เห็นเม้นบางคนแล้วรู้สึกอนาจ เหมือนกำลังคุยกับพวกหัวอนุรักษ์นิยม ไม่ชอบสิ่งใหม่ๆ
https://www.dek-d.com/board/writer/4096490/
ปล.กูไม่ได้ตั้งมู้นี้ว่ะ
เห็นเม้นบางคนแล้วรู้สึกอนาจ เหมือนกำลังคุยกับพวกหัวอนุรักษ์นิยม ไม่ชอบสิ่งใหม่ๆ
https://www.dek-d.com/board/writer/4096490/
ปล.กูไม่ได้ตั้งมู้นี้ว่ะ
โม่งขอถามความเห็นหน่อยว่ะ
พอดีเรื่องที่กูเขียนอยู่กูจั่วหัวว่าเป็นแนวสร้างหมู่บ้าน บูรณาการดินแดนรกร้าง ปลูกผักใช้ชีวิตบ้านนอก
ทว่ากูดันเล่ารายละเอียดตอนสร้างนั่นโน้นนี่ไม่ละเอียด แต่ไปเน้นที่อีเว้นท์ที่เกิดขึ้นระหว่างก่อสร้างแทนแบบนี้ มันจะขัดใจคนอ่านบ้างมั้ยวะ
ยกตัวอย่างเช่นตัวเอกมีแผนจะสร้างบ้าน ตอนต่อมากูก็ Timeskip ไปช่วงเวลาลงเสาเข็มก่อปูนเลย ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าต้องเตรียมวัตถุดิบยังไง ปรับพื้น ถมดินยังไง แต่เลือกที่จะจัดให้มีอีเว้นท์นั่นโน้นนี่เกิดขึ้น เป็นอุปสรรค์ในการสร้างบ้านอะไรทำนองนี้แทนไปเลยอะไรทำนองนี้
กลัวว่าจะมีพวกคอมเม้นท์มาบ่นนั่นโน้นนี่อีก กูเลยไม่รู้ว่าควรจะยังไงดีละแฮะ
>>769 เลิกกลัวคอมเม้นได้ละถ้ามึงจะเป็นนักเขียน หัดมีความมั่นใจในตัวเองหน่อย สร้างสรรค์ผลงานไปถ้าใครเม้นด่าก็เมิน เม้นวิจารณ์ก็ลองดูว่าปรับใช้ได้ไหม เม้นชมก็อย่าเหลิง
ในนิยายของมึงคิดว่าการอธิบายการสร้างบ้านทุกกระบวนการมันจะทำให้เรื่องของมึงน่าสนใจขึ้นไหม ถ้าไม่ก็ไม่ต้องทำ ยิ่งถ้ามึงโง่เรื่องการสร้างบ้านอีก แนะนำว่าอย่าฝืน ข้ามไปบ้างก็ได้
>>769 คำถามคือ อยากเจาะจงกลุ่มตลาดแบบไหนล่ะ ถ้าอยากให้เป็นเรื่องอ่านชิลๆ ถอดสมอง ก็ไม่จำเป็น ข้ามๆเถอะ คนอ่านมันไม่อยากอ่านขนาดนั้น ภาระงานคนเขียนก็น้อยลง ไม่ต้องทำการบ้านอะไรมาก แต่ถ้าอยากเอาใจคนอ่านสาย geek การใส่รายละเอียดพวกนี้ก็ทำให้เพลินได้ แต่กลับกันถ้าข้อมูลผิดพลาดก็ระวังโดนตีน แต่ของแบบนี้ก็แก้ไขปรับปรุงได้แหล่ะ ถ้าใจไม่เปราะบางต่อคำติเตียนหรือด่าซะก่อน ลองชั่งใจดูละกัน รวมไปถึง %จำนวนคนอ่านแต่ละประเภทไหนบ้างที่อยู่ในเว็บก็น่าจะช่วยให้พอตัดสินใจได้
มีนิยายแฟนตาซีอะไรสนุกๆบ้างมั้ย กูอ่านศาสลับหลอมวิญญานซ้ำหลายรอบแล้ว MSOงี้ แฟนตาซีไทยดีๆมันไปไหนหมด เรเชบปม่งสนุกแต่คนแต่งดันมีประเด็นก้อบนั้นนี่ อีดอันที่แต่งเรื่องหญิงดาวก็หายทิ้งเรื่องใหม่ตามหาลูกแก้วมังกรต่อไป เทพแสงคนอ่านหายไม่พอคนแต่งหายดองทุกเรื่องอีก จะร้องงง
แนวปลูกผักมันมีอะไรน่าสนใจถึงคนขอบมากเป็นกระแสได้
หรือมันเด้าผักไปด้วย คนเลยชอบ
บ่นๆ หน่อย
ท้อใจจังแฮะ เขียนนิยายเดี๋ยวนี้คือยอดคนอ่านน้อยไม่พอ โดนเอาไปเปรียบเทียบกับนิยายจีนอีก
ถ้าเขียนแล้วได้ตังทันทีแบบนิยายจีนกูก็ขยันได้เท่ามันนะ แต่นี่กูเขียนแล้วไม่ซื้อกันคงจะขยันได้แหละ
>>776 ถ้างั้นเป็นไปได้มากว่านิยายมึงมีปัญหาไม่ตรงตามความต้องการของตลาด เว้นแต่ว่าเพิ่งลงนิยายไม่ถึงเดือนแล้ว fav น้อย นิยายที่คนตามน้อยก็เหมือนว่าวยังไม่ติดลมบน วิวต่อวันไม่กระดิก ส่วนพวกติดท๊อปแม่งก็วิ่งเอา ๆ มึงก็ใจเย็น ๆ หน่อย กลับไป research ดูว่าปัญหาซุกอยู่ไหน
ถ้าอยากจะเขียนนิยายแนวที่มีคนเล่นเยอะๆ แต่อยากเป็นที่จดจำในสายตาผู้อ่าน มึงต้องใช้สมองเยอะกว่านักเขียนทั่วไปสิ ที่คนอ่านชอบลืมนิยายง่ายเพราะคนเขียนมัวแต่เดินตามสูตรสำเร็จของผู้อื่นต่างหาก
นิยายเด็กดียุคนี้ ไม่ซิ เว็บอื่นๆก็ด้วย เหมือน ถ้าไม่ใช่แนวล้างแค้น ต้องเน้นขาย ความสบายๆ อีซี่ ง่ายๆ คลายเครียด เก่งๆโกงๆ ตั้งแต่ช่วงแรก เกือบหมดเลย ถึงขายได้ ถ้าจะใส่ดราม่า หรืออะไรที่เริ่มไม่ง่าย เครียดๆกดดันตัวเอก หน่อยท เหมือนต้องเขียนช่วงพาร์ทหลังๆ เท่านั้น หลังจากหลอกรี้ดให้ติดตามได้พอควรแล้วเท่านั้นท
หรือง่ายๆเลยคือ อยากเขียนดราม่า เครียดๆ เข้มข้นๆ แล้วมีคนอ่านต้องใช้วิธี ล่อด้วยน้ำตาลเคลือบยาพิษ เท่านั้น ไม่งั้นรี้ดยุคนี้ไม่อ่านเลย
โม่งเห็นว่าไง จริงไหม
นิยายพล้อตแน่นๆดีๆก็มีนะแต่ดันเป็นpwpทุกตอนอยู่ในrawพลอตแน่นตึ้บ แฟนตาซีสนุกๆต้องย้อนกลับไปหาเรื่องที่แม่งแต่มานานๆหลัก6-7ปีก่อนเอาไม่งั้นก้เจอแต่อิเซไกเข้นิยาย ย้อนเวลา ตัวร้าย เป็นแม่ตัวร้ายเป็นภรรยาท่างอ๋อง มีที่กูรออ่านแต่คนแต่งเลิกไปแล้วก็ สามชาติสามภพอภินิหารลูกแกล้วมังกร
กูตามอ่านมาตั้งแต่เรื่องแรกนางอิเซไกที่สนุกมากด้วย ว่าแล้วก็ขอแปะเลยละกัน http://writer.dek-d.com/lavender_blue/writer/view.php?id=1772222
อันนี้กูไม่เข้าใจแฮะว่ามันแค่มาปั่นหรือว่านั่นคือคอมเม้นท์ใจจริงคนอ่าน
ช่วงที่ผ่านมามีคอมเม้นท์นิรนามเข้ามาพูดประมาณ น่าเบื่อ ไม่สนุก นิยายขยะ ฯลฯ มาบ่อยมาก ระดับแทบจะเข้ามาคอมเม้นท์ทุกวัน แล้วที่เห็นคือไม่ใช่แค่กูคนเดียวที่โดน มีหลายคนเลยที่โดนโดยไม่มีจุดร่วมอะไรเลยซักนิด
ถึงจะพยายามมองในแง่ดีแล้วนะว่าแค่คอมเม้นท์เกรียนมาป่วน แต่เวลาเข้า dashboard แล้วเห็นมันโชว์อยู่นี่ก็ทำเอารู้สึกปวดใจเหมือนกัน
จริงหรือที่นักอ่านจดจำนิยายที่ใส่ความคิด ใส่ความแปลกใหม่เข้าไป มากกว่านิยายสูตรสำเร็จ
ในเมื่อนิยายติดท็อปเป็นนิยายสูตรสำเร็จที่ทำตามกันมา แทบไม่มีใครแตกแถว เอกลักษณ์เฉพาะตัวแทบเป็นศูนย์ ถ้ากูใส่ความคิดเข้าไปเยอะๆ นักอ่านจะจดจำนิยายจริงเหรอวะ
รบกวนช่วยไขข้อสงสัย
กูเลือกอ่านนิยายจากชื่อเรื่องก่อนเลยถ้าตั้งมาเกร่อๆโง่ๆซ้ำซาก ปัดทิ้งได้เลยถึงจะติดท้อปก็ตามเช่นในเด้กดีกูไม่อ่านสักเรื่องชื่อโคตรโง่
โทษนะ กูโมโหจริงว่ะ นิยายอันดับหนึ่งของเว็บ แย่ในแบบที่กูทนอ่านไม่ได้เลย อ่านไปกำหมัดไป ต้องหยุดอ่านเป็นระยะเพื่อตะโกนด่า พึมพำสบถให้กับความห่วย
คนที่สกิลเขียนนิยายแทบเป็นศูนย์ สามารถมีคนอ่านหลักหมื่นต่อวันได้ไงวะ บ่งบอกถึงคุณภาพนักอ่าน
พวกมึงก็อย่าพยายามมากไปนะ ไม่งั้นไร้อนาคต ห้ามพัฒนาตัวเอง งานชิ้นก่อนหน้าเมื่อหลายปีก่อนคุณภาพเป็นไง ผ่านมาหลายปี ห้ามพัฒนา ต้องเท่าเดิม หรือแย่กว่าเดิม จะได้อยู่ระดับเดียวกับคนอ่าน เก่งเกินเดี๋ยวคนอ่านตามไม่ทัน
นี่แหละ หนทางสู่การเป็นนักเขียนนิยายชั้นยอดในเว็บเด็กดวก กูยอม
นิยายเด้กดีจะหาเรื่องดีๆคือต้องกดหมวด แฟนตาซี เกมออนไลน์ กำลังภายใน มึงจะได้เรื่องที่พล้อตดีไม่แต่งโง่ๆ อันดับหนึ่งฝั่งเกมตอนนี้คือสมมงมาก MSOจริงๆมันก็ติดท้อป10มาตั้งแต่ภาคแรกมาเป็น10ปีแล้วอะนะ ฝั่งกำลังภายในคืออ่านตาแฉะกันไปข้างแต่คอมเม้นจะมีแต่ผช.อ่านซะมากกว่า
ถ้ากูเขียนเรื่อง 'เกิดใหม่เป็นฮามาสในโลกคู่ขนาน' ตอนนี้จะปังไหมวะโม่ง
>>795 มอนสเตอร์โซลช่วงแรกๆของภาค1จะแปลกๆบ้งๆกับความคิดพระเอกหน่อย สำนวนไม่ดีอะไรมาก แต่ผ่านไปสัก100+ฝีมือคนเขียดีขึ้นเยอะถ้าทนอ่านความอีโก้สูงของพระเอกช่วงแรกได้หลังจากนั้นคือสนุกจนวางไม่ลง แต่ตลค.ญบางตัวน่ารำคาญมากคนบ่นตรึมดีตรงนักเขียนฟังฟีดแบคนี่แหละ แต่มึงอย่าติดภาพเกมเกินไปมันคือนิยายกำลังภายในอะ555555 อีกเรื่องที่แนะนำก็ศาสตร์ลับหลอมวิญญาณประทับใจมากเขียนดีตั้งแต่ต้นจนจบ
พึ่งมาดูMSOอันดับลงไปอยู่2แล้วนี่หว่า คนแต่งลาหยุด2เดือนอันดับหล่นไม่แปลก
MSO กูตามอ่านไม่ไหว
ทำไมแนวปลูกผักตอนนี้มันเยอะจัง มันฮิตมาจากไหน
นิยายแนวเกมส์ออนไลน์
อยากถามเพื่อนโม่งว่า ปกติ ชอบแบบไหนมากกว่ากัน พวกระบบหลอดเลือด ระหว่างมีบอกบรรยายรายละเอียด กับไม่มี
แบบ1 ตัวละครxxxโจมตีใส่บอส คอมโบabc ผล ทำดาเมจ xxx เลือดบอสลดลงไปเหลือ 70/100
แบบ2 ตัวละครxxxโจมตีใส่บอส คอมโบabc ผล ทำดาเมจ xxx บอสมีท่าทีเปลี่ยนไป
พอดีช่วงนี้ได้ดูเมะ แชงกรีล่าฟรอนเทีย//น้องแมงมุมรีรัน แล้วคุยกับเพื่อนว่าหลอดเลือดมันไม่ make sense กับเกมในชีวิตจริงเลยรู้สึกรำคาน
แต่อันนัันเป็นเมะ
ถ้าเป็นนิยาย ที่บอกรายละเอียดจะรู้สึกรำคานกันไหมอะ
>>806 ไม่สนเท่าไหร่ ใช้สองแบบไปเลยก็ได้ แค่บรรยายออกมาให้ไม่ขัดจนกลายเป็น log battle เกมได้ก็พอ
โม่งตัดสินใจใช้ซุปเปอร์ซูพรีมทวินแสลชโจมตีต่อเนื่อง พิ้วๆๆๆ กุดุสๆๆๆ เพียงไม่กี่วิหลังจากนั้นบอสก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ย-แย่แล้ว HP บอสเหลือ 69 เปอร์เซ็น เผลอมันมือไปหน่อย สกิลป้องกันเรายังคูลดาวน์ไม่ทันเลย โฮกกปี้ปปปป บอสคำรามพร้อมกับแท่งเนื้อที่ชูชัน ปัปๆๆๆๆ โม่งดากขาด กลับจุดเกิด
ยุคนี้แนวเกมออนไลน์เรื่องใหม่ๆยังมีกระแสอีกหรอ นึกว่าไปทะลุมิติไปเกิดใหม่เป็นนางร้าย อ๋องน้อยพร้อมระบบปลูกผักในยุคโบราณหมดละ
แนวแฟนตาซีกาวๆ นี่ยังขายดี มีฐานคนชอบอยู่เยอะไหม เราว่าจะฝึกเขียนแนวกาวๆ เห็นมีงานแปลดังๆอยู่ แต่แนวกาวไทยเราไม่ค่อยอ่านแหะ
>>812 จะว่าไปตอนนี้สงสัยเหมือนกันว่าทำไมยอดอ่านนิยายไทยช่วงปีกว่ามานี้มันลดลงไปเยอะ เรื่องที่โพสใหม่ๆช่วงนี้ถ้าไม่ใช่มีแฟนคลับมาก่อน เหมือนคนอ่านไม่เยอะเลยเทียบปีก่อน นักอ่านไทยหายไปไหนหมด ติดเกมมือถือ หรืออนิเม ฟรีในท่อหรอ แต่ฟิคยอมรับว่ายอดเยอะจัด หรือเป็นแค่เด็กดีหว่า
ยุคนี้ตอนนึงเขียนให้เสพง่าย ไม่ยาว จะดีกว่าใช่ไหม 1500-3000 คำประมาณนี้ โม่งคิดว่าไง
เคยได้ยินคนพูดกันว่า คนนิยมเขียนตอนละ 1500-3000 คำ เพราะเรื่องแสงสีฟ้าบนหน้าจอจนคนอ่านอ่านไม่ไหว
เอานิยายเก่าๆมาขุดอ่านดู สังเกตว่าช่วงปี61-64 นี่มีแนวพลังพิเศษ พลังติต ไรงี้เนอะเลยแหะ ช่วงนั้นเขาฮิตหรอ บังเอิญเราพึ่งกลับมาเล่นเด็กดีปีนี้
มารู้จักไอ้พลังที่เรียกว่า ร ะ บ บ กันเถอะ
https://powerlisting.fandom.com/wiki/Video_Game_Physics
ถ้าแต่งแนวที่ไม่ใช่กระแสในตอนนี้ กะจะหาตลาดจากพวกที่เบื่อแนวกระแสตอนนี้ เน้นแต่งแนวที่เดาว่าน่าจะมีคนอยากอ่านแต่หาเรื่องดีๆใหม่ๆไม่ค่อยได้ จะได้ไม่มีคู่แข่งเยอะมาเปรียบเทียบงานเราในแนวเดียวกัน
แบบนี้คิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีไหม หรือ ความจริงแล้วแย่มากพังแน่นอน?
เคยอ่านมังแนวพระเอกเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าแก้แค้นน้องสาวที่โดนเรป พอตายมาต่างโลกที่มีโลกระบาดผู้ชายติดไวรัสซอมบี้หื่นไล่เรปผญ. จนตาย
สรุปคือไอ้แนว ๆ Urban สลับบทชายหญิงแบบนี้ ยังพอมีอะไรมาดัดให้น่าสนใจได้อีกแฮะ
ง่วงทั้งบอร์ดเด็กดีกับบอร์ดโม่ง วงการนิยายไทยท่าจะซาลง
มีแต่แนวเดิมๆ เรื่องเดิมๆ เหมือนคุณพี่พันชั่งเดินเป็นวงกลมจะมีเรื่องอะไรใหม่ๆให้คุย
ถ้าอยากคุย/แลกเปลี่ยนอะไรก็เริ่มมาเถอะ
เรื่องใหม่ของพันชั่งมาแนวเดิมอีกละ
https://www.dek-d.com/board/writer/4100487/2/0
กล้าฆ่าคนเพื่อเงินร้อยล้านบาทไหม
กูโพสถามไปแล้วว่าต้องเสียภาษีไหม ในเด็กดี
ว่าแต่เงินรางวัลจากเกมไล่ฆ่ากันนี่ มันต้องเสียภาษาจริงๆเปล่าวะ หรือแบบหัก ณ ที่จ่ายเลย
อยากอ่านประวัติเฮียพันชั่งครับว่าทำกรรมอะไรไว้บ้าง
เออ กูก็อยากรู้เหมือนกัน
กูไม่รู้มันต้องการอะไร https://www.dek-d.com/board/writer/4100561/
>>832 ชอบตั้งกระทู้ดักควายให้คนสงสัยใคร่รู้ (คลิ้กเบต) พอเข้าไปก็พบว่าเป็นการโฆษณานิยายเรื่องใหม่ของเจ้าตัว ผ่านมาหลายปีก็ยังคงใช้มุกเดิมๆ ไม่เปลี่ยน ขนาดชาวบอร์ดรู้ทันหมดแล้วก็ยังทำแบบเดิม (เหมือนที่ชอบแต่งนิยายแนวเดิมๆ ) ดักควายเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ได้เรื่อยๆ
จุดแข็งคือแต่งนิยายจบ ส่วนจุดอ่อนก็มุกซ้ำจนกลายเป็นประเพณีของคนในบอร์ดต้องมาเดาว่าตัวละครไหนในเรื่องที่จะโดนลักพาตัวในรอบนี้ (เหลือหมากับแมวที่ยังไม่เคยโดน แต่ในอนาคตอาจโดน)
ท่าไม้ตายประจำตัวตอนตั้งกระทู้ : "คุณเชื่อเรื่อง-xxx-ไหม?" (รู้สึกว่าจะวนเวียนระหว่าง ผี กับ เอเลี่ยน บ่อยๆ)
>>832 เพราะแม่งโรคจิตเรียกร้องความสนใจ เมื่อก่อนมันตั้งกระทู้โปรโมตแล้วชอบมีนอนเมมโผล่มาด่าสาดเสียเทเสีย พอหลายครั้งเข้า คนเลยจับผิดได้ว่าแม่งถอดเมมมาด่าตัวเองเพื่อเรียกดราม่า ตอนนั้นโดนแฉเพราะยังมีเลขIPแม่งเลยต้องยอมรับสารภาพ แล้วตอนนี้มึงดูดิ แม่งก็ยังทำเหมือนเดิม ตั้งกระทู้แล้วจะมีคนมาด่า ปั่นไปปั่นมาให้ได้ยอดวิว คือถ้าเป็นคนปรกติ ใครจะอยู่ๆมาด่ามันเพื่อ? อย่างกูไม่ชอบแม่ง ก็เฉยๆไม่กดดูกระทู้แค่นั้นจบ ถ้าโม่งไม่พูดถึงมันกูก็ลบมันจากความทรงจำไปแล้ว เปลืืองสมอง
กุไม่ได้คิดไปเองสินะว่าบางครั้งพันชั่งมันนอนเมมมาด่าตัวเอง
มีใครในนี้เขียนแนวปลูกผักบ้าง เขียนแล้วเป็นไงบ้างยอดมันดีตามกระแสไหม
เฮียแกบอกว่าไม่คาดหวังอะไรจากเด็กดวก แต่ลงโฆษณาถี่จังนะครับแหม่ ห้าร้อวกระทู้รึยังเอ่ย
ยุคนี้ตัวเอกเป็นแมรี่ซู นี่ไม่มีใครแคร์แล้วใช่ไหม? เห็นทะลุมิติ ย้อนเวลาแล้วมีระบบอะไรไม่รู้โคตรโกงติดไปด้วยคนเดียว ก็ขายได้ บอกว่าสนุกกัน โดยเฉพาะไอ้นิยายแปลจีน ตัวดี
>>843 ฝึกแล้วค่อยเก่งแบบโชเน็นมันมีคนอ่านน้อยลง ต้องโผล่มาแล้วเทพซ่าทันทีหรือมีฝึกสั้นๆ ช่วงแรกแค่ 1-2 ตอน (ขนาดไยบะฝึกช่วงแรกก็แทบแย่เหมือนกันตอนเป็นมังงะลงหัวจัมป์เกือบโดนตัดจบ) คนอ่านที่มักง่ายขี้เกียจรอมีเยอะก็ต้องจัดไปตามตลาด
จำได้ว่าข้างบนมีโม่งอธิบายไปแล้วเรื่องแนวระบบ ว่าเดี๋ยวนี้คนเรามันเข้าไม่ถึงคุณค่าของความพยายามกว่าจะฝ่าฟันมาถึงจุดที่เก่งแล้วได้ของตัวละคร แต่ดันชอบการได้รับผลตอบแทนทันที มีภารกิจมาให้ทำ ทำสำเร็จได้ของตอบแทนจนเก่งขึ้นแบบปุบปับ แนวระบบมันวางมาแบบนี้พอเสพมากๆ เข้าก็เคยชินกับความสะดวกด้วยพล็อตยัดเยียดให้เดินเรื่องตามภารกิจพาไป ไม่จำเป็นต้องมีจุดเปลี่ยนระหว่างทาง ไม่ต้องสนใจว่าเป้าหมายคืออะไร ไม่ต้องมีแรงจูงใจ ความจำเป็น หรือเหตุผลในการออกผจญภัย แต่ทำตามที่ระบบบอกให้ทำเหมือนหมาโดนสายจูงลากไปก็พอ
>>845 มาลองคิดกันดูเล่นๆ ก่อนว่า กลุ่มคนที่อ่านนิยายเล่มกับคนที่อ่าน web novel แตกต่างกันยังไง
อย่างแรกเลยคือสื่อที่ใช้ คนกลุ่มที่ยังสามารถอ่านจากหน้ากระดาษในนิยายเล่มได้ต้องมีกำลังซื้อพอสมควร ถ้าไม่ใช่เด็กที่พอมีเงินก็ต้องเป็นพวกวัยรุ่นขึ้นไปถึงจะยังพอซื้อรูปเล่มมาอ่านได้ ส่วนอีกทางคืออ่านบนคอมหรืออ่านจากมือถือที่ถ้าไม่ได้ยากจนสุดๆ ก็คงพอหามาใช้ได้ในปัจจุบัน กลุ่มผู้ใช้ก็เลยถือว่ากว้างกว่า อ่านได้ตั้งแต่เด็กโปกยันคนแก่ ข้อนี้ทำให้กูคิดว่าคนที่ทนอ่านจากหน้ากระดาษได้ก็คงต้องมีความอดทนหรือใจเย็นในระดับหนึ่ง ไม่เหมือนกับเด็กเจนใหม่ที่โตมาพร้อมกับสมาร์ทโฟน ซึ่งทำให้เกิดภาวะสมาธิสั้นและความอดทนต่ำ มันนำไปสู่นิสัยเรื่องการรอไม่ได้และรักความสะดวกเกินพอดี
อย่างที่สองคือช่องว่างระหว่างวัยจากที่กูบอกไปในข้อแรก แม้จะมีเด็กที่อ่านนิยายเล่มอยู่แต่ก็มีจำนวนน้อยถึงน้อยมากๆ คนที่ยังอ่านเล่มอยู่ก็เลยเป็นคนมีอายุหน่อย อาจยังคงติดอยู่ในภาพจำของตัวเอกที่ต้องฝึกฝนให้เก่งขึ้นเป็นขั้นๆ ยังเชื่อในพลังมิตรภาพ การฮึดสู้ หรือแนวคิดเก่าๆ มันเลยตรงกันข้ามกับเด็กและวัยรุ่นในปัจจุบันที่ชอบอะไรรวดเร็วทันใจ ถ้าทำอะไรชักช้าเกินไป ไม่เทพซ่าส์เร็วๆ ก็พาให้หงุดหงิดเลิกอ่าน กูมองว่าพออยู่คนละวัยแล้วเลยมองโลกต่างกัน ระหว่างยุคที่คนไต่เต้าทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีบ้าน มีรถ มีการงานมั่นคงเอาไว้สร้างกิจการธุรกิจที่ใหญ่โตขึ้นรอเลี้ยงลูก กับเด็กที่โตขึ้นมาภายใต้การดูแลของพ่อแม่(ซึ่งดีบ้างไม่ดีบ้าง) เรียนจบมาทำงานแค่รอรับเงินเดือนไปเป็นรอบๆ เพราะโดนสังคมทุนนิยมบีบให้เป็นอย่างนั้น เควสต่างๆ ในนิยายระบบเลยเข้าใจง่าย เหมือนเงินเดือนที่ออกให้หลังทำงานครบเดือน หรือค่าจ้างที่ได้หลังส่งของจบไปเป็นรอบๆ
อย่างสุดท้ายคือความเครียดจากปัจจัยทางสังคม กูเนี่ยเขียนมาแล้วทุกแบบ แต่อันที่แมรี่แกรี่รู้สึกว่าขายดีกว่า มึงอาจสงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไง คำตอบคือสิ่งที่โม่งคนอื่นและกูพูดกันไปหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า การอ่านนิยายคือการพักผ่อน นิยายที่ตัวเอกเก่งเทพนั่นนี่มันประโลมจิตใจให้ฟินน้ำแตกได้มากกว่านิยายโชว์เน็นต่อสู้ฝ่าฟัน ด้วยความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เราอาศัยอยู่ไม่ใช่แค่ในไทยแต่เป็นทั่วโลก เวลาคนเรามันเข้ามาอ่านนิยายก็อยากรู้สึกเหมือนเป็นตัวเอก เก่ง เจ๋ง มีคุณค่า เรืองอำนาจ กวยหอม กีหอม มีคนรุมล้อมคอยยกย่องสรรเสริญ อ่านแล้วมีความสุขได้หลบหนีจากความจริงอันโหดร้ายที่ตัวเองเป็นเพียงประชาชนชั้นกลาง-ชั้นล่าง ต้องคอยก้มหัวให้พวกคนรวยหรือคนที่ครองอำนาจบริหารและอำนาจมืด เป็นได้เพียงพนักงานทั่วไปทำงานแลกเงินเดือนวันต่อวัน เงินเก็บแทบจะไม่มีแล้วยังต้องจ่ายค่าน้ำไฟโน่นนี่แทบจะเอาตัวไม่รอด
มันเป็นสัจธรรมของโลกแหล่ะโม่ง ชายเงี่ยนก็หาอ่านเรื่องเสียว หญิงหน้าตาไม่ดีหรือแก่เกินแกงจนอาจต้องขึ้นคานก็หาอ่านนิยายเทพบุตรทาสซาตาน หรือมีคนหล่อรวยกวยเท่าแขนมาหลงชอบ วัยรุ่นจูนิเบียวหรือวัยทำงานโดนเอารัดเอาเปรียบอยู่ทุกวันก็หาอ่านนิยายเทพซ่าส์ที่ทำให้รู้สึกว่ากูเก่ง กูเจ๋ง กูแน่และเหนือกว่าใครๆ เพราะชีวิตจริงมันทำให้หดหู่ใจพอแล้ว การหนีมาอ่านอะไรที่ทำให้รู้สึกฟินได้เลยดีกว่าต้องมาเจอเรื่องยากๆ ปากกัดตีนถีบในนิยายซ้ำอีก มันจะไม่ใช่การพักผ่อนแต่ทำให้เครียดหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก
เรื่องนิยายระบบ กูขอยืมคำพูดจากโม่งในนี้คนนึงมาพูดแล้วกันประมาณว่า "พูดแบบเหยียดๆ เลยนะ นักอ่านสมัยนี้แม่งโง่ คิดอะไรซับซ้อนไม่เป็น แปลง show ที่มึงเขียนให้ออกมาเป็นภาพในหัวไม่ได้ อธิบายเห็นภาพแค่ไหนหรือวางปมให้เอะใจได้ง่ายๆ เพียงใดมันก็ไม่รู้ ดูไม่ออก มองข้ามกันไปหมด ถ้ามึงไม่เขียน tell ไปโต้งๆ ก็ไม่เข้าใจที่อยากจะสื่อ เนื้อเรื่องของมึงจะซับซ้อนไม่ได้ มันต้องเป็นเส้นตรงและเข้าใจง่าย เล่นท่ายากไปมันก็ไม่อ่านกัน เรื่องความโง่นี่กูพูดจริงๆ ไม่เชื่อไปหาอ่านการวัดผลทางวิชาการ เอาแค่คณิตกับอังกฤษก็ได้ บางคนขนาดเขียนภาษาไทยยังเขียนไม่ถูกเลย" จากข้อความที่ลากยาวมาข้างต้น แปลว่านิยายที่เขียนให้มีปมหรือเนื้อเรื่องสนุกเร้าใจคาดเดายากมันเป็นแบบแผนที่แย่ลงของนิยายเว็บ สาเหตุหลักมาจากนักอ่านไม่ได้วิเคราะห์เก่งเหมือนสมัยก่อน ติดการเล่าแบบบอกตรงๆ หรือดูสื่อภาพพวก มังงะ-อนิเมะ จนเคยตัว
และด้วยการที่นิยายระบบมันเล่าเรื่องด้วยเงื่อนไขจากภารกิจที่ระบบมอบให้ นักอ่านเลยตามทันได้ง่ายไปเป็นรอบๆ ว่าเควสนี้ระบบให้ไปทำอะไร ทำสำเร็จแล้วได้ของรางวัลอะไร นักเขียนมีหน้าที่แค่แทรกความเป็นไประหว่างที่ยังไม่มีเควสโผล่มาเฉยๆ เหมือนทำเควส ก. ได้ยารักษาโรค แล้วเล่าแทรกว่ามีคนกำลังป่วยต้องการความช่วยเหลือ อยู่ดีๆ เควส ข. ก็เด้งขึ้นมาว่า ต้องเอายาจากเควส ก. ไปช่วยไอ้แก่ใกล้เดี้ยง ช่วยสำเร็จได้รางวัลให้เลือกว่าจะเอาเงินตอบแทนหรือเส้นสายของไอ้แก่ แล้วพอเลือกเส้นสายก็มีเควส ค. มาต่อว่าจะใช้เส้นสายนี้ทำอะไรดี เออ ง่ายดี ไม่ต้องย่อย ไม่ต้องมีปม ไม่ต้องหักมุม เงิน อำนาจ ความสามารถ อะไรก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามจำนวนเควสที่ทำสำเร็จ เป็น plot device ที่มักง่ายเหี้ยๆ เลยในสายตากู ขับเคลื่อนเนื้อหาด้วยเควสและ hee ก็พอแล้วจ๊ะ
เอาแค่นี้ก่อนละกัน ยาวเกิน ไม่ได้เข้ามานาน จริงๆ กูมีโครงการจะสับนิยายเล่นๆ กับเขียนบทความเกี่ยวกับเทรนด์นิยาย/มังงะ/เมะ ที่กำลังมาในช่วงนี้เพราะเห็นโม่งคุยกันไปข้างบน โดยเฉพาะไอ้ที่โดนไล่ออกจากตี้กับแก้แค้นเนี่ย ทำไมมันถึงมีคนชอบ จุดอ่อนคืออะไร คลิเช่-โทรป ต่างๆ ที่ซ้ำจนโดนล้อเลียน ซึ่งมันก็หนีไม่พ้นเรื่องความเป็นนิยายประโลมโลกเพื่อสนองความต้องการของคนหลายๆ คนอีกเช่นกัน แต่จะสนองยังไง แล้วสนองคนที่เจอเรื่องแบบไหนมาในชีวิตจริง
ก็... โปรดติดตามชมตอนต่อไป (ว่างตอนไหนไม่รู้ ไม่ต้องรอ มู้มันร้าง ถ้าว่างเดี๋ยวมาเขียนเอง)
รอฟังๆ กูเพิ่งว่างวันนี้แหละ
ปกติ ผมไม่ค่อยอ่านตอนแรกครับ เพราะส่วนมากจะเกรินยาว แล้วผมจะกดสุ่มๆ สัก เลยห้า ตอนก็จะอ่านตอนนั้น ถ้าอ่านตอนนั้นแล้วเข้าใจ ผมจะอ่านต่อ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ผมจะปิดและไม่อ่านต่อ (ถ้านิยายเรื่องนั้นไม่มีแท็กที่เกี่ยวข้อง ผมก็ไม่อ่านครับ
กูไม่เข้าใจนักอ่านรุ่นใหม่ ไม่อ่านช่วงแรกแล้วจะเข้าใจหรือสนุกกับตอนหลังได้ยังไง
>>849 ถ้าอ่านมาเยอะๆ แนวเดียวธีมเดิม แล้วก็ตั้งใจจะอ่านแนวนั้นต่อ กุก็อ่านช่วงแรกข้ามๆ เอานะ มันเหมือนกันไปหมด
อย่างนิยายพวก โดนไล่ออกเพราะกาก ไม่นานเกินรอพระเอกก็รู้ว่าพลังมันเทพ หรือได้อะไรสักอย่างดีๆ ไปตบเกรียนพวกที่ไล่ออกจากตี้ แนวนี้กุแสกนแค่ช่วงเริ่มกลางจบถ้าคิดว่าโอเคน่าสนใจก็ค่อยๆ อ่านตามได้ แต่ถ้าตบเกรียนเสร็จแล้วเข้าลูปโดนตบ ได้พลัง ล้างแค้น ก็บาย หาเรื่องอื่นทำแบบเดิมวนจนกว่ากุจะไม่อยากอ่านละ
