K-say หัวร้อนน่าดูเลย https://www.dek-d.com/board/writer/4073822/
ขอบคุณในความยากลำบากอีกรอบ
โม่งคิดยังไงกับระบบเอไอที่เขียนนิยายได้ ในอนาคตอันใกล้เอไอจะแต่งเรื่องเก่งขึ้นและทำให้นักเขียนตกงานหรือไม่ ตอนนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงในวงการนักเขียน
>>59 มันมีมานานก่อนเอไอวาดรูปอีก ทำไมเพิ่งมากลัวกันวะ
>>61 เห็นพวกฝรั่งมันเอามาใช้เป็นไกด์ช่วยแต่งได้อยู่นะเว้ย แบบโยนไอเดียเป็นคำๆไปให้ทันแต่งเนื้อหามา แล้วค่อยมาปรับๆแต่งเองเพิ่ม ทำเอาคนต่อต้านกันเยอะเลย อย่างเว็บao3นี่ถึงขั้นล็อกแอคแบบไม่ใช่สมาชิกเว็บจะอ่านงานไม่ได้ เพราะกลัวโดนดูดงานไปทำเอไอนี่แหละ
>>59 พื้นฐาน AI มันก็เรียนมาจากนิยายที่เคยมีอยู่มาก่อน โดยเฉพาะเรื่องดังๆ ขายดี คนที่จะเหนื่อยก็พวกนิยายในกระแส ถ้ามึงสร้างอะไรใหม่ๆอยู่แล้วก็ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ถ้าพล็อตมึงใครๆ ก็เขียนได้ ก็เตรียมหา AI มาช่วยได้เลยไม่งั้นมึงเองนั่นแหละที่จะโดนคนใช้ AI ปั้มนิยายแข่ง ของแบบนี้แม่งสูงสุดคืนสู่สามัญ สุดท้ายมึงก็แค่ต้องรักษาฐานแฟนคลับจริงๆจังๆ หาคนที่จะอ่านงานของมึงเท่านั้น และเขียนแนวที่มึงเท่านั้นที่จะเขียนได้น่าสนใจ
https://www.dek-d.com/board/writer/4074051/
กุล่ะชอบชื่อกระทู้ชิบหาย [พล็อตไม่ซ้ำแล้วนะ] 55555555
https://www.dek-d.com/board/writer/4074141/
เดี๋ยวนี้มีนโยบายชวนคนลงโม่งแล้วเหรอวะ
https://twitter.com/elonmusk/status/1601862965384269825?t=CJYc-V-gQzpfi8cR-Ekt4A&s=19
เตียมตัวโพสนิยายรายในทวิตได้เลยพวกมึง 5555
ถ้ามองในแง่ลงนิยายรายตอน 4000 ตัวอักษร ตัดเว้นวรรค ตัดเครื่องหมายคำพูด ตัดชื่อเรื่อง คงเหลือจริงๆสักแค่ 2500-3000 ตัวอักษร พวกเด็กดอกเขียนนิยายสั้นเท่าหม่อยหมาปรับตัวได้แน่นอน ที่เหลือคือการตลาดละมึง จากนี้แม่งจะไม่มีแค่โฆษณาขายของใต้โพส แต่จะมีไอ้งามไส้เอานิยายตัวอย่างไปแปะใต้โพสโปรโมทหนัง มังงะ อนิเมะ แค่คิดก็บันเทิงแล้วไอเหี้ย 555555555555
เดี่ยวคอยดูละกัน พวกเด็กดีอยากจะเขียนนิยายบน twitter จริงๆจังๆมั้ย
สูตรสำเร็จแนวเกิดใหม่ที่เราเคยอ่านมานะคับ
1. การเกิดใหม่มี3 แพ๊คเกจ แพ๊คเกจย้อนเวลา, แพ๊คเกจร่างใหม่, แพ๊คเกจต่างโลก
2. ไม่ว่าชีวิตตัวเอกจะเคยระยำบัดซบเพียงใด พอเกิดใหม่ชีวิตจะมือขึ้นยิ่งกว่าถูกหวย(ต่อให้แทบไม่ทำอะไรก็ตาม)
3. ถ้าตัวเอกเกิดในนิยายแอ๊คชั่น Plot Armor จะหนาโคตร ๆ และได้ทักษะได้อาวุธมาอย่างรวดเร็ว
4. ถ้าตัวเอกเกิดเป็นท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ เธอจะหนีการแต่งงานและได้สามีโบ้ใหม่ตั้งแต่ยังไม่ถึงกลางเรื่อง
5. สามีคนนั้นต้องรวยล้นฟ้ามีเงินตราและอำนาจแถมน่ากลัวต่อหน้าคนข้างนอก แต่เป็นโบ้เมื่ออยู่กับเมีย
6. และทำข้อตกลงว่าถ้าได้สิ่งที่ต้องการเราจะหย่ากัน
7. ไม่เห็นมันจะหย่ากันจริง ๆ สักที แถมมีลูกด้วย
8. ถ้าตัวเอกเกิดในร่างเดิม สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าต้องแก้แค้น
9. บางเรื่องคนอ่านไม่รู้จักชีวิตเก่าของตัวเอกด้วยซ้ำ อาจรู้แค่ว่าโดนรถบรรทุกชนตาย
10. ใครเคยตายในชาติที่แล้ว ชาตินี้มักรอด และเป็นเพื่อนตัวเอกที่ซื่อสัตย์ยันจบเรื่อง
11. ตัวร้ายชาติที่แล้วฉลาดแค่ไหนไม่สำคัญ แต่ชาตินี้ต้องโง่กว่าตัวเอก
12. และชาตินี้ห้ามเก่งกว่าตัวเอกด้วย
13. และกราฟชีวิตตัวร้ายจะดิ่งลงเหวสุดๆ
14. ตัวเอกบางคนไม่ได้เรียนรู้อะไรจากชาติที่แล้วด้วยซ้ำ งี่เง่ายังไงก็งี่เง่ายังงั้น
15. บางเรื่องไม่มีคำตอบให้คนอ่านว่าทำไมต้องเกิดใหม่
16. พล๊อตแก้แค้นมักจบโดยการให้อภัย ทั้งที่ทำกับตัวร้ายซะปางตายแล้ว
มาเพิ่มต่อ*
17. ทุกคนตกตะลึงการเปลี่ยนไปของตัวเอก แต่หาคำตอบไม่เคยได้
18. เพราะตัวเอกจะอ้างความทรงจำเสื่อมบ้าง ป่วยบ้าง(จากอุบัติเหตุเจ้าของร่างเดิม)
19. มีตัวประกอบโผล่มาเป็นกระสอบทรายเสมอ
20. เริ่มต้นด้วยการเหยียดหยามดูถูกเจ้าของร่างเดิมและจะจบด้วยการโดนตัวเอกตบเกรียนสวยๆ
21. ถ้าตัวเอกเป็นผญ. จะมีบ่าวหญิงที่จงรักภักดี แต่ชาติที่แล้วตุย ถ้าตัวเอกผช. มักใช้ความทรงจำชาติที่แล้วหาพรรคพวกดี ๆ
22. ตัวเอกจะกลายเป็นคนโปรดของคนมีอำนาจสักคน(ที่ไม่ใช่พระเอกนางเอก) และคนๆนั้นจะเป็นจะกลายเป็นแบ๊คสำคัญของตัวเอก
23. พอมีแบ๊ค ตัวร้ายจะกลายเป็นพลเมืองชั้นสองทันที และพลิกเกมไม่ได้เลย
24. ตัวร้ายมีแต่จะงงกับตัวเอก และไม่เคยตามเกมทัน
เล่าเป็น 1000 ข้อก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก เป้าหมายในการสร้างงานแบบนี้มันก็แค่ต้องการให้คนอ่านฟินไปกับโอกาสที่สอง มีอำนาจที่ไม่เคยมี จะพล็อตแบบไหนก็ไม่ห่างกันมากหรอก เหมือนพวกละครสั้นคุณธรรมอะ เน้นสะใจ Karma is real หาทางมาอะแดปใช้เอาดีกว่า
อนไม่หลับทำไงดีคะ สับนิยายเล่นจนกว่าจะง่วงก็แล้วกัน
พระเจ้าส่งผมไปรบ (INTO THE BATTLEFIELD)
https://writer.dek-d.com/totsos2009/writer/view.php?id=2025099
เรื่องนี้จำได้ว่าเจอในกระทู้รับสับนิยายแต่คิวมันเต็มไปแล้วกูเลยจดไว้เพราะสงสารนักเขียน อีกอย่างคือชื่อเรื่องกับพล็อตมันฟังดูเข้าท่า มาดูกันเลยว่าจะออกหัวหรือก้อย
หน้าปกไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ในสายตากู คือเข้าใจแหล่ะว่ามันเป็นหมวกทหารซึ่งเกี่ยวข้องกับชื่อเรื่องแน่ๆ แต่การใช้สีแม่งแย่ บางทีนักเขียนอาจชอบงานศิลป์สไตล์วินเทจๆ หน่อย ก็แล้วแต่รสนิยมไป คำโปรยใบ้ว่าเป็นแนวอิเซไคที่ไม่ได้ไปโผล่โลกแฟนตาซีทว่ากลับกลายเป็นสนามรบแทน ขายของกับคนชอบอ่านแนวสงครามที่ผสานความเป็นแฟนตาซีเข้าไป ปกรองเป็นข้อความแนวแจ้งธีมเรื่องก็ง่ายๆ ดี แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ไม่ค่อยดึงดูดเหมือนกับภาพปก ในส่วนแรกกูเลยให้ผ่านแค่ชื่อเรื่อง เพราะมันขายของได้ถูกจุดดี
ตอนที่ 1 : INTO THE BATTLEFIELD
เล่าด้วย POV 3 เปิดฉากมาบนสมรภูมิต่างโลกแห่งหนึ่งในปี 1872 นายอิทธ พรางกูล อิเซไคมาสวมร่างเด็กหนุ่มอายุ 16 ชื่อชาร์ลหลังทดลองขับรถยนต์ที่ซื้อมาใหม่แล้วคันเร่งค้างจนรถชนตายห่า (วันแรกก็แหกเลยมึงซื้อรถ MG รึไง) เด็กชาร์ลนี่จริงๆ ตายไปแล้วเพราะถูกยิงแต่พอพี่อิทมาเสียบก็ฟื้นเฉย บริเวณนั้นมีแต่ศพทหารที่โดนเกณฑ์มาอย่างลวกๆ คนแก่บ้าง เด็กวัยรุ่นบ้าง เป็นแค่ชาวบ้านจำนวนหยิบมือโดนทางการบังคับให้รบทั้งๆ ที่ใช้ปืนไม่เป็นจนตายเรียบ ระหว่างทางหนีตัวเอกเจอทหารอีกฝ่าย ตอนแรกฟังภาษาไม่เข้าใจ แต่พอความจำของชาร์ลแล่นเข้ามาก็ปวดหัวแล้วฟังรู้เรื่องตามสไตล์นิยายทะลุมิติแบบเปลี่ยนคนสิง มีการยิงกันขึ้นเล็กน้อยก่อนจบตอน
ตรงนี้กูขอคุยเรื่องชื่อตัวเอกก่อน เพราะคิดว่านักเขียนคงเอาชื่อพี่อิท (อิทธิ พลางกูล) มาตั้งชื่อล้อตัวละคร โดยส่วนตัวแล้วกูโคตรจะหลีกเลี่ยงเลยตามหลักการพื้นฐานว่าด้วยการตั้งชื่อ การเอาชื่อคนจริงๆ มาตั้ง แถมตายไปแล้วอีกเป็นเรื่องไม่โอเค คนอื่นอาจเห็นต่างแต่กูคือโนๆ
ตอนที่ 2 : หลบหนีออกจากสงคราม
พี่อิทหรือนายชาร์ลของเราวิ่งหนีไปจนเจอข้าศึกอีก 2 คน คราวนี้ไม่รู้จะหนียังไงเลยยอมมอบตัวบอกพาไปเป็นเชลยก็ได้ (ดีกว่าตาย) ฝั่งศัตรูได้ยินก็ขำก๊าก บอกว่าพลทหารอย่างมึงเนี่ยนะ ไม่มีค่าพอให้จับตัวไปหรอกโว้ยเพราะยศมึงไม่ใหญ่พอ ว่าจบก็ตอกดินปืนเข้าปากกระบอกปืนคาบศิลา ทำเอากูเห็นภาพการรบในทุ่งหญ้ายุคนโปเลียนที่การรบยังพึ่งปืนแบบนี้และมีดปลายปืนกันเป็นส่วนใหญ่ ตัวเอกของเราที่รู้กลไกของปินเป็นอย่างดีว่าต้องใช้เวลาพอสมควรก่อนจะพร้อมยิง ก็แย่งปืนมาแล้วฟาดพานท้ายปืนเข้ากลางเบ้าหน้าคนตอก เพื่อนที่มาด้วยกันตั้งตัวไม่ทันเลยโดนด้ามปืนไปอีกราย พี่อิทเลยรอดมาได้อย่างหวุดหวิด หนีไปซักพักก็เจอคนอีกลุ่มแต่พวกนี้ไม่ใช่ทหาร เป็นชวาบ้านตาดำๆ ที่หมู่บ้านอยู่ใกล้เลยโดนลูกหลงไปด้วย ตัวเอกพูดคุยเก็บข้อมูลทั่วไปมาได้เพียบ ฝากการเทข้อมูลอย่างแนบเนียนผ่านบทสนทนาที่ไม่ได้ยัดเยียดมากนัก ก่อนจะจบตอนด้วยการที่พวกชาวบ้านเห็นว่าชาร์ลอยู่ในเครื่องแบบ เลยขอให้ชาร์ลรับตำแหน่งผู้นำทางการทหารในเขตนั้น
ตอนที่ 3 : สุนทรพจน์ขับไล่
นายอิทตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่หวังว่าจะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกแล้วลุกไปทำงานตามปกติ แต่เรื่องเมื่อวานแม่งไม่ใช่ความฝันเพราะคนที่มาปลุกคือลุงอาเธอร์ผู้ใหญ่บ้านที่ตัวเอกหนีมาหลบอยู่ ไอ้หนุ่มไม่รู้จะทำยังไงเลยคิดว่าวันนี้จะเรียกรวมตัวคนในหมู่บ้านเพื่อมาพูดคุยแล้วหาทางล้มเลิกแผนรวบรวมคนเพื่อตั้งกองกำลังป้องกันตนเอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ แทนที่ชาวบ้านจะเริ่มหอบข้าวของหนีภัยสงคราม คำพูดของไอ้อิทดันไปปลุกใจประชาชนจนคึกขึ้นมาแทน สุดท้ายเลยต้องเรียกพวกหน่วยสอดแนมมาคุย ถามไปถามมาคนในหมู่บ้านมีแค่ 400 แต่พวกที่ยกมามี 5,000 ประสบการณ์ด้านการรบก็ต่างกันมาก เลยต้องหาทางใช้แผนซุ่มโจมตีบริเวณซอกเขาแคบๆ
ตอนที่ 4 : อาวุธลับ
เปิดตอนด้วยการบ่นของพี่อิท เพราะลุงผู้ใหญ่แม่งโยนงานมาให้กูทำหมดเลย สักพักมีเด็กหนุ่มคนนึงโผล่มาบอกว่าของที่สั่งได้แล้วครับ จำนวนมากพอที่ต้องการด้วย แต่เขาอยากรู้ว่าหัวหน้าของเราจะใช้มันทำอะไร ตัวเองในร่างชาร์ลเลยบอกว่า นี่คือระเบิดเพลิงรุ่นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก "โมโลต๊อป คอกเทล" ถ้าข้าศึกบุกมาในที่แคบแค่โยนขวดพวกนี้ลงไป รับรองมีแต่แพ้กับแพ้ หมู่บ้านส่งคนมาประจำการตรงช่องเขาได้ไม่นาน พวกข้าศึกก็ยกทัพมา พี่อิทเลยสั่งให้ทุกคนซุ่มอยู่เงียบๆ เพื่อรอจังหวะโจมตี
