้อ 1. อย่างที่มึงบอกเลย เป็นแบบนี้ตั้งแต่ยุคนิยายเกมออนไลน์ ตัวนักเขียนไม่รู้ว่าระบบที่ลอกจากของคนอื่น เอามาจากเกมจริงๆรึเปล่า ส่วนข้อเสียของ 2. คือเกมที่นักเขียนเคยเล่นมักจะไม่ตรงกับเกมที่คนอ่านเล่น บางคนแม่งเขียนระบบยังกะ mod จนคนอ่านไม่อินแล้ว จนบางทีเล่นเกมเองยังอินกว่า
ไอ้ที่น่าเศร้าจริงๆคือ สมัยนี้มีเกม idle ระบาดชิบหาย พวกนักเขียนที่โตมากับเกมแนวนี้อย่างเดียว แม่งไม่รู้อะไรซะเลยเกี่ยวกับการ Dungeons & Dragons สาย GM เพราะคอร์หลักของเกม idle คือเก่งด้วยเก็บรับของรายวัน กดสั่งบอท และเล่นกาชา พอนักเขียนตัดกาชาออกไป แม่งกลวงโบ๋เลย กลายเป็นนิยายระบบพิกลพิการ เพราะเกม idle แม่งคือทุนนิยมเหี้ยๆ ความเก่งของผู้เล่นไม่ได้มาจากฝีมือเลย แต่ได้มาจากเปิดตู้กาชาแล้วได้ตัวเทพมามั้ย พวกด่านหลังๆแม่งออกแบบสำหรับตัวเทพชุดใหม่โดยเฉพาะ ควักเงินหมุนกาชาจนกว่าจะได้ตัวเทพ ถึงจะผ่านด่านไหว พวกสเตตัสแม่งไร้สาระชิบหาย กลายเป็นเกมที่ระบบเก๋งๆก้างๆ พอเอาระบบพวกนี้ไปใส่นิยายตัวเอง ตัวเลขแม่งเวอร์สัสแต่ไร้แก่นสาร
ลืมๆ ปัญหาของเกม idle มาจากคลิปหมอนี้เลย https://youtu.be/8hlXY_kPJdY?si=2x11RFd2M8V91_Dk
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.