แนวโดนไล่ออกจากตี้นี่ มันเริ่มฮิตในเด็กดวกแล้วหรอ
บางทีการอ่านหนังสือน้อยเกินไปอาจจะเป็นข้อดีของนิยายเด็กดี คือ ยังไม่เคยรับรู้หรือเข้าใจปัญหามาก่อน อ่านนิยายกากยังไงก็สนุก แต่พอโตขึ้นซึมซับมากขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น เราก็ยิ่งเห็นปัญหาของนิยายไทยมากขึ้น จนเริ่มตั้งคำถามตัวเองว่า พวกกูอ่านหนังสือเยอะเกินไปรึเปล่า หรือว่าเด็กดีเหมาะกับมือใหม่หัดอ่านนิยายรึเปล่า
เทียบง่ายๆคือ นิยายเด็กดีเทียบเท่าการศึกษาระดับประถม แต่ระดับความคิดของกูกับพวกโม่งส่วนมาก เกินระดับประถมไปแล้ว อ่านไปก็เบื่อ อยากจะหาอ่านเหมาะสมกับระดับความคิดของตนแทน
ทำไมคนจีนมันไม่เบื่อแนวเทพซ่าส์บ่มเพาะพลังซะที อ้อไอ้แนวปลูกผัก ระบบด้วยอีกอัน
ทำไมนิยายผจญภัยโลกแฟนตาซีสมัยนี้มันจะออกไปผจญภัยเฉยๆไม่ได้ ต้องให้ตัวเอกหลุดจากต่างโลกหรือทะลุมิติมาก่อน ถึงจะผจญภัยได้แบบปกติ
>>861 เอาจากที่กูเคยคุยกับเจ้าของเรื่องในต่างประเทศมานะ
1.ตัวละครที่ไปต่างโลกกับตัวละครที่อยู่ในโลกแฟนตาซีอยู่แล้วมันปูพื้นการอธิบายเซตติ้งโลกไม่เหมือนกัน ถ้าใช้ตัวละครที่เกิดและใช้ชีวิตในโลกแฟนตาซีตั้งแต่แรกมึงต้องหาทางแทรกข้อมูลอธิบายว่าโลกนั้นเป็นยังไงระหว่างการเล่า ส่วนตัวละครที่อิเซไคทำได้ง่ายกว่าด้วยการอ้างอิงและพูดถึงภาพจำจากเกม JRPG ข้อมูลยุคกลางกลวงๆ ที่นิยมใช้กันอยู่ตอนนี้ หรือพูดได้ว่าตัวละครเอกมันรู้เกี่ยวกับโลกแนว Sword and Magic มาก่อนแล้วตั้งแต่อยู่โลกเก่า มันทำให้ไม่ต้องเทข้อมูลอะไรมากและไม่ต้องค่อยๆ สร้างโลกให้มีมนต์ขลังแบบแฟนตาซีดั้งเดิม
2.ระดับความสามารถในการ self-insert ไม่เท่ากัน ถ้าจะให้อธิบายก็คือเหมือนสมัยก่อนตอนเด็กมึงมีตราบาป เคยอ่านไวท์โร้ดแล้วจูนิเบียวคิดว่าสักวันหนึ่งพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวมึงจะตื่นขึ้นแล้วกลายเป็นเทพซ่าส์ ตู้ม ฟ้าว บึ้มๆๆๆ กับหัวข้อนี้ก็เหมือนกัน ระหว่างมึงจินตนาการว่าตัวเองเป็นมนุษย์พื้นเมืองของโลกแฟนตาซี กับมึงเป็นหนุ่มธรรมดาทำงานหนักทุกวันเหนื่อยเหี้ยๆ แล้วโดนรถชนไปเกิดใหม่ต่างโลก หลุดพ้นจากงานที่ทำไปวันๆ สู่โลกแฟนตาซีที่มึงมีความรู้ความเข้าใจพร้อมจะใช้ความรู้จากโลกสมัยใหม่มาโกงในยุคกลางปลอม กูว่าอย่างหลังมันฟินน้ำแตกง่ายกว่าเยอะเวลาอ่าน แถมยังอินได้มากขึ้นด้วยถ้ามึงกำลังเกลียดชีวิตประจำวันของตัวเองอยู่ (อย่างที่พวกคนทำงานในญี่ปุ่นต้องเจอมาตลอด)
3.ความชอบส่วนตัวของนักเขียน ถ้าแต่งด้วยพล็อตอิเซไคมันทำได้ง่ายกว่า สามารถลดขั้นตอนและการเทข้อมูลไปได้เยอะ element ต่างๆ มีแนวทางให้ยืมมาใช้ (ลอก) ได้หลากหลาย ทั้งแบบไปเกิดใหม่แบบมีสกิลโกง แบบมีหน้าจอสเตตัสในเกมโผล่มา/อิเซไคมาเกิดในเกมที่เคยเล่น หรือแบบมีระบบคอยให้เควส ไม่ก็มีเสียงพระเจ้าหรือเอไอคอยช่วยอธิบายข้อมูลในต่างโลกให้ฟัง ในทางกลับกันถ้าเป็นเพียวแฟนตาซี มันมีให้เลือกไม่เยอะ ธรรมดาสุดก็คือชาวบ้านฝึกจนแข็งแกร่งเพื่อเข้ากองทหารหรือไปเป็นนักผจญภัย นอกนั้นก็คือเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่จากสกิลหรืออาชีพที่ได้มาตอนเข้าพิธีรับสกิล หรือพล็อตยอดนิยมตัวเอกบ้านนอกถูกชะตาเลือกให้เป็นผู้กล้าต้องฝึกเพื่อไปปราบจอมมาร
สรุปคืออิเซไคมันง่ายกว่าไฮแฟนตาซีนั่นเอง
ขอบใจมากทุกคน
จะว่าไปแล้ว การทำให้นักอ่าน self insert ได้นี่สำคัญมากใช่ไหมในยุคนี้
แล้วแนวขายผู้ชาย แต่ตัวเอกที่ดำเนินเรื่องเป็น ญ นี่ รี้ดมันจะเซฟอินเสิท ได้อยู่ไหม
น่าแปลกดี ว่างช่วงปลายปีตลอดเลยแฮะกูเนี่ย
รอบนี้ที่มาเพราะแอบเห็นพวกมึงคุยกันเรื่องนิยายแนวแก้แค้น แล้วคนที่กูแอบปลื้มเขากำลังจะเขียนแนวนี้อยู่พอดี ได้ยินแบบนี้บางคนอาจตกใจที่คนแอบกระด้างปากหมาอย่างกูเกิดมีความรักในอายุโค้งสุดท้ายที่กำลังจะขึ้นคานเต็มที แต่บอกได้เลยว่ามีเรื่องที่น่าตกใจกว่ารออยู่ นั่นคือคนที่กูกำลังเนียนคุยและคอยแนะนำให้มันเป็นเจ้าของนิยายที่โดนสับไปแล้วในนี้ (กูเองก็ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันว่าจะเป็นไปได้) เริ่มต้นจากทักแชทเฟซไปถามว่าตอนใหม่จะมาเมื่อไหร่ สุดท้ายกลายเป็นกูที่ทำตัวเหมือนเด็กติ่งหูคอซองแอบชอบรุ่นพี่ไปซะได้ เจ้าตัวก็นิสัยดีแหล่ะ คุยแล้วถูกคอมีอะไรหลายๆ อย่างที่ชอบเหมือนกัน ถ้าไม่สมหวังก็ถือว่าได้เพื่อนที่ดีมาอีกคน โอเคจบช่วงคนอวด (ว่าที่) ผัวเพียงเท่านี้ ต่อไปเป็นช่วงสาระ
หัวข้อแรกที่กูจะมาคุยทั้งๆ ที่มันฝืนใจ คือเรื่องคุณภาพนิยายในเว็บเด็กดวก
อาจฟังดูเจ็บปวดแต่ต้องยอมรับความจริงว่าที่โม่งคุยๆ กันไปข้างบนมันเป็นเรื่องจริง คุณภาพนักอ่านมันแย่ มีแต่เด็กหน้าใหม่โผล่เข้ามาอ่านแล้วพอมันเริ่มโตก็ย้ายไปอ่านเว็บอื่นแทน เลยเกิดเหตุการณ์แบบที่โม่ง >>791 บอก อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะมันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่มีมานานแล้ว พอนักเขียนแต่งดีเกินไป ใส่ Show เยอะ พยายามจะภาษาสวย วางพล็อตรัดกุม เนื้อเรื่องซับซ้อน นักอ่าน (ที่มึงก็รู้ว่าอายุยังน้อย) ดันเข้าไม่ถึงแล้วย้ายไปอ่านนิยายคุณภาพทั่วไปหรือจนถึงขั้นกากแทนเพียงเพราะมันเข้าใจง่าย ไม่ต้องมาย่อยมาวิเคราะห์ให้เสียเวลา อ้าปากรอนักเขียนป้อนให้แบบไม่สนใจว่านั่นคือข้าวหรือขี้ พวกมึงเองก็เข้าใจใช่มั้ยเกี่ยวกับที่โม่ง >>857 อยากบอก ทีนี้นักเขียนต้องแก้ยังไง? สรุปคือต้องยอมลดคุณภาพของนิยายตัวเองลงหากมึงยังอยากอยู่ในเว็บนี้ต่อ ต้องเน้นไปที่ความสนุกก่อนสิ่งอื่นใด มึงไม่ต้องรีไรท์ก็ได้ พรูฟรีดเดอร์ก็ไม่ต้องมีเขียนผิดยังไงก็ทิ้งไว้ตามนั้น แต่ต้องเขียนให้จบแล้วมีลงให้เกรียนอ่านทุกวัน (ฟังดูทรมานดีมั้ย)
หรือมึงจะเอาแบบกูก็ได้ คือยอมผันตัวไปเขียนแนวที่มั่นใจว่าจะขายออกแน่ๆ แบบไม่จำกัดว่านักอ่านจะคุณภาพดีหรือแย่ สำหรับช่วงนี้ก็ยังคงเป็นแนววายทั้งหลายแหล่ รักตบจูบท้องกับพระเอกแล้วไม่ยอมบอก พาวเวอร์แฟนตาซีจะต่างโลกหรือไม่ก็ได้แต่ตัวเอกต้องแกรี่-แมรี่และฮาเร็ม จีนเทพซ่าส์บ่มเพาะพลังตบเกรียนวนลูป หรือแนวเคยเทพเกษียณตัวเองออกมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ทำไรไถนาปลูกผักพัฒนาหมู่บ้าน ไม่ก็ยอดหญิงย้อนยุคจีนไปเกิดช่วงปีไหนก็ตามใจมึงแต่ต้องมีเลี้ยงลูกและทำการค้าจนร่ำรวย (ถ้าผัวเก่าเหี้ยด้วยจะได้ผลดีมาก) ซึ่งที่พูดถึงมาทั้งหมดจะใส่ระบบเข้าไปด้วยก็ได้ ความลำบากอย่างหนึ่งที่มึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้คือแต่ละแนวเนี่ย ไม่ใช่ว่าปุบปับจะเขียนได้ทันที ถ้าปกติมึงไม่ได้ชอบเขียนแนวเหล่านี้อยู่แล้ว ก็ต้องสูงสุดคืนสู่สามัญด้วยการกลายเป็นนักอ่านก่อน
มันเป็นการลงทุนที่ใช้เวลาค่อนข้างนานสำหรับคนที่ไม่ได้มีพื้นฐานหรือเคยแต่งแนวนั้นๆ มา เพราะมึงต้องยอมกลับไปใช้ตรรกะและความคิดแบบคนหัดอ่านนิยาย เจออะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ว้าว โอ้ว สุดยอด แนวนี้มันสนุกเพราะแบบนี้นี่เอง ถ้าใครหัวไวหน่อยอาจไม่ต้องอ่านเยอะก็สามารถจำและนำมาใช้ได้ ส่วนใครที่ปกติไม่ชอบหรือต้องฝืนใจอ่านก็คงต้องใช้เวลานานหน่อย สำหรับคนที่สงสัยว่าแล้วพวกแนววิทยาศาสตร์ แอคชั่น จารชน ลักลับ ระทึกขวัญ สืบสวนสอบสวนล่ะ ทำไมกูถึงไม่พูดถึงบ้าง คำตอบคือมันขายไม่ได้ในเด็กดวก (ยกเว้นจะพ่วงความเป็นนิยายระบบเข้าไปในเรื่อง) คนที่ชอบก็มีแต่มันไม่ได้เยอะจนพวกมึงจะคาดหวังอะไรได้ ดังนั้นก็ให้ตัดใจซะ
หัวข้อต่อไป จากกระทู้ที่มีเพื่อนโม่งมาแปะ ความซ้ำซากและเดาทางง่ายเกินไปของแนวไล่ออกจากตี้/แก้แค้น (จะพูดถึงเฉพาะตัวเอกชายนะ)
- ตัวเอกอยู่ในปาร์ตี้แทบจะไม่มีบทบาทสำคัญเลย -
สำหรับช่วงเปิดเรื่องก็ใช่ แต่มีส่วนถูกแค่ครึ่งเดียว ตัวเอกมันก็มีบทบาทในปาร์ตี้อยู่แต่แค่อาจไม่ได้โดดเด่นเท่าหัวตี้ที่ สิ่งที่ทำให้คนอ่านคิดไปเองว่าตัวเอกกระจอกในช่วงแรก เป็นเพราะความเห็นของหัวตี้ล้วนๆ จากที่กูเคยอ่านมาส่วนมากตัวเอกมีความสำคัญทางอ้อมต่อปาร์ตี้อยู่ 3 แบบใหญ่ๆ คือ 1.เป็นฝ่ายวางแผนและเตรียมการรบ (หาข้อมูลก่อนลุย ซื้อยา-เสบียง ทำงานบ้าน-งานเอกสาร) 2.เป็นบัพเฟอร์/ดีบัฟเฟอร์ (เพิ่มความสามารถทีม ลดความสามารถมอนสเตอร์) 3.เป็นบูสเตอร์ (อยู่ในตี้แล้วเพิ่ม exp ที่ได้รับ เพิ่มโอกาสได้ของหายาก หรือเพิ่มโบนัสแยกพิเศษจากที่ได้ตามปกติ) ซึ่งมักมาพร้อมการถูกหัวตี้เหยียดหยามว่ามึงมันมีประโยชน์แค่นี้ พอพวกกูเทพซ่าส์กันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีมึงในตี้อีกต่อไป ก็เลยเตะตัวเอกออกหรือถ้าพยายามฆ่าตัวเอกแนวนั้นก็จะกลายเป็นแนวแก้แค้นไปแทน
- หลังถูกเตะออกไป ตัวเอกเทพภายในไม่กี่ตอน แต่พวกที่ไล่เตะดันกากลง -
แน่นอนว่าทิศทางของเรื่องมันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะส่วนมากการที่ปาร์ตี้เติบโตจนขึ้นมาถึง S rank ได้มักเป็นเพราะการช่วยเหลือจากตัวเอก
พอไม่มีเจ้าตัวอยู่ตี้ก็ง่อยลงแทบจะในทันที สำหรับเรื่องความเทพของตัวเอกเท่าที่เจอมาส่วนใหญ่คือหลุดพ้นจากการถูกจำกัดบทบาท หรือการถูกยัดเยียดความคิดแง่ลบให้จนรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ถ้าตัวเอกเป็นนักเวทก็มักถูกหัวตี้ห้ามไม่ให้ใช้เวทใหญ่โหดๆ กลัวจะเด่นเกินหน้าเกินตา ถ้าตัวเอกเป็นฮิลเลอร์ก็จะโดนไล่ออกเพราะเลเวลน้อย (จากการที่ไม่ค่อยได้เป็นคนฆ่ามอน) ถ้าตัวเอกเป็นบัฟเฟอร์หรือบูสเตอร์ก็มักโดนด่าว่าเป็นปลิงทำหน้าที่แค่มาอยู่ในสนามรบให้ผลของสกิลทำงาน อย่างมึงต้องแบกของเก็บขยะไปน่ะถูกแล้ว ทีนี้พอตัวเอกได้ออกจากตี้ก็มักจะเจอหนทางใหม่ๆ ที่ทำให้ตัวเองสามารถเก็บเลเวลเองได้ ไปเจอคนที่แนะนำว่าควรใช้ความสามารถของตัวเองยังไงถึงจะได้ประสิทธิภาพ หรือไปเจอไอเท็มโกงๆ ได้ลูกน้องเทพๆ มา ซึ่งมันก็คลิเช่จริงๆ นั่นแหล่ะ แต่มันช่วยไม่ได้ถ้าคิดจะเขียนเรื่องใน trope นี้แล้วก็จำใจต้องไปต่อ
- เหตุผลไล่ออกฟังดูดี แต่ลองตั้งใจอ่านดีๆ พบว่าเหตุผลปัญญาอ่อนทั้งนั้น -
ผิวเผินมันก็ประมาณนั้น แต่ลึกๆ แล้วมาจาก 3 สาเหตุใหญ่คือศักดิ์ศรี เงิน และหี บางเรื่องก็อยากไล่ตัวเอกออกเพราะอยากแย่งแฟน บางเรื่องในตี้สาวเยอะแล้วอยากเคลมไว้คนเดียว บางเรื่องก็ไม่อยากจ่ายเงินเกษียณอายุนักผจญภัยตอนตัวเอกขอลาออก ยิ่งเป็นสมาชิกตี้ Rank S ก็ยิ่งต้องจ่ายแพงตามไปด้วย มันก็เลยเกิดข้ออ้างว่าตัวเอกเลเวลน้อยบ้าง เป็นจุดด่างพร้อยของตี้ Rank S ที่ควรมีแต่นักรบฝีมือดีเท่านั้นบ้าง ซึ่งต่อให้พยายามทำงานส่วนอื่นแทนแค่ไหน คนในปาร์ตี้ก็มักจะไม่เห็นคุณค่าและมองว่าตัวเอกมีส่วนร่วมในการรบไม่มากเท่าที่ควร เอาที่งี่เง่าๆ หน่อยก็อิจฉาตัวเอกว่ามีคนชอบมากกว่าหัวตี้ทั้งๆ ที่เป็นแค่คลาสสาย support มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่การไล่ออกมาจากเหตุผลอื่นเช่น ไล่ออกเพราะกลัวตัวเอกตายหลังความสามารถมาถึงทางตัน ไล่ออกเพราะหัวตี้โดนปีศาจสิงแล้วพยายามกำจัดตัวสนับสนุนเพื่อให้ตี้ล่ม ไล่ออกเพราะตัวเอกไม่ตอบรับคำสารภาพรัก (ดีจริง อีดอก)
- ส่วนใหญ่ทุกคนให้ความสำคัญกับหัวหน้าทีมมากเกินไป -
อันนี้ก็พอเข้าใจอยู่ เพราะหัวตี้เป็นคนรวบรวมสมาชิกเข้ามา แถมมักเป็นหัวหอกในทีมบุกด้วย บางทีก็เถียงได้ยากว่าที่หัวตี้พูดมามันก็ฟังดูเข้าท่า
- ถ้าหัวหน้าทีมเป็นคนหลงตัวเอง โอกาสเตะตัวเอกไม่ต่ำกว่า 99% -
100% ต่างหาก ก็พล็อตมันมาแบบนั้น หัวตี้ก็แม่งเป็นตัวร้ายแบนราบแบบถูกสร้างให้ต้องหลงตัวเอง โดนอำนาจและพลังครอบงำ หยิ่งผยองในศักดิ์ศรี หรือติดหีจนมองไม่เห็นความเป็นจริง หรือไม่ก็ทุกข้อรวมกัน
- ก่อนไล่ออกสำเร็จ คนที่เห็นใจตัวเอกจะไม่กล้าเถียงหัวหน้าทีม -
โบราณว่าน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง การทำแบบนี้ในพล็อตที่แค่ไล่ออกจากตี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ดี แต่ถ้าเป็นพล็อตแบบพยายามฆ่า ต่อให้นิ่งเงียบก็เทียบได้กับการสมรู้ร่วมคิดเหมือนกัน
- หลังเตะตัวเอกไปแล้ว ลูกทีมคนไหนเลิกโง่ ลาออกเอง -
ถ้าตี้มันทำท่าจะล่มเป็นกู กูก็ออกเหมือนกัน
- ลูกทีมที่ลาออกส่วนใหญ่ จะไปหาทีมใหม่ของตัวเอกแทน -
ข้อนี้ไม่เสมอไปวะ ไอ้ที่จะตามไปจริงๆ คือหลงรักหรือไม่ก็หาทางกอบโกยผลประโยชน์จากตัวเอกต่อ
- ลูกทีมที่ทยอยลาออก ตัวเอกกลับลืมไปแล้วว่าคนนี้ทำก่อทำกรรมอะไรวันที่ถูกไล่ออก -
เออ ข้อนี้นักเขียนโดนด่ากันบ่อยมาก พวกหงายการ์ดใจดียอมให้อภัยแถมรับเข้าตี้เนี่ย สมัยก่อนโดนโขกสับไว้เยอะยังอภัยให้ได้เนอะ ถ้าเป็นแนวแก้แค้นนี่จะเป็นอีกเรื่องไปเลยเพราะต่อให้ตี้แตกหรือยังอยู่ด้วยกันก็ยังโดนตามคิดบัญชีย้อนหลังเรียงตัวอยู่ดี
- ทีมเก่าอยู่ rank สูงๆ ทีมใหม่มักจะอยู่ rank ที่โหล่ -
ก็เพิ่งตั้งตี้ใหม่อะจ๊ะ ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเนอะ
- แต่ทีมใหม่ที่ตัวเอกได้เข้าร่วม มักจะทำคะแนนหรือทำเควสดีกว่าทีมเก่าซะงั้น -
ก็เพราะตอนนี้ตัวเอก OP แล้วไง อะไรๆ มันก็ง่ายไปหมดแหล่ะ
- ถ้าตัวเอกเป็นผู้ชาย มักจะได้ผู้หญิงน่าจีบทั้งนั้น -
ก็พล็อตแนวนี้มันขายออกนี่หว่า นึกตามแล้วฟินน้ำแตก ได้คนเดียวไม่พอขออีกเยอะๆ เลย
- เรื่องไหนมี rank ระบุ เรื่องนั้นมักจะมีกิลด์หรือสำนักเสมอ -
มันก็ใช่ ไอ้สมาคมนักผจญภัยเนี่ยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของยุคกลางปลอมที่นิยมใช้กันอยู่ เดี๋ยวกูค่อยพูดถึงอีกทีข้างล่าง
- ระบบการจัดการของกิลด์นักผจญภัยแทบทุกเรื่อง ลอกมาจากระบบกรมจัดหางานยุคปัจจุบัน ยกเว้นเงินเดือน -
ทั้งถูกและผิดในเวลาเดียวกัน เพราะกรมจัดหางานไม่รับซื้อวัตถุดิบจากมอน หลายๆ อย่างอาจคล้ายแต่สมาคมนักผจญภัยมีขอบเขตในการทำงานโหดกว่าเยอะเลย
วันนี้เอาแค่นี้ก่อนเดี๋ยวรอบหน้ามาคุยเรื่องกิลด์นักผจญภัยกันต่อแบบครบวงจรกันไปเลย หัวข้อถัดๆ ไปก็จุดอ่อน-จุดแข็ง ของแนวไล่ออก/แนวแก้แค้น และแนวนี้เหมาะกับใครทั้งนักเขียนและนักอ่าน
ก่อนจากกันก็ฝากคลิปฮาๆ ไว้ให้ดู เอาไว้ศึกษาก็ได้สำหรับคนที่อยากเขียนแนวอิเซไคแฟนตาซีผู้กล้าจอมมาร
เพราะพล็อตมันมีอยู่แค่นั้นจริงๆ คลิปยาวแค่ 22 วิ
https://www.youtube.com/watch?v=TBQTntud1as
นิยายนักหลวมโอบกอดพวกขี้แพ้ที่ไม่มีใครต้องการ ปลอบใจว่าพวกเมิงไม่มีกุตี้ต้องพัง
เป็นนักหลวมแท้ ๆ ไม่ต่างกับพวกนิยายฮาเร็มโอทาคุเลย กุแค่มีปัญหากับนิยายขายนักหลวมเท่านั้นอย่างเรื่อง "ได้สกิลใหม่ทุกครั้งหลังถูกขับไล่ ผ่านมา 100 โลก ก็ไม่มีใครสามารถเทียบฉันได้" ในแมวดุ้นกุก็ชอบมาก
แต่ก็ไม่ผิดถ้าใครจะอ่านนิยายเพื่อเยียวยาความหลวมของตัวเอง เหมือนตอนหงี่เมิงไม่ไปเตะบอลก็ต้องตกเป็ดสาวหนอน
ระบบกรมจัดหางานยุคปัจจุบัน นีมันเป็นยังไงนะ ไม่เคยไปยุ่งด้วยเลย
>>872 ก็ตรงตามชื่อเลยโม่ง เป็นเหมือนสถานที่หางานสำหรับคนที่ว่างงานอยู่น่ะ อันที่จริงมันมีบริการอื่นๆ ด้วย เช่นให้ผู้ประกอบการมาแจ้งความต้องการว่าอยากได้ลูกจ้างแบบไหน ให้ข้อมูลลักษณะงานว่าต้องทำอะไรบ้างและทิ้งช่องทางติดต่อไว้ กับให้คนที่ว่างงานไปลงทะเบียนว่างงานเพื่อรับเงินชดเชยระหว่างกำลังหางานใหม่
ที่คุยกันว่ามันคล้ายกิลด์นักผจญภัย เพราะในกรมมันจะมีบอร์ดใหญ่ๆ ติดกระดาษข้อมูลงานอยู่ เอาไว้ให้คนว่างงานมาดูว่ามีงานไหนเหมาะกับตัวเองบ้าง ถ้าเลือกได้แล้วก็เอาไปคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อทำตามขั้นตอนต่อไป
>>869 เรื่องนี้กูชอบไอเดียอยู่นะ ก็ทำได้ดีในแบบของนิยายพาโรดี้ล้อเลียนแหล่ะ เหมือนพอเห็นคนแต่งแนวโดนไล่ออกมากๆ เข้า เกิดรำคาญเลยแต่งให้ตัวเอกได้สกิลโกงทุกครั้งที่โดนเตะออกตี้ในโลกมิติต่างๆ แล้วค่อยผูกเรื่องให้ตัวเอกย้อนมามิติแรกสุดเพื่อแก้ไขอดีตหลังวนครบ 100 โลก ถ้าเทียบเป็นแนวเกมออนไลน์ก็เหมือนได้จุติใหม่กลับมาเลเวล 1 แต่สเตตัสเทพซ่าส์ตั้งแต่เมืองเกิด เป็นแนว new game+ พระเอก OP แบบมีที่มาที่ไปให้คนอ่านลุ้นว่าตัวเอกมันจะเปลี่ยนแปลงอดีตได้มั้ย ส่วนองค์ประกอบเรื่องโดนไล่ออกตี้นี่ใส่มาแซวแบบใช้แล้วทิ้งเฉยๆ
ต่อจากคราวก่อนที่คุยกันไว้เกี่ยวกับกิลด์นักผจญภัย ตอนแรกกูว่าจะข้ามเรื่องนี้แต่พอมาคิดดูดีๆ มันอาจเป็นประโยชน์กับโม่งที่อยากได้ข้อมูลเชิงลึกเอาไว้ต่อยอดเวลาอยากแต่งแนวยุคกลางปลอม แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นกูอยากพูดให้ฟังก่อนว่าความเป็นจริงในยุคกลางของแท้ มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เคยเห็นมาในนิยายหรืออนิเมะหรอกนะ
อย่างแรกเลยคือถ้ามึงโดนอิเซไคไปโลกยุคกลางแท้
ติดตามๆ
ต่อจากคราวก่อนที่คุยกันไว้เกี่ยวกับกิลด์นักผจญภัย ตอนแรกกูว่าจะข้ามเรื่องนี้แต่พอมาคิดดูดีๆ มันอาจเป็นประโยชน์กับโม่งที่อยากได้ข้อมูลเชิงลึกเอาไว้ต่อยอดเวลาอยากแต่งแนวยุคกลางปลอม แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นกูอยากพูดให้ฟังก่อนว่าความเป็นจริงในยุคกลางของแท้ มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เคยเห็นมาในนิยายหรืออนิเมะหรอกนะ (กูว่ายุคโรมันยังดีเสียกว่า)
อย่างแรกเลยคือ ถ้ามึงโดนอิเซไคไปโลกยุคกลางแท้ (แบบไม่ผ่านการพูดคุยกับพระเจ้า/เทพธิดา และไม่ได้รับสกิลโกง) ด้วยเสื้อผ้าหน้าผมที่ผิดแปลกไปจากชาวบ้าน ถ้าเป็นผู้ชายมึงจะโดนจับไปตัดหัวด้วยข้อหาเป็นปีศาจที่พยายามเลียนแบบมนุษย์ อ้างว่ามึงพยายามเลียนแบบแล้วแต่ทำได้ไม่เนียน ลักษณะภายนอกอะไรก็ดูหลุดโลกไปหมด = ตายฟรี สำหรับผู้หญิงเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน โดยมีความต่างเพียงแค่หลังถูกจับตัวแล้วจะโดนเผาทั้งเป็น เพราะโดนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแม่มด = ตายฟรีเหมือนกัน
อย่างต่อมาคือ ว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เนี่ย หมออะไรมันก็พอมีอยู่ แต่การรักษาด้วยเวทมนตร์มันไม่มี ความก้าวหน้าทางการแพทย์ก็ติดลบรักษากันตามความเชื่อ ถ้าพลาดไปติดโรคอะไรรุนแรงขึ้นมา มีแต่ตายสถานเดียว เรื่องพวกนี้มันเป็นผลมาจากการสุขาภิบาลที่ขาดความรู้ด้วย ถามจริงๆ นะ พวกมึงอยากไปอยู่ในยุคที่ชาวบ้านเอาถังใส่ขี้/เยี่ยว สาดจากหน้าต่างห้องนอนลงมาบนถนนยามเช้ากันจริงๆ เหรอวะ มันไม่ได้น่าอยู่อาศัยเหมือนกับที่ถูกเล่าในยุคกลางปลอมทั้งหลายหรอก พวกชนชั้นสูงนี้ก็ตัวดีเลยเพราะมักจะไม่อาบน้ำ ชอบคิดไปเองว่าตัวเองสะอาดเลยไม่ต้องอาบ ไม่อยากนึกสภาพเกี่ยวกับโรคผิวหนังและกลิ่นตัวเลย (ถึงพวกแม่งจะพยายามใส่น้ำหอมก็เถอะ) เรื่องการระบาดเนี่ยของโรคก็ด้วย พวกมึงลองดูคลิปนี้ >> ( https://www.youtube.com/watch?v=jG1VNSCsP5Q ) ก็จะเข้าใจได้เลยว่ามันง่ายขนาดไหน
อย่างที่สามคือ มีโอกาสตายสูงเพราะเป็นยุคที่แถวนี้แม่งเถื่อนไม่แน่จริงมึงอยู่ไม่ได้ มีทั้งการรบพุ่งชิงดินแดนและการปล้นฆ่าจากพวกไวกิ้งอยู่พักหนึ่งด้วย ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานะชนชั้นสูง ก็มีโอกาสถูกฆ่าเอาได้ง่ายๆ หากไปขัดแข้งขัดขาคนพวกนี้เข้า วันดีคืนดีโดนคนอื่นใส่ร้ายแบบมีโทษถึงตายก็มีโอกาสเกิดขึ้นเหมือนกัน ถนนหนทางอะไรก็ไม่ค่อยดีมีแต่รกแต่พง ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องเข้าป่าล่าสัตว์ เอาแค่เดินทางข้ามหมู่บ้านแล้วไม่โดนงูฉกตายให้ได้ก่อน กลางค่ำกลางคืนไม่มีไฟส่องสว่าง โจรจะย่องมาปล้นนี่อย่างง่าย
อย่างสุดท้ายคือ การใช้ชีวิตของคนทั่วไปค่อนข้างลำบาก โอกาสลืมตาอ้าปากหรือเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้เองแทบเป็นไปไม่ได้ ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำการเกษตรส่งภาษีให้ขุนนางเจ้าของที่ดินตามกำหนดเรื่อยๆ (ปีไหนน้ำท่วม/ฝนแล้งก็ซวยอีก) ไม่มีสัตว์วิเศษหรือพวกอสูรเวทมนตร์มีแค่สัตว์ป่าธรรมดาให้ล่ามากิน/ขาย กิลด์นักผจญภัยนี่ก็ไม่มี ดังนั้นการไต่ Rank ไปจนถึงบนสุดแล้วลุ้นได้ทำงานให้พวกขุนนางใหญ่เพื่อรับยศเป็นรางวัลก็ไม่มีตามไปด้วย