ตอนที่ 5 : สำแดงเดชโมโลตอฟ
เข้าสู่ฉากการรบแบบซุ่มโจมตี ปล่อยให้ข้าศึกเดินทัพเลยเข้าไปก่อนแล้วโยนระเบิดเพลิงขวางหน้า-หลัง พวกที่อยู่ตรงกลางก็ปาระเบิดแล้วใช้ปินยิงซ้ำ
มีการพูดถึงรูปแบบการจัดกระบวนทัพของทหารราบญี่ปุ่นยุคเก่าหลายแบบ การรบผ่านไปได้ด้วยดี มีคนเจ็บและตายค่อนข้างน้อย แต่ทัพของจักรวรรดิตายเพียบเจ็บอีกครึ่งต่อครึ่งจนต้องถอนกำลังกลับไป ลุงผู้ใหญ่เห็นผลงานของอิทแล้วก็ประทับใจ บอกว่าจะส่งเรื่องนี้ไปที่สำนักงานข่าวอีกหมู่บ้าน ให้พวกนั้นพานักข่าวมาดูสนามรบ แล้วให้หนังสือพิมพ์ในเมืองหลวงตีพิมพ์ข่าวนี้ พอวันรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ถูกวางขายพี่อิทหรือนายชาร์ลคนโนเนมแห่งหมู่บ้านชายแดน ก็กลายเป็นซุปตาร์ของเมืองหลวงแบบชั่วข้ามคืน
การบรรยาย : เล่าด้วย POV 3 ความยาวต่อตอนนับได้ว่ายาวเทียบกับค่าเฉลี่ยของนิยายปัจจุบัน บทพูดให้ความรู้สึกยุคเก่าแต่ความคิดในใจชาร์ลหรือตัวพี่อิทมาแนวโบ๊บ๊ะขายขำ อ่านมากๆ แล้วนึกถึงนิยายสายกาว เล่าเรื่องได้เห็นภาพ มีการเทข้อมูลเกี่ยวกับการจัดทัพบ้างซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติสำหรับนิยายสายสงครามจนเนื้อหาแต่ละตอนอาจยาวยืดเพราะตัวข้อมูลและการอธิบาย
ตัวละคร : ออกแบบมาได้ดีแต่มีความขัดแย้งอยู่บ้าง เพราะตัวเอกอย่างพี่อิทเกิดการหลุดคาร์แบบไม่มีเหตุผลขึ้นในตอนที่ 4 เพราะตอนแรกพี่แกทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้หนีออกจากสนามรบ แล้วจู่ๆ กลับกลายเป็นหัวหอกของกองกำลังไปซะงั้น แถมจริงจังขนาดสร้างตารางฝึก การผลัดปลี่ยนเวรยาม และควบคุมทุกอย่างในส่วนของกิจการพลเรือนด้วย เหมือนกลายเป็นเจ้าของประเทศขนาดย่อมไปเลย ช่วงแรกขายขำจากความขัดแย้งกันของเบื้องหน้าและฉากหลัง ที่ต้องแสดงเป็นชาร์ลแต่มีพี่อิทบ่นอย่างฮาๆ ในความคิด แต่หลังจากเข้าสู่ตอนที่ 4 พี่แกก็กลายร่างเป็นสุพรีมคอมมานเดอร์เต็มขั้นจนทำให้กูแปลกใจนิดหน่อย เนื่องจากไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ส่งผลกระทบให้ตัวละครตัดสินใจทำแบบนี้ได้ อีกเรื่องนึงที่ถือว่าไม่เหมือนอิเซไคเรื่องอื่นคือ การตระหนักรู้ถึงสถานการณ์รอบตัวของพระเอก เพราะแม่งเข้าใจเซตติ้งโลกที่ตัวเองข้ามมาได้เร็วเกินไป ไม่มีอาการสับสนหรือตกใจ ผิดกับเรื่องอื่นๆ ที่ช่วยแรกต้องมีเสียอาการหรือหวาดกลัวกันบ้าง
เนื้อเรื่อง : แนววางแผนการรบ หลังจากอิเซไคมาเพราะซื้อรถ MG (ใครไม่รู้จักให้ไปอ่านได้ที่เพจ อวย MG) ตัวเอกไม่มีการอธิบายว่าเป็นโอตาคุสงครามแต่ดันรู้เรื่องแผนการรบต่างๆ เป็นอย่างดี คือมันบอกแค่ว่าเป็นพนักงานทำงานบริษัท แต่ไม่มีบอกว่าสนใจในด้านนี้เป็นพิเศษ ดังนั้นความรู้ที่อธิบายมาในระหว่างเดินเรื่องเลยทำให้กูอินบ้างไม่อินบ้าง ว่าทำไมมึงเชี่ยวเรื่องพวกนี้จังวะ ถ้าเล่าตอนแรกว่าเป็นพวกชอบสงครามยุคเก่าแล้วโดนส่งมาเพราะพระเจ้าเห็นว่าชอบแนวนี้อยู่แล้ว กูก็จะได้เออได้มารบสมใจแล้วศึกษามาเยอะจะได้โชว์ภูมิเต็มที่เสียที แต่นี่มันไม่มีเลยรู้สึกแปลกๆ อย่างนึงที่กูต้องชมเกี่ยวกับเนื้อหาคือคนเขียนไม่มีการแวะเยี่ยวใดๆ บอกว่าแนวสงครามโผล่มาก็แม่งนอนแดกดินอยู่กลางสนามรบจริงๆ เนื้อหาต่อจากนั้นก็ยังวนเวียนอยู่แต่กับการรบ จังหวะการเดินเรื่องก็สมดุลไม่เร่งหรือช้าเกิน ให้อรรถรสเกี่ยวกับการทหารเต็มเปี่ยม แต่น่าเสียดายที่แนวนี้ไม่นิยมในเด็กดวก
จุดเด่น : เป็นแนวสงครามที่โอเคและเล่าเรื่องได้ลื่นไหลไม่แวะเยี่ยว
จุดด้อย : ใช้ชื่อคนตายมาล้อเป็นตัวละครเอก ตัวละครหลุดคาร์แบบไม่มีแรงกระตุ้นที่น่าเชื่อถือ พิมพ์ผิดแบบพิมพ์สลับที่บ่อยเช่น ไปเอาขึ้นเงิน-เอาไปขึ้นเงิน
คะแนน : เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้าาาา/10
ความเห็นส่วนตัว : ทำได้ค่อนข้างดีในแนวทางของตัวเอง มีวินัยและแต่งจบไปแล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีสกิลเทพซ่าส์อะไรเลยขายไม่ออกในเด็กดวก เป็นอิเซไคแนวใช้ความรู้จากวิชาประวัติศาสตร์ด้านการรบ เอามาประยุคใช้ในโลกใหม่ที่ล้าหลังกว่า (ชวนให้นึกถึงเรื่องราชาอาชาไนย์หรือเรื่องสาว ม.ปลายเซ็นโกคุ ที่โดนอิเซไคไปใช้เทคนิคพวกนี้ทั้งคู่) อ่านได้เรื่อยๆ ถ้าชอบแนวรบพุ่ง ถ้าสร้าง conflict หรือเหตุการณ์อะไรหนักๆ สักอย่างให้ตัวเอกต้องตัดสินใจเด็ดขาดในการเข้าสู่โลกสงครามนี้ได้ กูจะโอเคกว่านี้มาก
ขอบคุณในความเหนื่อยยาก ตกลงเมิงจะบอกว่านิยายเรื่องนี้ดีระดับเพลงเก็บตะวันใช่ไหมวะ
คห.4 มาเพื่อระบายอารมณ์ แต่กูไม่เถียงเลย แอบเห็นด้วยหลายอย่าง https://www.dek-d.com/board/writer/4074419/
มีคนรู้จักเป็นนักเขียนติด Top หมวดแฟนตาซีมาบ่นให้ฟังแล้วรู้สึกไม่อยากกลับไปเขียนเลยแฮะ
เห็นว่าทุกวันนี้ลงวันละ 3 ตอนคนอ่านยังบ่นว่าช้า พอขาดลงแค่วันเดียวยอดคนอ่านหายฮวบอีก ความสะดวกของผู้บริโภคนี่แลกมาด้วยความลำบากของผู้ผลิตจริงๆ วุ้ย
มีใครลงนิยายรักในเด็กดีไหม ทำไมรู้สึกยอดวิวมันห่างกับในรี้ดอย่างเห็นได้ชัด
>>88 เมิงเขียนนิยายระทึกขวัญ (thriller) ก็ต้องมีฉากระทึกขวัญเท่านั้นเอง
ถ้าเมิงเขียนแนวลึกลับ (mystery) ก็ขายความลึกลับขายปริศนา
ถ้าเมิงเขียน mystery thriller ก็คือมีจุดขายที่ปริศนาความลึกลับของเรื่อง แล้วก็มีฉากระทึกขวัญ
มันเข้าใจยากหรือกูเข้าใจผิด กุอ่าน ๆ ที่คุยกันจะพากุงงไปด้วยแล้ว
เมอร์รี่คริสโม่งงง โฮ่ๆๆ
ช่วงปีใหม่นี้โม่งหายตัวพักนึงแหง
สวัสดีปีโม่งงงง
มู้เด็กดวกไม่มีน่าสนใจเบน
นานๆถึงจะมีอะไรให้ดูที
https://www.dek-d.com/board/writer/4075814/13/14
กลายเป็นมู้นินทาบอร์ดเด็กดอยไปซะแล้ว วิวัฒนาการย้อนกลับเหรอวะ
มีอะไรให้นินทา เห็นวันๆ มีแต่คนมาขอกำลังใจ ทั้งกำลังใจกัน ทั้งคนขอคนให้ก็นะ… อีโก้สูงชิบ
กูอยากเขียนนิยาย แต่กูไม่มั่นใจเรื่องตารางเวลาลงให้โดนใจคนอ่านว่ะ
เห็นเพื่อนที่พยายามดันนิยายตัวเองติด top เขียนแบบตะบี้ตะบัน ลงวันละ 2-3 ตอน ยังโดนบ่นว่าลงช้า แล้วกูที่ทำงานประจำด้วย สปีดลงคงได้แค่อาทิตย์ละ 2-3 ตอน นี่จะโดนจวกยับขนาดไหนหนอ
ปกติเตั้งราคาตอนละกี่เหรียญ อยากรู้จัง
อยากแต่งนิยายหรืออยากมีเพื่อน
https://www.dek-d.com/board/writer/4076059/
ถามหน่อย ถ้าคิดพล็อตออกมาได้ละหลายเรื่อง แล้วคิดว่ามันน่าสนใจหมด และก็ชอบหมดเช่นกัน แต่มีเวลาเขียนในแค่เรื่องเดียว
ในฐานะมือใหม่ จะเลือกเรื่องที่เอามาเขียนยังไง เมื่อไม่มีบก.หรือคนอื่น ให้ปรึกษาเลย มีเกณฑ์เลือกเรื่องเขียนใหม่ อะไรงี้
อนึ่ง ไม่ได้คิดจะติดเหรียญหรือขาย และยังไม่มีแฟนคลับ เอาแค่ให้กลุ่มเป้าหมายมาอ่านสร้างฐาน ชื่อเสียงเปิดตัวพอ
>>109 มีแนวกระแสไหม ถ้ามีเอาแนวกระแสก่อน ถ้าไม่มี เอาเรื่องที่ชอบที่สุด ถ้าหัดเขียนใหม่เนื้อเรื่องไม่ต้องเอาถึงระดับมหากาพย์ เอาแค่เกิดขึ้นในพื้นที่หนึ่งก็พอ ปมไม่ต้องเยอะ สเกลพลังไม่ต้องสูง เนื้อเรื่องอย่าวนลูบ ความยาวไม่ต้องยาวมาก ไม่ควรเกิน 200 ตอน ตอนนึงประมาณ 1500-2000 คำ เน้นลงบ่อย ไม่ต้องไปตบตีกับคอมเม้นคนอ่าน เขาจะเม้นอะไรช่างมัน ถ้าเม้นกำลังใจก็ขอบคุณ เม้นด่ามองข้ามไปเลย คิดว่าตัวเองฝึกงานซะก็สิ้นเรื่อง (ตอนฝึกงานอาจโดนด่ามากกว่านี้อีก) (ปล. ตอนกูหัดเขียนเอาพล็อตขยะมาฝึกเขียนก่อน ส่วนพล็อตดีๆ ไว้เขียนตอนที่คิดว่าฝีมือถึง แต่มันก็เสี่ยงจะไม่มีคนอ่าน)
>>109 ลองเอาไอ้สิ่งที่ "น่าสนใจ" ในหัวมึงมากางดูก่อน ว่ามันน่าสนใจจริงขนาดนั้นเลยไหม ตอนเด็กๆแค่ดาบติดไอพ่นกูก็คิดว่ามันน่าสนใจแล้ว แต่พอเอามาเขียนจริงแม่งก็ไม่ได้มีอะไรต่อยอด เขียนปุ้บ ฟิน... หมดความสนใจ ดอง
ถ้าคิดว่ามันน่าสนใจจริงก็ขุดให้ลึกๆ เขียนออกมา อย่าขังไว้ในหัว เพราะมึงจะเริ่มโม้กับตัวเองว่า "ไอเดียนี้เจ๋งนะ มันดีจริงๆแค่ฝีมือการเขียนกุยังไม่ถึง" ถ้าเอามาเขียนแล้วมึงมีแต่เรื่องอยากเล่าเพิ่ม อันนี้คือมึงมีแพชชั่น มึงลากยาวจนจบเล่มได้แน่ๆ แล้วถ้ามันน่าสนใจสำหรับคนอื่นด้วยอันนี้ก็ Win-Win
แปลกมั้ยที่กูชอบเขียน POV ตัวละครหญิงมากกว่าชาย ทั้งที่กูก็โม่งชาย
เขียน POV ชายทีไรออกมาเป็นตาลุงขี้บ่นทุกที ในขณะ POV หญิงจะเป็นอีกแบบเลย ถถถ
เออว่าแล้วอยากถามความเห็นไปประกอบการพิจารณาหน่อยแฮะ เหล่านักอ่านหญิงนี่คิดยังไงกับการที่ตัวเอกมีภรรยาหลายคนหว่า
ไม่เชิงฮาเร็มแบบเจอหน้าปุ๊บอยากจับกดเลยเลย แต่เป็นแนวผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะเลยยอมๆ กันไป คล้ายๆ กับรูดี้กับเมียทั้ง 3 อะ
>>116 กุไม่ใช่นักอ่านหญิงนะ แต่มันก็แค่เรื่องกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่เหรอวะ กุตัวผู้ กุก็อยากอยู่ในดงสาวๆ เพราะเหม็นฆวย ส่วนผู้หญิงก็อยากอยู่ท่ามกลางผู้ชาย (หรืออยากเห็นผู้ชายได้กันเองกุก็ไม่รู้เหมือนกัน) มึงถามเหมือนกลัวโดนคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายตัวเองด่างั้นแหละ
ถามหน่อย ถ้าเขียนให้นางเอกโดนเย้หรือเสียซิง โดนจัดแบบhard core โดยตัวละครอื่นที่ไม่ใช่พระเอกหรือคู่จิ้น ในฝัน คนอ่านมันจะดรอปไหม
รู้แหละ รี้ดชอบนางเอกซิง แต่บางทีไรท์ก็แอบเบื่อนะ 555
โม่งไม่ได้คิดไปเอง มีคนคิดเหมือนกันด้วย
https://www.dek-d.com/board/writer/4077181/
ไหนๆ เด็กดีก็อนุญาต nc แล้ว เลยอยากถามเพื่อนโม่งเป็นวิทยาทานหน่อย
ใครในนี้เคยเขียนแนวนี้บ้าง พอรู้ปะว่าคนอ่านส่วนใหญ่ชอบ nc เข้มข้นดุดัน หรือมีโมเมนต์หวานๆ ผสมโรง มากกว่ากัน?