ความโรแมนติคของยุคกลางเกี่ยวกับพวกชนชั้นนี่ก็อีกนะ เอาแบบต่ำสุดแบบยังไม่ได้เข้าสภาขุนนางแต่มันดูเท่ดีอย่างท่านเซอร์/อัศวินเนี่ย ไม่ใช่ว่าชาวบ้านธรรมดาอยู่ดีๆ จะเป็นได้ คือมันโอกาสน้อยเหี้ยๆ เพราะถึงเป็นชาวบ้านก็ต้องมีคุณสมบัติจำพวกต่อสู้เก่งในหลายแขนง เคยเป็นผู้นำและชนะในการรบป้องกันดินแดน ตัดสินใจเรื่องสำคัญอันมีผลต่อชีวิตของคนหมู่มาก หรือสร้างความดีความชอบใหญ่ๆ สักเรื่องก่อนถึงจะได้แต่งตั้งแบบพิเศษ ส่วนวิธีปกติคนจะเป็นอัศวินได้ต้องเป็นทายาทของอัศวินและเข้ารับการฝึกตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ไปจนโตอายุ 21 ก็ยังเป็นได้แค่สไควร์คอยรับใช้พวกอัศวินคนอื่นจนกว่าอัศวินคนนั้นจะรับรองสถานะให้ไปเข้าพิธีรับตำแหน่งอัศวินหน้าใหม่ นึกตามแล้วยังคิดเลยว่าลำบากยุ่งยากเป็นบ้า ยิ่งพวกชนชั้นสูงกว่านั้นนี่ยิ่งร้ายขึ้นไปอีก หักเหลี่ยมเฉือนคม ผูกมิตรหลอกใช้ แต่งงานการเมือง หาทางขึ้นสู่อำนาจกันร้อยแปดพันเก้า
อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากแต่งโดยใช้เซตติ้งยุคกลางปลอมโดยไม่อิงประวัติศาสตร์หีแตDใดๆ ไอ้ที่อ่านมาข้างบนก็ไม่ต้องเอามาใส่หัวให้เสียเวลา
โอเค ทีนี้ก็ได้เวลาพูดถึงกิลด์หรือสมาคมนักผจญภัยกันเสียที
ตามปกติแล้วในเซตติ้งยุคกลางปลอมแฟนตาซีเนี่ย มันจะมีขั้วอำนาจใหญ่ๆ คอยคานอำนาจกันเองอยู่ไม่กี่แบบ แต่อันที่พบได้บ่อยสุดคือแบบ [ ราชวงศ์และขุนนาง-ศาสนจักร-กิลด์นักผจญภัย-กลุ่มการค้า ] ซึ่งแต่ละส่วนก็มีบทบาทและผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ ชนชั้นสูงมีหน้าที่คอยบริหารบ้านเมือง ป้องกันประเทศ กับคุ้มกันโบสถ์ โบสถ์ก็ควบคุมคนให้ราชวงศ์ผ่านทางความเชื่อ กิลด์นักผจญภัยคอยหาคนมาปราบสัตว์อสูรและหาวัตถุดิบ ถ้าเจอคนฝีมือดีมีความสามารถก็ส่งให้เมืองหลวงพิจารณา ส่วนกลุ่มการค้าก็เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ลองมองดูดีๆ จะเห็นว่าถ้ามีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกิดล่ม กลุ่มที่เหลือก็งานเข้าตามไปด้วย แล้วการขัดแย้งกันเองของกลุ่มเหล่านี้ก็มีผลเสียมากกว่าผลดี เลยทำให้ต่างฝ่ายต่างต้องรักษาระดับความสัมพันธ์ให้พอเหมาะ ไม่งั้นจะเกิดเหตุการณ์อีรุงตุงนังขึ้นได้ง่ายๆ ตัวอย่างของความเกี่ยวโยงพื้นฐานของกลุ่มต่างๆ ก็จะมีดังนี้
ราชวงศ์ให้การคุ้มครอง, มอบเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากภาษีมาสนับสนุนโบสถ์ และราชาก็นับถือศาสนานั้น ทางฝั่งโบสถ์ก็ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าราชวงศ์เป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกให้มาปกครองแผ่นดิน ใช้เงินของราชวงศ์กับเงินบริจาคช่วยคนยากไร้, เด็กกำพร้า และผลิตฮิลเลอร์ป้อนเข้ากองทัพ/กิลด์นักผจญภัย
กิลด์นักผจญภัยจัดหางานให้คนไปปราบมอนสเตอร์ คอยทั้งคัดคนเก่งๆ ไว้ใช้เองและส่งไปเสริมทัพหลวง เมืองหลวงก็จัดสรรกำลังรบได้ง่าย ไม่ต้องเสี่ยงถอนทหารจากชายแดนกลับมาปราบปรามการรุกรานของพวกสัตว์ประหลาด วัตถุดิบที่ได้มาก็รับซื้อไว้แล้วเอาไปขายให้พวกชนชั้นสูงหรือกลุ่มการค้าต่อ
กลุ่มการค้าได้ของก็ตรวจสอบคุณภาพแล้วขายทำกำไร ซึ่งวัตถุดิบต่างๆ จะมี กลุ่มวิชาชีพการผลิต/ช่างฝีมือ รับซื้อเอาไปสร้างเป็น อาวุธ/ชุดเกราะ กลับไปขายให้ทางกองทัพกับนักผจญภัยอีกที ยิ่งยุทโธปกรณ์ดีขึ้นแค่ไหนพวกนักผจญภัยก็ยิ่งหาวัตถุดิบคุณภาพสูงขึ้นได้อีกแค่นั้น พอสามารถทำกำไรได้มากขึ้น อำนาจการต่อรองและความสามารถในการจ้างงานก็เพิ่มตาม ระบบการขนส่งกับถนน/เส้นทางการค้าก็พัฒนาด้วย
ช่วงเกิดภัยพิบัติจากการทะลักของสัตว์อสูรออกมานอกดันเจี้ยนหรือมีการคืนชีพของจอมมาร ทางเมืองหลวงกับโบสถ์สามารถจัดตั้งปาร์ตี้ผู้กล้าออกปราบปรามได้ทันทีทั้งจากคนในกองทัพและคนที่ทางกิลด์นักผจญภัยคัดมา มีกองกำลังขนาดใหญ่พร้อมรบจากกองทัพปกติและทหารรับจ้างของกิลด์นักผจญภัย พวกพ่อค้าก็ช่วยได้ด้วยการลดราคาไอเท็มจำเป็นต่างๆ เช่นเสบียงอาหาร ยาฟื้นฟู อาวุธ ชุดเกราะ ยุทธภัณฑ์อื่นๆ
อันนี้คือพูดถึงแค่เผ่ามนุษย์อย่างเดียวก่อน ถ้าพูดเกี่ยวกับเผ่าอื่นด้วยมันจะออกนอกหัวข้อหลักไปไกล จบเรื่องความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆ แล้วทีนี้กูจะกลับมาคุยลงลึกกับข้อมูลของกิลด์นักผจญภัยกันต่อ
กิลด์นักผจญภัยเป็นองค์กรแบบไหน ? ... สัส ง่วงเหี้ยๆ นอนก่อนแล้วกัน ไว้จะมาต่อนะ
โม่งเรากำลังฝึกเขียนนิยายส่ง เลยอยากถามหน่อยว่า
เวลาเขียนสิ่งที่ตัวละครกำลังคิดอยู่ในหัวเนี่ยมันต้องเขียนยังไง
ใช้ ตัวเอียง หรือ
ใช้ [ ] หรือ
ใช้ "" แต่เขียนว่ากำลังคิด คิดออกมาไรงี้แทน
เราอ่านนิยายมาเคยเห้นหมดทุกแบบเลย แต่มาตราฐานนิยายไทยใช้แบบไหนกัน
ky พวกนักเขียนยุคกลางจอมปลอมแม่งไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์แน่ๆ โดยเฉพาะเรื่องส้วม
https://goshujin.tk/index.php?topic=31862.msg791361#new
มีคนเปรียบเทียบว่ากิลด์นักผจญภัยคล้ายกับกรมจัดหางานซึ่งข้อนี้กูก็ไม่เถียง แต่รายละเอียดอื่นๆ ที่แตกต่างกันเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังเป็นข้อๆ
กิลด์นักผจญภัยเป็นองค์กรแบบไหน
ว่าด้วยเรื่องของกิลด์นักผจญภัย มันคือกรมจัดหางานที่มีบริการแบบครบวงจรมากๆ มักตั้งอยู่ภายในเมืองใหญ่ใกล้กับพื้นที่เสี่ยงจำพวกปากทางลงดันเจี้ยนเทียร์ 3 ขึ้นไป อันหมายถึงดันเจี้ยน (ทั้งแบบลงไปใต้ดินและแบบหอคอย) ที่มีจำนวนชั้นเยอะจนอาจเกิดการแตกตื่น/ทะลักออกมาของมอนสเตอร์จำนวนมาก (monster stampede) ได้จากหลายสาเหตุ หรือในเมืองติดกับป่าขนาดใหญ่ซึ่งมีมอนสเตอร์หลากหลายชนิดอาศัยอยู่ ยิ่งเข้าป่าไปลึกแค่ไหนโอกาสเจอมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่าปกติก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
บางเมืองที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดในย่อหน้าที่แล้วก็อาจมีกิลด์นักผจญภัยสาขาย่อยขนาดเล็กไปตั้งอยู่ได้เหมือนกัน เช่น เมืองในเขตทุรกันดารบ้านนอกสุดๆ แต่ดันมีดันเจี้ยนเทียร์ 1-2 ล้อมรอบหลายแห่ง หรือเมืองที่เป็นเมืองท่าต่างๆ โดยเฉพาะท่าเรือ เนื่องจากต้องใช้เป็นศูนย์กระจายงานสำหรับนักผจญภัยทางทะเล ไปล่ามอนสเตอร์ตามเกาะนอกแผ่นดินใหญ่ หรือทำภารกิจล่ามอนสเตอร์ที่เจอได้เฉพาะใต้ทะเลลึกเท่านั้น
ใครสามารถสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัยได้บ้าง
สมัครได้ทุกเพศทุกวัย ชนชั้นวรรณะไหนก็ได้หมด ขอแค่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ต้องห้ามอย่างเผ่าปีศาจ เมื่อมีอายุถึงเกณฑ์หรือบาง setting คือผ่านพิธีกรรมเพื่อรับ gift/skill จากพระเจ้ามาเรียบร้อยแล้ว ใครอยากจะหาทางสร้างรายได้, ชื่อเสียง ก็สามารถมาสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัยได้เลย
เจ้าหน้าที่ของกิลด์นักผจญภัย
กิลด์มาสเตอร์ (หัวหน้ากิลด์) - ทำงานประจำที่สาขาหลักหรือสำนักงานใหญ่ คอยตัดสินใจในเรื่องสำคัญทั้งหลาย มักเคยเป็นนักผจญภัยแรงค์ S หรือไม่ก็เคยเป็นทหารยศสูงในทัพหลวงมาก่อน ถ้าเป็นหัวกิลด์ของสาขาย่อย บางเรื่องก็ชอบเนียนมาทดสอบเด็กใหม่ด้วยตัวเอง (เพื่อให้ตัวเอกได้โชว์เทพ) บางเรื่องก็เป็นตัวร้ายเกรดบีคอยกลั่นแกล้งตัวเอก ทำตัวทุจริตยักยอกทรัพย์ของกิลด์เข้ากระเป๋าตัวเอง หัวหน้ากิลด์อาจเป็นได้ทั้งมิตรหรือศัตรูของตัวเอกแล้วแต่ว่าถูกวางบทมายังไง
พนักงานต้อนรับ - ส่วนมากเป็นสาวสวย มีหน้าที่คอยบริการสมาชิกกิลด์ในเรื่องต่างๆ ต้องเก่งรอบด้านจริงๆ ถึงจะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เพราะนอกจากต้องรับมือกับนักผจญภัยที่อาจไม่ใช่คนนิสัยดีเสมอไปแล้ว พนักงานต้อนรับยังต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยว่าจะอนุญาตให้สมาชิกทำเควสที่เลือกมาหรือไม่ บางคนเข้ามาได้ไม่นานยังอยู่แค่ Rank E แต่ดันทะลึ่งอยากรับเควสปราบปราม Rank C พนักงานต้อนรับก็ต้องปฏิเสธการจ่ายงาน ทำอย่างไรก็ได้ให้แน่ใจว่าสมาชิกของกิลด์จะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น จัดสรรคนให้เหมาะกับระดับความยากของเควส ตรวจสอบวัตถุดิบที่สมาชิกหามาได้จากมอนสเตอร์แล้วส่งต่อไปให้ฝ่ายคลัง ทำเอกสารและวัตถุยืนยันตัวตนของนักผจญภัยหลังสมัครสำเร็จ ฯลฯ
หน่วยรักษาความปลอดภัย - ส่วนหนึ่งทำหน้าที่เฝ้ายามกับดูแลความเรียบร้อยใน bar/tavern ของกิลด์ ส่วนที่เหลือจะถูกแบ่งไปเป็นครูฝึกคอยดูแลโรงฝึก/อุปกรณ์ฝึก และฝึกวิธีการต่อสู้ให้กับนักผจญภัยหน้าใหม่ บางครั้งก็ต้องทำหน้าที่ทดสอบความสามารถของผู้มาสมัครเข้ากิลด์ด้วย ถ้าคนไหนหน่วยก้านดี มีฝีมือการใช้อาวุธประจำตัวที่โอเค และเอาชนะครูฝึกได้แบบขาดลอย ผู้สมัครรายนั้นจะได้รับการ promoted จาก Rank F ขึ้นเป็น E ทันที
พ่อครัว บริกร และผู้ดูแลห้องพัก - อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็คือทำงานตามตามแหน่งของตัวเองใน tavern ของกิลด์ ถ้าสาขาไหนหรูๆ หน่อยก็จะมีโรงอาบน้ำ คอกม้า กับส่วนบริการซักล้างเสื้อผ้าเพิ่มด้วย
ฝ่ายการค้าและคลัง - แยกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกคือขายของต่างๆ ที่พวกนักผจญภัยหามาได้เพื่อหาเงินทุนเข้ากิลด์ ทั้งคนในแผนกการค้าและพนักงานต้อนรับส่วนใหญ่จะมีสกิลพวก "ตรวจสอบ" หรือ "ประเมิน" ติดตัวกันอยู่แล้ว การตั้งราคาตามคุณภาพสินค้ากับพวกพ่อค้าคนกลางจึงไม่ใช่เรื่องยาก การขายมักขายไปในราคาขายส่งถ้าไอเท็มมีจำนวนมาก สำหรับของหายากหรือเป็นที่ต้องการในตลาดจะถูกขายผ่านการประมูลในเมืองหลวง ส่วนที่ 2 คือพ่อค้าในร้านค้าสวัสดิการของกิลด์นักผจญภัย ทำหน้าที่ขายสินค้าผลิตเองให้บรรดาสมาชิก คุณภาพสินค้าอยู่ในระดับกลางจนถึงต่ำ ส่วนที่ 3 เป็นกลุ่มผู้ดูแลโกดังและคลังสินค้า จดบันทึกจำนวนไอเท็มต่างๆ รับเข้าและดูแลให้อยู่ในสภาพดี มีบริการชำแหละ/แปรรูปสินค้าให้กับสมาชิกที่มีเงินพอจ่ายและไม่ต้องการเสียเวลาทำเอง
เจ้าหน้าที่ข้อมูลและการข่าว - ก็ตามชื่อนั่นแหล่ะ แต่แผนกนี้พิเศษหน่อยตรงที่ทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ปกติแล้วอาจมีแค่รับซื้อข้อมูลข่าวสารที่สมาชิกเอามาขาย ในบางครั้งเวลาที่สมาชิกกิลด์แสดงพิรุธ ทำตัวน่าสงสัย หรือถูกแจ้งว่ากำลังกระทำความผิดอะไรสักอย่างเข้ามาจากบุคคลที่สาม พนักงานของแผนกที่มีสกิลซ่อนตัว, สะกดรอย ก็จะออกตามสืบข้อเท็จจริงทันที
เวร... ยังเหลืออีกเยอะเลย แต่ง่วงแล้วว่ะ ไปนอนละ บาย
(เมอร์รี่คริสต์มาส โม่ง มาต่อกันเลย)
ลำดับขั้นของสมาชิกกิลด์นักผจญภัย
อันนี้แล้วแต่นักเขียนว่าจะเลือกใช้รูบแบบไหน เท่าที่เคยเจอมาก็จะมี แบ่งด้วยวัสดุสร้างป้ายชื่อเริ่มด้วยกระเบื้องไปสุดที่ทองคำขาว แบ่งด้วยสีกรอบป้ายชื่อเริ่มด้วยดำไปสุดที่ทอง แบ่งด้วย Rank บนป้ายที่นิยมใช้กันเริ่มจาก F ไปสุดที่ S บางเรื่องแปลกๆ หน่อยก็ใช้สัตว์เริ่มด้วยกวางไปสุดที่มังกร และอื่นๆ
Rank และการเลื่อน Rank ของนักผจญภัย
F : ทดสอบความสามารถในการต่อสู้ตอนสมัครเข้ากิลด์ไม่ผ่าน โดนครูฝึกตบเกรียนแตก ช่วงแรกจะถูกบังคับให้ต้องเข้าโรงฝึกเพื่อฝึกพื้นฐานการต่อสู้จนกว่าครูฝึกจะเห็นว่าพร้อมสู้จริงไหว ในระหว่างนั้นจะรับได้แค่เควสกากๆ อย่างเก็บสมุนไพร ส่งของ/ส่งจดหมาย หรือตามหาสัตว์เลี้ยง เมื่อฝึกไปได้ระยะหนึ่งถึงจะได้รับอนุญาตให้จับกลุ่มปาร์ตี้กับพวก Rank F ด้วยกันเพื่อสอบขึ้นเป็น Rank E
*** ในบางเรื่องต่อให้สอบต่อสู้ผ่านก็ยังต้องได้ F ไปก่อนอยู่ดีก็มี ***
E : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับต่ำสำเร็จได้แบบไปเป็นปาร์ตี้ (หรือชนะครูฝึกตอนทดสอบสมรรถภาพได้อย่างขาดลอย)
D : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับต่ำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง
C : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับกลางสำเร็จได้แบบไปเป็นปาร์ตี้
B : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับกลางสำเร็จได้ด้วยตัวเอง
A : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับสูงสำเร็จได้แบบไปเป็นปาร์ตี้
S : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับสูงสำเร็จได้ด้วยตัวเอง (ได้รับสิทธิ์ในการสมัครเข้าร่วมกองกำลังบุกปราสาทจอมมาร หรือการประลองเพื่อเป็นหนึ่งในสมาชิกของปาร์ตี้ผู้กล้า)
ในการเลื่อนขั้นนักผจญภัยจะต้องสะสมแต้มความสำเร็จจากภารกิจให้เพียงพอก่อน จากนั้นจึงแจ้งรับเควสที่มีความยากสูงกว่า Rank ของตัวเองไป 1 ขั้น หากท้าทายแล้วทำภารกิจสำเร็จทางกิลด์นักผจญภัยจะเรียกตัวสมาชิกเข้าตรวจสอบด้านจริยธรรม หากไม่พบว่ามีการร้องเรียนหรือปัญหาอะไรก็จะทำการเลื่อน Rank ให้ในวันเดียวกัน การ promote แต่ละครั้งจะเว้นระยะจากกันอย่างน้อย 3 เดือน (ไม่สามารถเลื่อนขั้นรัวๆ ได้)
note : ในบาง setting อย่างเช่นเรื่อง Goblin slayer จะมีการ promote เลื่อนขั้นให้เมื่อสะสมแต้มความสำเร็จจากภารกิจถึงจุดที่กำหนดโดยไม่จำเป็นต้องไปสอบล่ามอนสเตอร์ระดับกลาง/สูง (ล่าแต่ก๊อบลินที่ให้แต้มน้อยสุดจน Rank ขึ้นไปถึง silver ได้นี่ถือว่าไม่ธรรมดา) อย่างไรก็ตามใน setting แบบนี้มอนสเตอร์ที่เก่งกว่าก็ย่อมให้แต้มมากกว่าจนทำให้เลื่อนขั้นได้เร็วขึ้นตามไปด้วย
ปาร์ตี้ของนักผจญภัย
ลงทะเบียนได้ที่กิลด์เมื่อมีสมาชิกปาร์ตี้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศหรือความถนัดทางการรบ แต่เพื่อให้ปาร์ตี้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทางกิลด์นักผจญภัยจะมีข้อมูลรูปแบบการจัดปาร์ตี้ให้อ่านในห้องสมุดของแผนกข้อมูลและการข่าว ตัวอย่างคำแนะนำในการสร้างปาร์ตี้ก็เช่น
สำหรับปาร์ตี้ขนาดเล็ก
มีแนวหน้า (vanguard) กับแนวหลัง (rearguard) อย่างละ 1 คน หรือจะใช้ Attacker 2 คนเป็นแนวหน้าช่วยกันสู้ก็ได้
สำหรับปาร์ตี้ขนาดกลาง
จะเพิ่มแนวกลาง (middle guard) ขึ้นมาอีก 1-2 คน เพื่อให้ครบ role ของปาร์ตี้มาตรฐาน (Tanker-Healer-Attacker) รูปแบบสมาชิก 4 คนที่นิยมใช้คือ ตัวชน 1 ตัวฮิล 1 ตัวโจมตีกายภาพ 1 ตัวโจมตีเวทมนตร์ 1 ช่วยลดความเสี่ยงเมื่อต้องเจอกับมอนสเตอร์ที่มีพลังป้องกันด้านใดด้านหนึ่งสูงมากๆ (ทนกายภาพหรือต้านทานเวท)
สำหรับปาร์ตี้ขนาดใหญ่สมาชิกตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
มักมีการเพิ่มผู้มีบทบาทเฉพาะด้านเข้ามา หรือกลุ่ม hybrid role ที่ช่วยลดจุดด้อยของปาร์ตี้ให้น้อยลง เช่น 1.ถ้าเดิมทีใช้แนวหน้าเป็นนักรบ (บู้ได้ Tank ได้ปานกลาง) อาจเสริมแนวหน้าที่เป็น Tanker แท้เข้ามาเพื่อลดภาระของ Healer 2.ถ้าแนวหน้ามีทั้ง Tanker และ Attacker ตีใกล้ อาจเพิ่มนักธนูเข้ามาเพื่อเสริมความสามารถในการสร้างความเสียหายจากระยะไกล 3.สมาชิกคนที่ 6 อาจเป็นได้ทั้งตัวโจมตีเวทมนตร์เพิ่มเติม, ตัวฮิล หรืออาชีพกลุ่ม utilities support class (buffer/debuffer/booster) อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ทำไมในแต่ละเรื่องชอบมีสมาชิกในตี้ไม่เกิน 5-6 คน
อันนี้กูเดาเอาว่าถ้าจำนวนมากเกินไปแล้วตัวหารมันจะเยอะ ทำให้การแบ่งรางวัลจากเควสและวัตถุดิบไม่คุ้มค่า อีกอย่างหนึ่งคือปาร์ดี้ แบบ 3 roles 4 members (ชน 1 ฮิล 1 โจมปกติ 1 โจมเวท 1) มันสมดุลทั้งรุกและรับอยู่แล้ว ดังนั้น slot สุดท้ายจึงควรเป็นของอาชีพกลุ่ม support class ที่ไม่ใช่พระ ซึ่งตำแหน่งนี้แหล่ะมักเป็นของตัวละครเอกในแนวโดนไล่ออกจากตี้จนกลายเป็นความคลิเช่ไปซะงั้น
การเลื่อนขั้น Rank ของปาร์ตี้
จะเลื่อนตามการสะสมแต้มความสำเร็จที่ได้มาจาก (1) ระดับความยากของภารกิจ (2) ระดับความยากของดันเจี้ยนที่เคยพิชิต (3) Rank เฉลี่ยของสมาชิกปาร์ตี้ทั้งหมด
การถูกลดขั้น (demoted) และการถูกลงโทษเมื่อนักผจญภัยทำผิดกฏของกิลด์ ... ไว้ค่อยมาต่อ นอนละ
ยาวไปไม่อ่าน
คุเบียวอิเซไคบุกโม่งว่ะ
อ่านที่โม่งเขียนแล้ว เอาไปแต่งนิยายไปชิวๆเลยไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่ม555
การถูกลดขั้น (demoted) และการถูกลงโทษเมื่อนักผจญภัยทำผิดกฏของกิลด์/กฏหมาย
เนื่องจากกิลด์นักผจญภัยเป็นองค์กรขนาดใหญ่ การรักษาความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงจึงเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกกิลด์สร้างความเสียหายต่อต้นสังกัด จึงต้องมีการตั้งกฏและบทลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดไว้ โดยพื้นฐานแล้วสมาชิกของกิลด์นักผจญภัยล้วนอยู่ภายใต้กฏหมายทั่วไปของอาณาจักร และเมื่อใดที่สมาชิกก่ออาชญากรรมแน่นอนว่ากิลด์นักผจญภัยมีหน้าที่ต้องจับตัวสมาชิกผู้นั้นด้วย สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ นั้นมีดังต่อไปนี้
(1) ไม่จ่ายค่าธรรมเนียมสมาชิกรายเดือน = ถูกตัดสวัสดิการต่างๆ ไม่สามารถรับเควสในกิลด์ และถูกยึดใบอนุญาต, เอกสารยืนยันตัวตน, member tag ชั่วคราวจนกว่าจะนำเงินมาจ่าย (ไม่มาจ่ายนานเกิน 3 เดือน = ถูกไล่ออกจากกิลด์)
อันนี้เป็นเรื่องพื้นๆ เพราะสมาคมนักผจญภัยไม่ใช่องค์กรการกุศล หากต้องการใช้สิทธิพิเศษต่างๆ ก็ต้องจ่ายค่าสมาชิกด้วย ไอ้ค่าใช้จ่ายที่ว่านี้เป็นการบีบให้นักผจญภัยต้องออกไปทำภารกิจทางอ้อม ไม่งั้นก็จะไม่มีเงินมาต่ออายุความเป็นสมาชิก
(2) ทะเลาะวิวาทกันในกิลด์นักผจญภัย = ถูกปรับเงินและไปสงบสติอารมณ์ในคุกของกิลด์ทั้งคู่ 1 คืน
(3) ทำเควสใน Rank ของตัวเองไม่สำเร็จ = ถูกปรับเงินและถูกลดแต้มความสำเร็จจากภารกิจ
นักผจญภัยบางคนโชคดีฟลุ๊คสอบเลื่อนขั้นขึ้นมาได้ แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับสู้เควสในขั้นใหม่ไม่ไหว บางคนพอสูสีแต่ใช้เวลานานเกินไปเควสก็ failed เหมือนกัน เพื่อให้แน่ใจว่านักผจญภัยเหล่านี้จะไม่ทำพลาดจนบาดเจ็บ ตาย หรือพิการ ถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จติดต่อกันหลายครั้งก็จะถูกพนักงานต้อนรับสั่งลด Rank ในที่สุด
(4) ไม่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็น Rank E ได้ภายใน 1 ปี = ถูกไล่ออกจากกิล (ก็คือมึงกากเกินไปนั่นแหล่ะ)
(5) ส่งหลักฐานการปราบปรามมอนสเตอร์ด้วยของที่ซื้อมาจากท้องตลาด = ถูกลดขั้นหรือไล่ออกถ้าทำหลายครั้ง
อันนี้เป็นมาตรการป้องกันพวกหัวหมอแต่บ้านรวย ใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการซื้อของเควสมาส่งเควส ปัญหาที่จะตามมาคือไอ้พวกลูกคุณหนูเหล่านี้มันไม่เคยลุยกับมอนสเตอร์จริงๆ ทำให้ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ ถ้าเลื่อนขั้นขึ้นไปแล้วเจอมอนสเตอร์โหดๆ อาจถูกฆ่าตายได้ในเควสแบบลุยเดี่ยว ทางกิลด์นักผจญภัยกับพนักงานต้อนรับก็จะถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการตั้งระดับความยากของเควสไม่เหมาะสม ซึ่งปัญหานี้ถูกแก้ไขด้วยการแอบทำเครื่องหมายไว้บนไอเท็มโดยพวกกลุ่มการค้าหลังซื้อของไปจากกิลด์
(6) ส่งหลักฐานการปราบปรามมอนสเตอร์ด้วยของที่ไม่ตรงกับความต้องการในเควส = ถือว่าทำเควสไม่สำเร็จ
เป็นเพราะพวกมักง่ายมันมีอยู่เยอะ สมาชิกบางคนก็มีสกิลสร้างของเลียนแบบ ดังนั้นพนักงานต้อนรับที่มีสกิลประเมินเลยเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าไอเท็มที่ส่งมาเป็นของจริงหรือของปลอมก็จะแย่เอามากๆ ส่วนใหญ่ในเควสจะมีระบุไว้อยู่แล้วว่าอวัยวะส่วนไหนของมอนสเตอร์เป้าหมายสามารถใช้เป็นหลักฐานได้บ้าง ยิ่งถ้าเป็นโลกที่มีเซตติ้งคล้ายเกมออนไลน์ พอมอนตายแล้วสลายร่างเหลือไว้แค่ผลึก, แกนกลาง, หินเวท อันนี้ก็จะยิ่งตรวจสอบง่าย สมาชิกบางคนเควสให้ส่งเขามอน 1 คู่ ดันส่งเล็บกับขน หรือเควสให้ส่งหูข้างซ้ายของก๊อบลินดันส่งผ้าเตี่ยวมาแทน สู้ไม่ไหวก็ไม่ยอมรับแล้วส่งของอื่นเข้ามาหวังจะจบเควสเลยต้องโดนบังคับล้มเหลว
*** ในนิยายบางเรื่องตัวเอกเก่งเกินไปสู้มอนสเตอร์ตัวไหนศพก็ไม่เหลือซาก ทำให้ส่งเควสไม่ได้จนโดนไล่ออกจากกิลด์ก็มี
(7) ใช้ยูนีคสกิลของตัวเองเอาเปรียบเพื่อนร่วมปาร์ตี้ = ลบแต้มความสำเร็จที่ได้มาจากการทำเควสจบแบบเป็นปาร์ตี้กับปาร์ตี้ปัจจุบันออกทั้งหมด บังคับเตะออกตี้ และแบนไม่ให้เข้าร่วมปาร์ตี้อื่นจนกว่าจะจ่ายเงินชดเชยให้สมาชิกปาร์ตี้เก่าครบตามที่กิลด์กำหนด
จะอธิบายยังไงดี... เอาเป็นตัวอย่างจากเรื่อง Goblin slayer ก็แล้วกัน เรื่องมันมีอยู่ว่ามีไอ้หนุ่มอาชีพสเก๊าท์ (Scout) คนนึงมาสอบสัมภาษณ์เพื่อเลื่อนขั้นนักผจญภัยกับทางกิลด์ ภายในห้องนั้นมีน้องพนักงานต้อนรับคอยถามคำถามต่างๆ โดยมีนายก๊อบสเลกับนักบวชสาวที่มีสกิลจับโกหกร่วมสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ตอนแรกมันไม่มีอะไรผิดปกตินอกจากการวางท่ากวนตีนของไอ้สเก๊าท์ แต่พอถึงช่วงหลังที่มีการพูดถึงเรื่องอุปกรณ์สวมใส่ของคนมาสอบ ว่าทำไมของพวกนี้มันเกรดดีกว่าของเพื่อนในปาร์ตี้ไปมากจนผิดปกติ บรรยากาศในห้องก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
น้องพนักงานต้อนรับมองหน้านักบวชสาวแล้วยิงคำถามต่อตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมว่า เวลาไปลุยกับปาร์ตี้กันในดันเจี้ยน ไอ้สเก๊าท์ใช้สกิลพรางตัวทำทีว่าจะย่องไปสำรวจจำนวนมอนสเตอร์ให้เพื่อน แล้วถ้าบังเอิญเจอหีบสมบัติก็จะถือโอกาสแอบหยิบของราคาแพงในนั้นมาเก็บไว้กับตัวใช่มั้ย คนโดนถามรีบปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ พอได้ยินแบบนั้นน้องนักบวชที่ใช้สกิลอยู่ก็พูดว่า "คนๆ นี้โกหกค่ะ" ไอ้สเก๊าท์พอรู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะไม่ได้เลื่อนขั้นแถมยังถูกลงโทษอีกก็โมโหเลือดขึ้นหน้า ในใจคิดจะพุ่งเข้าไปทำร้ายน้องพนักงานต้อนรับกับนักบวช แต่เหลือบไปเห็นพี่ก๊อบสเลนั่งกอดอกอยู่ใกล้ๆ เรื่องเลยจบตรงไอ้สเก๊าท์ไม่กล้าทำอะไรเพราะรู้ตัวว่ากูต้องโดนสวบก่อนแน่ๆ น้องพนักงานต้อนรับเลยแจ้งผลสอบว่าไม่ผ่าน พอสเก๊าท์ออกจากห้องไปแล้วก็ขอบคุณก๊อบสเลที่คอยมาช่วยคุ้มกันให้ (อาจไม่ถูกต้อง 100% แต่น่าจะประมาณนี้)
ที่สมาคมนักผจญภัยต้องเข้มงวดด้านจริยธรรมด้วย เป็นเพราะถ้าปล่อยให้นักผจญภัยนิสัยเหี้ยๆ ขึ้นไปถึง Rank สูงๆ คนพวกนี้มีโอกาสก่อเรื่องจนทำให้กิลด์นักผจญภัยต้องเสียชื่อเสียงได้ แล้วถ้าเกิดเรื่องใหญ่มากๆ ขึ้นมา โอกาสถูกทางการสั่งยุบกิลด์แล้วยึดทรัพย์ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ในนิยายบางเรื่องที่ไม่ได้มีการร้องเรียนหรือกล่าวหาคนมาสอบด้วยข้อกล่าวหาเฉพาะ คำถามเดียวที่จะถูกถามระหว่างนักบวชจับโกหกนั่งฟังอยู่คือ "เคยได้ทำเรื่องผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือผิดกฏหมายระหว่างอยู่ใน Rank นี้หรือไม่" แค่นั้นเอง
(8) แอบรับงานจากผู้จ้างโดยตรง = ถูกไล่ออกจากกิลด์ (กล้ารับงานเองมึงก็ออกไปเลย)
(9) ลวนลามพนักงานหญิง/นักผจญภัยหญิง = นอนคุกของกิลด์นานตามระดับความรุนแรงของการล่วงละเมิด ถ้าถึงขั้นข่มขืนก็โดนไล่ออกจากกิลด์ไปดำเนินคดีข้างนอกด้วย
(10) อาชญากรรมต่างๆ ทุกระดับความหนัก-เบา หากเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกกิลด์นักผจญภัยด้วยกันเองให้ลงโทษตามกฏหมายปกติ แต่ถ้าสมาชิกกิลด์ไปก่อเรื่องกับประชาชนทั่วไปข้างนอก จะต้องรับโทษเพิ่ม 3 เท่า โทษฐานทำให้ต้นสังกัดต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและโดนไล่ออกจากกิลด์ด้วย
ป้ายประกาศ "เควสที่เปิดให้รับได้" และขั้นตอนการจ้างงานจากบุคคลภายนอก .... ต่อพรุ่งนี้
กุไม่อ่านนะขี้เกียจ แต่พิมยาวขนาดนี้ไปแต่งนิยายเถอะ
เคงั้นเดี๋ยวกูพอก่อนละกัน ดูๆ ไปแล้วก็ไม่น่าจะมีคนอ่านสักเท่าไหร่เพราะมู้มันตายมาปีกว่าๆ ละ
>>894 ก็แต่งทุกวันอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เพิ่งแต่งเรื่องใหม่จบเลยแวะมาให้ความรู้กับเพื่อนร่วมสายงานหน่อย
>>899 ไม่เอาไม่หัวร้อนง่าย เมื่อวานก็ถือว่าพักผ่อนไปเพราะเขียนติดกันมาหลายวันละ
ป้ายประกาศ "เควสที่เปิดให้รับได้" และขั้นตอนการจ้างงานจากบุคคลภายนอก
อย่างที่เคยคุยกันไปแล้วข้างบน ป้ายประกาศเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้กิลด์นักผจญภัยดูคล้ายกรมจัดหางาน ป้ายที่ว่านี้ส่วนใหญ่มักติดอยู่ไม่ไกลจากเคาเตอร์ของพนักงานต้อนรับ ในบาง setting หรือในเกมบางเกมเราสามารถถามเรื่องเควสได้จากตัวพนักงานต้อนรับโดยตรง ส่วนตรงป้ายประกาศจะถูกเปลี่ยนเป็นใบรับสมัครสมาชิกปาร์ตี้แบบรอบเดียวแล้วแยกย้ายแทน (เหมือนใน Hunting Hall ของเกม Monster Hunter) สำหรับการแจ้งความต้องการเพื่อติดใบจ้างงานบนป้ายประกาศแบบคร่าวๆ ก็มีดังนี้
ขั้นตอนแรกคือผู้ว่าจ้างต้องมาติดต่อกิลด์ผ่านทางพนักงานต้อนรับ บอกรายละเอียดการจ้างงานว่าเป็นเควสแบบไหน รางวัลของภารกิจมีอะไรบ้าง พนักงานต้อนรับจะคัดกรองความเหมาะสมก่อนเบื้องต้น โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือของตัวผู้ว่าจ้าง สถานะทางสังคม กับความยาก-ง่ายเทียบกับรางวัลเมื่อทำเควสเสร็จสิ้น ถ้าเป็นเควสสำหรับพวก F Rank ที่เป็นงานแบบไม่มีความเสี่ยง พนักงานต้อนรับสามารถอนุมัติการรับงานได้เอง แต่หากเป็นงานสำหรับ E Rank ขึ้นไป เอกสารการว่าจ้างจะถูกส่งไปให้พนักงานระดับกลางและระดับสูงพิจารณาก่อน
รายละเอียดในใบจ้างงานจะมีหัวข้อต่างๆ รอให้ผู้ว่าจ้างเลือกเพื่อระบุลักษณะงาน ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ
(1) ชื่อและที่อยู่ผู้จ้าง/อาชีพ/สถานะทางสังคม
สองอย่างแรกเข้าใจได้ไม่ยาก แต่สถานะทางสังคมนั้นพิเศษตรงที่มีผลต่อการพิจารณาความเร่งด่วนในการเรียกคนมาทำงาน ถ้าเป็นเควสจากชนชั้นสูงจะได้รับการติดใบจ้างงานแบบพิเศษไว้เพื่อให้สังเกตได้ง่าย รองลงมาคือเควสจากคนของหน่วยราชการ โบสถ์ และกลุ่มการค้า ถ้าเป็นสามัญชนจะเป็นแค่กระดาษทั่วไป ส่วนใหญแล้วนักผจญภัยย่อมเลือกดูเควสพิเศษก่อน ถ้าตัวเองไม่อยู่ในเงื่อนไขที่รับเควสเหล่านั้นได้ถึงค่อยมองหาเควสที่มีระดับความสำคัญรองลงมา สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้เควสจากชนชั้นสูงและเควสตรงจากราชามีความสำคัญคือแต้มสะสมแบบพิเศษที่แยกต่างหากออกมาจากแต้มความสำเร็จปกติ
แต้มที่ว่านี้คือแต้มสำหรับยื่นคำร้องเพื่อแสดงความสามารถทางการรบในแบตเทิลอารีน่า อันถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับนักผจญภัยสามัญชนทั้งหลาย เพราะตามปกติแล้วผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในงานพิธีดังกล่าวจะมีเพียงนักเรียนผลการเรียนระดับดีเลิศจากสถาบันวิจัยและพัฒนาเวทมนตร์
กับนักเรียนเตรียมทหารที่ได้รับการรับรองจากผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกราชองครักษ์เท่านั้น สำหรับคนที่อยากหลุดพ้นจากความเป็นประชนชนธรรมดาผ่านการเป็นนักผจญภัย งานที่จัดขึ้นเพียงปีละครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญ ถ้าโชว์ฝีมือได้ดีน่าประทับใจ จะมีการติดต่อเพื่อเรียกตัวเข้ารับใช้ในฐานะอัศวินจากชนชั้นสูงระดับต่างๆ เป็นใบเบิกทางขั้นแรกสู่ความเป็นชนชั้นสูงระดับอื่นได้ หรือต่อให้ไม่สามารถเลื่อนยศขึ้นไปก็ยังเหลือสิทธิ์การฝึกฝนเป็น Page (เพจ) - Squire (สไควร์) ส่งต่อให้รุ่นลูกไว้ขึ้นเป็นอัศวินได้ต่อ
(2) ประเภทของเควส
ส่วนใหญ่เป็นเควสปราบปรามมอนสเตอร์กับเควสคุ้มกัน
เควสปราบปรามระดับพื้นฐานมักเป็นการกำจัด/ขับไล่มอนสเตอร์ที่มาทำลายพืชผลทางการเกษตรหรือปศุสัตว์ เควสคลิเช่ยอดนิยมที่ถูกมองข้ามจนเกิดเหตุสลดขึ้นในหลายๆ เรื่องก็คือเควสปราบปรามก๊อบลินเพราะผลตอบแทนไม่ค่อยคุ้มค่า ถ้าเอายากกว่านั้นก็จะเป็นปราบออค/หมาป่า/หมี ยิ่งมอนสเตอร์เป้าหมายในเควสเก่งแค่ไหน ระดับความยากที่ระบุบบนใบจ้างงานก็ยิ่งสูงตามไปด้วย ปัจจัยอื่นๆ ที่ใช้พิจารณาก็คือจำนวนของมอนสเตอร์ ถ้ามีมากเกินไปอาจต้องมีการประกาศจัดตั้งกลุ่ม expedition จากหลายปาร์ตี้มารวมกันเป็นคณะปราบปราม เควสคุ้มกันหลักๆ มาจากกลุ่มการค้าที่ต้องการคนคุ้มกันคาราวานขนส่งสินค้าจากกองโจร กับขุนนางทั้งหลายยามต้องเดินทางไกล
นอกจาก 2 อย่างนี้แล้วก็เป็นเควสสืบค้น เควสเก็บวัตถุดิบ เควสส่งของ เควสหาข้อมูล (โดยเฉพาะที่ตั้งของดันเจี้ยนใหม่ๆ) เควสทำแผนที่ เควสกู้ภัย และเควสจับกุม (อาชญากรมีค่าหัว, ต้องการตัวโดยทางการ)
(3) รายละเอียดเควส
ข้อมูลเพิ่มเต็มแบบเจาะลึกหลังจากระบุประเภทในข้อ 2 ไปแล้ว ถ้าเป็นเควสปราบปรามก็ตัวอย่างเช่น
ชนิดของมอนสเตอร์เป้าหมาย - สายพันธุ์ธรรมดา/พิเศษ
ต้องการให้ - ขับไล่/กำจัด/จับ
จำนวนของมอนสเตอร์ - เดี่ยว/กลุ่ม/ฝูง
ความเร่งด่วนของงาน - ต้องการทันที/ภายในกี่วัน
(4) รางวัลตอบแทนจากภารกิจ
ส่วนใหญ่เป็นเงินและวัตถุดิบจากเควส ในส่วนของเงินค่าจ้าง ผู้ว่าจ้างต้องวางเงินไว้ล่วงหน้าทั้งหมดที่กิลด์เพื่อป้องกันปัญหาการไม่ยอมจ่ายเงินหลังเสร็จภารกิจ หากไม่มีเงินในส่วนนี้ก็จะไม่สามารถติดประกาศจ้างงานได้ เงินที่ต้องวางจะขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนของมอนสเตอร์ ถ้าต้องการวัตถุดิบจากเควสด้วยจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม
ค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ คือค่าธรรมเนียมการติดใบจ้างงานตามระยะเวลาที่ต้องการ ยิ่งนานก็ยิ่งแพง หากครบกำหนดแล้วไม่มีใครรับเควสทางกิลด์นักผจญภัยจะแจ้งข่าวไปยังผู้ว่าจ้างให้มารับเงินรางวัลคืน โดยลูกค้ามีทางเลือกอยู่ 3 ทางคือ เข้าคิวเพื่อจ้างงานต่อที่เดิม ย้ายไปจ้างกิลด์นักผจญภัยแห่งอื่นที่ไม่ใช่กิลด์เดิม และติดต่อจ้างงานกับ Clan นักผจญภัยอิสระ
ข้อควรระวังในการจ้างงาน
(1) ผู้ว่าจ้างจะต้องกรอกข้อมูลต่างๆ ตามความเป็นจริง เพราะข้อมูลทั้งหมดมีผลต่อการพิจารณา Rank ของเควส หากไม่ทราบสาเหตุหรือชนิดของมอนสเตอร์เป้าหมาย จะต้องเปิดเควสสืบค้นหรือใช้บริการจากฝ่ายข้อมูลและการข่าวก่อน กรณีผู้ว่าจ้างจงใจบิดเบือนข้อมูลเควสเพื่อลดค่าใช้จ่ายจนเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของสมาชิกกิลด์ จะถูกลงโทษสถานหนักจากทั้งกิลด์นักผจญภัยและทางการ
(2) จะต้องมีเงินสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ เพียงพอ
(3) ไม่จ้างงานกับหลายๆ กิลด์พร้อมกัน (กรณี setting ในเรื่องนั้นมีกิลด์อยู่หลายกิลด์)
(4) ไม่จ้างงานปราบรามหรือล่ามอนสเตอร์ข้ามเขตชายแดนโดนไม่จำเป็น เพราะอาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ/อาณาจักร
ลักษณะงานไม่พึ่งประสงค์ที่จะถูกปฏิเสธและอาจทำให้ผู้ว่าจ้างถูกจับกุมตัวทันที
(1) งานลอบสังหาร การจ้างวานฆ่า
(2) ลักพาตัว จี้ปล้น ขโมยสิ่งของ
(3) เร่งรัดหนี้สิน (ทวงหนี้)
(4) ลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฏหมาย
(5) จ้างทหารรับจ้างเพื่อก่อการกบฏ
(6) การปองร้ายราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง
หัวข้อต่อไป
สวัสดิการและข้อได้เปรียบเมื่อเป็นสมาชิกของกิลด์นักผจญภัย ... ต่อพรุ่งนี้
สงสัยต้องจ้างคนทำหนังสือสารานุกรมกิลด์นักผจญภัยแล้วสิ
- สวัสดิการและข้อได้เปรียบเมื่อเป็นสมาชิกของกิลด์นักผจญภัย -
(1) บัตรยืนยันตัวตน, member tag ใช้แสดงเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ เช่น ใช้แทนบัตรผ่านเข้าประตูเมืองเวลาไปเมืองอื่นที่มีกิลด์สาขาย่อยตั้งอยู่ โดยจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทาง (แต่ยังต้องแตะคริสตัลตรวจการฆาตกรรมเหมือนเดิม) ใช้แทนส่วนลดได้ประมาณ 10 % กับร้านค้าต่างๆ ที่เป็น partner กับกิลด์นักผจญภัย เช่นร้านขายอาวุธ/ชุดเกราะ ร้านเช่าม้า โรงแรม ร้านขายโพชั่น ฯลฯ
(2) สิทธิ์การเข้าถึงบริการต่างๆ ของตึกสำนักงานกิลด์ได้ในราคาสมาชิกถูกกว่าร้านทั่วไป ได้แก่ อาหาร/เครื่องดื่ม ที่ขายภายใน bar/tavern ของกิลด์ ห้องพักพร้อมอาหารเช้า (คุณภาพแบบพอนอนสบายได้แต่ต้องใช้ห้องน้ำรวม) ห้องสมุดสำหรับหาข้อมูลก่อนทำเควส ร้านขายข้อมูลสถานที่ล่ามอนสเตอร์-แผนที่ดันเจี้ยนกับข้อควรระวังในชั้นต่างๆ ลานออกกำลังกายและสนามฝึกการต่อสู้แบบมีหุ่นฟาง,เป้าซ้อมยิงธนู (มีอาวุธทำจากไม้ให้ยืม) สมาชิกใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีทุนจะมีร้านค้าสวัสดิการขายของให้ในราคาถูก เช่น อุปกรณ์ป้องกันทำจากไม้ อาวุธจากโลหะเกรดต่ำ กระบอกใส่และลูกธนู ยาฟื้นฟูและสมานแผลระดับกลาง (แต่รสชาติค่อนข้างแย่) บริการซ่อมแซมอาวุธ-ชุดเกราะ บริการลับคมมีด/ดาบ/ขวาน ใครที่ยังจ่ายค่าห้องไม่ไหวก็มีคอกม้าให้นอน
(3) ไม่ต้องเสียเวลาหาผู้ซื้อวัตถุดิบและแรร์ไอเท็มต่างๆ เพราะสามารถขายให้กับกิลด์ได้ทันที สำหรับวัตถุดิบค่าตอบแทนจะอยู่ที่ราวๆ ครึ่งหนึ่งของราคากลางในท้องตลาด (แล้วกิลด์ก็จะขายต่อให้กับพ่อค้าคนกลางในราคา 60-70%) ถ้าเป็นไอเท็มชนิดพิเศษหรือหายาก ทางกิลด์นักผจญภัยจะนำของไปเปิดประมูลที่เมืองหลวงให้แล้วค่อยกลับมาส่งเงินในอัตราส่วน 80:20 หลังหักค่าใช้จ่าย
(4) มีงานให้ทำสม่ำเสมอตามจำนวนเควสที่ติดอยู่บนป้ายประกาศ ยิ่งถ้าเป็นกิลด์นักผจญภัยที่มีความน่าเชื่อถือ อัตราการล้มเหลวของเควสน้อย และมีสมาชิกกิลด์ Rank สูงๆ อยู่ในกิลด์ ก็จะยิ่งมีจำนวนเควสและผู้ว่าจ้างเพิ่มตามชื่อเสียง
(5) ไม่มีความเสี่ยงในการถูกโกงเงินรางวัลจากเควสเพราะผู้ว่าจ้างจะต้องวางเงินไว้ที่กิลด์ก่อน
(6) มีโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นอัศวินหรือตำแหน่งที่สูงกว่านั้นได้ในงานพิธีแสดงความสามารถ (ที่จะมีทั้งราชวงศ์และขุนนางระดับสูงมารับชม)
(7) เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างทำเควส สมาชิกปาร์ตี้ที่กลับมาส่งข่าวสามารถขอความช่วยเหลือผ่านเควสกู้ภัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
(8) เป็นที่รักของประชาชนในฐานะผู้ป้องกันเมืองจากมอนสเตอร์
- ข้อเสียในการเป็นสมาชิกของกิลด์นักผจญภัย -
(1) เมื่อทำภารกิจสำเร็จ เงินรางวัลจากเควสจะถูกหักเข้ากิลด์ 20% ก่อนจ่าย
(2) ได้รับเงินค่าตอบแทนจากวัตถุดิบเพียงครึ่งเดียว (แลกกับความสะดวกเรื่องแหล่งขายสินค้า)
(3) ไม่สามารถรับงานเองได้
(4) ต้องพบกับความเสี่ยงระหว่างทำงานตามชื่ออาชีพ
(5) มีเวลาให้ครอบครัวน้อยเพราะอาจต้องเดินทางบ่อย
(6) มีโอกาสกลายเป็นตัวละครเอกเพราะถูกไล่ออกจากตี้/พยายามฆ่า (555+)
เพิ่งจะ 3 ทุ่มเองกูอาจต่ออีกข้อ ถ้าหลังเที่ยงคืนไม่ลงแปลว่านอนแล้วนะ
การตั้งแคลน (Clan) ของนักผจญภัยที่แยกตัวออกมาจากกิลด์
แคลนกับกิลด์นักผจญภัยมันเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง ?
เอาจริงๆ มันก็คล้ายกันอยู่หลายส่วนเลย โดยเฉพาะเรื่องความเป็นองค์กรเอกชนแต่ยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของราชการ พนักงานในแคลนจะมีน้อยกว่ากิลด์เพราะบางตำแหน่งมันไม่จำเป็นอีกต่อไป เช่น แคลนไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายรักษาความปลอดภัยและโรงฝึก เพราะสมาชิกแคลนแต่ละคนมักมีฝีมือพอตัวและไม่ใช่นักผจญภัยหน้าใหม่ (หรือถ้ามีเด็กใหม่ก็จะให้สมาชิกแคลนสอนกันเองโดยตรง) ไม่มีร้านค้าสวัสดิการเพราะอุปกรณ์การรบต่างๆ ของสมาชิกแคลนล้วนเป็นของที่ดีกว่าของในท้องตลาด
ระบบการจ้างงานก็คล้ายกันคือจ้างที่พนักงานต้อนรับ เขียนชื่อ ที่อยู่ สถานะ รายละเอียดเควส แล้ววางเงินค่าจ้างไว้ ที่ต่างกันคือในเอกสารจะมีให้ระบุด้วยว่าเควสมีความต้องการพิเศษอะไรหรือไม่ เพราะเควสที่หลุดมาถึงสำนักงานของแคลนได้ทั้งๆ ที่ค่าจ้างที่นี่แพงกว่า ย่อมแปลว่ากิลด์นักผจญภัยทำเควสนี้ไม่สำเร็จ เช่น อยากให้จับเสือไฟสายพันธุ์พิเศษมาแบบเป็นๆ หรืออยากให้เก็บสมุนไพรแต่สมุนไพรที่ว่าดันขึ้นอยู่ในป่าที่มีสัตว์อสูรระดับสูงเฝ้าอยู่
เควสต่างๆ ในสำนักงานแคลนจะไม่มี Rank เขียนบอก สมาชิกแคลนสามารถรับงานได้เองอย่างอิสระ ทั้งแบบหยิบเอามาจากป้ายประกาศและแบบผู้ว่าจ้างติดต่อคุยกับปาร์ตี้นั้นตรงๆ นอกสำนักงานแคลน อย่างไรก็ตามสมาชิกแคลนต้องแบกรับความเสี่ยงกันเอาเอง ถ้าหากรับงานนั้นแล้วพบว่างานยากเกินไปจนพลาดมีคนตาย ก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรกับทางหัวหน้าแคลนหรือพนักงานต้อนรับได้
ใบจ้างงานบนป้ายประกาศของแคลนจะไม่มีวันหมดอายุ ถ้าปาร์ตี้แรกทำเควสไม่สำเร็จใบจ้างงานเดิมจะถูกนำกลับไปติดที่เก่า สิ่งนี้เป็นเหมือนการรับประกันทางอ้อมว่างานจะต้องเสร็จอย่างแน่นอน หากมองตามความสามารถของสมาชิกแคลนโดยรวม
การขายวัตถุดิบของแคลนมักขายไปที่ผู้ซื้อปลายทางโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เช่นขายแร่เหล็กให้กิลด์ช่างตีอาวุธ, ขายเกล็ดและหนังมอนสเตอร์ให้กิลด์ผู้ผลิตชุดเกราะ ทำให้ส่วนแบ่งของสมาชิกเพิ่มขึ้นและทางแคลนก็ยังเก็บเงินทุนเข้าส่วนกลางได้ตามปกติ สำหรับค่าจ้างจะมีการหักออกเพียง 10% ส่วนการประมูลไอเท็มหายากจะเป็นแบบเดียวกับกิลด์นักผจญภัย
ข้อหนึ่งที่แตกต่างกันมากๆ ระหว่างกิลด์กับแคลน คือแคลนจะจ่ายเงินให้กับสมาชิกแคลนในรูปแบบคล้ายกับเงินเดือนตาม Rank โดยมีเงื่อนไขว่าสมาชิกแคลนจะต้องทำเงินให้กับแคลนได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าของจำนวนเงินเดือน เช่นถ้า Rank C มีเงินเดือน 50 ทอง ภายในเดือนนั้นจะทำกี่เควสก็ได้แต่อย่างน้อยจะต้องทำกำไรเข้าแคลน 100 ทอง หากทำไม่ได้ก็จะถูกลด Rank ลงตอนปลายเดือน เป็นระบบเพื่อให้สมาชิกแคลนมีรายได้ที่แน่นอน และต้องพิสูจน์ด้วยฝีมือของตัวเองอยู่เสมอว่าเก่งพอจะให้ทางแคลนจ่ายเงินให้
แคลนเปรียบเสมือนการมารวมตัวกันของนักผจญภัยฝีมือดีที่รู้สึกว่าผลตอบแทนจากกิลด์นักผจญภัยนั้นน้อยเกินไป บางคนก็มาเข้าแคลนเพราะเคยถูกกิลด์นักผจญภัยไล่ออก หรืออาจย้ายมาเพราะมีความแค้นส่วนตัวกับหัวหน้ากิลด์/พนักงานกิลด์/สมาชิกกิลด์เดิม จำนวนคนในแคลนจะมีน้อยกว่ากิลด์นักผจญภัยอย่างมากจากการจงใจเน้นคุณภาพของบุคลากรมากกว่าปริมาณ รวมไปถึงระดับความยากของเควสแต่ละเควสที่ทำให้สมาชิกแคลนบางส่วนต้องถอนตัวออกไปเอง
ในเควส Rank S ของกิลด์นักผจญภัย บางครั้งทางฝั่งขุนนางผู้ว่าจ้างอาจถูกแนะนำให้จ้างคนจากทางแคลนมาร่วมในการปราบปรามด้วย แม้จะเป็นการสิ้นเปลืองเพราะต้องจ่ายเงิน 2 ทาง แต่เพื่อให้งานปราบสัตว์อสูร์เวทมนตร์ระดับมังกรขึ้นไปสำเร็จได้ง่ายขึ้น การใช้คนที่เก่งจริงๆ มาช่วยก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี นอกจากการทำเควสปราบปรามที่ใช้คนจำนวนมากแล้ว แหล่งเงินทุนสำคัญของแคลนอีกทางหนึ่งก็คือการพิชิตดันเจี้ยน
ด้วยความที่สมาชิกแคลนทุกคนรับงานได้อย่างอิสระ หากมีสมาชิกกลุ่มไหนเจอดันเจี้ยนที่ยังไม่เคยได้รับการสำรวจมาก่อน พวกเขาสามารถลงไปต่อสู้และทำแผนที่เองได้โดยไม่ต้องแจ้งกับทางแคลน ถ้าลุยไปจนถึงจุดที่คิดว่าไปต่อกันเองไม่ไหว สมาชิกแคลนมีหน้าที่ต้องกลับไปแบ่งปันข้อมูลกับสมาชิกแคลนกลุ่มอื่น เพื่อให้ทุกคนมีพื้นที่การล่าใหม่ๆ หรือให้หัวหน้าแคลนลงไปลุยจนกว่าจะเจอบอส ด้วยฝีมือระดับหัวหน้าแคลนอาจทำให้ปราบบอสแล้วนำดันเจี้ยนคอร์กลับขึ้นมาขายได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามอัตราส่วนแคลนที่อยู่รอดจริงๆ มีน้อยมาก (ต้องยุบไปหลังก่อตั้งมากถึง 95%) ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่สามารถสู้ความแข็งแกร่งทางด้านเส้นสายและพันธมิตรของกิลด์นักผจญภัยได้ แม้จะรู้โครงสร้างและวิธีการบริหารแบบกิลด์นักผจญภัย แต่ถ้าไม่มีแหล่งปล่อยขายวัตถุดิบ ถูกกดราคาสินค้า หรือไม่มีลูกค้ามาจ้างงาน อนาคตของแคลนนั้นก็ริบหรี่เต็มที่ ด้วยเหตุนี้เองสมาชิกแคลนบางส่วนถึงขั้นยอมกลับไปสมัครกิลด์นักผจญภัยอีกครั้ง แม้จะต้องถูกเหยียดหยามในระยะแรกก็ตาม
แคลน 5 % ที่เหลือมักเป็นแคลนที่มีเพียง 1-3 ปาร์ตี้ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เก่งและมีชื่อเสียงจนผู้ว่าจ้างติดต่องานเข้ามาให้ทำอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นแคลนส่วนน้อยที่บริหารงานแบบจำกัดได้สำเร็จ มีแหล่งปล่อยขายวัตถุดิบ พิชิตดันเจี้ยนความยากสูงกันได้เองอย่างต่อเนื่อง และข้อสังเกตอย่างหนึ่งของแคลนเหล่านี้คือเป็นกลุ่มรักความอิสระ ไม่สนใจเรื่องการขึ้นเป็นชนชั้นสูงเพราะไม่อยากถูกผูกมัดไว้กับทางอาณาจักร ถ้าใครคุ้นเคยกับเซตติ้งยุคกลาง ย่อมเข้าใจดีว่าการได้รับแต่งตั้ง มีศักดินา หมายถึงการต้องคอยรับใช้หรือบริหารในฐานะเจ้าครองที่ดิน ซึ่งอาจฟังดูไม่สะดวกนักสำหรับคนที่ชอบการผจญภัยอย่างอิสระ
โอเค นอนก่อน หัวข้อต่อไปคือ คนแบบไหนที่จะสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัย "เส้นทางของขุนนางตกอับกับสามัญชนผู้มีความฝัน" ซึ่งน่าจะเป็นอันสุดท้ายแล้วของหัวข้อยุคกลางปลอมกับกิลด์นักผจญภัย
โห... กว่าจะได้เขียนเกี่ยวกับแนว ออกตี้/แก้แค้น ที่ตั้งใจไว้จริงๆ แม่งแวะเยี่ยวนอกเรื่องไปหลายวันเลยนะเนี่ย
ขอถามมึงหน่อย ตกลงกิลด์นักผจญภัยเป็นองค์กรแบบไหน เอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ หรือว่างานราชการ?