Pwp เจอค่อนข้างบ่อย
สมัยนี้สนใจปริมาณระดับ Forspoken ไม่สนใจคุณภาพระดับ Dead Space Remake แล้ว
https://www.dek-d.com/board/writer/4077279/
ที่ต้องการสื่อคือ Forspoken คือเล่นใหญ่แต่กลวงสัส Dead Space Remake น่าสำรวจมีอะไรให้ทำจริงๆ ไม่ใช่มีไว้ประดับแต่งบ้าน
เชี่ยนี่เรียกว่ามือตกสินะ
เขียนนิยายครั้งสุดท้ายคือช่วงปี 61 พอกลับมาเขียนนี่ถึงกับไปไม่เป็น เขียนมา 2 วันละเพิ่งได้ 5000 คำเอง
มาส่องเรื่องเก่าๆ ที่เคยเขียนนี่คือความยาวตอนละ 2 หมื่นคำ (แบ่งลง) แล้วเล่มนึงมาตั้ง 8-10 ตอนแน่ะ
โอ้ยยย รู้สึกเฟลชะมัด ต้องมารื้อฟื้นความรู้สึกกันใหม่แต่ต้นเลยสิเนี่ย
งบ 60000 บาท ค้องการเขียนนิยาย แหมมมม
https://www.dek-d.com/board/writer/4077661/
แนวระบบ นี่คือยังไง? ดูๆไปแอบคล้ายกับพวกแนวต่างโลกที่มีหน้าต่าง status แต่ค่ไม่ต้องต่าวโลกเกิดใหม่ก็ได้
สรุปแล้วมันคือแนวยังไงหว่า เอกลักษณ์ จุดเด่น ของแนวนี้คืออะไร ที่มันขายได้ในยุคนี้?
>>134 คือมันคุยกับตัวเอกได้ มอบภารกิจ มอบของรางวัล ที่มันขายได้เพราะคนอ่านชอบตรงที่มันมีภารกิจ มีรางวัลให้ เปย์ชนิดที่ตัวเอกกลายเป็นเทพซ่าไปตบเกรียน ไปทำให้คนอื่นอึ้ง แล้วระบบก็มอบภารกิจที่ตัวเอกลำบากนิดหน่อย (ย้ำว่านิดหน่อย) พระเอกก็โชว์เทพทำภารกิจสำเร็จ กับอีกแบบคือระบบแนวทะลุมิติไปในนิยายหรือในเกมจีบ… มันก็มีไว้สปอยเนื้อเรื่อง คุยกับตัวเอกแก้เหงา เป็น GPS ตามติดชีวิตคนที่เล็งไว้
>>134 แนวระบบไม่ต้องมีหน้าต่างก็ได้ เมิงนึกภาพมีเซียนมามอบภาระกิจ เมิงทำเสร็จ เซียนก็มาให้รางวัลเมิง นั้นคือเอเลเม้นท์ของแนวระบบ พอเป็นเซียนก็เรียกระบบเซียน พอเป็นปิศาจก็เรียกระบบปิศาจ พอเป็นโปลิ่งเมิงก็เรียกระบบโปลิ่ง ว่ากันไปตามที่ใครจะให้รางวัลเมิง
เอเลเม้นท์ย่อย ๆ คือ การเล่นหลายเซ็ทติ้งในเรื่องหนึ่ง มีหลายโลกในเรื่องหนึ่ง มีกฏการเอาชนะที่เปลี่ยนไป รวมถึงมีการแหกกฏเพื่อชนะด้วย
มีไซไฟที่คนเขียนแม่งไป research จริงๆ อ่านแล้วไม่ cringe แนะนำสักเรื่องสองเรื่องมั้ยสัส ใครมีมึงขายมาดิ๊
Andromeda strain ดีจนทำหนังและทีวีซีรี่สั้น ๆ
เด็กดอย ี่เรารักกำลังจะมีระบบโดเนทแล้วว่ะมึง มีนาคมนี้เจอกัน
เออดี พอขายกิจการให้อมร.ละระบบเริ่มะัฒนาขึ้นทีละสเตป ต่อไปจะผูกอีบุ๊คกับนายอินปะวะ
ระบบโดเนทมองในแง่ดีคือเป็นกำลังใจที่จับต้องได้สำหรับนักเขียนที่อยากแค่เขียนเอาสนุก ไม่ได้หวังผลกำไร
แต่มองในอีกแง่ คือแม่งเปิดช่องให้ไอ้พวกปลิงมิจฉาชีพหารายได้ด้วย เช่นพวกที่ไปขโมยงานคนอื่นมาแปลงี้
มือใหม่เคยแต่งนิยายนานมาหลายสิบปีละ วัยทำงาน กลับมาแต่ง ไม่เก็บเงิน ไม่nc เรื่องแรกควรแต่งแนวไหนดี คิดได้3เรื่อง
1. แนวเกิดใหม่ในเกม บริหารเมือง มีรบทัพจัดศึก การเมือง หักเหลี่ยมกลยุทธ์ (นึกถึงไอ้พวกเกมพิชิตสามก๊กในมือถือแบบนั้นอะ) แต่อาจแต่งให้ไม่เครียดมาก มีกาวๆ เบาสมองหน่อย แฟนตาซี
2. แนวนักฆ่า/นักจารกรรม/ก่อการร้าย/จอมยุทธพรรคมาร/sith lord มีมาสเตอร์กับลูกศิษย์ มาdarkนิดๆ ลอบเร้นแทรกซึม วางแผนแยบยลสังหารเป้าหมาย บ่อนทำลายแล้วยึดเมือง มีหักเหลี่ยม วางแผนเช่นกัน แต่ตัวเอกอาจแปลกๆ เช่น เนิดๆหน่อย (ลองจินตนาการว่าเอาเด็กเนิด introvert ติดนิยาย วิชาการ อนิเม มาฝึกเป็นนักฆ่า/จารกรรม/ sith lord ไรงี้ อาจมีแฟนตาซีหน่อยๆ
3. แนวตัวเอกสายintrovert ฟลุ๊คได้เป็นผบ.ทหาร อายุน้อย นำกองกำลัง(ไม่ถึงขั้นกองทัพ) ให้กับจักรวรรดิ มีสืบสวนนิดๆบ้าง การเมืองนิดๆ มีกลยุทธ สงคราม ตายบ้าง แต่เน้นกาวๆหน่อย
อยากรู้ว่าควรเลือกเรื่องไหนมาแต่งเรื่องแรกดี วัดความแต่งยากง่ายแล้วก็
เรื่องไหนมันเป็นแนวกระแส อันไหนนอกกระแสคนไม่น่าอ่าน เรียงลำดับมาเลยก็ได้
ขอบใจโม่งล่วงหน้าจ้า
>>146 กูเขียน 1. อยู่บอกเลยว่าไม่ใช่ง่าย พยายามเขียนให้กาวแต่สุดท้ายแม่งกาวไม่ออก เพราะเรื่องมันดึงไปทางนั้น
ถ้าอยากจะกาวมึงต้องเตะเหตุผลทิ้งไปให้หมด ประเคนพล็อตอาเมอร์กำหนดให้พวกตัวเอกเป็นแค่กลุ่มคนนิรนามแต่มีแบคระดับพระเจ้าหรือจอมมาร เอาให้การเคลื่อนไหวทีดันสะเทือนทั้งแผ่นดินอะไรทำนองนั้น ยกตัวอย่างเช่นพระเอกทำฟาร์มอยู่ดีๆ ครอบครัวดันมีแวมไพร์+นางฟ้า+เอลฟ์+มังกร บลาๆ มาเป็นเมีย ซึ่งแต่ละคนดันมีสเกลพลังระดับถล่มประเทศได้ พอลูกโดนรังแกก็ยกทัพไปถล่มงี้
2. เปลี่ยนเด็กเนิร์ด Introvert เป็น Alpha male ก็จะกลายเป็นแนวเทพซ่า ใส่สิ่งที่เรียกว่าระบบไปหน่อยก็กลายเป็นแนวที่นิยมเขียนกันในปัจจุบัน ใส่ความเบียวพูดเท่ๆ เข้าไปอีกนิดให้ตัวละครดูเอ็ดจี้นิดหน่อยเด็กๆ น่าจะชอบ ...อันนี้กูไม่ชัวร์เพราะไอ้แนวนี้มันเคยนิยมเมื่อ 4-5 ปีก่อน ไม่รู้ปัจจุบันยังนิยมกันอยู่รึเปล่า
3. แนวจูนิเบียวเข้าใจยาก นอกจากคนไม่ค่อยอยากอ่านแล้ว มึงได้โดนโม่งเอามาสับแหง เหมือนเคยมีเคสตัวอย่างอยู่แถวๆ นี้เมื่อนานมาแล้ว ถถถถถ
ว่าไปมีใครบริหารเวลาเขียนได้ลงตัวมั่งวะ
กูนี่คือต้องแอบเขียนระหว่างทำงาน บางวันต้องเขียนลงสมุดไม่ก็ไฟล์ notepad แล้วกลับบ้านมาพิมพ์ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ 2 ทุ่มละ ทำธุระนั่นโน้นนี่กว่าจะเสร็จ เหลือเวลาเขียนนิยายนิดเดียวเองก็ต้องเข้านอนละ
นี่เขียนมาได้อาทิตย์กว่าเพิ่งได้ 40 หน้า ตั้งใจจะเขียนซักร้อยตอนก่อนค่อยลง แต่ถ้าสปีดเท่านี้ร้อยตอนแม่งก็สต๊อกไม่พอแหง
>>147 ไม่จำเป็นก็ได้มั้ง ให้ตัวเอกมึนๆ อึนๆ บริหารบ้านเมืองไป แต่ตัวประกอบดันไปทำให้เรื่องใหญ่โตเองโดยที่ตัวเอกไม่รู้ก็ได้นี่ มันก็กาวเหมือนกัน ประมาณ 'ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน' มันมีกาวอยู่สองแบบ กาวจากตัวเอกกับกาวจากตัวประกอบ ส่วนใหญ่กาวจากตัวเอกจะควบคุมเนื้อเรื่องยาก แต่กาวจากตัวประกอบนี่ทำง่าย มึงสร้างตัวประกอบมากาวแค่ไม่กี่ตอนแล้วบทหายไปเลยก็ได้ ไม่ต้องกลัวคุมเนื้อเรื่องไม่ได้
เอากาวหรือไม่เอากาว เลือกสักอย่างเถอะ เล่นผสมแล้วได้ครึ่งๆกลางๆ ไปไม่สุดซะที
กูนี่พยายามเขียนกาว แต่คือกาวไม่ออกกลายเป็นมุกแป๊กแทนตลอดเลย เศร้าว่ะ
ดราม่าที่ยายละเมิดลิขสิทธิ์ใน DD กุเข้าไปอ่านคอมเม้นต์แฟนคลับของนิยาย พอเจอคำว่า ทำกลุ่มแปลต่อก็ได้ครับ ช่างหัวเด็กดีมัน กูช็อคแบบสุด คือนิยายเรื่องนี้มันไม่มีคำว่านิยายแปลเขียนไว้เลยนะ กะเคลมมาเป็นผลงานตัวเองชัดๆ ทำไมยังสนับสนุนกันวะ
>>155 ญ อ่านมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ถ้า ญ เป็นตัวเอกจะไม่ค่อยฮาเร็ม ตัวละคร ญ จะไม่น่ารำคาญ (ส่วนใหญ่จะใส่มาฟิลตัวร้าย) ถ้า ช เป็นตัวเอก ต้องมาลุ้นว่าจะฮาเร็มไหม ตัวละคร ญ จะน่ารำคาญไหมอีก ผญ เขาค่อนข้างซีเรียสเรื่องพวกนี้
>>156 ถ้าพยายามเขียนกาวมันจะไม่กาวนะ เหมือนกับเราพยายามเฟคอะ มึงลองปรับใหม่ แบบเขียนไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องยัดมุกอะไรมากมาย แล้วกลับมาอ่านดู มันจะสนุกแบบแปลกๆ
โม่งมีวิธีแก้นิสัยชอบรีไรท์ไหมวะ เหมือนกูติดความสมบูรณ์แบบเขียนตอนเดิมซ้ำไปซ้ำมาไม่พอใจสักที อยากแก้คำสาปนี้แล้วไปเขียนตอนใหม่หรือให้จบเรื่องสักที
>>160 กูเคยเป็นนะ ต้องหักดิบเอา แบบว่าเวลารู้สึกอยากรีไรท์ กูจะพิมพ์นิยายตอนเดิมซ้ำในตอนใหม่ พอพิมพ์ไปได้สักพักแล้วจะนึกได้เองว่า ไอ้เหี้ย เสียเวลาชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์
เพราะมันมีค่าเท่ากันระหว่างรีไรท์บทเดิมรัวๆ กับขึ้นบนใหม่แต่เขียนเหมือนเดิม ดังนั้นเขียนเนื้อหาใหม่ดีกว่าวนในอ่างไปเรื่อยๆ แบบนี้
อีกผลพลอยได้ที่มึงจะพบคือ เวลาเขียนคำผิดเยอะๆ มันมีคนมาคอยแก้ไขให้จนได้คอมเมนต์ฟรี กับการรีไรท์ตอนจบเรื่องแล้ว มึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดกว่าเขียนไปแก้ไป
เหมือนเวลามึงเห็นว่าบนสนามหญ้ามีหลุม มึงอยากถมหลุมนั้นเลยขุดดินจากพื้นข้างๆ มาถม แล้วเกิดอะไรขึ้น... ห่า หลุมแรกหายไปก็จริง แต่หลุมใหม่ที่เพิ่งขุดเอาดินมาเติมหลุมแรกกลายเป็นปัญหาแทน ถ้ามึงเขียนไปแก้ไปก็เหมือนมึงขุดหลุมใหม่มาถมหลุมเก่าวนลูป แต่ถ้ามึงปล่อยไปก่อน จนถึงตอนที่มึงมีดินจากแหล่งอื่น (ภาพรวมเรื่องต้นถึงจบ, เวลาว่างหลังแต่งจบแบบไม่ต้องรีบ ไม่มีแรงกดดัน, ทางแก้พล็อตโฮลที่นักอ่านชี้ให้เห็น) ถึงตอนนั้นมึงก็สามารถถมหลุมได้โดยไม่ทำให้สนามหญ้าเกิเความเสียหายเพิ่ม