>>906 ถือเป็นเอกชน เพราะบริหารจัดการกันเองในกลุ่มนักผจญภัยซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป
ที่กูเคยบอกว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของทางราชการหมายถึง ยังต้องถูกตรวจสอบข้อมูลอยู่เป็นพักๆ จากภาครัฐว่าองค์กรจะไม่เปลี่ยนไปเป็นกองกำลังแบ่งแยกดินแดนจากจำนวนสมาชิกที่มีมากเกินไป หรือมีการรวบรวมนักผจญภัย Rank สูงไว้ในกิลด์เดียวกันจำนวนมากผิดปกติ (ซึ่งอาจนำไปสู่การโค่นล้มอำนาจ)
มันไม่ใช่หน่วยงานราชการเพราะไม่ได้ถูกบริหารโดยตรงทั้งหมดจากภาครัฐ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจด้วยเพราะไม่ได้มีคนจากทางการมาเป็นส่วนหนึ่งในผู้บริหาร/เจ้าของ และกิลด์นักผจญภัยไม่ได้ทำกิจการเฉพาะด้านเพื่อสาธารณะ แต่เป็นเหมือนบริษัทรับจ้างสารพัดของทางเอกชนเสียมากกว่า (บริษัทรับงานจากผู้ว่าจ้าง -> เป็นสื่อกลางให้พนักงานออกไปทำงานที่เหมาะสม -> หักค่าธรรมเนียมเข้าบริษัท -> จ่ายเงินจากลูกค้าให้พนักงาน)
น่าจะอารมณ์เดียวกับ เอกชนที่ถูกจ้างมาโดยราชการอีกที ยุคนี้ก็อารมณ์ประมูลงานเอา
ว่าแล้วก็นึกถึงพวกส้วมตามสถานีขนส่ง แทนที่จะหาคนมาดูแลความสะอาด
ก็เปิดให้เอกชนมาจัดการกันเอง เก็บค่าบริการกันเอง ซึ่งถ้าทำไม่ดี เก็บเงินแพงไป ภาครัฐก็มีสิทธิตรวจสอบหรือไม่ต่อสัญญาได้ในอนาคต
คนแบบไหนที่จะสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัย ? "เส้นทางของขุนนางตกอับกับสามัญชนผู้มีความฝัน"
เช่นเดียวกันกับนิยาย มังงะ ไลท์โนเวล อีกหลายแสนเรื่องที่ใช้ setting แบบยุคกลางปลอม นิยายที่เราจะแต่งเองก็อาจหนีไม่พ้นทั้งเรื่องของการปกครองแบบฟิวดัลและความเป็นแฟนตาซีเวทมนตร์ หัวข้อนี้กูจะมาพูดถึง traits ต่างๆ ของตัวเอกในนิยายแฟนตาซียุคกลางปลอม ซึ่งจะพูดถึงแค่ต้นเรื่องจนถึงตอนไปสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัยเท่านั้น เพราะถ้ากูพูดแบบละเอียดไปจนถึงช่วงท้าย มันจะกลายเป็น preset ของพล็อตเรื่องที่เอาไปเขียนนิยายอย่างมักง่ายได้ทันที (ซึ่งกูไม่แนะนำให้ทำ เพราะจะติดนิสัยจนคิดเรื่องเองไม่เป็น) ถ้าจะมองว่าหัวข้อนี้เป็น career path ของตัวละครก็ได้ สำหรับคนที่อ่านแนวนี้มาเยอะอาจฟังดูไม่น่าตื่นเต้นแล้ว (ก็มันมีอยู่ไม่กี่แบบนี่เนอะ)
- Commoner path -
เปิดฉากด้วยสายเกิดเป็นสามัญชนก่อน สายนี้คือมักจะไม่มีพลังเวทถือเป็น negative trait ที่คลิเช่สุดติ่งตามตำรา ก็เลยมักจะหาทางลืมตาอ้าปากผ่านการเป็นนักผจญภัยสายต่อสู้กายภาพ บางคนอยากเข้ากิลด์เพราะพ่อแม่เคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน เห็นว่าเท่ดีก็เลยอยากเป็นบ้าง (ซึ่งจะได้เปรียบตรงที่พ่อแม่มักฝึกฝนการต่อสู้ให้ตั้งแต่เด็ก) บางคนต้องอยากเข้ากิลด์ไปหางานทำหนีความยากจนของครอบครัว บางคนก็ฝันอยากเลื่อนยศขึ้นเป็นขุนนาง
จุดเปลี่ยนข้อถัดมาคือสิ่งที่ได้รับในนิยายที่ใช้ setting แบบมีการมอบ อาชีพ/ยูนีคสกิล/พร ให้ตัวละครตอนเข้าสู่วัยรุ่น ถ้าสุ่มได้อันที่เจ๋งๆ ก็ไม่ต้องไปเป็นนักผจญภัยแต่ตรงไปฝึกที่เมืองหลวงแทน แต่ถ้ามาแนวได้อาชีพธรรมดาใช้ในการรบไม่ได้หรือสกิลไร้สาระ สุดท้ายก็ไปจบที่กิลด์นักผจญภัยเหมือนกัน
ถ้าเป็นสามัญชนแล้วมีพลังเวท ครอบครัวมักจะพยายามผลักดันให้ลูกได้ไปเรียนในสถาบันเวทมนตร์ หรือถ้าข่าวรู้ถึงหูขุนนางท้องถิ่นแถวบ้านก็อาจได้รับทุนไปเรียนโดยแลกกับการเข้าไปทำงานให้หลังเรียนจบ คลิเช่เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือโดน bully ในโรงเรียนว่าถึงจะมีพลังเวทแต่มึงมันก็แค่สามัญชน ถ้าตัวเอกทนการกลั่นแกล้งต่างๆ จนถึงตอนเรียนจบได้ก็ดีไป แต่ถ้าทนไม่ไหวจนไปมีเรื่องกับลูกขุนนาง หรือโดนแกล้งจนไปสอบก่อนจบการศึกษาไม่ทันแล้วเรียนไม่จบ สมาคมนักผจญภัยก็ขอยินดีต้อนรับ
- Nobleman path -
ตัวละครแบบเกิดเป็นชนชั้นสูงลูกขุนนางนั่นนี่ นอกจากพลังเวทที่สืบทอดกันมาตามสายเลือด ยังมีอณูเวทมนตร์จากบาเรียป้องกันภัยที่คลุมอยู่รอบบ้านกับของที่แผ่รัศมีเวทออกมาอย่างไอเท็มวิเศษต่างๆ ในห้องเก็บสมบัติตระกูลอีก การอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ตั้งแต่ในท้องแม่ทำให้ตัวเอกสายขุนนางมักเกิดมาพร้อมพลังเวทโดยอัตโนมัติ ในทางกลับกันถ้าเกิดในตระกูลผู้ดีแล้วดันไม่มีพลังเวท จุดจบก็หนีไม่พ้นการโดนเอาไปทิ้งในป่าตั้งแต่แบเบาะ ไม่ก็พาแม่ซวยโดนเนรเทศไปอยู่บ้านนอกด้วยกัน
บางตัวละครเป็นลูกคนรอง ลูกอนุภรรยา ลูกเมียน้อย ถึงมีพลังเวทก็อาจโดนสกัดดาวรุ่งโดยเมียหลวง พี่ชายคนโต โดนใส่ร้ายต่างๆ จนมีอันต้องออกจากตระกูลไปก่อนเวลาอันควร (แล้วค่อยไปปลดปล่อยพลังเทพซ่าส์ทีหลัง) ตัวละครกลุ่มนี้กับตัวละครแบบมีพลังเวทอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าพี่คนโต บางครั้งอาจอยู่รอดไปจนถึงพิธีรับอาชีพ/สกิล ถ้านักเขียนใจร้อนหน่อยก็จะกำหนดให้ตัวเอกได้อาชีพ/สกิล ที่มันดีๆ ไปเลย ถ้าเป็นพวกอยากเล่าด้วยมุกอื่นๆ ก็อาจกำหนดให้ตัวเอกชนชั้นสูงได้สกิลกากที่ใช้ในการรบไม่ได้ หรือสุ่มโดนสกิลไร้ค่า บังคับให้ตัวเอกต้องถูกตัดออกจากกองมรดก โดนไล่ออกจากตระกูล ตัดขาดความเป็นพ่อ-ลูก, ความเป็นญาติ
สุดท้ายพอไม่มีที่ไปเลยต้องไปหาโอกาสใหม่ๆ ในกิลด์นักผจญภัย หลังจากนั้นก็คล้ายกันทุกเรื่อง คือมีเหตุให้ได้รับความเทพซาส์ 007 ได้พลังโหดๆ OP จนไม่มีใครสู้ได้ ทางบ้านพอรู้ข่าวว่าคนที่ไล่ออกไปจู่ๆ ดันเทพขึ้นมาก็มาตามง้อ แต่เพื่อความสะใจของนักอ่านเลยต้องให้ตัวเอกปฏิเสธอย่างเย็นชาไปด้วยความเอจจี้ จะกลับบ้านทำไมในเมื่อมีสาวๆ รอให้กูพาเข้าฮาเร็มอีกเพียบ คู่หมั้นคนเดียวมันจะไปพออะไร หาสาวเยพร้อมกันทีละหลายๆ คนดีกว่า
โอเคถึงตรงแล้วถือว่าจบหัวข้อกิลด์นักผจญภัยกับยุคกลางปลอมลงเพียงเท่านี้ ถ้ามีอะไรอยากจะพูดแถม คงเป็นเรื่องของ trope ก่อนจะไปถึงจุดที่ตัวเอกปลดล็อคความเทพซ่าส์ ใน setting แบบไม่ใช่แนวต่างโลก สมัยก่อนอาจคิดว่าฝั่งนิยายจีนเป็นแบบนึง แล้วนิยายญี่ปุ่นก็อีกอย่าง พอมาคิดดูดีๆ แล้วมันก็ใช้ trope เดียวกันคือ "ตัวเอกต้องตกต่ำ/โดนดูถูกก่อน แล้วค่อยกลับมาอย่างยิ่งใหญ่" ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กูกำลังจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป "แนวโดนไล่ออกจากปาร์ตี้กับแนวแก้แค้น" ทิศทางและวิธีเล่าอาจแตกต่างกันแต่หลายๆ อย่างแม่งก็เดิมๆ (แถมยังกลายพันธุ์เป็นแนวเทพซ่าส์ไปซะดื้อๆ กลางเรื่องได้ด้วย)
## ถูกไล่ออกจากปาร์ตี้ / ล้างแค้น ##
เอาจริงๆ ใจกูไม่อยากเรียก 2 อย่างนี้ว่าแนวเลยนะ เพราะการถูกไล่ออกจากปาร์ตี้มันเป็นได้แค่ "วิธีการเปิดเรื่อง" แบบหนึ่งของแนวเทพซ่าส์ ส่วนแนว ล้างแค้น/แก้แค้น ก็มีน้อยเรื่องเหลือเกินที่จะคงความเป็น "แนวแก้แค้น" ได้ตลอดจนถึงช่วงท้ายเรื่อง ถามว่าน้อยขนาดไหน... ถ้าจำนวนนิยายแฟนตาซีทั้งหมดเปรียบได้กับจำนวนเส้นxมอยของคนทั้งประเทศ จำนวนนิยายแนวแก้แค้นก็คงประมาณxมอยของคน 1 จังหวัด ส่วนเรื่องที่แก้แค้นแบบจริงๆ จังๆ จนถึงตอนท้ายเรื่องได้โดยไม่ออกทะเลหรือกลายพันธุ์เป็นแนวอื่นแม่งเหลือเท่าxมอยของคน 1 คน (ที่ค่อนข้างดก) บางทีทั้ง 2 หัวข้อนี้มันก็มาอยู่ในเรื่องเดียวกันได้ ถ้าการไล่ออกจากตี้มันเล่นใหญ่จนถึงขั้นวางแผนฆ่าตัวเอก
ก่อนจะคุยกันเกี่ยวกับ จุดแข็ง/จุดอ่อน ของทั้ง 2 อย่างนี้ กูอยากพูดถึงเรื่องของ Escapism ก่อน
Escapism ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันถูกพูดถึงในโม่งมาหลายพันรอบแล้วเพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนิยายอย่างช่วยไม่ได้ ล่าสุดก็ตอนที่โดนโม่งแซะไปข้างบนว่า ถ้าเป็นพวกขี้แพ้แล้วอยากเยียวยาใจตัวเองจากความขี้แพ้เลยหาอ่านนิยายเพื่อให้รู้สึกฟินมันก็ไม่ผิด ขนาดตัวกูเองยังเคยพูดเลยว่า นักอ่านชอบอ่านอะไรที่ทำให้ตัวเองได้ผ่อนคลาย หลีกหนีจากปัญหาต่างๆ ในชีวิตจริงได้ (แม้จะแค่ชั่วคราว) ถึงจะเจ็บใจแต่ยอดขายของนิยายพวกนี้มันสูงจริงๆ ต่อให้นักอ่านส่วนใหญ่ไม่ใช่พวก loser เป็นคนธรรมดาที่ชีวิตดีๆ เขาก็ยังอยากอ่านเรื่องที่ตัวเอกโดดเด่นเหมือนกัน เพราะมันสนุกกว่าการตามอ่านเรื่องของพวกกระจอกหรือเป็นได้แค่เบี้ยล่างของคนอื่นในสังคม
หัวข้อ Escapism เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า พอชีวิตจริงมันเหี้ยแค่ไหน สังคมที่เจอมามันแย่เพียงใด พอเป็นนิยายหรือสื่ออื่นๆ แล้วมนุษย์เราย่อมถวิลหาสิ่งที่สามารถปลอบประโลมจิตใจจากเรื่องพวกนั้นได้ ถึงขั้นสมัยก่อนในการอภิปรายของโม่งยังมีการแซวกันเป็นข้อๆ ว่า
(1) ทำไมต้องไปต่างโลก : เพราะโลกที่กูอาศัยอยู่มันเหี้ย ขี้เกียจทำงานแล้ววะ โดนย้ายไปต่างโลกกลายเป็นฮีโร่ มีพลังโกงๆ ดีกว่า
(2) ทำไมต้องฮาเร็ม : เพราะเป็นคนธรรมดา หน้าตาทั่วไป บ้านไม่รวย *วยก็เล็ก คารมไม่ดี หลีสาวไม่เก่ง ไม่มีอะไรเด่นพอให้คนเหลียวแล
(3) ทำไมต้องเทพบุตรพิศวาส : ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมานาน ทำงานหนักลืมดูแลตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็ใกล้จะขึ้นคาน หาผัวไม่ทัน เพราะแม่ห้ามมีแฟนแต่ตอนนี้เสือกอยากอุ้มหลาน
(4) ทำไมต้องย้อนไปอดีต : ชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาด รู้งี้ไม่น่าทำงั้น มีความรู้สึกเสียใจภายหลังมาเยอะ อยากแก้ไขชีวิตตัวเอง
(5) ทำไมต้องเทพซ่าส์ : อยากเป็นคนสำคัญ อยากขึ้นเป็นใหญ่ อยากพ้นจากความเป็นเบี้ยล่าง อยากได้พลังที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงโลกได้
และอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยให้ฟินน้ำแตกได้ง่าย โดยเฉพาะกับคนที่ชีวิตจริงมีปัญหาอะไรพวกนี้ แถมยังเป็นพวก low self-esteem อีก
** ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีช่วงนึงคุยกันเข้มข้นมากเกี่ยวกับไลท์โนเวล ใครสนใจก็ตามอ่านได้ที่นี่ >>>/webnovel/10275/336-352 **
ดังนั้นจุดแข็งหรือจุดขายของแนวโดนไล่ออกตี้/ล้างแค้น เลยเกี่ยวข้องกับ Escapism ที่เหมาะกับคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย รู้สึกสิ้นหวังในระบบยุติธรรม อยากจัดการคนที่มาเอาเปรียบแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งในโลกของเราที่เต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชน คนรวย คนมีอำนาจ ที่อยู่เหนือกฏหมายแล้ว ทั้ง 2 แนวนี้ก็ยิ่งเข้าถึงและอินได้ง่าย
เหมือนกับตัวเอกแนวโดนไล่ออกจากปาร์ตี้ ที่โดนสมาชิกคนอื่นเหยียดหยามสารพัด โดนโขกสับใช้งานเพียงเพราะมีส่วนร่วมในการสู้มอนสเตอร์น้อยกว่าเพื่อน วันดีคืนดีก็โดนเตะออกจากปาร์ตี้ด้วยเหตุผลบ้าๆ หรือข้ออ้างอย่าง "มึงมันหมดประโยชน์แล้ว เอาคนที่เก่งกว่ามาเข้าตี้แทนจะดีกว่า"
กับแนวแก้แค้นที่ตัวเอกถูกหลอกใช้ ถูกใส่ร้าย ถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจ บางเรื่องก็ตายไปทั้งๆ ที่ยังมีความอาฆาต บางเรื่องถูกส่งไปยังดันเจี้ยนมหาโหด ต้องหนีตายอย่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง บางเรื่องอยู่ไปก็เหมือนตายทั้งเป็นเพราะถูกป้ายสีจนหมดอนาคต
สิ่งที่ทำให้ทั้ง 2 แนวนี้มัน work คือการเล่นกับความรู้สึกด้านลบของคนอ่าน การหากินกับสันดานดิบของมนุษย์ที่ลึกลงไปล้วนก้าวร้าวและแสวงหาความรุนแรง เพิ่มความ satisfying หรือ "ความสะใจ" เข้ามาในเนื้อเรื่อง จากที่ปกติมีแค่ความ comforting, relaxing
เคยสังเกตเห็นกันใช่มั้ยว่าทำไมคนถึงสนใจฝั่งปาร์ตี้เก่ามากกว่าปาร์ตี้ใหม่ของตัวเอก และทำไมคนถึงสนใจวิธีการแก้แค้นของตัวเอกมากกว่าเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง คำตอบคือเพราะคนเรามันชอบความรุนแรงไง เหมือนรู้อยู่แล้วว่ายังไงตัวเอกมันก็ต้อง OP เทพซ่าส์ขึ้นเรื่อยๆ เลยไปโฟกัสกับความฉิบหายของพวกคนที่ไล่ตัวเอกออกมากับโฟกัสว่าอีกแนวจะแก้แค้นยังไงให้สาสมแทน กลายเป็นความบันเทิงรูปแบบใหม่ ได้ฟินจากทั้งเรื่องดีที่เกิดขึ้นกับตัวเอกและเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวโกง
แนวนึงมีบ่อเกิดมาจากความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีใครเห็นคุณค่า เลยอยากให้รู้ว่าถ้าขาดตัวเองไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น กับอีกแนวก็คือต้องเจอกับความอยุติธรรม เจอเรื่องเหี้ยๆ แต่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ เลยอยากเป็นศาลเตี้ย อยากได้พลังเอามาใช้แก้แค้น โดยสรุปแล้วก็มีอยู่แค่นี้ล่ะ
สำหรับจุดอ่อนกูขอยืมคำตอบส่วนหนึ่งจาก >>853 มาอ้างอิงว่า เนื้อเรื่องของทั้ง 2 แนวนี้มันตันเร็ว แนวออกตี้ถ้าตบคนในตี้ครบแล้วจะทำอะไรต่อ ? แนวแก้แค้นถ้าแก้ครบแล้วจะจบเลยมั้ย ? แล้วไอ้ช่วงต้นเรื่องกับกลางเรื่องนี่ก็ด้วย มันเขียนตามกันมาเยอะจนโดนคนอ่านเดาทางออกกันหมดแล้ว ว่าแนวแรกคือ โดนไล่ > ตี้พัง > เทพซ่าส์ > ตบเพื่อน กับแนวหลังคือ โดนฆ่า > รอดตาย/ตายแล้วฟื้น > เทพซ่าส์ > แก้แค้น ถ้าเลี้ยงเนื้อหาไม่ดีก็จะจบเร็วเกินไปหรือถ้าพยายามใส่ filler เข้ามายืดเรื่องก็จะโดนคนอ่านด่าเอาได้ แต่เรื่องนี้กูมีทางออกให้นะเพราะเคยอ่านเจอวิธีอย่างการขยายสเกลเรื่อง เช่น ตบตี้เก่าแล้วพบว่าพวกนี้โดนราชวงศ์สั่งมาอีกทีก็เลยตามไปล่อพระราชาต่อ แนวล้างแค้นก็เหมือนกันอาจตามไปเก็บคนที่อยู่เบื้องหลังพวกนักฆ่าอีกที
เดี๋ยวคืนนี้เอาแค่นี้ก่อน ช่วงต่อไปจะเป็นตัวอย่างแนวแก้แค้นกับแนวไล่ออกจากตี้ที่กูคิดว่าโอเค โดยเฉพาะวิธีเปิดเรื่องกับ setting ที่ใช้
กูแนะนำโม่งรวบรวมแล้วทำเป็นไฟล์ Docx เอาไว้ด้วย เพราะเป็นข้อมูลอ้างอิงให้คนอื่นได้ดีเลย
สำหรับกูรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วยังนั่งอ่านเอาเพลินๆ ได้ จึงอยากจะแนะนำให้ทำเป็น Sheet docx เก็บเอาไว้เลย
ชักเริ่มเห็นด้วยกับโม่งข้างบนแล้วล่ะ โม่งที่นี่คือแหล่งคนที่มีระดับการอ่านสูงกว่าเด็กดีซะแล้วว่ะ
สวัสดีปีใหม่ 2567 เพื่อนโม่ง
ก่อนเข้าสู่เนื้อหาส่วนของตัวอย่างเรื่องต่างๆ กูอยากคุยเกี่ยวกับการขยายสเกลเรื่องหลังจากหมดมุกแล้วความพีคมันดรอปลง แต่นักเขียนพยายามฝืนเดินเรื่องต่อโดยใช้วัตถุดิบเดิม ตัวอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนคือเรื่อง tate no yuusha no nariagari (ผู้กล้าโล่)
ผู้กล้าโล่เปิดเรื่องด้วยการถูกใส่ร้ายจนตัวเอกต้องหลุดจากปาร์ตี้หลักของ 4 ผู้กล้า เป็นการผสมผสานกันระหว่างทั้งโดนไล่ออกและแก้แค้นในระดับปานกลาง เนื้อหาระหว่างทางมันก็ทำได้ดีอยู่ แต่ไม่ว่าจะเคยอ่านนิยายหรือดูเมะมาก็คงรู้สึกได้เลยว่า พอจบจากฉากลงโทษอีดอกตัวร้ายไปแล้ว สิ่งที่สามารถสร้างความ satisfy มันก็หมดลงไปด้วย เข้าใจกันใช่มั้ยว่าฉากที่ความจริงเปิดเผยมันเหมือนกับการได้เคี้ยวอ้อยแล้วน้ำหวานกระจายทั่วปาก กลืนเสร็จก็เหลือไว้แค่ซากอ้อยที่แทบจะไม่มีรสชาติ ต่อให้นักเขียนมันขยายสเกลเรื่องว่าพวกที่โผล่มาใน wave ต่างๆ เป็นผู้กล้าจากมิติอื่น ความน่าสนใจที่หลอกล่อให้คนติดตามช่วงแรกก็ลดลงไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้วยิ่งใช้มุกอีดอกตัวร้ายตัวเดิมหลอกผู้กล้าคนอื่นๆ ให้หลงผิดอีกรอบ มันคือการบังคับให้คนอ่านเคี้ยวซากอ้อยในปากต่อ ซึ่งก็อาจพอเหลือความหวานอยู่บ้างแต่มันก็น้อยเต็มที ไม่น่าแปลกใจเลยที่คะแนนในอนิเมะ SS2 จะหล่นวูบขนาดนั้น แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นเจ้าของเรื่อง อยากยืดขายขนาดไหนก็คงต้องแล้วแต่เธอ
สิ่งที่กูอยากสื่อคือ ทั้ง 2 แนวนี้ถ้าวัตถุดิบหลักหมดไปแล้วมึงไม่แน่ใจว่าจะเอาเนื้อหาส่วนหลังจากนั้นอยู่ ขอแนะนำให้ตัดจบเสียดีกว่า
สำหรับอีกเรื่องที่กำลังอยู่ในกระแสหลักก็คือ Kingdom of ruins เรื่องนี้ถ้าไม่ติดว่านางเอกน่ารำคาญและโลกสวยเกินไปหน่อย ก็ถือเป็นแนวแก้แค้นที่ทำได้ดีพอสมควร มันใช้การแก้แค้นมาอธิบายแรงจูงใจและการกระทำของตัวเอกได้ชัด อันที่กูชอบมากคือการหักมุมไปมาแทบจะตลอดเวลา (จนบางทีกลายเป็นจุดอ่อนให้ถูกเดาเรื่องได้) เล่าเรื่องให้คนอ่านเข้าใจได้ว่าโลกเรามันก็เทาๆ ไม่ได้มีฝั่งไหนที่ดีจริงๆ หรอก ขนาดตัวเอกเองยังยอมรับเลยว่ามันไม่ใช่คนดี เรื่องนี้โดนนักอ่านบางส่วนติเรื่องพล็อตโฮล เกี่ยวกับตอนที่ตัวเอกถูกจับตัวได้แล้วทำไมไม่ฆ่า จะขังไว้รอจนโดนเจ้าตัวกลับมาเอาคืนไปเพื่ออะไร คำตอบมันอยู่ในเนื้อหาของภาคก่อนอย่าง Kingdom of Caliburn
**** ย่อหน้าถัดไปมีสปอย ถ้าอยากอ่านเองโดยไม่เสียอรรถรส ขอให้ข้ามกรอบสปอยไปได้เลย ****
[----------------- spoiler alert ----------------------]
โอเคก่อนอื่นกูอยากบอกว่า Kingdom of Caliburn ตั้งแต่ตอนที่ 9 จนถึง 176 หาอ่านในเน็ตไม่ได้อีกต่อไปเพราะเจ้าของลบเรื่องออกไปแล้ว ส่วน 177-186 ซึ่งเป็น arc สุดท้ายกูไปใช้กำลังภายในหาเวอร์ชั่นนิยายมาอ่านได้ (หายากจนเล่นเอาเหงื่อตกเลย) ถ้าจะให้อธิบายคือทั้ง 2 เรื่องนี้มันเป็นคนละจักรวาลกัน แต่มีวัฏจักรเดิมเกิดขึ้นแม้เนื้อหาจะแตกต่างกันอยู่บ้าง ไอ้วัฏจักรที่ว่าคือในแต่ละจักรวาล ตัวละครที่เป็นอาจารย์ของตัวเอกชายจะถูกฆ่า ตัวเอกชายกับตัวเอกหญิงที่มีเวทมนตร์แห่งรักจะหาทางไปสู้กับบอสใหญ่ด้วยกัน แต่จะจบลงด้วยตัวเอกชายถูกบอสใหญ่ตัดหัว แล้วเอาหัวตัวเอกชายไปต่อกับศพไม่มีหัวของตัวเอกชายจากจักรวาลก่อน ส่วนนางเอกในจักรวาลนี้จะหาทางข้ามมิติไปเป็นบอสจักรวาลใหม่เพื่อทำแบบเดียวกัน ถ้าอ่านแล้วงง ก็ให้อ่านต่อที่ย่อหน้าถัดไป
(1) ในจักรวาล-A พระเอก-A กับแม่มดชื่อดรอสเซลสู้บอสแล้วแพ้ พระเอก-A ถูกตัดหัว ดรอสเซลเสียใจเลยข้ามไปจักรวาลใหม่พร้อมร่างกายของพระเอก-A
(2) ในจักรวาล-B นายอัลเฟรด (พระเอกมิตินี้) กับโดโรธีสู้บอสแล้วแพ้ อัลเฟรดถูกตัดหัวไปต่อกับร่างกายพระเอก-A พระเอก-A ฟื้นคืนชีพ โดโรธีรับไม่ได้เลยพกร่างกายอัลเฟรดข้ามไปจักรวาลใหม่
(3) มาถึงจักรวาล-C โดโรธีกลายเป็นบอส สั่งกวาดล้างแม่มดซึ่งโคลเอ้ (อาจารย์ตัวเอก) ก็โดนด้วย นายอโดนิสกับโดโรกะเลยเดินทางไปสู้โดโรธี
ข้อ 2 คือเนื้อเรื่องในภาค Caliburn ส่วนข้อ 3 คือเนื้อเรื่องของภาคปัจจุบัน (ภาค ruins) เหตุผลที่พวกมนุษย์ไม่ฆ่าอโดนิสทันที เป็นเพราะโดโรธีสั่งไว้ การตัดหัวตัวเอกทั้งที่ยังไม่ได้เจอกับโดโรกะ (แม่มดที่มี Love magic ของจักรวาลนี้) จะทำให้เรื่องราวในวัฏจักรผิดเพี้ยนจนหัวของอโดนิสใช้คืนชีพให้อัลเฟรดไม่ได้ เหตุการณ์ในเรื่องมันเลยกลายเป็นอย่างที่เห็น
พอเป็นแบบนี้แล้วนักเขียนคงตัดสินใจลบเนื้อหาภาค Caliburn ออกหมดเพราะมันเป็นการสปอยเนื้อหาภาคใหม่ อย่างไรก็ตามลางสังหรณ์ของนักเขียนบอกกูว่าภาคนี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเกิดขึ้น โดยเฉพาะการสิ้นสุดของวัฏจักรแห่งความทรมานเนี่ย ถ้าไม่ใช่ว่าบอสใหญ่พ่ายแพ้เป็นครั้งแรกก็อาจเป็นนางเอกภาคนี้ปลงตก ไม่คิดจะต่อหัวให้พระเอกอีกต่อไป cirle แห่งความจังไรก็จะจบลงได้เสียที
[----------------- end of spoil ----------------------]
เป็นเรื่องแนวแก้แค้นที่กูว่า lore มันทำได้ดี มีการผสมผสานการเล่าด้วยพื้นหลังและสถานที่อย่างมีสเน่ห์ ถ้าให้ลองเทียบเกี่ยวกับสไตล์การเล่าของทั้ง 2 ภาค มันทำให้กูนึกถึงเรื่อง "จอมโจรจิ๊ง" ทั้ง 2 ภาคขึ้นมาเพราะมันคล้ายกันมาก ภาคแรกจะเล่าด้วยเซตติ้งแบบแฟนตาซีคลาสสิคแล้วภาคหลังจะเล่าด้วยแฟนตาซีผสมกับอารมณ์แบบไซ-ไฟ (ในเรื่องมีเทคโนโลยีล้ำสมัย)
ที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ต่อจากผู้กล้าโล่ เป็นเพราะการขยายสเกลเรื่องของเรื่องนี้ทำได้ดีกว่าแบบเทียบไม่ติด ตัวเอกมันไล่ระดับการแก้แค้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ได้โดยไม่ทำให้ความพีคลงลงเพราะศัตรูที่ต้องแก้แค้นมีหลายกลุ่ม ส่วนหนึ่งกูว่ามันเป็นเพราะผู้กล้าโล่ไม่ได้จะเน้นการแก้แค้นแต่หนักไปทางชีวิตที่ดีขึ้นของตัวเอก ดังนั้นการนำเสนอของนักเขียน King of ruins เลยดูเข้าท่ากว่า แล้วคงจบลงได้แบบไม่ต้องยืดเนื้อหาต่อด้วยน่ะ
- ตัวอย่างเรื่องแนวแก้แค้น - (มีสปอยแน่นอน ถ้าไม่อยากโดนก็ดูแค่ชื่อพอ) ที่กูพอนึกออกว่าแก้แค้นจริงๆ มีอยู่แค่ 3 เรื่องคือ
Fukushuu O Koinegau Saikyou Yuusha Wa, Yami No Chikara De Senmetsu Musou Suru (หรือที่รู้จักกันในชื่อไทยว่าผู้กล้าราอูล)
Koibito o netorare, Yuusha party kara tsuihou sa retakedo, EX Skill [Kotei Dameeji] ni mezamete muteki no sonzai ni. Saa, Fukushuu o hajimeyou (แดมเมจธาตุมืดตายตัว 9999)
กับ [Nidome No Yuusha] Maou yo, Sekai no Hanbun wo Yaru Kara Ore to Fukushuu wo Shiyou (โดนหักหลังจนเสียคน)
เรื่องแรกเป็นแนวผู้กล้าโดนหักหลังตอนจัดการจอมมารได้สำเร็จ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เนื้อหาแม่งทำเอาผู้กล้าฮิลยอดนักเย้ดกลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลย เดินหน้าเอาคืนเรียงตัวไม่มีพัก ใครใจไม่แข็งพอแนะนำว่าอย่าหาอ่าน จะเวอร์ชั่นนิยายหรือมังงะก็มีความกุโระหนักพอกัน นอกจากความป่าเถื่อนชนิดที่ไม่มีความหวังว่าจะได้ทำอนิเมะแล้ว ตัวเอกแม่งเน้นแก้แค้นแบบไม่มีความเงี่ยนเข้ามาเกี่ยว เอาจริงๆ มันมีแก้แค้นอีกหลายเรื่องที่โอเค แต่ส่วนใหญ่ชอบมีการเอาคืนด้วยการเด้าเข้ามาปนในเนื้อหาเยอะไป กูเลยข้ามเพราะถ้าลองคิดแบบตัวเอกสายแก้แค้นดู มันยากที่จะมีอารมณ์กับคนนิสัยแบบนั้น (แค่คิดก็ขยะแขยงแล้ว) ถือเป็นเรื่องเดียวที่กูอ่านแล้วประทับใจในความจริงจังต่อแนวเรื่อง ตัวเอกเป็นตัวละครแนว Lawful Evil มีการผสมผสานความเชื่อระหว่างหลายศาสนาทั้งคริสต์ พุทธ ฮินดู เชน เกี่ยวกับโลกหลังความตาย หลายๆ คนเลือกตัดจบเรื่องนี้ถึงแค่ตอนล้างแค้นนักบุญสำเร็จ เพราะในขั้นตอนการอัพสเกลเรื่องมันเริ่มจะออกทะเลนิดๆ ย่อหน้าต่อไปมีสปอยเนื้อหา ถ้าใครอยากอ่านเองเพื่อให้ได้อรรถรสมากกว่าขอให้ข้ามไป
[----------------- spoiler alert ----------------------]
ในช่วง 60% แรกของเนื้อหายังเป็นแค่การแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟันอยู่ หลังจากจัดการคนที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่บนโลกมนุษย์แล้ว ตัวเอกหลอกใช้น้องสาวจอมมารให้มาฆ่าตัวเองจะได้ลงนรกไปคิดบัญชีกับนักบุญต่อ เพราะอีนักบุญนี่มันมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำไปล้วนถูกต้อง (เพราะทำตามคำสั่งของเทพธิดา) ตัวละครแบบนี้แหล่ะที่สร้างความฉิบหายมานักต่อนัก ประเภท "ชั่วร้ายแต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองชั่วร้าย" แยกแยะไม่ได้ว่าที่ตัวเองทำมันเลวหรือไม่ ไร้สามัญสำนึกทำตามความเชื่อของตัวเองแบบสุดโต่ง เป็นความชั่วที่อันตรายสุดๆ ไปเลย ทีนี้พอจบจากทำให้นักบุญ mindbreak เรียบร้อย ตัวเอกรู้ความจริงมาว่าทุกอย่างที่ต้องเจอ เป็นแค่รายการเรียลลิตี้โชว์ของพวกเทพเจ้า ทุกความเจ็บปวดที่กูต้องเผชิญกลายเป็นความบันเทิงของพวกแม่ง นั่งดูกูโดนกระทำกันอย่างสนุกสนานมาตลอดแบบนี้ เดี๋ยวพวกมึงเจอกูแน่ การขยายสเกลใน arc ใหม่เลยเข้ารูทเหมือนเกม God of war มีเป้าหมายคือไล่ฆ่าพวกเทพเริ่มต้นจากท่านยมในนรกที่กำลังเดินเรื่องอยู่เป็นตัวแรก
บอกตรงๆ เลยว่า ณ จุดๆ นี้ของเรื่องคือไม่มีใครที่สภาพจิตปกติแล้วในกลุ่มตัวละครหลัก คนส่วนใหญ่ที่ติดตามเรื่องนี้อยู่ก็ทำได้แค่รอดูว่ามันจะจบยังไง
[----------------- end of spoil ----------------------]
เรื่อง 2 ก็โอเค ไล่เก็บทุกคนจนครบ ต้นเหตุของความฉิบหายมาจากความเงี่ยนของผู้กล้า กับแผนการใช้ตัวเอกเป็นเหยื่อสังเวยเพื่อให้ผู้กล้าเก่งขึ้น เพราะยิ่งตัวเอกจมดิ่งสู่ความมืดแค่ไหน พลังแห่งแสงของผู้กล้าก็ยิ่งมีอานุภาพมากขึ้นเท่านั้น ถ้าตัวเอกตายไปตอนต้นเรื่องทุกอย่างก็จบไปแบบเงียบๆ แต่เจ้าตัวดันรอดมาได้
เรื่องสุดท้ายพล็อตคล้ายกับเรื่องแรก แต่ต่างกันตรงตัวเอกเป็นผู้กล้าที่โดนอิเซไคมา ฆ่าจอมมารได้แล้วก็โดนเก็บเพื่อไม่ให้อยู่เป็นหอกข้างแคร่ เอาคืนแบบโรคจิตดีโดยมีจุดขายเป็นการแก้แค้นแบบ new game+ เพราะตายแล้วย้อนเวลากลับมาตอนแรกของเรื่อง คนบงการเบื้องหลังดันอยู่ในห้องอัญเชิญพอดีทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย ชีวิตแรกเขาเป็นคนดีแต่ชีวิตนี้เขาจิตไปหน่อย น่าเสียดายตรงหาอ่านนิยายยากแล้ว เพราะ web novel โดนไล่ลบออกหลังได้ตีพิมพ์กับ kadokawa Jp.