มึงสามารถยืนข้างสนามแล้วไล่กวาดสายตาดูได้ทั่วเลยว่ามันมีหลุมตรงไหนและต้องใช้ดินเท่าไหร่ ทำได้แบบม้วนเดียวจบ กลบได้ทั้งหมด ดีกว่าขุดหลุมใหม่เติมหลุมเก่า หรือต่อให้ขนดินนอกมาถมรูนั้นได้ แต่ก็อาจมองไม่เห็นว่ามีหลุมอื่นๆ อยู่อีก เพราะทุ่มความสนใจมาแก้หลุมตรงหน้า
มันดีและง่ายกว่ากัน ไอ้โรคบ้าความเป๊ะเว่อร์เนี่ย มันไม่มีวันหายไปได้ แก้แล้วก็ไม่พอใจจะแก้ใหม่เรื่อยๆ ต้องฝืนใจตัวเองปล่อยผ่านไปก่อนแล้วจัดการทีเดียวตอนท้าย แรกๆ จะยากมาก ฝึกให้ชินแล้วทำได้เอง กูก็ฝืนอยู่เป็นปีๆ กว่าจะหายหงุดหงิดได้เอง
ถ้าเรื่องที่แต่งคาดว่าน่าจะมีรี้ดญอ่านด้วยเยอะ แล้วเรื่องที่แต่งโฟกัสที่นางเอกเป็นตัวหลัก เป็นแนวแอคชั่นหน่อยๆ นางเอกอายุน้อยแต่ออกแนวตัวร้ายหน่อยๆ จะให้นางเอกแต่งโป้หน่อยได้ไหม มันจะเหมาะไหม (ส่วนสาเหตุหลักคือเป็นเฟติสไรต์แค่นั้นแหละ555)
>>160 เคยมีคนบอกว่า นักเขียนมืออาชีพต้องรีไรท์หลายรอบกว่าจะไม่มีอะไรแก้ไข (การตีพิมพ์ครั้งที่เท่าไร เสมือนการนับรีไรท์ทีละรอบ) วิธีรีไรท์ถูกต้องคือแต่งให้จบก่อน จบเฉพาะภาคก็ได้ถ้ามีภาคต่อ แล้วค่อยรีไรท์ใหม่ ให้คิดซะว่ามันคือการ Remaster หรือ Remake (Reboot เหมาะกับแต่งเรื่องใหม่มากกว่า) แต่สมัยนี้แต่งลงเว็บเผยแพร่ทันทีไม่รอ บ.ก. สิ่งที่ทำได้คือ Remaster อย่างเดียว เพราะทุกคนอ่านก่อนจะได้รีไรท์หมดแล้ว
เพื่อนกูเขียนนิยายขายมันก็แนะนำมาตลอดว่าเขียนให้จบก่อน แล้วค่อยรีไรท์
แต่เคสมันคือเขียนเป็นเล่มขายในสมัยก่อนอะนะ ปัจจุบันก็เขียนแบบ 2-3 เล่มจบ ซึ่งมันทำได้อยู่ที่จะรีไรท์
แต่เคสกูนี่คือตั้งใจเขียนขายออนไลน์ วางไว้เป็นร้อยๆ ตอน แม่งคงรีไรท์ลำบากชิบหายเลย
โม่ง เราสามารถเขียนให้ตัวเอกมีความสัมพันธ์แบบทั้งคู่นอมอล และคู่ยูริ ในเรื่อวเดียวได้ไหม อารมณ์ มีทั้งเรือพระเอก และเรือยูริ ทีเดียว
ขอบใจมากเพื่อนโม่งที่มาตอบเรื่องรีไรท์ ไว้กูเขียนเสร็จเมื่อไหร่จะให้พวกมึงสับ
กูสงสัยอย่างแฮะ ทำไมหลายๆ เรื่องเขียนเป็นนิยายแฟนตาซีไปต่างโลกแต่หรือหลุดไปในยุทธภพ แต่ตัวละครเป็นชื่อไทยซะงั้น
รำคาญระบบบอทคอมเม้นต์เด็กดีชิบ จะเม้นต์อะไรกันนักหนาก็ไม่รู้
พอเริ่มเขียนมาได้ราวๆ 50 หน้า ก็ชักกังวลแฮะว่าจะเขียนต่อไปไหวรึเปล่า
คือสปีดการเขียนกูแม่งช้ามาก ต่อให้เขียนดองไว้เยอะๆ แล้วลงก็กลัวว่าจะลงไม่ทันจริงๆ
>>180 (ความเห็นส่วนตัวนะ) มันไม่พอจะดึงคนมาอ่าน โดยปกติแฟนตาซีจะสนุกช่วงกลางๆ เรื่อง เพราะช่วงแรกเน้นปูบท ปูโลก ปูเซ็ตติ้ง ปูตัวละคร แต่ถ้าแนว bl หรือแนวรักมันสนุกได้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลย เพราะไม่จำเป็นต้องปูขนาดนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความรักระหว่างคนสองคน จะเรียกว่าระดับสเกลของเรื่องมันต่างกันก็ได้ ฉะนั้นแฟนตาซีแค่ 10 ตอนมันบอกอะไรมากไม่ได้ เผลอๆ ยังไม่ถึงช่วงสนุกด้วยซ้ำ คนเลยไม่ค่อยเข้ามาอ่านกันช่วงตอนน้อย แต่ bl หรือแนวรัก 10 ตอนมันดำเนินเรื่องมาไกลแล้ว ลองดูจำนวนตอนของทั้งสองแนวในท๊อปกับยอดเฟบก็ได้นะ จะเห็นว่ามันค่อนข้างต่างกัน (ปล. ถ้าตอนสั้นไม่นับนะ แบบตอนละหน้าสองหน้าอะ)
>>182 ได้ ตอนแรกแนะนำใส่ฉากที่ค่อนข้างเค้นอารมณ์คนอ่าน สะเทือนใจ ฮึกเหิม เศร้าเสียใจ ตลก พีคๆ หรืออะไรก็ได้ลงไป มันจะช่วยดึงคนอ่านให้อยู่ติดตามเนื้อเรื่องต่อ ตอนถัดไปค่อยให้ตัวเอกเป็นคนพาไปรู้จักโลก เน้นบรรยายแค่สภาพแวดล้อมบริเวณที่ตัวเอกกำลังอยู่ แล้วค่อยๆ ไต่ระดับไปตามเนื้อเรื่อง เช่นแค่บรรยาเมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอะไร สภาพแวดล้อมวัฒนธรรมยังไงพอ ไม่ต้องบรรยายเมืองอื่นที่ยังไปไม่ถึง หรือถ้าจะทำอย่ามากเกินไป ไม่งั้นจะเหมือนยัดข้อมูล
>>181 ก็ใช่แหละ แนวแฟนตาซีมันเครื่องติดช้า
แต่ถ้าติดแล้วมันไปได้ยาวไม่กลับกันแนวรักแนว BL ถ้าเอาด้านนั้นเพียวๆ เขียนได้ถึง 3 เล่มคือเก่งแล้ว ส่วนพวกที่ยาวได้มักเป็นแนวรักในโลกแฟนตาซี
แต่ข้อเสียอีกอย่างของแฟนตาซีคือนักอ่านแม่งใจร้อนด้วย บางคนอ่านไปแค่ 5 ตอนก็บ่นละว่าเดินเรื่องช้า ทั้งที่ยังเป็นแค่ต้นเรื่อง อย่างเรื่องเก่ากูเล่มนึงมี 50 ตอนงี้ คือยังอ่านไปไม่ถึง 10% เลยจะให้เดินไวไปไหนวะ?
ไม่มีโม่งคนไหนสับนิยายเลยเหรอ หรือกูต้องสับเองวะ
มีเรื่องไหนต้องการให้สับเป็นพิเศษไหม แปะได้ เดี๋ยวกูมาไล่สับให้
กูขอโทษ อย่าหาสับนะมึง 555555
>>192 อย่าเลย แค่เห็น tag กูก็จะอ้วกแล้ว ถ้าจะสับจริงๆเอานิยายคนที่เพิ่งแปะในบอร์ดมาดีกว่า
https://writer.dek-d.com/naru00/writer/view.php?id=2447209
เหมือนนักวาดจะเป็นคนมาช่วยโปรโมทให้ด้วย นิยายแนวใจฟูมั้ง ปกติกุไม่ได้อ่านแนวนี้เลย
>>190 ไม่รู้ให้สับไหมนะ กูยังไม่สับละกัน แต่เท่าที่เข้าไปดู กูว่ามึงวัดใจคนอ่านมาก สามตอนแรกยัดข้อมูลขนาดนั้น เสี่ยงโดนปิดตั้งแต่สองสามตอนแรก ถ้าให้กูแนะนำ มีสามทาง อย่างแรกสร้างตัวละครที่คอยให้ข้อมูล จะเป็นคนเล่าเรื่องให้อีกคนฟัง อาจารย์สอนนักเรียน หรือคนกำลังอ่านหนังสือ อะไรก็ได้ มันจะทำให้น่าสนใจขึ้น สองค่อยๆ ใส่ข้อมูลไปตามเนื้อเรื่องทีละเล็กละน้อย สามสร้างเนื้อเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ทำให้จำเป็นต้องรู้ข้อมูลพวกนี้ทันที
เกิดใหม่เป็นเสือสมิงตัวอ้วนกลมละ โฮกปิ๊บ!
สไตล์ : แฟนตาซี ไลท์โนเวล
เนื้อเรื่อง : ตอนที่หนึ่งเล่าถึงหนุ่มน้อยเลเซอร์ เด็กหนุ่มมัธยมปลายวัยขบเผาะที่พยายามตามใจแม่เพื่อให้แม่รัก แต่แม่เป็นคนเข้มงวด ไม่ได้แสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นดังที่หวัง แถมยังชอบเอาคนบ้านอื่นมาเปรียบเทียบ เลเซอร์เลยน้อยใจแล้วไปนอน ตัดพ้อว่าทำไมชีวิตนี้ถึงได้แย่ขนาดนี้ ต่อมาพ่อตื่นขึ้นก็กลายเป็นเสือน้อยในเซอร์คัส ที่ต้องคอยจัดแสดงของบารอน ในชีวิตนี้มีแม่ที่คอยรักและดูแล (แม่เป็นเสือ) และเจ้าเสือน้อยเลเซอร์ก็ได้เห็นลูกช้างเอลิไฟเออร์ที่หนีไปถูกจับตัวกลับมา แม่เสือก็เล่าว่าสัตว์บนโลกนี้มีพลังวิเศษ เลเซอร์ก็ถามว่าเขามีไหม แม่เสือก็บอกว่ามีความน่ารักไง ต่อมาเจ้าเลเซอร์ก็ถูกบังคับไปเดาะบอลแต่เดาะไม่ได้ เลยถูกทำโทษเอาแส้ฟาด แม่เสือทนไม่ไหวเอาตัวมารับไว้ เจ้าเลเซอร์ก็โกรธและคับแค้นใจออกมาแล้วกลายร่างเป็นช้างเอลิไฟเออร์อาละวาด
ขอวิจารณ์ตอนนี้ก่อนแล้วกัน : ในตอนนี้แบ่งเป็นตอนย่อยด้านในอีก ไม่รู้ว่าเพราะเป็นไลท์โนเวลหรือเปล่าถึงทำ (อันนี้ไม่รู้ว่าคนอ่านคนอื่นจะคิดยังไงนะ แต่สำหรับกูอย่าหาทำ) คำผิดมีประปราย การบรรยายทำได้ดี แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร คือปมเรื่องชาติก่อนควรทำให้มันแน่นและมีอะไรกว่านี้ อย่างเช่นสร้างพี่หรือน้องขึ้นมาแล้วทำให้แม่ลำเอียง อันนี้เท่าที่อ่านเหมือนแม่ก็รักนะ แค่เป็นคนเข้มงวดเลยไม่แสดงออก แต่ลูกดันอยู่ในช่วงวัยต่อต้าน พอไม่ได้อย่างหวังก็เก็บกด หาว่าแม่ไม่รัก (ถ้าไม่ใช้ปมนี้เพื่อให้พลังพิเศษตื่นมามันก็ไม่อะไรหรอก แต่ดันใช้เรื่องนี้เป็นตัวกระตุ้นให้พลังวิเศษตื่นมันเลยดูไม่มีน้ำหนักพอ) ต่อมาคือเรื่องความสัมพันธ์กับแม่เสือ คือเท่าที่อ่านดูเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นในวันเดียว วันเดียวมันก็ดันผูกพันกับแม่เสือที่แค่ทำดีด้วยเล็กน้อย อาจจะไม่กี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ดันไม่พอใจแม่ตัวเองในชาติที่แล้วซึ่งเลี้ยงมาจนโต? (กูมองได้อย่างเดียวว่าเลเซอร์นี่คือเด็กขาดความรักอย่างแรง ใครดีเข้าหน่อยก็คล้อยตามละ แบบนี้โอกาสโดนหลอกใช้ 99.99%) ถ้าเป็นไปได้ทำไมไม่ไทม์สคลิปสักเดือนก่อนเกิดเรื่องระเบิดพลัง จะได้ดูเหมือนมีช่วงเวลาในการพัฒนาความสัมพันธ์บ้าง สรุปเลยตอนนี้คือปมดราม่ายังมีน้ำหนักไม่พอ
ตอนที่สองและสามไม่มีอะไรมาก หลังเลเซอร์อาละวาด ก็มีเจ้าหญิงที่คาดว่าจะเป็นนางเอกมาช่วย เจ้าหญิงก็จัดการกับบารอนที่เป็นเจ้าของเซอร์คัส ช่วยเหลือเสือน้อยแล้วเอาไปเลี้ยงดู
ที่บอกว่าไม่มีอะไรมากก็คือการบรรยายอะไรทำได้ดีหมดนั่นแหละ ยกเว้นที่แต่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่มันยังรู้สึกผูกพันธ์ไม่พอ ทำให้ตัวเอกเหมือนเป็นคนขาดความรัก เรื่องนี้ถ้าเดาไม่ผิดหลังจากนี้คงจะเล่าถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกที่เป็นเสือกับนางเอกแหละ อาจจะมีตัวละครหญิงโผล่มาอีกหลายคน (ถ้าเป็นไปตามกลไกตลาดไลท์โนเวล) จะว่ายังไงดีล่ะ เรื่องนี้ควรไปอยู่ในหมวดรักแฟนตาซีอาจจะปังมากกว่านี้