แนวไล่ออกจากปาร์ตี้ เดี๋ยวมาต่อให้พรุ่งนี้
เออแล้ว ไอ้แนวไล่ออกจากปาร์ตี้ใครเป็นคนต้นคิดรายแรกของโลกว่ะ
>>918 อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ะ
ก่อนจะโดนหยิบเอามาใช้กันเกร่อแบบนี้มันต้องมีคนจุดประกายเริ่มใช้เป็นคนแรกๆ อยู่ละ แค่ตอนนั้นยังไม่ดังหรือยังไม่มีเรื่องที่ทำให้แนวนี้มันฮิตขึ้นมา
เหมือนสมัยก่อนอินุยาฉะก็เป็นแนวต่างโลก เมจิคไนท์เรเอิร์ธก็ต่างโลก มันก็ใช้พล็อตนี้กันมาเรื่อยๆ จนมันมาดังเพราะเรื่องแนวต่างโลกยุคหลังๆ แบบที่ลอกกันแล้วใช้วิธีโดนรถบรรทุกชนเหมือนกันหลายๆ เรื่องอะ
มีใครนึกออกมั้ยว่าแนวโดนไล่ออกมาแล้วเทพขึ้นทีหลังเนี่ยมีอะไรบ้างที่เป็นเรื่องยุคบุกเบิก (นอกจากผู้กล้าโล่)
>>918 >>920 แรกๆ มันไม่ใช่แนวที่เรียกว่าออกจากปาร์ตี้น่ะ โดยรวมคือเรื่องแนวนี้ในเว็บนิยายต่างๆ ของญี่ปุ่นเขาใช้ Tag ว่า 追放もの (exile - เนรเทศ) ไม่ได้จำกัดแค่สมาชิกปาร์ตี้ปราบจอมมาร, ปาร์ตี้ Rank S หรือปาร์ตี้ฮีโร่ แต่เป็นโดนขับไล่ในลักษณะอื่นๆ ได้ด้วย เหมือนที่กูเคยให้ตัวอย่างไปในหัวข้อ "ใครบ้างที่จะไปสมัครเป็นนักผจญภัย" (+แบบอื่นๆ ที่กูพอนึกออก)
- ลูกขุนนางสุ่มได้สกิลกากเลยโดนไล่ออกจากบ้าน
- เพื่อนสมัยเด็ก 4 คนสัญญากันว่าจะไปเป็นนักผจญภัย แล้ว 1 ใน 4 ดันได้สกิลกากเลยโดนขับออกตี้
- โดนใส่ร้ายจนต้องจากเมือง แล้วไปเจอของเทพที่เมืองใหม่
- ปาร์ตี้นี้มีพระคนเดียวก็พอ!! บทบาทในปาร์ตี้ไปซ้ำกับเพื่อนอีกคน แต่โดนไล่ออกเพราะไม่มีหี (น่าสงสาร...)
- เคยเทพมากๆ แต่เจอคำสาปแล้วกากลง เลยโดนเชิญออกจากความเป็นฮีโร่ ก่อนจะมีคนมาถอนคำสาปให้แล้วกลับมาเทพซ่าส์
- เป็นคนล้มบอสได้ แต่ราชาอยากยกผลงานให้เจ้าชาย เลยโดนเนรเทศไปอยู่บ้านนอก
- โดนทำนายว่าจะทำให้ประเทศล่มจมเลยโดนไล่ไปอยู่ที่อื่น
เอาเป็นว่าแนวนี้มันก็ไม่ใช่แนวใหม่เหมือนกัน มีมานานแล้วจนเหมือนตัวอย่างแฟนฟิคที่ >>920 บอก ซึ่งก็อาจยืมแนวทางของแนวนี้มาอีกที
ถ้าเอาตามที่กูไปค้นข้อมูลมาอ้างอิงจากแนว exile ที่ตอนนี้ serialized จากนิยายเป็นมังงะ หรือเป็นอนิเมะ 5 อันดับแรกเขียนขึ้นในปี 2020 (อันดับท้ายๆ เก่าสุดเขียนปี 2013) เลยสงสัยว่าเป็นเพราะความแค้นส่วนตัวช่วง โควิด-19 ระบาด โดนไล่ออกจากงานแล้วมาเขียนนิยายระบายอารมณ์กันรึเปล่าวะ ส่วนมากโดนไล่ออกแล้วเทพภายหลัง Epic cumback ไปมีฮาเร็มและใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กันด้วยนะ ตกงานแล้วคงหา Escapism ปลอบใจตัวเองรึเปล่าหว่า
พักหลังก็เห็นแนว กองทัพหลุดไปต่างโลกชักบ่อย แต่พอเห็นบอกว่าเป็นทหารจากมณฑลไท่กั๋วแล้ว กุนี่หลุดขำพรืด ทุกที
>>923 ผมไปศึกษาศักยภาพทัพไทยมาแล้วผมนี่ตาสว่างเลย ผมได้รับรู้ว่าทหารเนี่ยไม่เกณฑ์คนก็แห่กันไปสมัคร ไปตุยกันที่ไหนเขาก็ไปกัน รบบ่อยคนยังอยากไปตุย ให้ทุนเรียนฟรี สวัสดิการรักษายกครอบครัว ตุยก็มีเงินเดือน ได้เป็นทหารผ่านศึกคือฮีโร่ คนธรรมดาได้ยินยังต้องบอกว่าขอบคุณที่รับใช้ชาติ ผมนี่อยากแต่งนิยายทัพเมกา เย้ย! ทัพไทยไปต่างโลกเลย
ไหนๆพูดถึงทหารแล้ว กิลด์นักผจญภัยก็แล้ว ทำไมไม่เห็นพูดถึง "ทหารรับจ้าง" ล่ะ
ทหารปกครองประเทศนี้บ่อยผ่านการปราบนักการเมืองโกงกิน จนกุคิดว่าควรเอางบส่งพวกทหารเรียนสูง ๆ ประเทศกุจะได้เจริญสักที พวกเมิงว่าดีไหม เพราะถ้าพวกท่าน ๆ ฉลาดกันบ้านเมืองเราคงเจริญเหี้ยไปแล้ว
>>932 เรียนสูงกับฉลาดมันคนละเรื่องนะ ไม่เห็นพวกwoke ที่จบดร. ฮาวาดหรอ
คนไทยเก่งแต่จำกับทำตาม มันคิดเองไม่ค่อยเป็น บ้ากระแสด้วย
ดูกระแสนิยายไทยได้อะ สะท้อนเลย สาละวันเตี้ยลงๆ คุณภาพต่ำลงๆ ภาษาที่ใช้ยังแย่ลงเรื่อยๆเลย แต่อีโก้ด้วยนะไม่ยอมรับ
คนไทยเก่งเรื่องวิชาชีพอะ แต่ไม่เก่งเรื่องวิชาการกับอะไรที่ต้องคิดเรื่องใหม่ๆ
เอาเรื่องพวกนี้ไปแต่งแนว AU ได้เลยนะ ในจักรวาลที่พวกอักษะชนะสงคราม
พวกมึงตีกันอีกแล้วเรอะ Mong ... Mong never changes จริงๆ (แต่ก็ดี กูชอบอ่านแล้วเอาไว้ทำพล็อตเรื่องใหม่ๆ)
ในที่สุดก็มาถึงหัวข้อหลักกันเสียที
เรื่องล่าสุดของแนวออกตี้ที่ได้ทำอนิเมะน่าจะเป็น Yuusha Party wo Tsuihou Sareta Beast Tamer, Saikyou Shu Nekomimi Shojo to Deau อืม... แน่นอนว่าทำมาแค่โปรโมตหลอกให้คนมาซื้อนิยาย กูเลือกเรื่องนี้มาคุยในแบบเดียวกับ Kingdom of ruins เพราะมันได้ทำอนิเมะเหมือนกัน และที่สำคัญคือแม่งเป็นเรื่องที่ "โคตรจะตามขนบแนวไล่ออกจากปาร์ตี้อย่างที่นิยายเรื่องหนึ่งจะเขียนตามสูตรสำเร็จออกมาได้" ไม่เคยเจอเรื่องออกตี้เรื่องไหนคลิเช่เท่านี้มาก่อน มีปาร์ตี้ผู้กล้าสมาชิกครบทุกบทบาท ตัวเอกไม่รู้ว่าตัวเองเทพ ด้านปาร์ตี้ก็คิดว่าที่ตัวเอกทำคือเรื่องปกติ ใช้ท่าไม้ตาย LN ทั้ง 3 ข้อได้ครบ (ตัวเอกที่ เซลฟ์-อินเซิร์ท ได้/สาวๆ ที่ใจง่าย/สกิลเทพที่มีมาตั้งแต่เกิด) และมีความสนุกในระดับพอใช้
ในหลายๆ จุดขาดความสมเหตุสมผล สาวๆ หลงรักตัวเอกง่ายเกินไป ปาร์ตี้ฮีโร่ที่โง่และกาก มีมุกหัวตี้เก่าแพ้แล้วพาลหาแหล่งยืมพลังมืดมาสู้ซึ่งถูกใช้มาแล้วหลายล้านครั้ง การควบคุม pacing ทำได้แย่ เล่นเอาบางช่วงกูต้องถอดสมองก่อนสกิมต่อไม่งั้นจะอดใจด่าทุกๆ 2 ย่อหน้าไม่ไหว จุดที่ควรเล่าเพราะมีโมเมนต์ซึ้งๆ เสือกเขียนนิดเดียว ฉากต่อสู้กับหัวตี้เก่า/ลูกขุนนางที่สามารถจบได้ใน 1 หน้า เสือกลากยาวเหมือนดราก้อนบอลยิงคลื่นเต่าทั้งตอนไม่เสร็จ แล้วได้ยินเสียงน้าต๋อยเซมเบ้พูดก่อนจบว่า "แล้วพบกันใหม่ในสัปดาห์หน้า" พร้อมตัวหนังสือ つづく มุมจอ เป็นแบบนี้กับการต่อสู้แทบทุกครั้งเพราะตัวเอกมีนิสัยตามขนบ MC ของญี่ปุ่นคือไม่อยากฆ่าคนและพร้อมให้อภัยถ้าอีกฝ่ายสำนึกผิด (naive จนบางทีน่าหงุิดหงิด) ซึ่งตรงกันข้ามกับตัวเอกจีน, เกาหลี ที่เดินหน้าฆ่าไม่เลี้ยง
สรุปว่า มันสนุกแบบพออ่านได้เพลินๆ เอาไว้อ่านตอนขี้หรือนั่งรอคิวนานๆ ก็น่าจะพอไหว แต่ถ้าหวังว่าเรื่องนี้จะ good read นี่ฝันไปเถอะ อย่างไรก็ตามใครอยากได้ตัวอย่างแนวไล่ออกจากปาร์ตี้ที่มีความเป็นแนวนี้โคตรๆ กูแนะนำให้ลองอ่านดู รับรองว่าจะสำเร็จวิชา "ออกจากตี้ไปเทพซ่าส์ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กับไวฟุ 101" ได้ในระดับผลการเรียนยอดเยี่ยมเลยทีเดียว มีข้อนึงที่กูคิดว่าเรื่องนี้ทำได้ดีคือ มันใช้ความเป็นเทมเมอร์มาอ้างอิงความแข็งแกร่งตัวละครได้อย่างถูกต้อง พวกสาวๆ ที่โดนเทมเนี่ยเก่งอยู่แล้วส่วนพระเอกก็ได้รับพลังใกล้เคียงกันกับสาวๆ มาใช้ ทำให้ความเทพมันไม่โดดสูงขึ้นไปจนเสียสเกลพลัง และถึงจะเก่งขึ้นแบบจำกัดแต่หลายๆ อย่างที่ได้มานี่ก็ทำให้เทพกว่าตี้ฮีโร่ไปหลายขุม ยิ่งเทมสาวได้เพิ่มก็ยิ่งได้ความสามารถอื่นๆ มากตามไปด้วย
แต่สมมุติถ้าอยากได้แนวออกตี้แล้วเทพสัสหมา OP แบบไม่สนว่าสเกลพลังในเรื่องจะพังพินาศหรือไม่ กูขอแนะนำเรื่องพวกนี้แทน
Keikenchi Chochiku de Nonbiri Shoushin Ryokou (โดนไล่ออกแถมเมียทิ้งแต่ได้ราฟทาเลียก้อปเกรด A มาฮิลใจ)
Fuguushoku "Kanteishi" ga Jitsu wa Saikyou Datta: Naraku de Kitaeta Saikyou no "Shingan" de Musou suru (นักประเมินฮาเร็มต้นไม้โลก)
Kouryakuhon o Kushi Suru Saikyou no Mahoutsukai ~< meirei sa sero > to wa Iwa Senai Oreryuu Mao Tobatsu Saizen Ruuto ~ (จอมเวทโดนไล่กับสารานุกรมครอบจักรวาล)
รับรองว่าเทพซ่าส์ชนิดว่ากู่ไม่กลับของแทร่
- ตัวอย่างแนวออกจากปาร์ตี้ - (จะมีอธิบายเซตติ้งและระบบความสามารถพื้นฐานด้วย) หามาให้ 3 เรื่องที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ
*** มีสปอยหนักหน่วงเพราะจะล้อเลียนเรื่องความคลิเช่ให้ฟังระหว่างทาง ใครไม่อยากโดนก็เอาแค่ชื่อไปอ่านเอง***
(1) S-Rank Party Kara Kaikosareta (ถูกเตะออกตี้เพราะเป็นนักทำไอเท็มต้องสาป)
สมาชิกปาร์ตี้เก่าโดนเนิฟสมองเหมือนทุกครั้ง เข้าใจว่าที่ฝ่าฟันมาถึงระดับสูงได้เป็นเพราะความเก่งของตัวเองก็เลยเตะตัวเอกออกตี้ เรื่องนี้โดนด่าเพราะตัวเอกแม่งขาดสามัญสำนึกบางอย่างไป เช่น ไอเท็มต้องสาปที่ทำขึ้นมามีเอฟเฟคโครตดีแต่เจ้าตัวดันคิดว่ามันเป็นของธรรมดา หรือดีบัพที่ใช้ใส่มอนสเตอร์จากแนวหลังช่วยให้เพื่อนในตี้สู้ได้โคตรง่ายมันไม่ได้เจ๋งเท่าไหร่ เป็นตัวละครสไตล์ปิดทองหลังพระที่โดนไล่ออกจากตี้เช่นเคย อาวุธและชุดเกราะของคนในตี้เป็นสิ่งที่ตัวเอกคราฟให้ ซึ่งเพิ่มสเตตัสให้อย่างมหาศาลแต่มีคำสาป "ลด exp ที่ได้รับ" กับ "ติดสถานะอ่อนแอตลอดเวลา" และเพื่อให้เพื่อนๆ ทุกคนไม่ต้องโดนคำสาปนี้ ตัวเอกเลยมัดรวมผลข้างเคียงของไอเท็มทุกชิ้นมาไว้ที่ตัวเองแทน จนสเตตัสต่ำลงอย่างมากและได้ exp น้อยจนเลเวลห่างจากเพื่อน
ก่อนออกจากตี้ตัวเอกเห็นว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องแบกรับคำสาปแทนเพื่อนอีกต่อไป เลยสั่งใช้สกิล Dispell ล้างเอฟเฟคบนของทุกชิ้นที่ให้เพื่อนออก จนดีบัพ exp กับดีบัพอ่อนแรงในตัวหายเกลี้ยง แต่นั่นก็ทำให้เอฟเฟคเพิ่มความสามารถต่างๆ บนไอเท็มหายไปด้วยเช่นกัน สมาชิกใหม่ที่เข้ามาแทนที่ตัวเอกรู้สึกได้ว่าพวกในตี้อยู่ดีๆ ก็กากลงไปโคตรๆ ตอนเวท Dispell ทำงาน จนสงสัยขึ้นมาว่าที่ผ่านมาคนพวกนี้มันเก่งได้เพราะผลจากไอเท็มที่ตัวเอกคราฟให้รึเปล่าวะ (เออ หัวไวดี) หลังจากนั้นก็คือต่างคนต่างไปโดยที่ตัวเอกของเราเบนเข็มไปเอาดีด้านการค้า กะว่าจะเปิดร้านขายอุปกรณ์ต้องสาปที่ตัวเองคราฟขึ้นมา ตอนแรกเปิดร้านในเมืองหลวงแต่มีเรื่องให้ต้องหนีไปเปิดร้านแถวบ้านนอกแทน
แล้วความตามสูตรก็บังเกิด สมาชิกใหม่ที่มาแทนตัวเอกพบว่าพวกตี้เก่าแม่งกากสัสจนสุดท้ายเควสล้มเหลว ด้วยความปากหมาและการไม่ยอมรับความจริงของพวกแม่ง เลยโดนน้องบัฟเฟอร์สาวสุดอึ๋มซ้อมเพราะทนฟังไม่ไหว ออกตี้แล้วไปหาเมืองอื่นทำเควสแทน ตอนขึ้นรถม้าข้ามเมืองก็มาเจอกับตัวเอกพอดีในรถคันเดยวกัน มีฉากให้ต้องช่วยกันสู้เพื่อป้องกันพวกมอนสเตอร์นิดหน่อย จนน้องบัฟเฟอร์เข้าใจว่าพระเอกแม่งเทพสัสนี่หว่า นอกจากสเตตัสกับเลเวลที่แท้จริงจะกลับมาแล้ว อาวุธต้องสาปกับดีบัพที่พระเอกใช้แม่งเทพเว่อร์ เช่น ลดความเร็วในพื้นที่ 90% (มอนช้าจนสโลว์โมชั่น) โดนสภาวะหวาดกลัวจนโจมตีไม่ได้ (ติด fear ขั้นสูง) มีดสั้นมีสกิลโจมตีทะลุ DEF และมีโอกาสเล็กน้อยที่จะสาปเป้าหมายให้ตายทันที (ไอ้เหี้ยมีด one hit kill)
มีฉากให้กุ๊กกิ๊กกันนิดหน่อยหลังจบการต่อสู้ แต่ด้วยความเป็นตัวเอกชายที่โคตรจะญี่ปุ๊น-ญี่ปุ่น เลยทำตัวซื่อบื้อไม่รู้ว่าสาวเจ้าคิดยังไงแล้วจบตอนด้วยการเข้าตี้กัน (ซึ่งก็ตามสูตรอีกเช่นเคย) ไอเท็มที่ตัวเอกคราฟมาแต่ละอย่างมีผลดีโคตรโหด เช่นใส่แล้ว Agi x2 กับ Str x4 ในชิ้นเดียวกัน หรือพลังป้องกัน x3 กับ ไม่ติดพิษอย่างแน่นอน ในชิ้นเดียวกัน ตามปกติ Curse item พวกนี้มักมาพร้อมผลร้ายที่หนักหนาเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เช่น ใส่แล้วคุ้มคลั่งไม่รู้ว่าใครเป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรู (โจมตีทุกเป้าหมายในระยะสายตา) หรือทุกครั้งที่โจมตีพลังชีวิตจะถูกหักออก 10% (ตีครบ 10 ทีก็เป็นลมตายเอง) แต่ๆๆ ... ด้วยความที่เป็น Cursifier ตัวเอกเลยสามารถถอดดีบัพนรกพวกนี้ออกจากไอเท็มได้ ทำให้ของที่มีเพียงข้อดีชิ้นนั้นกลายเป็นไอเท็มระดับสมบัติประเทศหรืออาจไปถึงขั้นเป็นอาร์ติแฟค, อุปกรณ์ในตำนาน (เพราะมีบางครั้งคราฟออกมาแล้วเสือกได้บัพ 3-5 ออฟชั่น)
ไอ้อาวุธกับชุดเกราะที่ว่านี้แหล่ะ ทำให้สมาชิกในตี้เก่ามันเทพเว่อร์ขึ้นในระยะเวลาช่วงสั้นๆ พอโดนลบออฟชั่นในอุปกรณ์สวมใส่มั้งหมดออกไป ความสามารถที่เคยคิดว่าเป็น A+ กำลังจะได้เลื่อนขึ้น S เลยกลับมาอยู่แถวๆ C หรือ D เท่านั้น พวกลูกค้าที่ซื้อของจากตัวเอกไปก็ประทับใจกันทุกคน เพราะเอฟเฟคด้านดีมันสุดยอด ผลข้างเคียงต่างๆ ก็ถูกลบออก เหลือแค่ข้อเสียที่ว่าติดตั้งแล้วจะถอดออกจากตัวไม่ได้ ซึ่งตัวเอกก็แถมแผ่นกระดาษเขียนสกิล Dispell ไว้ให้ลูกค้าไปคนละ 1 ใบ กรณีได้ไอเท็มใหม่ที่ดีกว่ามาแล้วอยากถอดชิ้นนี้ออก (แต่ของชิ้นนั้นจะกลายเป็นของธรรมดา)
พวกปาร์ตี้เก่าเข้าใจว่าที่พวกแม่งกากลงเป็นเพราะตัวเอกร่ายคำสาปแกล้งไว้ก่อนออกตี้ เลยพยายามตามหาเพื่อฆ่าทิ้ง แต่ด้วยความที่กากเกินทำให้เควสล้มเหลวรัวๆ ตกต่ำถึงขั้นไม่มีเงินเช่าห้องพักในทาเวิร์น ต้องนอนตามตรอกแคบๆ อย่างไรก็ตามนักเขียนก็มองเห็นแล้วว่าถ้าจบตรงนี้เดี๋ยวขายต่อยาก เลยเดินเรื่องให้พวกตี้เก่ามีโอกาส cumback ไปไลล่าตัวเอกทั้งๆ ที่อีกฝั่งกำลังหาทุนเปิดร้านขายของอย่างสงบสุขอยู่
เรื่องที่ทำให้นักเขียนถูกด่าคือความไม่รู้ประสาของตัวเอก บางทีโดนล้อว่าที่ผลิตของโหดๆ ออกมาได้นั้น ต้องแลกมาด้วยการโดนคำสาปทำให้สมองเสีย สามัญสำนึกขั้นพื้นฐานหายไป ซื่อตรงจนแอบปักธงสาวๆ ในเรื่องเพียบโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยนะว่าเขาเขินกันเพราะอะไร You dense motherf**ker !! คนอ่านเขาอาจหงุดหงิดปนสงสัย แต่กูเข้าใจดีเลยในฐานะผู้ผลิตเหมือนกัน ว่าการออกแบบตัวละครให้มีความออทิสติกอ่อนๆ แบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มันออกมาสนุกแบบแนวตลกโปกฮา เท่าที่อ่านมาจนถึงตอนที่กูเล่า กูว่าเรื่องนี้ออกตี้แบบเน้นไปที่ความคอเมดี้มากกว่าซีเรียส ตัวเอกไม่รู้ตัวว่าตัวเองเก่ง คราฟไอเท็มมาโดยคิดว่าคงเป็นได้แค่ของตกแต่งบ้าน ปล่อยของขายราคาครึ่งเดียวจากของทั่วไปในตลาด ปักธงสาวแล้วไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เป็นความ OP ที่มาพร้อมความไม่รู้เรื่อง ใช้ความเข้าใจผิดพวกนี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้เนื้อหาเดินหน้าไปได้เรื่อยๆ
โดยรวมคือแนวออกตี้ที่ใช้ trope เดิมๆ มาเปิดเรื่องในช่วงแรก แต่ต่างไปตรงที่ไม่มีการปะทะกันระหว่างตัวเอกกับตี้เก่า เพราะฝั่งนึงหมดสมรรถภาพกับอีกฝั่งนึงเลือกไปทำการค้าในดินแดนใหม่ เป็นแนวออกตี้ที่อ่านสนุกได้และชวนให้ขำมากกว่าสะใจ เดินเรื่องไปเรื่อยๆ เจอสาวๆ ก็ช่วยไว้แล้วเป็นมิตรกันแบบไม่ถึงกับหลงหัวปักหัวปำอะไรปานนั้น สมแล้วที่เป็น 1 ใน 3 เรื่องที่ถูกจับตามองในขณะนี้
สรุปรายละเอียดความคลิเช่ที่ถูกใช้ไปในเรื่องช่วงแรก
☑ ปาร์ตี้เก่าโง่และกาก
☑ ปาร์ตี้เก่าเติบโตขึ้นเพราะตัวเอกอยู่เบื้องหลัง
☑ ตัวเอกเป็นอาชีพสาย support
☑ โดนเตะออกจากปาร์ตี้ด้วยข้ออ้างว่าเป็นตัวถ่วง
☑ ออกจากตี้แล้วชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น และเทพซ่าส์ขึ้นเรื่อยๆ
☑ ปาร์ตี้เก่าเกิดเรื่องร้ายแบบกรรมติดจรวด
☑ สมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาแทนตัวเอกเป็นผู้หญิง
☑ สาวคนที่ว่าไปเข้าตี้ใหม่กับตัวเอก
☑ โดนปาร์ตี้เก่าตามล่า
☑ ปาร์ตี้เก่าตกต่ำจนน่าทุเรศ
☑ ปาร์ตี้เก่า cumback จากโอกาสที่ได้มาใหม่หรือใช้พลังที่ยืมมาจากด้านมืด
เขียนไปเขียนมาเหมือนเป็นการรีวิวเรื่องไปแทนแล้วแฮะ
ก็เออ... ช่างมัน เดี๋ยวไว้ค่อยมาต่ออีก 2 เรื่องทีหลัง แต่ตอนไหนไม่รู้นะ ต้นปีมันค่อนข้างยุ่ง (ระหว่างนี้เชิญทะเลาะกันต่อไปพลางๆ ก่อน)
พวกกูจะมีสารานุกรมของตัวเอง โดยพวกเด็กดีเลิกทำแล้วสินะเนี่น
ใกล้จะครบ 1000 แล้ว อย่าลืมคิดชื่อเตรียมบทใหม่ล่วงหน้าด้วย
Ky เลิกเขียนเกมล่าคนเพื่อแม่แล้วรึ https://www.dek-d.com/board/writer/4102506/
เรื่องต่อไป...