ความคาดหวังของคนสับ : กูเห็นว่าเป็นนิยายฟิลกู้ด มิตรภาพ กาว หมวดแฟนตาซี อย่างแรกเลยกูคาดหวังว่าเรื่องนี้ช่วงแรกจะเล่าถึงพวกลูกเสือหนีออกจากเซอร์คัสแล้วไปผจญภัยในป่า ได้เพื่อนสร้างกองกำลังสัตว์ป่า ค่อยมาเจอนางเอกที่หลงทางอะไรเทือกนี้ แล้วนางเอกก็เป็นมนุษย์คนเดียวในฝูงสัตว์ จากนั้นคือเทพซ่าป่วนเมืองต่อไป แต่แบบนี้คนอื่นอาจจะชอบกันล่ะมั้ง
สรุปเรื่องนี้ถือว่าค่อนข้างโอเคด้านการบรรยาย อยู่ก้ำกึ้งระหว่างไลท์โนเวลกับนิยายแฟนตาซี คำผิดมีบ้างให้อภัยได้ เนื้อเรื่องพล็อตก็โอเคอยู่ระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับคนชอบอ่านไลท์โนเวลสไตล์ญี่ปุ่น ขาดแค่ฉากกระตุ้นอารมณ์ที่ยังดีไม่พอ
>>194 ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว กูเห็นโม่งชอบบ่นเกี่ยวกับการอธิบายแบบใส่ข้อมูลในช่วงต้นเรื่องอยู่ตลอด แต่ในขณะเดียวกันพวกนิยายที่กูอ่านทั้งหลายก็มักจะใส่ข้อมูลอธิบายเซ็ตติ้งของเรื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องด้วยกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็ใส่มาช่วงตอน 2-3 นี่ล่ะ ที่ต่างกันคือความมากน้อย
ยกตัวอย่างเช่นแนวเกิดใหม่เป็นนางร้าย ตอนแรกก็จะออกมาทำนอกตกใจว่าที่นี่มาที่ไหน ก่อนจะตั้งสติได้ในตอนที่ 2 แล้วพล่ามว่าตัวในอดีตเป็นใครและมาอยู่ในร่างใคร ส่วนตอน 3 ก็จะพูดถึงตระกูลและความเป็นมา แล้วค่อยขยายไปสเกลใหญ่ๆ อย่างเช่นคนรอบข้างเป็นใคร อยู่ประเทศไหนมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้างในตอนต่อๆ ไป ทั้งนั้น
คือเห็นเมื่อก่อนเหล่าโม่งก็บ่นทำนองนี้ พอมาปัจจุบันก็ยังเห็นบ่นกันอยู่ กูก็พาลนึกนะว่าการใส่ข้อมูลตอนต้นเรื่องมันใช่เรื่องผิดไล่คนจริงรึเปล่า หรือที่จริงแล้วเป็นที่ฝีมือคนเขียนไม่ถึงดึงความสนใจคนอ่านไม่ได้เองกันแน่
แอบกังวลอยู่เหมือนกันนะ เพราะเรื่องที่กูกำลังเขียนก็มาแนวที่ว่าเลย ไอ้การทยอยใส่ข้อมูลให้คนอ่านรับรู้เซ็ตติ้งช่วงต้นเรื่องเนี่ย
>>197 คือทะลุมิติมันใช้มุมมองตัวเอกนึกย้อนข้อมูล มันยังมีบรรยากาศว่าเป็นเนื้อเรื่องบ้าง ทำให้เหมือนเราอ่านความคิดตัวเอก กูก็ไม่ได้บอกว่าใส่ข้อมูลอธิบายมันผิด แต่ไม่ควรใส่เยอะเกินไป หรือใส่โต้งๆ มาเลย ควรใส่แบบหยาบไม่เจาะลึกมากหรือมีสตอรี่ให้มันสอดคล้องว่า เออ... ต้องรู้ข้อมูลนี้นะ เพื่อเนื้อหาบทถัดไปจะง่ายขึ้น ก็ยกตัวอย่างอยู่ว่าควรทำให้มันดูเหมือนเรื่องเล่า หรือทำให้มันดูมีอะไรหน่อย แล้วไม่ควรจะบรรยายอะไรที่มันไกลตัวเกินไป อย่างตัวเอกเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ของอาณาจักรเล็กๆ ถ้ามึงอธิบายอาณาจักรอื่นหรือเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยมันก็ดูจะมีแต่น้ำ สู้แทรกไประหว่างเนื้อเรื่องไม่ดีกว่าเหรอ อย่างมีการกล่าวถึงเมื่องนี้ อาณาจักรนี้ตอนบทสนทนา ก็อธิบายแบบหยาบไปรอบหนึ่ง พอตัวเอกต้องไปเกี่ยวข้องกับเมืองหรืออาณาจักรนั้น ค่อยบรรยายแบบละเอียดอีกที แบบนี้มันน่าสนใจกว่าไง
>>197 ใส่ข้อมูลในเรื่อง ทำไมบางคนใส่แล้วดีบ้างคนใส่แล้วบ้ง มันต่างกันว่าตอนที่มึงใส่คนอ่านเรียกร้องให้เมิงเล่าให้ฟังหรือเปล่า ถ้าเมิงวางการเล่าเรื่องไม่ดี พูดถึงเทพสิบองค์มาโดด ๆ โดยคนอ่านไม่ได้ถาม มันก็บ้ง
แต่ถ้าเมิงวางการเล่าเรื่องให้ดี ทำให้คนอยากรู้เรื่องเทพสิบองค์ก่อนค่อยเล่ามันก็จะไม่บ้ง
ทำไมมันไม่ค่อยมีเรื่องที่พระเอกที่เป็นลุงอ้วนntrเลย
ถ้ากูเขียนเอง พระเอกเป็นลุงอ้วนntr นางเอกเป็นโลลิ แนวต่อสู้ พลังพิเศษ แฟนตาซี กาว
มันจะมีคนอ่านเยอะไหมโม่ง โม่งอยากอ่านไหม
>>203 มีคนด่ามากกว่าคนอ่านอะ เชื่อเถอะ ชีวิตจริงคือมันมีแบบนี้เยอะแยะแล้วไง คนอ่านจะคิดกันว่าทำไมกูต้องมาเจอในนิยายอีก ผู้ชายหล่อ ดี เท่ห์ในชีวิตจริงมันมีน้อย คนก็ต้องมาตามหาเอาในนิยายสิ แต่มึงจะแต่งก็ได้นะ เผื่อดัง อย่างน้อยพวกผู้ชายชอบแนวโลลิก็น่าจะอ่านกันอยู่แหละ
แนวองค์กรลับ พลังวิเศษ ที่ไม่ใช่มาเฟีย ยังขายได้อยู่ไหม เปิดๆดูเหมือนมีอยู่บ้างแต่ไม่เยอะ
ว่าแต่ทำไมแนวพลังวิเศษนี่มันต้องจัดranking กันแทบทุกเรื่องเลยแฮะ มันติดมาจากกาตูนโชเน็นรึเปล่า
ถ้าตัวเอกหญิงมีโดนลุงอ้วนที่เป็นหัวหน้าลวนลาม แต๊ะอั๋ง พูดจาแทะโลม ใส่เป็นช่วงๆ เพราะพล็อตมันบังคับ แต่ไม่ได้โดนอึ๊บหรืออมนกเขา และไม่ใช่แนวรัก
แล้วกว่าลุงอ้วนจะโดนเอาคืนก็อีกนาน
แบบนี้นักอ่านรับได้แค่ไหน
>>215 ถ้ามึงเขียนดีมันก็ได้หมด แต่ถ้าเขียนไม่ดีก็เตรียมรับการโดนด่า อาจจะด่าตาลุง ด่าตัวเอก ถ้านักอ่านไม่แยกแยะก็ลามมาถึงคนเขียน อย่างในกรณีข่มขืนอะ กูเคยเห็นคนเขียนพลาดแบบเขียนเชิงมองว่าการข่มขืนเป็นเรื่องปกติ แล้วก็โดนคนอ่านด่าลามมาถึงคนเขียน นิยายที่ส่อไปเรื่องทางเพศถ้าไม่ใช่สไตล์ NC มันค่อนข้างอ่อนไหว เพราะคนอ่านบางคนอาจจะรับไม่ได้ ถ้าปิดไปเงียบๆ ก็แล้วไปเถอะ แต่บางคนไม่คิดจะเงียบนี่สิ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแนวเขียนด้วยแหละ ถ้าดาร์คแฟนตาซี หรือดราม่าก็ไม่น่าจะเป้นอะไร เพราะคนอ่านแนวนี้คงเตรียมใจปวดตับมาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าแนวอื่นก็ชั่งใจให้ดีละกัน คนอ่านเขาอาจจะไม่ได้เตรียมใจมา
พวกชอบยัดข้อมูลเนี่ย ควรใช้วิธี show, don’t tell บ้าง เพราะคนอ่านไม่มีทางจำหมดหรอก
เอาจริง Show don't tell มันก็แค่วิธียัดข้อมูลแบบมีสไตล์นั่นล่ะ
จากที่จะให้คนเขียนบรรยายไปตรงๆ ว่าในโลกมีอะไร ก็แค่เปลี่ยนมาเป็นให้ตัวละครไหนซักตัวเล่า ผ่านการพูดที่ข้อมูลมีโอกาสถูกผิด หรือผ่านสายตาที่ตัวละครเห็น
อย่างเช่นฉากแมวกินปลาทูแล้วบอกอร่อย ก็อาจจะบรรยายไปว่าทันทีที่กัดสัมผัสนุ่มชุ่มย้อยที่ละลายอยู่ในปากก็ทำให้รู้สึกเสียวซ่าน ความหอมมันทำให้น้ำลายสอจนเผลอครางครืดๆ ออกมา อะไรทำนอง
ในเด็กดี ไม่nc พระเอก พระรองนี่หื่น โรคจิต ได้ระดับไหนโม่ง เห็นแนวขายผู้ชายหื่นๆเหมือนจะโอเค แล้วแนวขายผู้หญิงละ
ถ้า หล่อ ฉลาด เก่ง หุ่นดี โคตรalpha จะให้เป็นพวกโลลิค่อนขี้เงี่ยน แอบโรคจิต ชอบลวนลามแกล้งนางเอกอายุน้อย smutๆหน่อย ไรงี้รี้ดเขาเกลียดป่าวหว่า
แม่งรู้สึกลำบากใจจังว่ะ คือกูว่างงานมานานเลยเขียนนิยายแล้วกำลังไปได้สวยเลย
แต่จู่ๆ แม่งก็ได้งานซะงั้น แถมต้องไปอยู่เทรนก่อนตั้ง 3 เดือน พอเทรนเสร็จก็ไม่รู้จะมีเวลาเขียนรึเปล่าอีก
ได้งานใหม่แบบนี้ทั้งที่กูควรดีใจ แต่กูกลับรู้สึกลำบากใจที่ต้องหยุดเขียนอีกแล้วซะงั้น เฮ้อออ
>>221 ลองแบบกูมั้ย กูมีงานประจำทำ ก็ใช้วิธีเขียนเก็บไว้วันละหน้าสองฟน้าบังดี เจียดเวลาวันละสองชม.มาทำ ได้แค่ไหนแต่ไหน ไม่ต้องเรียบเรียงเขียนๆไปก่อนนึกๆรได้ก็เขียนใส่ไปก่อน พอเขียนจนได้ครบจำนวนบทนึงละ ค่อยมาเรียบเรียงเกลาเอาให้เป็นผลงานสำเร็จมากขึ้น กูทำงี้เขียนได้เดือนละ 1-2 ตอน ฟังดูน้อยนะแต่ดีกว่าปล่อยว่างไว้เฉยๆละค่อยมาเร่งปั่นตอนว่างๆ บอกเลยจ้าว่าไม่มีทาง555 จะกลายเป็นดองนานหมดไฟผัดสันเรื่อยไป ออกงานสม่ำเสมอแบบเดือนละครั้งสองครั้งให้พอมีเชื้อไฟอยู่เถอะ หมดไฟกว่าจะจุดติดคือเวลาผ่านไปเป็นปีๆก็มี กูผ่านมาละ กว่าจะฮึดกลับมสเขียนได้คือตันไปหมด เนื้อเรื่องมันวนในหัวแหละแต่มีลืมๆไปบ้าง จดไว้อ่านยังต่อไม่ติดเขียนไม่ออก
>>221 มันอยู่ที่มึงชอบงานไหนกว่ากัน งานเขียนก็เป็นอาชีพเหมือนกันนะ ของกูคือเขียนงานขายได้เงินพอๆ กับงานประจำ แถมบางเดือนได้เยอะกว่า แต่มีอิสระมากกว่า ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างหรือกดดันในที่ทำงาน แต่ก็อย่างว่าแหละ กูมองว่าเป็นงานก็ต้องขยันเขียนหน่อย ตั้งเป้าไว้วันละ 8000 คำ ไม่งั้นเงินไม่พอยาไส้ ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่มึงอะ ลองชั่งน้ำหนักแล้วคิดให้ดี ถ้ามึงชอบงานที่ได้คิดจะทำไปยาวๆ อันนี้ก็แนะนำให้ลดการเขียนลง เอางานเขียนเป็นรายได้เสริม แต่ถ้ามึงไปทำแล้วไม่รอดหรือทำเพราะฝืนใจ มึงจะเสียทั้งขึ้นทั้งล่องนะ
ปัญหาของกูคือ กูรู้อยู่แล้วไงว่าเขียนนิยายแม่งไปได้ไม่ไกล กูเขียนมาเกิน 10 ปีละยังทำรายได้รวมทั้งหมดไม่เท่าไร ในทางกลับกันงานนี้ถ้าเทรนผ่านได้ก็คือมั่นคงเลยเพราะเป็นราชการ
ที่กูไม่พอใจคือแม่งทำไมจู่ๆ ก็มาตอนที่กูกำลังเริ่มไปได้สวยนี่ล่ะ ถ้ามาตอนกูดาวน์ ปลงๆ นี่จะไม่ว่าเลย
แนวเทพซ่า นี่มันเป็นยังไงหว่า
แล้วตัวละครหญิงเป็นเทพซ่าได้ไหม
เสริมให้ ถ้ามึงมี Netflix ลองไปหาอนิเมะเรื่อง Bastard ดู นั่นน่าจะเป็นต้นตำหรับแนวเทพซ่าที่มาก่อนกาล เพราะเขียนมาได้ราวๆ 30 กว่าปีละ แต่เพิ่งได้ทำอนิเมะ
งั้น ถามอีกหน่อยมถ้าแต่งให้ตัวเอกค่อยๆกลายเป็นเทพซ่า ไม่ได้เทพซ่าเลยทีเดียว มีฝึกฝน ลองผิดถูกบ้างเล็กน้อย แล้วค่อยไล่ตบเกรียนไปเรื่อย เจอคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อหน่อย
เป็นแนวกึ่งเทพซ่า แบบนี้ยังถือว่าเข้าข่ายเทพซ่าอีกไหม
>>230 ก็เทพซ่าอยู่ดี คอยไล่ตบเกรียนมันก็เทพซ่านั่นแหละ ปกติแนวเทพซ่าก็มาพร้อมกับการวนลูบ เกรดต่ำลงมาหน่อยก็เพิ่มความเบียว เน้นมันไม่เน้นตรรกะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะมึง นิยายส่วนใหญ่ก็เทพซ่าทั้งนั้น แทนที่มึงจะมากลัวว่านิยายจะเทพซ่าไม่ซ่า มึงไปคิดดีกว่าว่าจะโฟกัสนักอ่านกลุ่มไหน เทพซ่าก็มีตลาดของเทพซ่าอยู่ แต่งไปไม่ได้เสียหายอะไร
มันมีอีกเคสที่ทำให้เทพซ่าดูน่าสนใจกว่าเทพซ่าเรื่องอื่น คือทำให้ตัวละครนั้นมีความเป็นมนุษย์จริงๆ มีความเป็นจิตวิทยาแต่ไม่ถึงกับเรียกตัวเองว่านิยายจิตวิทยาซะทีเดียว เช่น พระเอกเป็นเทพซ่าเพราะหลงตัวเอง เหลิงพลังอำนาจ กลายเป็นกับดักของคนหลงตัวเอง คนที่ไม่เคยลิ้นรสของความพ่ายแพ้มาก่อน แค่แพ้ครั้งเดียวแทบสติหลุดไปเลย ไม่เหมือนคนขี้แพ้ที่ไม่เคยลิ้นรสของชัยชนะ ที่ได้ชนะแล้วเหมือนรู้สึกหมดทุกข์ซะที หรือไม่ก็ใช้วิธีการสำรวจจิตใจว่า ความศรัทธาของพวกเทพซ่าจะใช้ได้ผลกับโลกได้แค่ไหน ถึงเก่งแค่ไหน แต่ถ้าศรัทธาของคนเทพซ่าขัดแย้งกับความจริง ตัวเทพซ่าจะยังยืนหยัดสู้เพื่อศรัทธาเดิมต่อไปหรือยอมรับความจริง
แต่ว่า การเขียนแบบนี้ทำให้เด็กเบียวไม่ชอบ เพราะชอบตัวละครมิติเดียวเท่านั้น ชนะกี่ครั้งก็ได้ แต่แพ้ครั้งเดียว คนอ่านทิ้งเมียหลวงไปหาเมียใหม่เลย
>>233 แนวเทพซ่าส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่นวัยเบียว กับพวกที่ชอบอะไรแบบสะใจๆ หรือไม่ต้องใช้สมองมาก มึงลองหาแนวเทพซ่าสักเรื่องแล้วลองไล่อ่านคอมเม้นต์ดู แล้วจะรู้ว่าเป็นยังไง ถ้าตัวเอกกากปุ๊บ รุมด่ายังกะมึงไปฆ่าใครมา บอกตามตรงนะว่าเขียนนิยายแนวไหนก็จะได้นักอ่านแบบนั้นอะ ถ้านิยายมีตรรกะ มีเหตุผลก็จะได้นักอ่านอีกกลุ่มหนึ่งที่มีเหตุมีผล แนวเทพซ่าก็จะได้อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นวัยเบียววัยมันส์ แนวสโลไลฟ์ก็จะได้อีกกลุ่มหนึ่งค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน
>>233 ปัจจัยมีทั้งกลุ่มอายุ สภาพแวดล้อม และอะไรอีกหลายๆ อย่าง
บางคนอ่านก็เป็นเด็กน้อยที่โดนเลี้ยงมาแบบโลกหมุนรอบตัว บางก็เป็นคนวัยทำงานเจออะไรเหนื่อยๆ มาอยากจะหาอะไรเบาสมอง พวกหลวมชิสเทสที่ชอบแนวนั้นทั้งที่โตแล้วก็มี แต่ปริมาณจริงๆ คงไม่มาก(มั้ง)
กูเองก็ไม่ได้สำรวจตลาดมาหลายปีละ ไม่รู้แนวที่คนอ่านชอบมันเปลี่ยนไปขนาดไหน
เทพซ่าสาย int มีไหมโม่ง อารมณ์คล้ายๆบักแสงในเดทโนต บักลู่โค้ดกีอัส ไรงี้ วางแผน ควบคุมทุกคน กำจัดศัตรูแบบเนียนๆ พวกนี่เทพซ่าไหม
ทำไมวันนี้สาระมาเต็มจังวะโม่ง ไม่ได้เจอตั้งนาน
>>237 จะสร้างเทพซ่างั้นได้คือต้องลดความเบียวเพิ่ทความฉลาด แม่งยากสัสๆ555 เหมือนที่เขาว่าตัวละครไม่มีทางฉลาดกว่าคนแต่งอะ ถ้ามึงจะยัดพระเอกอัจฉริยะไอคิว 200 แต่มึงไอคิว 180 นี่ก็เกินความสามารถไป แต่มีตัวช่วยได้คือมึงต้องรีเสิร์ชหนักๆให้ข้อมูลแม่น แล้วแต่งพลิกแพลงสถานการณ์ให้พระเอกส่งเรื่อง ไม่ใช่เรื่องส่งพระเอกแบบเนิฟสมองตลค.รอบข้างเพื่อยกให้พระเอกดูอัจฉริยะขึ้นมาทันตาเห็น แบบพวกต่างโลกไปผลิตมายองเนสอะ ให้ตลค.โลกนั้นกลายเป็นคนโง่เพราะโลกนั้นไม่เคยมีใครผลิตมายองเนส พระเอกเป็นคนคิดได้คือโคตรฉลาดเหี้ยๆ
เคยเจอนิยายบอกพระเอกมีไอคิวเกิน 300 แต่ปริศนาเสือกแพ้นักอ่านป.4 ในชีวิตจริง แสดงว่านักเขียนโง่เกิ๊น
ต้องทำรายได้เท่าไหร่วะ เว็บมาสเตอร์ถึงจะขึ้นหน้าแนะนำให้ กูเห็นบางเรื่องแนะนำแล้วแนะนำอีกอยู่นั่นแหละ
กูปรึกษากระทู้นี้ได้ป่ะวะ กูอยากเขียนแนวกึ่งๆฮาเร็ม มีโมเมนต์กับทุกตัวละครแต่จะไม่ล็อคคู่ เป็นแนว slice of life ที่เขียนเรื่อยๆไม่เน้นรักมาก ทีนี้คนที่ตัวเอกจะมีโมเมนต์ด้วยจะมีทั้งชายและหญิง ซึ่งกูคิดว่าจะเขียนแบบปล่อยให้ไหลไป เคมีตัวไหนดีก็ให้จบกับตัวนั้น หรือจะจบแบบฮาเร็มก็ได้ แต่เพื่อนกูบอกว่ามันดูไม่มีเป้าหมายโฟกัสครึ่งๆกลางๆไปหมด ถ้าจบ nl คนเชียร์ยูริ เชียร์วายจะด่ากูเอา ถ้าจบยูริหรือวายคนเชียร์ชญก็จะด่ากูเหมือนกัน
ใจกูอยากให้มันเป็นนิยายที่อ่านได้เรื่อยๆทุกเพศทุกวัย ไม่ได้อยากให้มันเป็นนิยายเฉพาะทางอะไรแบบนั้น สมมติกูปักแท็กวาย คนก็จะโฟกัสแค่ความรักระหว่างตัวเอกกับผู้ชายแล้วรอดูว่ามันจะรักกันตอนไหน คนอ่านชญไม่อ่านวายก็จะข้ามนิยายกูไปเพราะเห็นแท็กคำว่าวายหรือยูริ หรือกูไม่ควรแท็กอะไรเลย ไม่บอกอะไรทั้งนั้นว่าจะไปชช ชญ ญญ ให้อ่านไปเรื่อยๆพอ เพราะยังไงก็ไม่เน้นรักอยู่แล้ว
>>248 กุอ่านแล้วงงว่ามึงสับสนอะไร ในเมื่อมึงไม่เน้นเรื่องรักแล้วจะมาสนใจ #วาย ชช ชญ ญญ ทำไม? กลัวคนอ่านด่าเนี่ยนะ? มึงเอาเวลาคิดเรื่องพวกนี้ไปเขียนเนื้อเรื่องให้มันน่าสนใจเหอะ
มีเกมนึงชื่อ Omori เนื้อเรื่องแม่งดราม่าตับแตก แต่ตลอดทั้งเกมมีโมเม้นให้จิ้น ชช ชญ ญญ เต็มไปหมด กุเองก็จิ้นเพราะทุกตัวละครมันมีผลกระทบต่อกัน มันพลักดันตัวเอกให้ตัวเอกเติบโตจนถึงจุดนึงที่กูยอมอวยทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขอให้แม่งรักกับใครก็ได้ จะจบกับใครก็ได้ แต่ขอให้มันมีความสุขสักทีเถอะ ตอนนั้นกูเองก็ไม่สนแล้วว่ามันจะจบกับชายหรือหญิง ทั้งที่กูไม่ชอบแนววายเลยแม้แต่นิดเดียว
15 วันเขียนมาได้ราว 100 หน้าแล้วแอบเกลียดตัวเองจังว่พ คือกูมีนิสัยชอบเขียนประโยคให้สมบูรณ์และไหลลื่น ซึ่งพอเขียนงั้นในนิยายแล้วก็รู้สึกว่าน้ำเยอะไป แต่พอลองตัดออกก็จะกลายเป็นว่ามันห้วนไปอีก
เป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่ได้มาหลายปีล่ะ ไม่รู้จะทำไงดีว่ะ
>>252 หลักๆ คือกลุ่มคนอ่านใจร้อน เนื้อเรื่องมันเลยต้องเดินตลอด ไม่มีเวลามาลอยชาย
ในขณะที่นิยายทั่วไป จะมีช่วงบท filler ใส่เข้ามาเสริมให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ ซึ่งอาจจะไม่มีผลกระทบกับเนื้อเรื่องเลย แต่ใส่เข้ามาเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นไงมายังไง
ถ้าเทียบก็คือแนวเทพซ่าจะต้อง ข้าเทพ > ตัวร้ายมาหาเรื่อง > ตบดิ้นกลับไป
แต่ถ้าใส่ Filler จะเป็นแบบนี้ ข้าเทพ > ประกาศตัวว่าข้าเทพ > คนเริ่มหมันไส้ > ตัวร้ายมาหาเรื่อง > คุยโม้ใส่คารมณ์กัน > โดนตบดิ้นกลับ > ย้อนอดีตตัวร้ายให้คนอ่านเห็นใจ
เออ แล้ว แนวไล่ออกจากปาร์ตี้ นี่ฮิตหรือมีกระแสบ้างไหมในเด็กดี
เคยได้ยินว่าแฟนฟิคแฟรี่เทลเมื่อก่อนชอบแนวไล่ลูซี่จากกิลมาก
แนวนิยายช่วงนี้ก็เริ่มเหมือนตันๆ กันละ พวกไล่ออกจากตี้ พวกแนวระบบ ครองตลาดมาหลายปีแต่ยังไม่มีแนวใหม่เข้ามาให้เห็นเลย
โอ้ยยมีใครเป็นมั่งวะ นั่งเขียนนิยายที่บ้าน จ้องจออยู่ทั้งวันได้แค่ไม่กี่หน้า
กลับกันแอบเขียนในออฟฟิตตอนว่าง ไม่กี่ชั่วโมงแม่งได้เป็นตอนๆ
สงสัยกูต้องขนไปเขียนระหว่างทำงานบ่อยๆ แล้วล่ะ แม่ง
คิดเหมือนกูมั้ย microsoft word กับ google docs ไม่เหมาะกับนักเขียนนิยายบางคน
ขอปรึกษาทีโม่ง นักแต่งมือใหม่ เคยอะไรสั้นๆมานิดหน่อย ชั่วโมงบินแทบไม่มี สายไลท์โนเวล
จะลองฝึกแต่งเรื่องดู ไม่เอาตัง คิดไว้ได้หลายพล็อต จะเอาอันดูง่ายสุดมาแต่ง แต่ไปๆมาๆ ลองเขียนพล็อตให้มันขยายขึ้น มันเริ่มซับซ้อน ขึ้นเรื่อยๆละ รู้สึกว่าอาจไม่ได้ฝึกเขียนซักทีถ้าเอาแต่ลงพล็อต กับ หาข้อมูล
เลยอยากถามว่าควรเปลี่ยนไปเขียนเรื่องที่ง่ายๆกว่านี้เลยรึเปล่า ไม่ซับซ้อนมาก setting ไม่ต้องแปลกใหม่มาก จะได้เขียนพล็อตกับทรีตเม้น ไม่นาน ไม่ต้องค้นคว้ามาก ได้ฝึกเขียนเร็วๆ
แบบนี้ดีไหม?