(2) Point Gifter "Keikenchi Bunpai Nouryokusha" no Isekai Saikyou Solo Life (โดนเตะออกกิลด์เหมือนของใช้แล้วทิ้ง)
ก่อนคุยกันเกี่ยวกับเนื้อเรื่องขอคุยเกี่ยวกับมังงะที่วาดจากนิยายเรื่องนี้ก่อน คือถ้ากูรู้ว่านิยายเรื่องไหนมันมีมังงะแล้ว กูชอบตามไปดูว่ามันแปลงจากนิยายเขียนมาเป็นนิยายภาพในรูปแบบไหน เอาไว้เป็น ref กรณีใช้เขียนอธิบายให้ออกมาเห็นภาพมากขึ้น (หรือที่เรียกว่าพยายาม steal วิธีการเล่าจากตัวอย่างในฉากนั้นๆ) อืม... อ่านไปอ่านมาแล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า "ทำไมลายเส้นแม่งเหมือนดาบพิฆาตอสูรเลยวะ" หน้าตาพระเอกนี่มันคือทันจิโร่เวอร์ชั่นผมสั้นชัดๆ แถมยังชอบทำหน้าเอ๋อเหมือนกันอีก จากที่ลองไปค้นชื่อคนวาดเทียบกับทีมงานของจารย์เข้ (คนวาด Kimetsu no yaiba) กูยังไม่พบความเกี่ยวข้องใดๆ ทำได้แค่เดาว่าผู้ช่วยของนักวาดคนนี้อาจเคยอยู่ในทีมจารย์เข้มาก่อน ก็เลยติดนิสัยใช้ลายเส้นเดิมกับงานเรื่องใหม่
เรื่องนี้มีความไม่สมเหตุสมผลหลายข้อมาก อ่านที่กูเล่าเดี๋ยวพวกมึงก็จะเข้าใจเอง
เปิดเรื่องมาพระเอกชื่อฟิลโด้ (อ่านทีไรชวนให้นึกถึง*วยปลอมทุกที) โดนหัวหน้าตี้ใช้ให้ไปซื้อของ ถูกโขกสับสารพัดเพราะตัวเองมีหน้าที่แค่ไปอยู่ในกลุ่มเพื่อเร่ง EXP ให้ได้โบนัสมากขึ้น พอซื้อกลับมาถึงที่พักหัวหน้าตี้ที่ควบตำแหน่งหัวกิลด์ด้วยก็บอกว่า เงินตอบแทนจากเควสรอบล่าสุดของเอ็งจะถูกหักออกนะ เป็นหนึ่งในความคลิเช่ที่ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไรชอบอ้างเรื่องความมีส่วนร่วมในแนวหน้า แล้วหักเงินของตัว support ไปจนแทบจะไม่พอแดก (เรื่องของต้องสาปข้างบนก็โดนทำนองนี้เหมือนกันแต่กูลืมบอก) หลังโดนหยามจากสมาชิกในตี้ทีละคนเสร็จ นายกวยปลอมของเราก็ไปนอนเหงาๆ ในห้องพักแล้วใช้สกิลของตัวเองจัดสรรจำนวน EXP ที่คนในตี้จะได้รับจากการไปลุยดันเจี้ยนรอบก่อนหน้านี้
การทำงานของสกิล Point Gifter ที่พระเอกมีคือ เมื่อเข้าร่วมกลุ่มใดๆ สมาชิกภายในกลุ่มนั้นจะได้รับโบนัส EXP จากการล่ามอนสเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ในเรื่องไม่ได้บอกไว้ว่าเพิ่มกี่เท่า แต่กูเดาได้เลยว่าโคตรเยอะ) นอกจากนั้นแล้วพระเอกยังสามารถควบคุม, แบ่งส่วน และจัดสรรผู้รับ EXP พิเศษนี้ได้อย่างอิสระ ซึ่งกลายมาเป็นความไม่สมเหตุสมผลข้อแรกที่กูรู้สึกข้องใจ ว่าทำไมพระเอกถึงยังอยู่แค่เลเวล 1 ในขณะที่คนในปาร์ตี้กลายเป็นนักผจญภัยแนวหน้าระดับประเทศ แถมยังเป็นตี้ที่มีเลเวลสูงสุดอีกด้วย
อ่านต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้คำตอบว่า พระเอกอายุน้อยที่สุดในตี้และเป็นพวกหัวอ่อน ถูกหัวตี้ยัยเยียดความคิดว่า booster อย่างเอ็งไม่จำเป็นต้องเลเวลอัพก็ได้ รอโอน EXP กับแบกของดรอปกลับเมืองให้พวกกูก็พอ แล้วไอ้กวยปลอมก็เสือกเห็นด้วยเฉยว่าสกิลของเรามันใช้ในการรบไม่ได้จริงๆ โอน EXP ไปให้พวกแนวหน้าแทนดีกว่า ถ้ายังนึกไม่ออกว่าการโอน EXP ของ setting ที่นักเขียนมันบอกไว้เป็นแบบไหน เดี๋ยวกูจะเขียนให้เข้าใจง่ายขึ้นเป็นข้อๆ
ปาร์ตี้มีกันทั้งหมด 5 คนไปล่ามอนสเตอร์ 1 ตัว
เข้าไปลุย 4 แล้วให้ไอ้ฟิวโด้ไปหลบอยู่ห่างๆ
พอมอนตายคนที่สร้างความเสียหายจะได้รับ EXP หารเท่า
สมมุติว่ามอนสเตอร์ให้ EXP 400 หาร 4 คนได้คนละ 100
สกิลของฟิลโด้ boost เพิ่มจาก 100 เป็น 3,000 สำหรับทุกคนในปาร์ตี้
เท่ากับว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ถูกปรับแต่งให้มอบ EXP 15,000 แทน
ฟิลโด้ที่ได้ EXP พิเศษมา 3,000 สั่งโอน EXP ของตัวเองไปให้คนอื่น
แต่ละคนในปาร์ตี้จึงได้ EXP 3,000 + 750 = 3,750 หน่วย
ส่วนพระเอกของเราไม่ได้เหี้ยอะไรเลยนอกจากเศษเงิน
นอกจากการเป็นสมาชิกปาร์ตี้แล้ว ฟิลโด้ยังเป็นสมาชิกกิลด์ของไอ้หัวตี้ด้วย นั่นเท่ากับว่าสมาชิกที่มาสมัครเข้ากิลด์ของไอ้คล้อด (ชื่อหัวตี้ตัวร้าย) จะได้รับผล EXP x30 ทันทีเมื่อออกล่ามอนสเตอร์แม้จะไม่ได้อยู่ในตี้เดียวกันกับพระเอก ตามที่คำอธิบายสกิลบอกว่าจะมีผลทันที "เมื่อเข้าร่วมกลุ่มใดๆ"
กลับมาที่ส่วนต่อไปของเนื้อเรื่อง กลางดึกวันเดียวกันนายดิลโด้ เอ๊ย! ฟิลโด้ โดนไอ้คล้อดเรียกไปคุยบอกว่าแต่วันนี้เป็นต้นไปมึงถูกไล่ออก พระเอกของเราก็ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายตามประสาพระเอกแนวโดนไล่อย่างสุดจะคลิเช่ว่า ถึงจะไม่ได้ออกรบแต่สกิลที่มีก็ช่วยให้ทุกคนเก่งขึ้น ทำเควสปราบปรามเสร็จกูก็ช่วยขนของกลับให้ พอมาถึงเมืองก็เป็นธุระหาซื้อของใช้จำเป็นแทนพวกมึงจนแทบจะกลายเป็นคนใช้ การมีส่วนร่วมทดแทนพวกนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลยเหรอ พอได้ยินอย่างนั้นไอ้หัวกิลด์ก็หัวเราะลั่นแล้วบอกว่าในเมื่อพวกกูเวลเยอะกันแล้ว ความโด่งดังของกิลด์ก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว (เป็นกิลด์ที่มีอัตราความสำเร็จภารกิจอันดับ 1) booster อย่างมึงก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปยังไงล่ะ
กวยปลอมช้ำใจน้ำตาแทบจะไหลขึ้นหน้าผากถามไอคล้อดเป็นครั้งสุดท้ายว่ามึงแน่ใจนะว่าจะไล่กูออกจากกิลด์ ถ้ากูออกไปจริงๆ นอกจากปาร์ตี้ของเราแล้วสมาชิกในกิลด์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยนะ ไอ้หัวกิลด์ได้ยินก็ไม่พูดอะไรแต่ถีบยอดหน้าพระเอกจนกระเด็นออกจากประตูทางเข้ากิลด์แทนคำตอบ พอประตูสำนักงานกิลด์ปิดลง ไอ้ฟิลโด้ที่ตาสว่างก็สั่งปลดสกิลตัวเองออกจากปาร์ตี้และกิลด์ของไอ้คล้อดแล้วเดินจากไปพร้อมเสียงแจ้งเตือนที่ดังว่า "เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น" ทุกๆ 3 วินาที
ตรงจุดนี้เรื่องจะเล่าแค่ว่าเลเวลของฟิลโด้มันพุ่งขึ้นอย่างเว่อร์ (แต่ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไร ถึงไม่ยอมบอกว่าเวลเท่าไหร่) สเตตัสต่างๆ ในหน้าจอก็เยอะสัสหมา พระเอกของเราพอไม่มีกิลด์อยู่ก็เลยไปของานทำที่สมาคมนักผจญภัยกลางซึ่งเป็นกิลด์นักผจญภัยประจำเมือง *** พอถึงจุดนี้กูคิดว่า setting ของคนเขียนมันไม่ได้กำหนดว่าให้มีกิลด์อยู่หลายกิลด์ แต่กำหนดให้ Clan ถูกเรียกว่ากิลด์เหมือนกัน พอไอ้โด้โดนเตะออกจากแคลน เลยไปหางานทำที่กิลด์นักผจญภัยแทน *** สมัครเสร็จพระเอกจำได้ว่าเมื่อคืนฝันถึงเนื้อมังกรที่เคยอยากกิน เลยขอเควสล่ามังกรจากพี่สาวพนักงานต้อนรับ คุณเธอก็ลังเลอยู่ว่าเควสแรกมามึงจะลุยมังกรเลยเหรอ ระหว่างที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะให้ทำเควสดีหรือไม่ ตาลุงนักผจญภัยคนนึงก็โผล่มาหาเรื่องให้พระเอกโชว์เทพและได้เควสปราบมังกรมาอย่างสะดวกสบาย (จนนักเขียนดูมักง่าย) ตรงนี้กูมีความเอ๊ะ! นิดๆ เพราะปกติกิลด์นักผจญภัยจะไม่อนุญาตให้รับเควสข้าม Rank ขนาดนี้ แต่ก็เอาเถอะ บางทีในโลกของเรื่องนี้อาจอนุญาตก็ได้ ช่างแม่ง
ช่วงที่ฟิลโด้เดินทางไปปราบมังกร สมาชิกใหม่ที่จะมาเข้าตี้พี่คล้อดแทนพระเอกกำลังทดสอบฝีมืออยู่ที่สนามประลองของกิลด์ นักดาบสาวฉายา sword saint โชว์เทพจนสอบผ่านเสร็จแล้วก็ถามหาไอ้โด้ทันที อืม... ตามสูตรเป๊ะ สมาชิกใหม่เป็นผู้หญิง, เข้าตี้มาเพราะอยากเจอตัวเอก พวกมึงคงพอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อใช่มั้ย
พี่คล้อดได้ยินแล้วก็เหงื่อแตกเหมือนคนท้องเสีย บอกน้องนักดาบชื่อ "ลูนาซิส" ว่าฟิลโด้มันลาพักร้อนไปเที่ยวอีก 2-3 วันถึงจะกลับให้เธอรอไปก่อน ที่ต้องโกหกแบบนี้เพราะกลัวว่าสมาชิกใหม่สุดแกร่งจะออกจากกิลด์ไปหาไอ้โด้แทนถ้ารู้ความจริง พอคิดว่าจะไปเชิญพระเอกกลับมาก็ไม่อยากเสียหน้าอีก แล้วจู่ๆ พี่คล้อดก็ทำตัวช่องคลอด คิดไปว่าถ้าไม่มีพระเอกแล้วน้องนักดาบก็ไม่มีเป้าหมายให้ไล่ตาม เลยจะออกไปตามหาไอ้โด้แล้วฆ่าทิ้งแบบให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุระหว่างไปเที่ยว (WTF! มึงคิดได้ไงวะไอ้นักเขียนนน)
เรื่องราวโดยสรุประหว่างนี้คือ ฟิลโด้เดินทางไปถึงพื้นที่เป้าหมาย เจอคณะเดินทางของพ่อค้าจากหอการค้าเมืองหลวงที่เดินทางต่อไม่ได้เพราะเห็นว่ามีมังกรอยู่บนถนนไม่ไกลนัก พระเอกของเราบอกว่าผมมาล่ามังกรตัวนั้นพอดีให้ลุงรอแป๊บนึง ฉากต่อสู้นี่น่าสมเพชดี เพราะไอ้โด้ไม่เคยต่อสู้แนวหน้า เลยเจอทั้ง ตีน, ไฟ, และหางมังกรไปจนน่วม ที่ยังไม่ตายเป็นเพราะเลเวลเยอะกับสเตตัสสูงมากเฉยๆ สู้ไปสู้มาก็ตัดหัวมังกรได้แต่ตอนกลับไปแจ้งข่าวให้ลุงพ่อค้า พี่ช่องคลอดกับพวกก็จับลุงเป็นตัวประกันเพื่อขู่ไม่ให้พระเอกขัดขืน ทว่าพอถึงตอนที่จะสู้กันก็เกิดความผิดปกติขึ้นหลายอย่าง เช่น ไอ้ช่องคลอดยกดาบที่เคยใช้ไม่ขึ้น เจ๊นักเวทใช้สกิลน้ำแข็งฟรอสไบท์แต่สิ่งที่ออกมาจากปลายไม้เท้ากลายเป็นสายลมเย็นสบาย ตัวชนเจอเตะทีเดียวอ้วก พระฮิลให้ก็ไม่ดีขึ้น พอเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็เลยพากันหนีไป ส่วนพระเอกขอให้ลุงย่างสเต๊กเนื้อมังกรให้เป็นการตอบแทน
สาเหตุที่พวกพี่คลอดกากลงเป็นเพราะเมื่อฟิลโด้ออกจากกิลด์ EXP พิเศษที่เคย boost ด้วยสกิล Point Gifter ทั้งหมดจะถูกดึงกลับไปหาเจ้าของนั่นก็คือตัวพระเอกเอง เรื่องนี้เป็นอะไรที่เลวร้ายมากจนไม่น่าแปลกใจที่พวกตี้เก่าจะสู้พระเอกไม่ได้ หลังจากโดนยึดโบนัส EXP ไปแล้ว จำนวน EXP ที่อยู่ในตัวของสมาชิกกิลด์คนอื่นจะเหลือแค่จำนวนปกติก่อน boost สิ่งนี้ส่งผลให้เลเวลของทุกคนลดลงฮวบฮาบ ดังนั้นการที่พี่ช่องคลอดจะยกดาบไม่ขึ้นจึงเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับพวกอาวุธในเกมที่ใส่ได้ตอนเลเวล 95 และต้องมี Str พื้นฐาน 200 พอเลเวลลดเหลือ 50 และ Str มีไม่ครบตามข้อกำหนดก็เลยใช้ไม่ได้ไปโดยปริยาย
แล้วก็มาถึงจุดที่นักอ่านโปรดปราน... ความฉิบหายของปาร์ตี้เก่านั่นเอง พวกพี่คลอดโดนพระราชาเรียกเข้าวังไปพบ เพราะมีข่าวว่าปาร์ตี้พี่คลอดจับตัวประกันและพยายามฆ่านักผจญภัยคนอื่น สมาชิกในตี้ได้คุกเข่าตัวสั่นแต่พี่หัวตี้ของเราตีหน้านิ่งอ้างว่า เป็นแค่พวกคนหน้าเหมือนมาแอบอ้างชื่อแล้วก่อเหตุ พระราชาเลยสั่งว่าให้กิลด์ของพี่คลอดหยุดการรับภารกิจไปก่อนจนกว่าจะจับตัวคนร้ายพวกนั้นได้ (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้) เรื่องนี้ทำเอาพี่คลอดหมดทางหากินเลยทีเดียว หลังจากปาร์ตี้เก่าออกจากวังไป พระราชาก็เรียกฟิลโด้เข้ามารับรางวัลปราบมังกรพร้อมเชิญให้มาเป็นขุนนาง เจ้าพระเอกของเราปฏิเสธเพราะคิดว่าตัวเองอายุยังน้อยและอยากออกไปท่องโลกกว้าง ราชาก็ไม่ว่าอะไรแล้วบอกให้หัวกิลด์จากกิลด์ใหญ่อีกกิลด์คอยจับตาดูเจ้าหนุ่มไว้ อันที่จริงพระราชารู้ความจริงหมดแล้วเพราะพ่อค้าที่ฟิลโด้ช่วยไว้เป็นคนสนิทส่วนพระองค์ ก็เลยสั่งยุบกิลด์พี่คลอดทางอ้อม ไม่ช้าก็เร็วกิลด์ที่รับงานไม่ได้ก็ต้องล่มสลายอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นก็มีความฉิบหายเกิดขึ้นกับพวกพี่คลอดอีกหลายอย่าง เช่น สมาชิกกิลด์ที่รับงานค้างไว้ก่อนโดนห้าม พากันกากลงจนเควสไม่สำเร็จทุกปาร์ตี้ คนที่บาดเจ็บกลับมาต้องใช้เงินของกิลด์รักษา นักผจญภัยส่วนใหญ่ก็พากันย้ายกิลด์เพราะอยู่ต่อไปก็รับงาน เหลือไว้แค่พวกไม่ออกไปทำเควสแต่กระดิกตีนรอรับเงินเดือน (ซึ่งตรงนี้แหล่ะทำให้กูคิดว่ามันเป็นแคลนมากกว่ากิลด์) เงินกองกลางของกิลด์ก็ลดลงเรื่อยๆ พอรับเควสไม่ได้ก็ต้องไปทำงานสาธารณะประโยชน์ เก็บขยะ ทำความสะอาด พอทนรับความอับอายไม่ไหวก็แอบไปรับเควสเถื่อนโดยตรงมาทำ แล้วเสือกสู้มอนสเตอร์ระดับกลางไม่ไหวจนเควสล่ม ได้รับบาดเจ็บมาพระในตี้ก็รักษาได้แค่ไม่กี่ครั้งเพราะเลเวลกากลง ต้องขายของเทพๆ ที่เคยมีประทังชีวิตแล้วเปลี่ยนมาใช้ของธรรมดาที่ขายในร้านอุปกรณ์ ทุกอย่างมันเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง... (อยากรู้ว่าพวกนี้จบยังไงก็ไปหาอ่านกันเอง)
เนื้อหาต่อจากนั้นเป็นการเข้าสู่ arc ใหม่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นายฟิลโด้เดินหาซื้อของในเมืองอยู่ดีๆ ก็โดนนักดาบสาวสมาชิกใหม่โผเข้ากอดแบบไม่ทันตั้งตัว บอกชื่ออะไรเสร็จก็อวยพระเอกจนออกนอกหน้า แล้วบอกว่าขอเข้าตี้กันได้มั้ย ไอ้โด้ที่ยังตกใจไม่หายก็ปฏิเสธ (เป็นกู กูก็ไม่เอาเหมือนกันวะ ทำตัวน่าสงสัยเกินอีนี่) ตรงนี้นะ เป็นความคลิเช่อีกเช่นเคย เพราะตัวละครไวฟุแคนดิเดตมีจุดมุ่งหมายว่าจะมาเข้ากิลด์พบตัวพระเอก น้องลูนาซิสหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี รู้ว่าฟิลโด้มีสกิลบูสและแบ่ง EXP ในกลุ่มได้ แถมยังใจดีแบ่ง EXP ให้ทุกคนในกิลด์ทั้งหมดอีกซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมาก ยิ่งรู้แบบนี้ไอ้โด้ยิ่งระแวงหนักขึ้นไปอีกว่ามึงวางแผนอะไรอยู่กันแน่วะ
หลังจากนั้นฟิลโด้พยายามหนีเข้าห้องสมุดเพราะทนฟังเสียงลูนาซิสตามตื้อขอเข้าตี้ไม่ไหว จนถึงจุดนึงพระเอกหยิบหนังสือเกี่ยวกับเอลฟ์มานั่งอ่าน ลูนาซิสเลยกระซิบถามว่าสนใจเรื่องเอลฟ์เหรอ ถ้าอยากเห็นเผ่าเอลฟ์ตัวเป็นๆ ล่ะก็ เรานำทางไปประเทศของเอลฟ์ได้นะ เจ้าหนุ่มถึงขั้นหูผึ่งตาเป็นประกาย คิดว่าถ้าน้อง sword saint เป็นนักผจญภัยระดับสูงแบบนี้ก็น่าจะเคยไปเมืองเอลฟ์มาแล้วจริงๆ เลยยอมทำตามข้อตกลงว่าจะเข้าร่วมปาร์ตี้กันชั่วคราวแล้วค่อยออกหลังทัวร์เมืองเอลฟ์เสร็จแล้ว
ช่วงกลาง arc รวบสั้นๆ ได้ว่าพากันเดินทางไปเมืองเอลฟ์ได้สำเร็จ แต่พอไปถึงจริงๆ พวกเด็กๆ ก็วิ่งมาทักแม่สาวน้อยของเราเหมือนรู้จักกันอยู่แล้ว สมาชิกฮาเร็มรายแรกเลยต้องเฉลยด้วยการดึงต่างหูปลอมตัวออก หูคนก็ยืดกลายเป็นหูเอลฟ์เหมือนประชาชนที่นี่ กลายเป็นว่าเอลฟ์ที่อยากเจอมันอยู่ข้างตัวกูมานานแล้ว นอกจากเรื่องนี้ลูนาซิสยังบอกอีกว่าที่อยากเจอตัวฟิลโด้เป็นเพราะประเทศเอลฟ์กำลังประสบปัญหาหนักที่อาจทำให้เอลฟ์สูญพันธุ์ได้ ก็เลยอยากขอความช่วยเหลือจากพระเอก ตรงนี้ก็เป็นความคลิเช่เหมือนกัน
ปัญหาที่ว่าคือประชากรเผ่าเอลฟ์วัยรุ่นขึ้นไปกำลังป่วยจากสภาวะ "มานาแห้งเหือด" ปกติแล้วเอลฟ์จะได้รับมานาจากธรรมชาติเรื่อยๆ พอได้มานาเพียงพอก็จะสามารถมีลูกได้ แล้วพอเด็กโตเต็มวัยก็จะมีการคืนมานาในตัวเอลฟ์กลับคืนสู่ธรรมชาติ แต่ว่าพักหลังๆ มานี้เอลฟ์โดนล่าโดยพวกมนุษย์เพราะรูปโฉมที่งดงาม พอโดนล่าไปมากๆ เข้า จำนวนเอลฟ์ที่จะคืนมานาสู่ธรรมชาติก็น้อยลง ทำให้ปริมาณสมดุลของมานาในวงจรลดต่ำป่าป่วย เอลฟ์ก็ป่วยตามกันยกประเทศ จนไม่สามารถมีลูกได้ ทำให้จำนวนมานาก็ยิ่งลดตามไปอีก ลูนาซิสในฐานะเจ้าหญิงของเผ่าเห็นว่าวิธีการที่พ่อ (ราชาเอลฟ์) ใช้ทำได้แค่ประวิงเวลาแต่แก้ไขอะไรไม่ได้ เลยหนีออกจากป่ามาเก็บเลเวลเองเพื่อเพิ่มจำนวนมานาในตัวจนหายป่วย แล้วตามหาวิธีช่วยประชาชนด้วยวิธีใหม่แทน
หวยก็มาออกที่นายฟิลโด้ของเรา เพราะถ้ารับพระเอกเข้าเป็นคนของเผ่า เท่ากับว่าเจ้าตัวได้กลายเป็นสมาชิกของประเทศเอลฟ์และสกิล Point Gifter จะทำงานทันที ถ้าให้พระเอกเข้าร่วมคณะสำรวจไปปราบปรามมังกรโบราณ แล้วแบ่ง EXP ให้ทุกคน ด้วยการบูสโบนัส EXP ที่โหดสัสจากการปราบสัตว์อสูรระดับเทพนิยาย ทุกคนในประเทศก็จะเลเวลอัพแล้วได้มานามาใช้ส่งคืนสู่ธรรมชาติ ตอนแรกลูนาซิสคิดว่าพระเอกจะเกลียดตัวเองเพราะพยายามใช้เขาเป็นเครื่องมือ แต่พอฟังคำอธิบายแล้วเจ้าหนุ่มก็เข้าใจถึงความจำเป็นของอีกฝ่าย แล้วรับปากว่าจะช่วยก่อนถามว่าต้องทำอะไรบ้าง
จากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ราชาให้ดาบเทพกับพระเอกเอาไปใช้ ยกพวกกันไปรุมมังกรตัวใหญ่เท่าภูเขา มังกรคงคิดในใจ กูนอนนิ่งๆ ตรงนี้มาพันกว่าปีแล้วกูผิดอะไรพวกมึงถึงมาตัดหัวกูถึงบ้านเนี่ย ปราบเสร็จแล้วก็กดแบ่ง EXP ไปให้ประชาชน ทุกคนก็หายป่วยเพราะมีการหมุนเวียนมานาในวงจรอย่างเพียงพอ พวกที่แก้มตอบซูบผอมก็กลับมาหน้าอิ่ม น้องสาวของลูนาซิสที่ตอนแรกใกล้ตายก็กลับลุกขึ้นมายืนได้ มีการจัดงานเฉลิมฉลองในวัง ประกาศเป็นวันหยุดสำคัญของปีให้รื่นเริงได้ 7 วัน 7 คืน เลี้ยงอาหารจากเนื้อมังกรไม่อั้น (สัส ฆ่ากูเอา EXP แล้วยังเอาเนื้อกูไปแดกด้วย) ฟิลโด้กลายเป็นแขกระดับสูงพิเศษที่สามารถ เข้า-ออก เมืองเอลฟ์ผ่านบาเรียในป่าลวงตาได้ตามต้องการ แถมราชาเอลฟ์ยังพยายามจะมอบตำแหน่งราชาองค์ต่อไปให้ด้วย (แต่ลูนาซิสมาห้ามไว้ทัน)
พอตกดึกคืนนั้นฟิลโด้ที่ไม่ถูกโรคกับการอยู่ท่ามกลางความสนใจแอบหนีออกจากเมืองหลวงเอลฟ์ แต่โดนลูนาซิสจับได้เสียก่อน พอถูกถามว่าจะไปไหน พระเอกของเราก็บอกว่าดาบที่พ่อเธอให้มามันสุดยอดมาก เป็นอาวุธที่พวกคนแคระตีขึ้นอย่างประณีต เลยคิดว่าจะหาทางไปเที่ยวเมืองคนแคระต่อ ลูนาซิสเลยบอกว่างั้นเดี๋ยวจะไปด้วย เพราะถ้ามึงเดินทางในป่าลวงตาคนเดียวตอนกลางคืนก็มีแต่จะหลงป่าตาย แล้วพอออกเดินทางกันมาได้สักพักก็พบว่าน้องสาวของลูนาซิสแม่งตามมาด้วยเพราะอยากไปเมืองคนแคระเหมือนกัน เท่ากับว่าเจ้าหญิงเผ่าเอลฟ์ทั้ง 2 คนตามไอ้โด้ออกมาหน้าตาเฉย (แล้ว พ่อ-แม่ พวกเธอไม่ว่าอะไรเหรอวะ) คือไม่มีคำอธิบายอะไรให้ แต่ตัดฉากไปถึงการเดินทางวันใหม่ในเมืองหลวงแบบงงๆ พร้อมกับภาพพี่ช่องคลอดที่ตอนนี้กลายเป็นฆาตกรเต็มตัว จ้องจะเล่นงานฟิลโด้ด้วยของอันตรายต่างๆ เพราะแค้นใจว่าที่ตัวเองตกต่ำแบบนี้เป็นความผิดของพระเอก
โอ้โห... ไม่เคยเห็นจุดเปลี่ยนแบบนี้เลยนะเนีย เป็นครั้งแรกของโลกจริงๆ ที่มีการเดินเรื่องแบบนี้ (ประชด)
โดยรวมคือแนวออกตี้ที่ใช้ trope เดิมๆ มาเปิดเรื่องในช่วงแรก ฝั่งปาร์ตี้เก่ากากลงทันทีหลังเตะตัวเอกออก กูเดาว่าหลังจากปราบพี่ช่องคลอดได้ก็คงไปหลั่นล้าตามประสาพระเอก OP ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กับ 2 พี่น้องชาวเอลฟ์เหมือนที่อาจารย์แดงเคยบอกว่า มี 2 xี ดับเบิ้ล xี แล้วก็คงเจอพวก damsel in distress ตามเมืองต่างๆ ให้ช่วยแล้วพาเข้าฮาเร็มอีก เจอศัตรูใหม่ๆ ที่เก่งขึ้นแต่ใช้พลังมิตรภาพและความเทพซ่าของตัวเอกปราบได้ แปลงร่างเป็นแนวฮาเร็มเทพซ่าส์ไปโดยสมบูณ์
ส่วนตัวแล้วกูมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับวิธีคิดของตัวละครต่างๆ อยู่หลายจุด เช่น ทำไมพี่ช่องคลอดตอนคิดจะฆ่าฟิลโด้ต้องจับตัวประกันให้มีพยานรู้เห็นด้วย ถ้ากูจะทำเรื่องผิดกฏหมายอะไรสักอย่าง กูต้องแน่ใจว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุดดิวะ เรื่องเตะพระเอกออกกิลด์นี่ก็เหมือนกัน กูว่าไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย รู้ทั้งรู้ว่าสกิลของพระเอกโคตรจะสำคัญก็ยังจะทุบหม้อข้าวตัวเองอีก (พาลูกกิลด์ซวยเกือบตายไปด้วยอีกตั้งหลายคน) แล้วเรื่องนางเอกคนแรกที่โผล่มาเนี่ยก็เหมาะเจาะเกินไปเรื่องที่เป็นเอลฟ์อย่างที่พระเอกสนใจอยู่พอดี มันเป็น plot device ที่ง่ายและสะดวกเกินจนน่าขำ ความไม่สมเหตุสมผลของการอนุญาตให้รับเควสมังกรของพนักงานต้อนรับ
ตัวเอกที่ไม่คิดทดสอบความสามารถของตัวเองก่อนลุยว่าเก่งถึงขั้นไหน ต่อให้เทพซ่าส์ขึ้นมาแบบฉับพลันยังไงก็ช่าง ก็ควรวัดเสียหน่อยว่าไหวพอสู้มังกรจริงรึเปล่า โดยเฉพาะกับคนที่ปกติไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการต่อสู้มาก่อนอย่างไอ้พระเอกด้วย การตัดฉากกับ Pacing นี่อีกอย่าง ออกกิลด์ได้คืนเดียวฝันเห็นเนื้อมังกรที่มีคนเคยกินให้ดูก็เลยจะไปล่าบ้าง (?) เดินเรื่องมาตั้งนานไม่มีการพูดถึงความชื่นชอบเอลฟ์ของตัวเอก แต่จู่ๆ ก็พูดถึงขึ้นมาตอนไปห้องสมุด (?) เรื่องเมืองคนแคระก็ด้วย เดินเรื่องแบบตามใจกูดีมาก อ่านเทียบระหว่างนิยายกับมังงะ ตอนแรกคิดว่ามังงะมันตัดออกเยอะเพื่อประหยัดหน้ากระดาษ ที่ไหนได้ในนิยายมึงก็ตัดฉากแบบเรื่อง Top up NOW ของจระเข้ผึ่งพุงเลยนี่หว่า วิธีการเล่ากูยังไม่ให้ผ่าน เรื่องที่ชอบจริงๆ คงเหลือแค่ลายเส้นมังงะที่คล้ายดาบพิฆาตอสูรล่ะวะ
สรุปรายละเอียดความคลิเช่ที่ถูกใช้ไปในเรื่องช่วงแรก
☑ ปาร์ตี้เก่าโง่และกาก (ประมาทเกินไปว่าถึงโดนหัก EXP แล้วก็คงจะยังเทพอยู่+มีการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล)
☑ ปาร์ตี้เก่าเติบโตขึ้นเพราะตัวเอกอยู่เบื้องหลัง
☑ ตัวเอกเป็นอาชีพสาย support (เป็น booster ที่ความสามารถทางการรบ = 0)
☑ โดนเตะออกจากปาร์ตี้ด้วยข้ออ้างว่าเป็นตัวถ่วง
☑ ออกจากตี้แล้วชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น และเทพซ่าส์ขึ้นเรื่อยๆ
☑ ปาร์ตี้เก่าเกิดเรื่องร้ายแบบกรรมติดจรวด
☑ สมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาแทนตัวเอกเป็นผู้หญิง
☑ ผู้หญิงคนที่ว่าไปเข้าตี้ใหม่กับตัวเอก (และรายนี้มาเพื่อใช้ประโยชน์จากตัวเอกด้วย)
☑ โดนปาร์ตี้เก่าตามล่า
☑ ปาร์ตี้เก่าตกต่ำจนน่าทุเรศ
☑ ปาร์ตี้เก่า cumback จากโอกาสที่ได้มาใหม่หรือใช้พลังที่ยืมมาจากด้านมืดเพื่อแก้แค้นพระเอก
เรื่องนี้เขียนซะยาวเลย แต่เรื่องหน้าอาจจะยาวกว่าเพราะต้องอธิบาย setting หลายๆ อย่าง ยังไม่รู้ว่าจะว่างลงวันไหน ระหว่างนี้เชิญต่อยกันรอไปก่อน
อุดมไปด้วยคนโง่และเลว ในนามตัวแทนแห่งความดี
คนดีจะเก่งแบบไม่มีเหตุผลเพื่อไปกระทืบคนชั่วและเลวมันผิดตรงไหน
กุรู้ว่ากูฟินก้พอล่ะ
สักวัน จะมีนิยายล้อเลียนปาร์ตี้ไล่ตัวเอกออกแบบ Scary Movie
ร้อนชิบหายเลย อ่านไม่ไหว
เคยเจอแบบยัยผมทองเหมือนกัน แต่เสริมหน่อยว่าดีกว่า(แบบแปลกๆแตกต่าง)ตรง..ผมมีเอกลักษณ์กว่าที่ค่อนข้างมืดมน
.
ผมสมัยเรียนปีแรกๆมองโลกแง่ร้าย ยิ้มบ่อยแต่เหมือนเสเเสร้งปนเหยียดและประชดเรียกว่าวอนตีนล้วนๆ แต่แปลกดีที่ไม่มีคนเกลียด การใช้บวกปรับสายตา(การขยัยกล้ามเนื้อรูปหนังตากับคิ้ว)เพื่อแสดงออกนี่ถ้าดูจากกระจกยังอึกเองเลยว่าตัวเองกำลังคิดไรอยู่ก็ไม่รู้ แถมทั้งหมดถูกจดจำมีแต่คนเป็นมิตรมาอยู่รอบตัวซึ่งทำสงสัยตัวเองมีดีอะไรนะถึงมีแต่คนคอยพยุงตลอดเวลา ตัวผมจะต่าง(กับตัวละครข้างบน)ที่ตรงไม่ค่อยเจอสายตื้อที่อยากเป็นเพื่อนแบบยันทอมในเรื่องแหะ ...
.