ลองเียนเรื่องสั้นแทนมั้ยล่ะ ตอนเดียวจบ
>>266 ถ้าเขียนแล้วพล็อตขยายไปเรื่อยๆ นั่นคือเรื่องปกติเลย
ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับแนวแฟนตาซี เพราะมันเหมือนสนามเด็กเล่นของเราที่อยากจะยัดอะไรมาใส่ตามที่ใจอยาก ที่จริงเขียนไปก็ไม่ผิดอะไร ยิ่งถ้าบอกเขียนไม่เอาตังก็หมายความว่าเขียนเอามัน ก็แทนที่จะมานั่งจำกัดความคิดตัวเองก็สู้ให้อิสระปลดปล่อยจินตนาการไปเลยดีกว่า
แต่ถ้าอยากเขียนเอาตังนี่คือจะใช้ความคิดแบบนี้ไม่ได้ละ เพราะมึงต้องเผื่อใจด้วยว่าเรื่องอาจจะไม่ได้รับความนิยม ต้องหาทางลงให้เร็วที่สุดเพื่อขึ้นเรื่องใหม่ ฉะนั้นพวกมืออาชีพจึงนิยมเขียนเรื่องที่ไม่ค่อยซับซ้อนก่อน เพื่อจัดสเกลเรื่องให้เล็กๆ แค่ให้จบภายในไม่กี่เล่ม ถ้าขายดีก็ค่อยขยายจักรวาลไปทีหลัง
เออ เราพอคิดหาทางออกให้พล็อตไม่ขยายได้ละแต่ไม่รู่เวิคไหม ฝากโม่งให้ความเห็นที
คือกะจะใข้วิธีกำหนดตอนจบไว้ก่อนเลยว่าเป็นยังไง หรือควรเป็นยังไง แล้วกำหนดเลยว่ากี่ตอนจบ อาจจะยืดหยุ่นได้เล็กน้อย ห้ามเขียนเกินกว่านั้น และ กำหนดเดดไลน์วันที่เริ่มและวันที่ลงตอนจบ เลย
อารมณ์เล่นบทเป็นนักเขียน เขียนลงนิตยสารแล้วมีโควตาจากบก. ชัดเจนไรงี้
คิดอยู่ว่าถ้ามีเดดไล กับกำหนดจำนวนตอน ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน น่าจะทำให้คุมการฝึกเขียนได้ดีกว่า ไม่งั้นตูติดนิสัยperfectionist เอาแต่แก้พล๊อต แด้ทรีตเม้น หาข้อมูล ไม่ได้เขียนซะที
โม่งว่าแผนนี้เป็นไง
>>269 นั่นก็ปกติของการเขียน การเซ็ตตอนจบเอาไว้แล้วจะทำให้เขียนง่ายขึ้น เพราะนั่นหมายความว่าเรามีจุดหมายปลายทางแล้ว
แต่ปัญหาคือระหว่างทางนี่ล่ะจะคุมเรื่องอยู่มั้ย
ยกตัวอย่างเช่นเขียนแนวมาเฟีย เซ็ตตอนจบไว้แล้วว่า พระเอก-นางเอก จะไม่สมหวังและแยกจากกันเพราะเดินคนละทาง
แต่ระหว่างทางมึงอาจจะพาทั้งคู่หลุดไปต่างโลก หลุดไปยุคโบราณ หลุดไปนอกจักรวาล หรือสู้กับ ส.ส. นาโนแมทชีนก็ได้ อันนี้ไม่มีใครรู้และก็ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้ต่อให้มีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว
ถ้าให้แนะนำตรงๆ ถ้าอยากเขียนก็ควรพยายามลดความเป็น Perfectionist ลง ไอ้วิธีกำหนดกี่ตอนๆ จบน่ะทำได้ แต่มึงจะเครียดเพราะต้องคอยระวังไม่ให้ขาดหรือเกิน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่มึงอยากเขียนแต่ดันเขียนลงไปไม่ได้เพราะกำหนดเอาไว้แล้วมันจะพาลทำให้มึงเกลียดการเขียนไป ส่วนใหญ่คนที่ทำแบบนั้นคือพวกรับจ้างเขียนตามใบสั่ง ไม่ได้อยากเขียนอะไรตามที่ตัวเองต้องการหรอก
>>269 ลองแบ่งพาร์ทๆ ก่อนไหม แบ่งไปจนจบอะ ประมาณว่าพาร์ทนี้ตัวเอกไปเจออะไร กี่ตอนจบ เช่นพาร์ทแลกแนะนำตัวละคร กี่ตอนก็ว่าไป เจอเหตุการณ์เล็ก A กี่ตอน พักผ่อนกี่ตอน เจอเหตุการณ์ล็ก B กี่ตอน เจอเหตุการณ์ใหญ่ A กี่ตอน แบบนี้น่าจะทำหนดโครงเรื่องกับตอนจบง่ายขึ้น ส่วนจำนวนตอนที่กำหนดอาจจะไม่เป๊ะ แต่อย่างน้อยมึงก็สามารถนำแต่ละพาร์ทมาเป็นกรณีศึกษาว่า ทำไมมันถึงไม่พอหรือเกิน เดินเรื่องเร็วไปหรือเปล่า มีแต่น้ำหรือเปล่า น่าจะช่วยคุมเรื่องได้ด้วย
ระบบอีบุ๊คก็มาว่ะ มีใครลองลงแล้วบ้างดีไหม
คิดพล็อตได้หลายพล็อต ระหว่างเขียนเรื่องที่อยากเขียนมากแต่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่อวที่เขียน
กับ
เขียนเรื่องที่อยากเขียนน้อยกว่า แต่มีความรู้พื้นฐานเรื่องที่จะเขียนแล้ว
ถ้าไม่ใช่แนวตลาดทั้งคู่ โม่งว่าเขียนแบบไหนดี
ใครมีปัญหาเวลาขึ้นตอนใหม่แบบกูมั่งหว่า
แบบว่าไม่รู้จะบรรยายเกริ่นเวลาขึ้นตอนใหม่ยังไงก่อน เลยกลายเป็นว่าเขียนต่อไม่ออกซะงั้น
แต่ถ้าหาบทเกริ่นได้แล้วที่้เหลือจะเขียนออกมาลื่นไหลเลย
อยากแต่งแนว ผู้กล้า จอมมาร แฟนตาซี ทำสงครามกัน เน้นสงครามและการเมือง มากกว่าผจญภัย
แนวนี้แต่งยากไหมโม่ง ใช้เวลาหาข้อมูลนานไหมอะ? มีใครเคยแต่งมาก่อนไหม
>>278 จากคำถามที่มึงถามมาในหลายๆ คำถาม (ดูจากสำนวนการพิมพ์ก็น่าจะเป็นคนเดียวกัน) คือมึงเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลยอะ ซึ่งนับว่าเป็นข้อเสียร้ายแรงของนักเขียนเลยนะ ถ้าไม่มั่นใจ มึงจะโดนคนอ่านจูงได้ง่าย และเนื้อเรื่องมึงจะเละๆๆๆๆ สุดท้ายก็ตัน ไม่ไหว เท ทางที่ดีมึงแต่งไปเถอะ อย่างน้อยก็ได้แต่ง ถือว่าฝึกทักษะไป
https://www.dek-d.com/board/writer/4079615/
ไอ้กูก็งงว่ามันก็โปรโมทของมันเหมือนทุกที ทำไมมีเรื่องวุ่นวายได้ พอเปิดหน้านิยายเข้าไป อ้อ เปิดเรื่องใหม่ โถ่เอ้ย พอปิดไม่ให้เห็น IP นี่เอาใหญ่เล้ย
>>278 ส่วนมึงแต่งๆไปเหอะ ยากง่ายเชี่ยไรรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ คนจะเขียนต่อให้แม่งไม่รู้อะไรเลยก็สรรหามาเขียนได้ มาถามหาความมั่นใจจากคนอื่นไปทำไม ถ้าสิ่งที่ทำไม่ได้มาจากความต้องการของตัวเองเดี๋ยวมึงก็ฝ่ออีก
ถ้าออกแบบตัวละครไว้หลายๆตัว แต่ชอบพอๆกันทุกตัว อยากให้เป็นตัวเอกมันทุกตัว เเต่เลือกเป็นตัวเอกได้ตัวเดียว โม่งทำไง มิกคาแร็คเตอร์รวมเป็นตัวเดียวกันได้ไหม แต่ลองๆดูแล้วไม่น่าเวิค
>>286 คาแร็กเตอร์เหมือนกันหมด มันหลายตัวยังไงวะ ป้ารุจ คุณรุจ ยามรุจ จ่ารุจ งี้หรอ ตอนนี้อย่าว่าใครเป็นตัวเอกเลย มึงใส่ตัวละครพวกนี้มาก็โดนด่าละ คาแร็กเตอร์ไม่ชัดเจน เหมือนกันไปหมด ถ้าออกแบบไม่ได้ กูแนะนำให้มึงดูคนรอบตัวแล้วก๊อบคาแร็กเตอร์คนในชีวิตจริงมา ส่วนถ้าให้แนะนำตัวเอกว่าเอาแบบไหน ถ้าแต่งง่ายสุดก็เอาเอานิสัยตัวเองแหละ ยังไงคนเราก็ต้องทำให้ตัวเองดูดีอยู่แล้ว ไม่มีทางเขียนให้ดูแย่ คนไม่น่าจะด่ากัน
>>287 ไม่เชิงแบบนั้น เอาประมาณว่า อย่างเรื่อง โคนัน งี้ ตูจะหาพระเอก แต่ดีไซตัวละครที่เป็นนักสืบมาหลายตัว มีทั้ง คินอิจิ L นักสืบq คินไดอิจิ เชอล็อก ฯลฯ ซึ่งตูเลือกตวงละครพวกนี้มาเป็นตัวเอกที่จะรับบทนักสืบ ได้คนเดียวไรงี้ ใส่หมดจะแย่งบทการสืบกัน แต่ตูเลือกไม่ได้ว่าจะเอาใครมาแบบนี้เลือกพี่ก็เสียดายน้อง ว่างั้น ไม่รู้ทำไงดี
ปกติโม่งเขียนพล็อตก่อนแล้วค่อยใส่ตัวเอกตามพล็อต หรือ
สร้างตัวเอกก่อนที่ชอบแล้วค่อยใส่พล็อต ให้เข้ากับตัวเอก?
ระบบโดเนทมาแล้วว่ะ อย่างฮาเลยให้ไอเท็มเป็นส้มล้วน สปอนเซอร์ไร่ส้มน้ำส้มต้องเข้าแล้วไหม
>>291 ของกูเขียนพล็อตก่อน เพราะกูเน้นเนื้อเรื่องมากกว่าตัวเอก
แทบทั้งหมดตัวเอกกูเป็นพวก Beta male คือค่อยๆ ให้ไหลไปตามเรื่อง ตามกระแสโลกและเหตุการณ์ เจอปัญหาก็แก้แต่ไม่ทำตัวเป็นศูนย์กลางโลก
แต่ถ้ามึงเขียนแนว Alpha male มึงควรสร้างตัวเอกก่อน จะให้เทพซ่าอะไร มีความาสามารถระดับไหน เพราะแนวนี้พระเอกคือศูนย์กลางของทุกอย่างในเรื่อง ยัดไปเลยให้ทุกอย่างดำเนินรอบตัวพระเอกอะไรทำนองนี้
โม่ง ถ้าเราคิดเขียนพล็อตที่คิดได้ไปถึงระดับหนึ่งแล้ว มีค้นคว้าด้วย แต่ยังไม่ได้ลงมือเขียนจริง
พอเวลาผ่านไป เกิดคิดเนื้อหากับการดำเนินเรื่องใหม่ได้ ซึ่งรู้สึกว่าดีกว่าที่อยู่ในพล็อตเดิม (อารมณ์รีไรท์ใหม่ก่อนเขียนจริง)
เราควรใช้พล็อตเดิมหรือเขียนพล็อตใหม่ดี
>>299 ไม่มีจริงๆ นอกจาก Rewrite เลย
อย่างของกูนี่ตอนแรกวางแผนไว้ว่าเพื่อนพระเอกหักเหลี่ยมโหด โตมาด้วยกันแต่พอโตดัน ข่มขืนพี่สาวพระเอกงี้
พอเขียนไปซักพักรู้สึกว่าแม่งไม่เหมาะ + แรงไป เลยเปลี่ยนให้ฝ่ายเพื่อนพระเอกเป็นผู้หญิงแทนโลด ซึ่งมาแก้หลังเขียนจบไปแล้วเกือบ 2 เล่ม
หน้าแตกเพราะเขียนผิด https://www.dek-d.com/board/writer/4079994/
ขอตัวอย่างนิยายNCแซบๆที่พวกมึงชอบกันหน่อยดิ กูอยากลองเขียนดูสั้นๆระบายความหงี่ แต่เผื่อเอามาขายด้วย
โม่งไม่รู้ว่าเราคิดไปเองคนเดียวรึเปล่าแต่ เห็นมีหลายๆเรื่องเลย ลงไม่กี่ตอน การเขียนไม่เท่าไหร่ พล็อตก็ไม่ได้น่าสนใจมาก แต่มีคนดูเยอะถ้าเทียบกับหลายเรื่องๆ สังเกตว่า พวกนี้มีรูปปกสวย ส่วนใหญ่เป็นรูปพวกตัวละครอนิเม สวยๆ น่ารักๆ นั่นแหละ ก็อปมา แล้วขายเฟติสตรงกับชื่อเรื่อง/เรื่องย่อพอดี
แสดงว่ารูปหน้าปกนี่มีผลมากเลยใช่ไหม
เออ โม่ง เราพึ่งคิดได้ ถ้าแค่ต้องการฝึกแต่งนิยาย สร้างแฟนคลับ ไม่ได้กะหาเงิน แต่งฟิคจะไม่ดีกว่าหรอ มีคนอ่านอยู่ละ ตัวละครกับsetting ก็ไม่คิดเอง สบาย หรือว่าไม่ดี?
>>310 เมิงจะไม่ได้ฐานแฟนจากการเขียนแฟนฟิก คนที่เขียนแฟนฟิกแล้วคิดว่าเขียนอริแล้วจะมีคนมาตามอ่าน ร้อยทั้งร้อยคือผิดหวัง ติดยอดวิวติดคำอวยก็กลับไปเขียนแฟนฟิกเหมือนเดิม กูพิมพ์ว่าร้อยทั้งร้อย ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างไร
ถ้าเป้าหมายมึงคือนิยายอริจินอล ไปหัดวางพล็อตเขียนโครงเรื่องมีประโยชน์กว่า
เออ โม่งเก่งๆแถวนี้ มีแนวไหนที่อยากจะตะโกนบอกไรค์มือใหม่แบบกูไหมว่า
ถ้าชั่วโมงบินยังไม่มาก อย่าริเขียนเป็นเรื่องแรกไม่งั้นจะพังมากกว่าปัง
เราคิดออกเเนวนึง คือแนวสงครามกับสืบสวน ถ้าเขียนไม่เก่งพังแน่ๆ
ว่าไปแม่งเรื่องที่กูเขียนอยู่ตอนนี้ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเป็น LN บรรยายง่ายๆ ตอนนึงซัก 1500-2000 คำ เพราะเวลาเขียนน้อยเลยกะจะเอาแค่ขำๆ
แต่พอเขียนไปซักพักแม่งเริ่มจริงจังซะงั้น + ใส่สำนวนตัวเองเหมือนตอนเขียนนิยายปกติอีก ฮ่วย!