อ๊ะ!ใช่ว่าจะไม่เคยเจอนะ ผมเจอแค่ครั้งเดียวตอนปีหนึ่งเป็นหนุ่มหล่อขี้สงสัยจากคณะครุศาสตร์(ที่จ้วงหัวว่าแม่งตื้นเขินน่ารำคาญชะมัดแต่ก็ไม่เกลียด) และดูเหมือนผมจะถูกตีตัวออกห่างเองในหนึ่งวันแห่งความพยายามของเจ้าหมอนั่นซึ่งวันนั้นฝนตกซะด้วย ผมก็ไม่เห็นเจ้านั้นอยู่หลายปี.... ตื้นชะมัดเลยนะ ทั้งที่ทางนี้อุตสาห์เปิดหัวข้ออภิปรัชญา เช่น ความหมดศรัทธาว่ามนุษย์เป็นสัตว์ผู้มีเหตุผลหลังผ่านยุคโพสโมเดิร์น กับแนะนำหนังสือโลกของโซฟี่และนักปรัชญารุ่นเดอะ ต่างๆแท้ๆ การเมืองนู่นนี่ ความเป็นจริงและสิ่งที่ต้องจ่ายแม้จะทำตัวเมินเฉยในนาม "เป็นกลาง" ที่อ้างๆ กันของคนกลุ่มหนึ่งว่าตามจริงการอยู่เฉยก็มีราคาที่ต้องจ่ายเช่นเดียวกัน ....... ผมพูดแต่เรื่องเครียดรึไงไอ้บ้านั้นเลยหนี เฮ้อ น่าขยะแขยงชะมัด
เงียบเหงาจัง
E rank ไร้ค่าแก้แค้นเทพธิดา ได้ทำอนิเมะอีกเรื่องละ
ตอนแรกแนวออกตี้ ตอนนี้แนวแก้แค้น สงสัยกูต้องแต่งแนวนี้เพิ่มไว้บ้างเพราะดูเหมือนว่ากระแสมันกำลังมา ไอ้ที่เคยทำนายว่าจะได้ทำอนิเมะก็ทะยอยกันเป็นจริงมาทีละเรื่อง (ผู้กล้าฮิล - พี่เทพชายแดน - อยากเป็นพลังในเงามืด - เทมเมอร์กับน้องแมว - มนุษย์เทพในทัพมาร - เอลฟ์อ้วนลดน้ำหนัก)
ตอนนี้คือขึ้นอยู่กับเวลาว่า
6 เรื่องในตัวอย่างแนวแก้แค้น/ออกปาร์ตี้ กับพวกเรื่องชื่อ นิโตะฮิลกาก, การปฏิวัติของมังกรดูดวิญญาณ, คุคุคุ~ ขุนพลมารกากสุดได้เป็นครูฝึกปาร์ตี้ผู้กล้า, Live dungeon ฯลฯ อะไรพวกนี้จะได้ทำเมะตอนไหน เพราะเรตติ้งนิยายมันดีจนได้ทำมังงะ พอเป็นมังงะเรตติ้งก็ดีอีก ตามระบบเว็บโนเวลญี่ปุ่น โอกาสที่เรื่องพวกนี้จะได้ทำอนิเมะแม่งสูง เหลือแค่นายทุนค่ายไหนจะหยิบไปทำเฉยๆ
กูแม่งเสียดายที่ในไทยไม่มีระบบแบบนี้วะ ส่วนนึงมันเป็นเพราะถึงทำเมะก็ขายแผ่นไม่ได้แบบญี่ปุ่น รัฐและเอกชนก็ไม่สนับสนุน คนรักการอ่านก็ไม่ค่อยมี เลยต้องอาศัยแพลตฟอร์มอย่างเว็บนิยายต่างๆ ไป แล้วต่อให้ติดท้อปก็ไม่ค่อยได้ทำมังงะต่อเหมือนเดิม ยกเว้นคนแต่งไปจ้างนักวาดทำขึ้นมา หน้าละ 3,500 (แพงสาส)
บ่นเหี้ยไรไม่รู้ตั้งนาน จริงๆ จะมาบอกแค่ว่ากูติดงานเลยไม่ได้มาลงตัวอย่างแนวออกตี้เรื่องที่ 3 อีกไม่นานคงมาลงต่อ
บาย
>>960 ขาวดำ เส้นเนี้ยบอยู่ แต่ต้องร่างสตอรี่บอดร์ดกับวาด stickman ให้เขาคร่าวๆ แล้วเขาจะวาดสตอรี่บอร์ดแบบเต็มให้ดูตอนบรีฟรอบ 2 ก่อนเริ่มงานจริง
ส่วนมากกูจ้างวาดแทรกหน้าเดี่ยวแบบไลท์โนเวล (มีรูปท่าทางกับสีหน้า แต่ไม่มีตัวอักษร) ราคาจะถูกกว่าวาดมังงะเต็มรูปแบบ
กูบอกแหล่งไม่ได้วะ เดี๋ยวโม่งแตก
นิยายสลับเพศกูเคยสับไปเรื่องนึงแนวแฟนตาซี แต่มันไม่ใช่สลับเพศแบบ TS เป็นแนวสลับเฉพาะตอนแปลงร่างต่อสู้ก็เลยไม่นับว่าเป็นแนวสลับจริงๆ อยู่ในมู้ไหนวะ ไม่ 23 ก็ 24 เนี่ยละมั้ง
>>962 เหลือ 800 แฮะ
มันเป็นงานกึ่งคอมมิชชั่น มึงต้องมีตัวละครที่ออกแบบไว้เองอยู่แล้วก่อน บอกอุปนิสัยกับสีหน้าพื้นฐาน (อาจจะวาดกากๆ หรือใช้เว็บสร้างตัวละครที่มีปรับแต่งได้เยอะๆ ทำขึ้นมา) นอกนั้นคือขึ้นอยู่กับว่าเอาคุณภาพไหน (ร่างรัฟสเก๊ทช์หรือตัดเส้น) เอาพื้นหลังด้วยหรือไม่เอา (มีพื้นแพงกว่า) สัดส่วน (หัวถึงอก หัวถึงเอว หัวถึงเข่า เต็มตัว) ในภาพมีกี่ตัว (เพิ่มราคาตามจำนวนตัว) คอมโพสกับท่าทางต้องหาเรฟจากภาพอื่นมาว่าอยากได้ท่าประมาณไหน (ถ้าท่าพิสดารเกินอาจโดนเรียกเก็บเพิ่ม)
ล่าสุดกูเอาหันข้าง 2 ตัวละคร หัวถึงเอว สถานการณ์แบบตัวเอกำลังคว้าคอเสื้อตัวบี ตัดเส้นให้คม เอาฉากหลังโถงทางเดินโรงเรียนแบบไม่ต้องละเอียด (ได้บันไดกับบอร์ดมาอย่างละครึ่ง) รอบนี้โดนไป 800 แต่คนวาดใจดีเขาปรับ Resolution กับเว้นขอบให้วางใน A16 ได้เลยแบบภาพไม่แตก (มันสะดวกกว่าถ้าจะทำอีบุ๊ค) กับปรับ contrast รูปให้จางลงนิดๆ เหมือนภาพไลท์โนทั่วไป (เผื่อเวลาพิมพ์เล่มจะได้ไม่เจอปัญหาหมึกเลอะ) เอาจริงๆ ราคานี้ค่อนข้างถูกเพราะกูจ้างงานเขาบ่อยมาก ถ้าเป็นราคากลางในตลาดนี่กูไม่รู้แต่คิดว่าคงแพงขึ้นไปอีกไม่มาก
ตอนบรีฟเนี่ยพวกนักเขียนอย่างเราจะได้เปรียบหน่อย โยนนิยายให้อ่านแล้วนักวาดก็เข้าใจเหตุการณ์ อารมณ์ สีหน้าได้ทันที เวลาวาดตัวอย่างมาก่อน ตัดเส้น/ลงสี ก็เลยไม่ค่อยได้แก้อะไรนัก
>>964 ในไทยยังไงก็ไม่คุ้มหรอกโม่ง ถ้าเงินมึงไม่ได้เหลือใช้จริงๆ จนเอามาจ้างวาดได้แบบไม่คิดอะไร อีกอย่างคือเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ใช่แนวเฉพาะจริงๆ คนไม่ค่อยซื้อรูปเล่มเก็บกัน
ถ้าคิดหวังทำกำไรระยะยาวมันต้องใช้เวลาเยอะพอสมควร แต่มันก็พอมีโมเดลที่ยืมมาใช้ได้อยู่ เช่น เรื่องแรกๆ ถ้ายังไม่มีต้นทุน มึงต้องเริ่มด้วยแนวตลาดแบบไหนก็ได้ที่ขายง่าย แต่ใช้ปกฟรีจากเว็บแจกภาพปลอดลิขสิทธิ์ไปก่อน เพื่อนกูใช้วิธีนี้อยู่ก็พอไปได้
ปัญหาคือมันต้องใช้เวลาสร้างฐานแฟนนานด้วยไง ถ้าไม่มีพวกแฟนคลับเดนตายที่ชอบมากขนาดเปย์ซื้อทุกตอน ทุกแพ็คแบบไม่มีเงื่อนไข ก็จะไปยังขั้นต่อไปลำบาก
สมมุติเรื่องแรกๆ ปัง จนพอมีเงินจ้างวาด เรื่องต่อมาคือเอาแค่ปกก่อน เพราะส่วนมากโดนปกหลอกเข้ามาอ่าน ได้ปกแล้วหาจ้างคนทำงานอาร์ตให้เขาวางชื่อเรื่อง กับ ผู้แต่ง, วาดปก ไปตามปกติ ไอ้เรื่องที่ 4-5 เนี่ยเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะถ้าปกสวยแล้วยังรักษาฐานคนอ่านไว้ได้ มันจะไปต่อได้ยาวๆ
แรกๆ คือจะไม่มีกำไรเลยนะ ถ้ามึงยังเรียนอยู่ก็ต้องประหยัด หรือถ้าทำงานแล้วก็กอดงานไว้ทำงานไปก่อน อย่าให้ขาดรายได้ จนถึงจุดที่มั่นใจว่าขายได้ต่อเดือนเกิน 7-8k ช่วงนี้ถึงจะเริ่มคืนทุน แล้วไปจ้างวาดได้เต็มที่ถ้ารักษายอดขายแบบนี้ไปได้นานๆ ถ้านิยายติดลมแบบเอาไปลงเว็บไหนก็เกาะกลุ่มกลางตารางขึ้นไปได้ตลอด คราวนี้จะจ้างวาดแทรกแบบไลท์โนเวลทุกๆ 5 ตอนก็ยังไหว หรือถ้าเล่นใหญ่หน่อยก็จ้างวาดมังงะสั้นตอนพิเศษสัก 10 หน้าฉลองปีใหม่ก็ยังได้
แต่อย่าหาทางลัดคิดใช้ภาพจาก AI มาทำปกนะ ถ้าวันนึงมีคนรู้เข้ามันชอบเอาเรื่องนี้มาโจมตี แฉให้คนถ่มถุยนิยายมึงได้ง่ายๆ แต่จะใช้ก็ได้ถ้ามึงใจถึงพอแล้วก็ไม่มีอะไรจะเสีย หรือไม่คิดจะขายนิยาย
>>965 พูดถึงปก เอไอ ความจริงตามกฎหมายเขาก็ยืนยันแล้วว่าไม่ผิดกม. แค่ไม่มีลิขสิท ดังนั้นจะใช้ขายของก็ได้ เอาจริงสำนักข่าวทุกวันนี้ภาพอินโฟ มันก็ใช้เอไอกันทั้งนั้นแต่คนไม่สังเกต
แต่เหมือนวงการนักเขียน นักวาดไทย รู้สึกถูกแย่งงานเลยต่อต้าน อารมณ์ อัศวินแบนผงดินปืน สมัยก่อนเพราะกลัวโดนแย่งอำนาจ
มือถือสากปากถือศีลอะวงการศิลปินไทยเรา บอกให้เคารพกม. แต่พอกม.ไม่เข้าข้างก็แบนกันเอง แล้ววงการนิยายเรามันจะเจริญได้ยังไง
>>967 นักวาดอะลำบากแน่นอน มึงพูดไม่ผิด แต่ในฐานะนักเขียน อะไม่ใช่
ถ้านักเขียนใช้เอไอได้ แปลว่าจะลดต้นทุนได้อีกมาก แถมไม่ต้องต่อคิวรอเป็นเดือนเป็นปีด้วย
ถ้าต้นทุนลด นักเขียนก็ขายงานตัวเองได้มากขึ้น เร็วขึ้น ง่ายขึ้น หน้าใหม่มันก็เพิ่มขึ้น แนวทีาเขียนก็เปิดกว้างมากขึ้น ไม่ใช่มีแต่ตลาดซ้ำซากเพราะทุนจมเลยต้องเอากำไรไว้ก่อน
ส่วนคิดว่าไม่แฟร์อะไร คำพิพากษาศาลมันก็ออกมาแล้ว เปลี่ยนแปลงไรไม่ได้ อีกหน่อยไม่นานกระแสคงเป็นตามนี้
แต่นี่กูพูดโดย มองจากฝั่งนักเขียนนะ ไม่ใช่นักวาด
>>968 ai มันก็ดูดงานนักเขียนคนอื่นมาเจนอีกเหมือนกันล่ะว่ะ มึงกระสันอยากใช้ ai ขนาดนั้นมึงก็อย่าเรียกตัวเองเป็นนักเขียนเลย เป็นนักตัดแปะ นักก็อปปี้อะไรก็ว่าไป นักเขียนเขาเอาไว้เรียกคนที่สร้างงานผ่านสมองตัวเองด้วยสองมือตัวเอง ไม่ใช่ป้อนคำสั่งคีย์เวิร์ดให้คอมพิวเตอร์สร้าง อีพวกใช้ ai สร้างงานก็เหมือนอีพวกซื้อข้าวเซเว่นมาเวฟแล้วเสร่อเรียกตัวเองว่าเชฟ
>>969 อ้อ สงสัยเราคุยกันผิดเรื่อง
กูกำลังคุยเรื่องเอไอกับภาพวาด ไม่ใช่เอไอกับงานเขียน อย่าพึ่งหัวร้อน ถ้าอ่านดีๆ กูไม่ได้พูดถึงเรื่องงานเขียนเลย มีแต่ภาพวาด คำพิพากษาที่กูพูดมันก็ให้สิทธิแค่ภาพวาด
ถ้านักเขียนเราใช้เอไอเจนภาพใช้เองได้ ไม่คิดหรอว่าจะได้เปรียบมากขึ้น
คนทำงานสร้างสรรค์แต่ไม่สนับสนุนงานสร้างสรรค์ ไม่ต้องพูดต่อแล้วมั้งว่าอนาคตจะไปอยู่ตรงไหน ไม่ต่างกับโรงงานจีนก๊อบผลิตภัณฑ์ออกขายคิดแต่ต้นทุนกำไรโดยไม่ให้ราคางานสร้างสรรค์
>>970 อันบนกูก็พูดถึงงานวาดจ้าว่ามันไปดูดงานคนอื่นมา มึงก็แถแถกๆว่าในมุมนักเขียนห่าแตดอะไรของมึง ทำงานสร้างสรรค์แต่ไม่สนับสนุนการสร้างสรรค์ คิดแต่จะเอาเปรียบคนในสายงานอื่นด้วยข้ออ้างหัวดอพรรค์นี้กูก็อวยพรให้นะว่าขอให้มึงโดนดูดงานเขียนไปเจน ai หัวกวยนี่ออกมาเป็นนิยายบ้าง เผื่อจะมีสำนึกว่าไม่ควรเอาเปรียบใคร
แต่จริงๆงานมึงอาจจะไม่โดนดูดไปเจนก็ได้เพราะงานมึงแม่งกระจอกเกินกว่าจะเอาไปป้อนให้ ai เจน ก็คนมันมีความคิดกระจอกขนาดนี้มันจะไปเขียนอะไรดีๆได้ ก็ได้แค่อะไรกระจอกๆเสร่อๆแบบนี้แหล่ะ
>>973
ai มันก็ดูดงานนักเขียนคนอื่นมาเจนอีกเหมือนกันล่ะว่ะ มึงกระสันอยากใช้ ai ขนาดนั้นมึงก็อย่าเรียกตัวเองเป็นนักเขียนเลย เป็นนักตัดแปะ นักก็อปปี้อะไรก็ว่าไป นักเขียนเขาเอาไว้เรียกคนที่สร้างงานผ่านสมองตัวเองด้วยสองมือตัวเอง ไม่ใช่ป้อนคำสั่งคีย์เวิร์ดให้คอมพิวเตอร์สร้าง
มึงก็เขียนมาชัดเจนว่ามึงหมายถึงเอไอดูดงานนักเขียน แล้วจะพูดได้ไงว่ากำลังพูดถึงงานวาด เขียนเองลืมเองเปล่า
>>972 นักเขียนมันไม่ต้องมีรูปไว้ดึงคนหรอกถ้าเก่งอ่ะ เจนมาเป็นร้อยรูปก็ไม่ได้ทำให้นิยายขายดีขึ้น ดีไม่ดีพวกนักอ่านที่มีความรู้หน่อยเห็น AI มันก็ไม่ซื้อละ กลุ่มนักอ่านขาประจำกุที่คุยกันไม่มีคนซื้อนิยายปก AI เลย เพราะมีความเห็นตรงกันว่าคนเขียนมันดูมักง่าย จะขายทั้งทียังใช้ปก AI จะใช้ก็อย่าใช้ให้มัน AI ชัดเกินคนซื้อมันไม่ได้โง่หรอก
>>976 หรือถ้าพื้นที่ในสมองน้อย เกิดมาไม่พกสมองจากท้องแม่ ไม่สามารถประมวลผลได้ กูก็จะพิมพ์ให้ว่าทั้งงานเขียนและงานวาด ai มันคือการดูดงานคนอื่นมาเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นมาตัดแปะให้มึงเป็นภาพ 1 ภาพ เป็นนิยาย 1 เรื่อง หากินบนหยาดเหงื่อแรงงานคนอื่นนี่ฟินเลยป่ะล่ะ
>>976 อ่านแล้วไม่มีตรงไหนเขียนถึง งานเขียนนิยายนะ แต่บริบทก่อนหน้าคือคนเขาคุยเรื่องภาพวาดประกอบอยู่
มึงต้องโทษตัวเองแล้วว่าหัวร้อนเลยเขียนออกมากำกวม ไม่บอกว่างานอะไร
แล้วถามจริงคิดว่าอีกซัก 5-10 ปีนี้คิดว่าคนมันจะยอมรับภาพจากเอไอมากขึ่นหรือน้อยลงละ ตอนนี้คนมันก็ต่อต้านละ กูก็ไม่รู้สึกแปลกอะ เรื่องปกติ ใครจะใช้งานเอไอตอนนี่ก็ระวังสังคมหน่อย แต่เดี๋ยวสุดท้าย พอสังคมยอมรับมากขึ้น ใครไม่ใช้ ใช้ไม่เป็น ไม่ยอมใช้ ก็ตกกระบวนเอง
อ้อ อย่าลืมไปอ่านคำพิพากษาศาลเมกากับจีนด้วย มันไม่ได้ก็อปปี้ดูดงานคนอื่นแบบที่เข้าใจผิดกันนะ ถ้าดูดมาแบบนั้นศาลไหนก็ช่วยไรไม่ได้อะ
>>978 บริบทก่อนหน้ากูก็ด่า ai อยู่ไง มึงบอกมึงพูดถึงในมุมนักเขียน กูก็ด่า ai ต่ออีก เข้าใจไรยากจริง แต่โหง้สมเป็นเอไอโบรดี ทั้งโหง้และกระจอก เชิญยึดคำสั่งศาลแล้วผลิตงานกระจอกๆไม่มีปัญญาฉายแสงต้องพึ่งภาพ ai มาดึงดูดคนให้มาดูงานไปเถอะ งาช้างไม่งอกจากปากสุนัขฉันใด คนความคิดกระจอกก็ไม่มีปัญญาสร้างงานดีๆได้ฉันนั้นล่ะ แต่ก็มโนเพ้อฝันไปว่าลดต้นทุนงานภาพที่ทำนาบนหลังคนอื่นเพื่อมาพัฒนางานตัวเอง เอาแค่ตอนแรกมึงก็ไปไม่รอดเพราะคิดจะเอาเปรียบคนอื่นแล้ว
มีคำถามลับสมองประลองปัญญา ถ้าไม่ได้ก็อปปี้ดูดงานคนอื่นมาแล้วมันจะเอาอากาศจากไหนมาเจนเป็นผลงานน้า ติ๊กต่อกๆๆๆๆ แต่คนแบบมึงคงนึกไม่ออกหรอก มันคงเสกมาจากกาแลคซี่อันโดรเมด้าออกมาเป็นงานสวยๆให้มึงล่ะมั้ง
>>979 หัวมึงร้อนจนเริ่มเขียนมั่วซั่ว ตีกันเองละ อ้างนู้นอ้างนี้วนไปวนมา อ้างอย่างพอสู้ไม่ได้ก็ถอยไปอ้างอีกอย่างที่ไม่ได้พูดถึง ตอบคำถามกูก็ตอบไม่ได้ กูเกิ้ลมีแต่ไม่ใช้
คุยกับมึงคงเสียเวลาเปล่า
แต่เผื่อมีคนอื่นอ่านแล้วยังไม่ทราบ ถ้าสงสัยว่าเอไอมันเสกภาพมาได้ไง ถ้าไม่ได้ดูดภาพ
ลองหาว่า neuron learning หรือ machine learning มันทำงานไงดูนะ เอาง่ายๆมันแค่เรียนรู้ว่าวาดภาพอะไรยังไงแล้วมันก็รับคำสั่งมาแค่นั้น ถ้ามันดูดภาพมานิ้วมือไม่เน่าหรอก นิ้วมันเรียนยาก ภาพนิ้วมันเลยเน่าๆอยู่
ส่วนอีกประเด็น วงการนักเขียนไม่ต้องห่วงหรอก เอไอมันไม่เข้าใจมุก ความรู้สึก กาว โมเอะ มันเขียนไปก็ไร้อารมณ์ขายไม่ออก แถมของพวกนี้ต่างกันไปตามวัฒนธรรม มันทำได้แค่เขียนพล็อตอะ สุดท้ายไงๆนักเขียนต้องเขียนเองหมด
ณ จุดนี้เอไอทำให้นักเขียนนิยายได้เปรียบด้วยซ้ำ
เหี้ยไรเนี่ย กูพูดถึงเอไอย่อหน้าเดียว ด่ากันรัวๆ จนมู้จะเต็มแล้ว โม่งนี่มันโม่งจรืงๆ (แต่กูชอบอ่านนะ)
กุงง คำพิพากษาที่ไหนวะแปะลิงก์ข่าวหน่อยดิ กุรู้ว่าaiไม่มีลิขสิทธิ์เพราะไม่ใช่มนุษย์ แต่ไม่ยักรู้ว่าไม่ผิดกฏหมายกรณีเอาภาพนักวาดต่างๆมาเจน ข่าวที่กุรู้คือนักวาดหลายคนฟ้องศิลปินai ตอนนี้ศาลยกฟ้องไปเพราะสำนวนกว้างไป ให้ทำคำฟ้องแคบลงแล้วส่งใหม่ เรื่องมันยังไม่จบนะ เคสอื่นๆ กุก็ไม่เห็นจบสักคดี มึงสนับสนุนให้ใช้aiภาพทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิดต่อนักวาด? กุควรจัดมึงเป็นคนประเภทไหนวะ
>>960 จัดไป แต่กูไม่ได้เขียนแม่ง https://writer.dek-d.com/dekd/writer/view.php?id=2354228
>>983 ที่ศาลจีน เอไอชนะ มีลิขสิทธิ์ด้วย https://mgronline.com/china/detail/9670000004632
แต่เขาบอกว่าจะดูเป็นรายกรณีด้วย ก็แล้วแต่prompt ที่ใส่ไปอะนะ
นิยายจีนตอนนี้เต็มเว็บระวังอนาคตมันใช้ปกเอไอเอามาขายด้วยละ ถ้าทุนมันถูกกว่ามันก็ลดราคาแข่งได้ วิธีเดียวที่เราจะรอดคือต้องปรับตัวให้ทัน ไม่งั้นก็เปิดอ่านฟรีไป
ส่วนที่บอกว่าตรงไหนบอกว่าไม่ผิดกม. ก็โม่งเขียนไว้เลยไงว่ายกฟ้อง
กม. ถือว่าผู้ต้องหาบริสุทจนกว่าจะพิสูจว่าผิดจริง ถ้ายังไม่ตัดสินว่าละเมิด ก็ถือว่าวันนี้ไม่ผิด
ส่วนมันจะผิดต่อนักวาดไหม นั่นคือความเห็นของแต่ละคน มึงอยู่ฝ่ายนักวาด ก็เห็นว่าผิด แต่คนพัฒนากับบางคนเขาบอกว่าไม่ผิด ก็ไม่ผิด เพราะศาลเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าผิดไหม หรือถ้าผิดแบบไหนมันจะผิด ไม่ผิดก็ถือว่าใช้ได้ไปก่อน
ไอ้ที่บอกน่าจะผิด ถ้าอนาคตบริษัทมันตกลงกันได้ว่าให้ใช้เจนภาพได้ แล้วมันก็ไม่ผิด พวกที่บอกผิดจะทำยังไง? ถ้าต่อไปเขาระบุให้มันเจนภาพได้เฉพาะแหล่งไม่ไปเรียนจากรูปที่อื่นละ? ธุรกิจเดี๋ยวมันคุยกันได้แหละ ไม่นาน โม่งอย่ากลัว
ความรู้สึกก็อีกอย่าง แต่ความจริงคือตรงนี้ละ พวกโม่งก็รู้อยู่เดี๋ยวคนมันก็ยอมรับได้ไม่นานหรอก ส่วนพวกวาดคนก็อาจจะขายไปอีกสายเลย
แต่เผื่อพวกมึงหงุดหงิด คิดว่าไม่ชอบ กูจะบอกข่าวดีให้ เดี๋ยวมันก็ต้องมีกฎหมายมาคุมการใช้เอไอ กำหนดว่าเจนจากไหนได้บ้าง ระดับไหน ตอนนั้นก็เจนกันได้ถูกกม.เยอะแล้ว ตอนนี่อียูเริ่มคิดละ พวกโม่งสายนักวาดไม่ต้องกลัวเกินเหตุ
กูว่าลึกๆคือนักวาดบางกลุ่มกลัวโดนแย่งงานแค่นั้นแหละ แล้วgaslight ทุกคนไม่ให้ใช้
ส่วนนักเขียนใช้ภาพเอไอได้จะประหยัดทุนไปกี่บาท จะได้ไม่ต้องเขียนแต่เรื่องตลาด ระบบ ตัวเอกเทพ ปลูกผัก จีนโบ ต่างโลก ที่โม่งเบื่อไรงี้มากเพื่อคืนทุนไวๆ ก็คิดเอา
>>985 กรวยเถอะ ถ้าเมิงพูดว่าจิตสำนึกเป็นเรื่องของความรู้สึก ก็เท่ากับว่าเมิงไม่มีข้อจำกัดขีดล่างแล้ว ถ้ามีเครื่องมือเสกนิยายสุดวิเศษเพียงแค่เอาลิ้นเลียอุปกรณ์รูปร่างเหมือนตืน พวกเมิงก็พร้อมจะทำและมีข้ออ้างอันแสดงความเป็นอัจฉริยะ เหนือพวกโง่ที่ไม่ใช้อุปกรณ์รูปตีนสุดวิเศษนั้น จำเริญ ๆ นะไอ้สึด
ไหนๆ พวกมึงก็พูดขึ้นมากันละ งั้นกูขอเสริมบ้าง
เรื่องผลงานจาก ai ไม่มีลิขสิทธิ์ = ถ้ามีคนกดเจนรูปขึ้นมารูปนึงแล้วมันสวยสัสๆ พออีกคนมาเห็นแล้วถูกใจ ดูดรูปนั้นไปใช้บ้าง คนที่เจนรูปไม่สามารถอ้างตัวเป็นเจ้าของได้ เหมือนตกเป็นสมบัติสาธารณะ
เรื่องการเรียนรู้ของ ai = กูว่าสุ่มเสี่ยงจะผิดกฏหมายวะ ถึงตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปและการฟ้องร้องก็ยังไม่จบด้วย แต่เรื่องนึงที่เถียงไม่ได้คือ ก่อน ai จะเจนภาพออกมาได้เราต้องป้อนรูปให้มันดู ให้มันเรียน จะได้เลียนแบบลายเส้นกับท่าทางได้ ทีนี้ปัญหามันเลยเกิดขึ้นเพราะมีพวกนักเจนเอาผลงานต่างๆ มาให้ ai เรียนโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของภาพ มันก็คือการขโมย, ละเมิดลิขสิทธิ์ กลายๆ นั่นแหล่ะ
พวกที่ชอบเรียกตัวเองว่า AI artist = เป็นชื่อที่เสนียดปากเหี้ยๆ บ่องตงนะ ไม่ควรใช้คำว่า artist ในชื่อเลย เพราะผลงานที่ได้มามันไม่ใช่ศิลปะ ถึงจะอ้างว่าต้องเสียเวลาป้อนรูปให้มันเรียน กับกดเจนเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ภาพที่ดูดีออกมามันก็ฟังไม่ขึ้น เพราะภาพที่ใช้เรียนก็ขโมยของคนอื่นมา ในกระบวนการสร้างก็ไม่ใช่ตัวเองแต่เป็น ai ต่างหากที่สร้างขึ้น คนที่ทำแค่กดคลิ้กเพื่อสั่งเจนภาพน่ะ ไม่คู่ควรกับการเป็นศิลปินหรอก
กูพอเข้าใจอยู่นะว่าการใช้ ai เชิงสร้างสรรคมันก็มี เหมือนพวกที่เจนภาพวิวทิวทัศน์แบบเหนือจริงต่างๆ ขึ้นมาผ่าน promt ที่ใส่ลงไป แต่การเอาภาพวาดมีลิขสิทธิ์มาเป็นตัวตั้งต้นในการเรียนแล้วเจนภาพจาก ai มาขายนี่แม่งน่าเกลียดเกิน มีค่าไม่ต่างอะไรกับเด็กประถมทำงานภาพตัดปะ แค่เปลี่ยนจาก กระดาษ+กาว มาเป็นปัญญาประดิษฐ์+คอมพิวเตอร์เฉยๆ
ก่อนหน้านี้มีงานจัดแสดงและขายผลงานของพวก AI artist เปิดขึ้นมา ผลเป็นยังไงรู้ป่าว? ไม่มีใครเข้ามาในงานเลยแม้แต่คนเดียว เท่าที่เห็นคือมีแค่สตาฟจัดงานกับคนที่มาตั้งโตะขายสื่อต่างๆ ที่ผลิตจาก ai เท่านั้น เห็นได้ชัดว่านอกจากตัวคนเจนเองแล้ว การตอบรับที่สังคมมีให้งานจาก ai มันเป็นไปในทางที่โคตรแย่ ก็นั่งตบยุงกันไปจนกระทั่งงานเลิกนั่นแหล่ะ
ตราบใดที่ยังไม่มีกฏหมายควบคุมผลงานอย่างชัดเจน งานจาก ai ก็จะถูกมองแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อะ
การเปรียบเทียบงานจริงกับงาน ai = ในโม่งนี่คุยกันไปเยอะละ ถ้าเป็นงานภาพก็คือบ่อนทำลายวงการทางอ้อม นักวาดจะทะยอยกันวางมือเพราะคิดว่าวาดไปทำไมในเมื่อมีคนรอดูดงานกูไปเจนหาแดก กว่าจะเส้นเทพขนาดนี้ฝึกวาดกันมาเป็น 10 ปี เจอพวกกดคลิ้กไม่ถึง 1 วินาทีแย่งงานไปแบบหน้าด้านๆ เลิกดีกว่าแม่ง
ฝั่งงานเขียนก็มีโดนกันหลายแบบ หลักๆ คือเอานิยายให้ ai อ่าน แล้วเจนเรื่องใหม่ขึ้นมา คนแต่งเองก็แต่งตามไม่ทัน ผิดกับฝั่งใช้ ai ที่มีนิยายลงทุกวัน เจ้าของนิยายที่โดนเอาไปเรียนก็เจอละเมิดแบบทำอะไรไม่ได้ อีกแบบก็คือพวกนักแปลที่จะโดน ai แปลแย่งงานในอนาคต เพราะตอนนี้มันจะยังแปลออกมาไม่เป็นภาษาคน
ความเห็นส่วนตัว : ถ้าคิดจะใช้ ai เป็นตัวช่วย ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับผลกระทบด้านต่างๆ ไว้ด้วย ถึงนิยายที่เจนมาจะสะดวกกว่าแต่งเอง แต่มันก็เขียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ต้องคอยมาเกลาให้หรืออาจต้องแต่งแก้ทั้งย่อหน้า ในหลายๆ ครั้งที่กูลองอ่านเรื่องแล้วจับได้ว่าเป็นนิยายจาก ai สิ่งนึงที่รู้สึกได้เหมือนกันทุกเรื่องคือมัน "ขาดความมีชีวิตชีวา" ยิ่งใช้ไปนานแค่ไหน สกิลการเขียนก็มีแต่จะลดลง (แล้วได้สกิล บก.+พิสูจน์อักษร มาแทน)
อ่านแล้วมันจะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจมึง แบบที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไรแต่รับรู้ได้ว่ามันผิดปกติ ทางนึงมึงอาจพบว่ามันบกพร่องโคตรๆ เหมือนไม่ใช่มนุษย์แต่ง กับอีกทางก็คือสมบูรณ์แบบเกินไปจนน่ากลัว แถมสามารถเดาทางได้ง่ายด้วย
ภาพวาดนี่ก็พอกัน ดูรูปแล้วเห็นแววตามึงก็ดูออกว่าแม่งไม่ใช่แววตาที่บอกอารมณ์ได้ บางรูปมือเบี้ยว แขนขาด ขาลอย วิธีการลงสีก็เหมือนๆ กันไปหมด ถึงจะเปลี่ยนลายเส้นจากการให้เรียนมากแค่ไหน ก็ยังดูออกได้ว่านี่มันไม่ใช่ศิลปะที่สร้างจากการฝึกฝนมานานปี
จะเทียบความรู้สึกยังไงดีวะ... เหมือนมึงใช้จิ๋มกระป๋องกับเย้ดหีของจริงอะ มันแตกต่างกันมากๆ เลยนะเว้ย
>>985 เขาก็พูดกันไปแล้วว่ามันละเมิดลิขสิทธิ์ ดูดงานนักวาดมาเจน มึงก็ยังจะมาประหยัดต้นทุน ไม่ต้องมาเขียนแนวเรื่องตลาด โถ อีเถาะ แค่จ้างนักวาดไม่กี่พันก็ได้รูปดีๆ มึงพูดเหมือนขาดทุนระดับล้านต้องมาหาทางประหยัดต้นทุน นักเขียนถ้ามันมีหัวคิดสร้างสรรค์มันก็เขียนแนวอื่นนอกจากแนวตลาดได้ว่ะ มึงมันก็แค่พวก loser เฉยๆ ทั้งจนและขี้แพ้ หาข้ออ้างมาเอาเปรียบคนอื่นแบบหน้าด้านไม่ละอายใจ มึงนี่ต้องเป็นคนเหี้ยได้ขนาดไหนถึงได้มองว่ามันเป็นผลดีกับนักเขียน แล้วนักวาดที่ไปดูดงานเขามาคือช่างหัวแม่งไม่ต้องสนใจเพราะมึงได้ประโยชน์งั้นสิ ไอ้ขยะ
>>985 555ข่าวอะไรเนี่ย กุ>>983 เองนะ กุไม่ได้เหยียดนะแต่นึกว่าจะเป็นข่าวฝั่งเมกาหรือยุโรป หรืออะไรที่เป็นสากลพอยึดเป็นหลักแนวทางคำวินิจฉัย55 แล้วแมร่งเป็นข่าวมือเจนaiฟ้องมือขโมยภาพai ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนักวาดเลย555 แล้วคำพิพากษาคือ
'ในคดีนี้ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายลิขสิทธิ์ก็เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์งานด้วยเทคโนโลยีเอไอ และส่งเสริมอุตสาหกรรมเอไอที่เพิ่งเกิดใหม่'
คือศาลไม่ได้เอ่ยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลในการเจนภาพที่ถูกต้อง หรือไม่ อย่างไร จะขโมยมารึเปล่าก็ช่างศาลไม่ตัดสินเรื่องนั้น สรุปคนละเรื่องกับที่ถกกันในโม่งเลย555
ขอแก้ไขเรื่องที่กุบอกครั้งที่แล้ว ไปถามผู้รู้มาล่ะ กุใช้คำผิดเองแหละ ศาลไม่ได้ยกฟ้อง เรียกว่าศาลยกคำร้องมากกว่า และคนที่แนะนำให้ฝ่ายนักวาดเขียนคำร้องส่งใหม่คือศาลเอง ไม่ใช่ทนายโจทก์ คดียังไม่จบนะจ๊ะ ไม่ใช่ถือว่าaiไม่มีความผิด
กุบันเทิงมากๆกับข่าวจีนของมรึง ฮาปวดท้องเลย ชดใช้ตั้ง500หยวน555 แต่กุขอตามข่าวฟ้องหลายล้านเหรียญต่อดีกว่า สุดท้ายถ้ามรึงอยากยึดตามศาลจีนก็เอาที่สบายใจ แต่กุอยากให้มรึงจำประโยคข้างล่างไว้นะ หวังดี
'คำตัดสินของศาลอินเทอร์เน็ต พิจารณาเป็นรายกรณีไม่ใช่คุ้มครองทั้งหมด และสามารถถูกกลับคำวินิจฉัยได้ในศาลที่มีลำดับเหนือกว่าตามกฎหมายลิขสิทธิ์'
ถ้า AI ถูกต้องหมด ป่านนี้มนุษย์ไม่ต้องเขียนนิยายแล้ว ให้ AI ทำแทน ส่วนมนุษย์แค่ไปเที่ยวข้างนอก
เฮ้ยๆ ต้องขึ้นบทใหม่แล้วนะ ถึง 1000 เรปต้องย้ายห้อง
กุเริ่มก้ได้
นิทานเด็กดีบทที่ 41 (DDN XLI) จักรวาลโม่งที่หยุดหมุน เกานิ่งตั้งตรงตามต้นกก แสงเหลืองเรื่องจากปลายก้น ผลุดหนีหลุดจากร่าง ลอยเรียดลู่ลมบนผิวน้ำ ไหลไถลดิ่งจม หายไปตลอดกาล
ต๊ะตึงโป๊ะๆๆๆ
อยากขึ้นบทใหม่ แต่กูลืมว่าควรทำอะไรฟ่ะ
ไม่ได้มาแวะเกือบเดือน อ้าง จะจบแล้วเหรอ
ใครก็ได้ช่วยเปิดห้องใหม่รอไว้ที กูไม่เคยทำ
เชิญคั้บ
เอ้า ถมมมมม 999
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.