สุดท้ายตอนนี้ต้องมาพยายามจำกัดให้ไม่เกิน 3000 คำต่อตอน
>>320 เริ่มเขียนก็ช่วงต้น ก.พ. น่าจะราวๆ เดือนเศษๆ ได้
นี่กูแค่เขียนแก้ว่างระหว่างงานไม่ได้ตั้งใจเขียนจริงจัง แถมตัดความยาวออกจากที่เขียนเมื่อก่อนเยอะด้วย แต่สปีดการเขียนนั้นใกล้เคียงกับเท่าเดิม คือ 1-2 เดือนต่อเล่ม ซึ่งหมายความว่าช่วง 5-6 ปีที่กูหยุดเขียนไปนี่ฝีมือตกเยอะแหละ
ทำไมแนวไปต่างโลก กับทะลุมิติสมัยนี้ มันต้องมีระบบด้วยตลอด มันไปเฉยๆไม่ได้หรอ
แล้วแนวเกมออนไลน์mmorpgนี่ ที่มีหน้าต่างสเตตัส มีหน้าต่างเควส มันถือว่าเป็นระบบไหม
>>323 เพราะมันขายได้ ดังง่าย คนชอบอ่าน แล้วระบบเกมใครๆ เขาก็มีกันถ้าเล่นเกม ส่วนระบบที่ไปกับตัวเอกมันระบบส่วนตัว มีแค่ตัวเอก มึงเข้าใจคำว่า ‘หนึ่งเดียวในโลก’ ไหม นี่แหละมันถึงล้ำค่าจนคนอ่านชอบกัน เพราะคนอ่านมักชอบให้ตัวเอกได้ของดีๆ ถ้าตัวร้ายได้ไป รับรองโดนด่าเละ
ระบบมันเหมือนกับเป็นสิ่งคอยช่วยกลบจุดด้อยของคนเขียนด้วย อะไรที่กลัวคนอ่านไม่เข้าใจก็ให้ระบบเฉลยไปเลย แทนที่จะมาเขียนอ้อมๆ ให้ตัวละครมานั่งบรรยาย
เรื่องที่กูเขียนเองก็ไม่มีระบบ แต่มีตัวละครที่โดนกำหนดให้เป็นคล้ายๆ สปีดวากอน คอยบรรยายสิ่งต่างๆ คล้ายกับระบบอยู่เหมือนกัน โดยส่วนตัวกูมองว่ามันก็สะดวกดีกว่ามาบรรยายว่าตัวเอกกำลังเจอกับอะไรและมีที่มาที่ไปแบบไหน
เออ แล้วแนวระบบนี่ เหมาะกับนักเขียนใหม่ไหม โม่ง
จะว่าไปแล้วหลังแนวts ชายเป็นหญิง แอบมีเยอะขึ้น โม่งคิดงั้นไหม
ไอ้ตัวระบบในแนวระบบนี่ มันต้องมีมาแต่ตอนแรกเลยไหม ตัวเอกมาได้ระบบทีหลังได้ไหม รี้ดมันรู้เปล่าหว่าว่าเป็นแนวระบย ถ้าไม่โผล่มาตอนแรก
โม่งเขียนเล่มหนึ่ง นี่ควรมีประมาณกี่คำดีจะได้วางแผนได้ ถ้าเล่มนึงกะจะให้มีประมาณ300 หน้า ขนาดLN อะนะ
>>338 ถ้า LN เล่มนึงก็ตกราวๆ 120-150 หน้ากระดาษ A4 เพราะเวลาแปลงเป็นเล่มจริงๆ แล้ว LN จะใช้กระดาษ A6 ทำให้จำนวนหน้ามันเพิ่มขึ้นเยอะเป็นเท่าตัว ทำให้ความยาวเฉลี่ยตกที่ราวๆ 300 หน้ากระดาษพอดี
คำนวณ 1 หน้ากระดาษ A4 เขียนได้ราวๆ 300-500 คำ ก็คำนวณเข้าไป ตกที่ราวๆ 60000 คำนั่นล่ะ
แต่อันนี้คือกรณีต้องการทำแบบ LN เล่มเล็กนะ แต่ถ้าตั้งใจจะทำ LN เล่มใหญ่ ความหนาก็ต้องคูณ 1.5-2 เข้าไป ทำให้ความยาวก็เท่าๆ กับนิยายปกตินั่นล่ะ
ขอบใจโม่งทุกคนมาก กระจ่างดี
ถามหน่อยถ้าข้อมูลประมาณนี้ถือว่านิยายพอประสบความสำเร็จหรือมีอนาคตไหมโม่ง
มือใหม่ อ่านฟรี มือใหใเรื่องแรก ไม่nc ไม่ใช่แนวกระแส ไม่ใช่แนวจีน ระบบ ต่างโลก แต่ออกlnหน่อยๆ ลงตอนแรกช่วงพ.ย.65 มีประมาณ14-16ตอน คนดูรวมประมาณ6kกว่าๆ ค.คิดเห็นประมาณ 80กว่า คนติดตามประมาณ400
>>342 ถือว่ามีอนาคตนะ ควรลงตอนให้เยอะๆ คนจะเข้ามาอ่านกันเพิ่มขึ้นช่วง 30-50 ตอน เพราะ 14-16 ตอนถือว่าน้อยอยู่ เขากลัวค้างกัน แนะนำว่าให้ลงทุกวัน พยายามดันให้มันติดท๊อป 100 ให้ได้ มันจะเพิ่มโอกาสมองเห็นของคนอ่าน ส่วนจะประสบผลสำเร็จไหม รอลงสัก 30 หรือ 50 ตอนแล้วติดเหรียญดู ไม่ต้องติดแพงก็ได้ ถ้ามีคนยอมจ่ายแสดงว่านิยายมึงมีคุณค่าพอให้จ่ายเงินอ่าน ถือว่ามึงสามารถเขียนงานสร้างรายได้ได้แล้ว
เขียนมาถึงกลางเล่ม 2 ละ เพิ่งสังเกตว่ากูเขียนแบบ Tell เกือบหมดเลยแฮะ
คือมาจนถึงตอนนี้กูไม่เห็นความจำเป็นต้องบรรยายแบบ show เท่าไรเลยแฮะ นอกจากกินหน้ากระดาษแล้วยังเขียนยากกว่า ตอนใช้ show จริงๆ มีแค่ตอนที่ตัวเอกเห็นอะไรซักอย่างแล้วถึงกับตะลึงอย่างเดียว ส่วนที่เหลือนี่กูเขียน Tell เรียบ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่คงซีเรียสตายแล้ว ทำไมถึงเขียน Tell อย่างเดียว มาตอนนี้เหมือนเขียนเอาอ่านง่ายเข้าไว้ก่อนเลยแฮะ ...เพราะแก่ขึ้นงั้นเรอะ!?
>>347 เรื่องบอกว่าพระเอกฉลาดแต่ Show โง่ ปัญหาอยู่ที่คนเขียนคุมตัวละครไม่ได้มากกว่า เหมือนไม่เข้าใจบุคลิกตัวละครตัวเองดี สร้างแบบกลวงๆ พอเจอเหตุการณ์หนึ่งก็ไม่ได้อ้างอิงจากนิสัยตัวละครเพื่อหาคำตอบของเหตุการณ์ เน้นแต่โชว์เทพ ที่กูสงสัยคือทำไมถึงคิดว่านิยายที่ดีต้อง Show มากกว่า Tell ทั้งที่มันไม่ใช่อะ อย่างที่ 346 บอกนั่นแหละ กูอยู่ในช่วงโม่งสับเรื่อง Tell ด้วย ตอนนั้นกูก็แต่งแบบ Show นะ แต่ว่าเรื่องล่าสุดแต่งแบบ Tell มากกว่า แล้วมันก็สร้างรายได้ครึ่งแสนภายในเวลาสามเดือนอะ มันเคยเกิดคำถามเหมือนด้านบนไง จะมาบอกว่านิยายที่ดีต้อง Show มากๆ เหมือนโม่งบอกเมื่อ 5-6 ปีก่อนมันไม่ใช่ละ (หรืออาจจะเพราะยุคสมัยเปลี่ยนวะ?)
>>348 นิยายที่ขายดีไม่ได้แปลว่าเรื่องดี มันแค่ถูกจริตคนอ่าน สำหรับกูอ่านได้หมดละ ไม่ติดอะไรนะถ้ามันเขียนดี นิยายจีนที่กูอ่านหลายเรื่องเวลาโม้เรื่องพระเอกเนี่ยกูข้ามๆ เลยนะ เพราะต่อให้มึงคิดตามยังไงก็ไม่สำคัญ เพราะสุดท้ายคนแต่งก็จะ tell ในสิ่งที่คนแต่งคิดเท่านั้น
ที่คนมักบอกว่า show ดีกว่ามักจะเพราะคุณค่าในเชิงวรรณะกรรม แล้วแบบ show คนอ่านต้องคิดตามด้วย ข้อเสียของ tell คือมันทำให้ขาดความวิเคราะห์ด้วยตัวเอง อ่านเรื่องที่ไม่ได้ tell ตรงๆ ไม่ออก ขนาดหนังที่มีภาพประกอบแล้วคนก็ยังค.ว.ย.ไม่ได้เยอะแยะ นิยายที่มีแต่ตัวหนังสือก็ยิ่งมีปัญหาใหญ่ คนเลยมีกมองว่า show ที่ให้คนอ่านตีความเองได้มีกึ๋นกว่า หลายครั้งมันใช้เป็นการ foreshadow ได้ด้วย อย่างภาษากายบางอย่างที่แสดงออกไปแต่ไม่ได้บอกว่ารู้สึกยังไงก็เป็นการไบ้ได้ว่าคนนี้รู้สึกยังไงโดยไม่ทำให้ spoil คนอ่านต้องจับให้ได้จริงๆ ถึงจะเชื่อมโยงกันได้
อันนี้กู spoil ไททันนะ
ในมังกะฉากที่ให้กุญแจเอเรนตอนเด็ก กริช่า(พ่อ)คุยกับเอเรนตอนโตตลอด ตอนแรกคนคิดว่ามุมกล้องเท่ๆ แต่พอเฉลยมันทำให้รู้ว่าคนแต่ง show มาตลอด และเริ่มเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ ว่าเอเรนทำอะไรบ้าง ข้อนี้จะไม่สมบูรณ์แบบหรือเป็นไปได้เลยถ้าไม่ใช้การ show don't tell พูดอีกแง่นึงคือการ show don't tell คือการเบี่ยงเบนความสนใจ การชักจูงผู้อ่านให้เข้าใจในสิ่งที่รู้ "แค่นี้" ก็พอ ส่วนคนอ่านจะคิดได้หรือคนแต่ฝจะทำได้สมบูรณ์มั้ยป็อีกเรื่อง
ถ้าเขียนยาวไปก็เอาสั้นๆ พอ การ show ที่ดีมันยาก ใช้สมองมากกว่า คนเลยให้ค่ามากกว่าการ tell แค่นี้ละ แต่เรื่องการขาย กูคิดว่าไทยเหมาะกับ tell มากกว่า เพราะคนไทยไม่ชอบคิดตาม ข้อนี้มึงดูละครไทยกับประเทศอื่นก็ได้
ที่แน่ๆ ถ้าตัวละครฉลาดกว่าคนเขียน ยิ่ง tell ยิ่งโง่ลง เพราะสมองของคนเขียนแม่งโง่กว่าตัวละครในเรื่อง ย้อมไม่รู้ว่าทำไงให้ตัวละครนี้ฉลาดอย่างที่พูด
ภาคินัยไปดี RIP (ข่าวช็อควงการเลยนะ)
ไม่รู้จักเลย ภาคินัยดังขนาดนี้เลยเหรอ
ไอ้แนวตัวเอกเทพซ่าเนี่ย ระหว่าง
เป็น เทพซ่าในเงามืด คอยเทพอยู่เบื้องหลัง ควบคุมโลกเบื้องหลัง เบื้องหน้าดูเป็นพวกไม่ได้เรื่อง อารมณ์เป็นพวกนักฆ่า ผู้นำองค์กรลับ กับ
แนวเทพซ่าออกนอกหน้าประชาชี อารมณ์ ทำงานเป็นแม่ทัพ นักรบ รับใช้วัง มีชื่อเสียงเรียงนาม โด่งดัง ในสังคม ประชาชนรู้จัก มียศ มีตำแหน่ง ทางการ
เทพซ่าแบบไหนที่สังคมชอบมากกว่ากัน
ผู้หญิงนี่เขาชอบแนวแอดจี้รึเปล่า หรือมีแค่ผู้ชายที่ชอบ
ไอ้พวกแนวต่างโลกที่ความจริงตัวเอกไม่ต้องมาต่างโลกก็ได้ ต่างโลกแทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องเลย
แล้วเขาจะยัดให้ตัวเอกมาจากต่างโลกเพื่อ?
ถ้าทำเพื่อแค่เกาะกระแส ปัจจุบันมันยังเวิคไหมแบบนี้ ยัดเยียดต่างโลกเนี่ย?
เออ เรื่องระบบเวทมนตร์ในแนวแฟนตาซี นี่จำเป็นไหม เห็นมักจะบอกว่าจำเป็นต้องมี
แต่พึ่งอ่านLN มาสองเล่ม แนวแฟนตาซีเวทมนตร์จ๋า แต่ไม่มีตั้งระบบอะไรเลย แถมกำลังเป็นเมะด้วยนะ
ตกลงมันจำเป็นไหม
>>363 ควรต้องมีหลักการเวทมนตร์ การสร้างองค์ประกอบย่อย ๆ ของโลกแฟนตาซีให้มีความสมจริงจับต้องได้ ก็ส่งผลต่อภาพรวมของเรื่องให้ดูจับต้องได้ตามไปด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องบอกคนอ่าน ไม่ต้องมาสาธยายระดับ ให้รู้สึกจูนิเบียว
ยิ่งไม่จำเป็นกับเรื่องที่เมิงจะเล่ายิ่งไม่ต้องพูด เพียงแค่เมิงแม่นในหลักการเวทมนตร์ของตัวเอง เมื่อถูกใช้บ่อย ๆ คนอ่านก็จะรู้สึกเอง
>>361 อยากถามมากว่ามึงไปอ่านเรื่องไหนมา แฟนตาซีเวทมนตร์จ๋าแต่ไม่มีระบบเนี่ย
เท่าที่กูอ่านๆมาก็แจงได้3-4แบบแล้วนะ
คือถ้าจ๋าชนิดจ๋าจริงๆ มึงจะเจอความเบียวระดับทฤษฎีเวทเทพทัตหรือระบบเวทมนตร์หลากที่มาแบบซุยเมย์ไปแล้ว แหล่งปลดปล่อยพลังเบียวนักเขียนชัดๆ
รึถ้ารองลงมา ก็จะเป็นแบบที่ระบบเวทอะมีแต่จะไม่ได้บอกมากในเรื่อง ตัวเอกรู้เท่าที่รู้ นักเขียนก็บอกเท่าที่บอก อาจจะบอกพื้นฐานไม่ลงรายละเอียด แต่มันมีรายละเอียดซ่อนๆไว้อยู่จริงแบบที่โม่งด้านบนว่า ตัวอย่างก็รีเซโร่
ขั้นสุดคือเหมือนมี/ไม่มีระบบในเวลาเดียวกัน คืออาจไม่เน้นละเอียด แต่เน้นหยอดเน้นแทรกในเรื่องเหมือนเป็นlore ใช้ฝีมือสูงพอสมควรเพื่อให้คนอ่านคล้อยตามโดยไม่รู้สึกว่ามันdeus exมากไป หลักๆคือเกริ่นนู่นนี่เอาไว้ชาติกว่าแล้วหยิบมาโชว์ทีหลัง/ไม่โชว์เลยแต่เอ่ยถึงบ่อย มีประวัติศาสตร์นู่นนี่เกี่ยวข้องก็ว่าไป ตัวอย่างง่ายสุดก็เฟตล่ะมั้ง
อันที่ใช้กันเยอะสุดคือวางระบบไว้หลวมๆแต่ชัดเจนแล้วดิ้นไปให้สุด ตัวอย่างก็ไอ้พวกที่บอกระดับเวท บอกธาตุ แล้วจะแต่งเสริมเติมเพิ่มยังไงก็ใส่ไปตามใจ
1.ขึ้นกับพลังเบียวและเวลาว่าง
2.ขึ้นกับความเอาใจใส่
3.ขึ้นกับฝีมือ+ความเอาใจใส่และความเบียวอีกเล็กน้อย
4.ขึ้นกับความมักง่าย มีน้อยก็มีสิทธิแปลงไปเป็นแบบ2/3ได้ถ้าตั้งใจพอ
ถ้าอิงตามเรื่องเก่าที่กูเคยเขียนกูนี่สร้างทฤษฏีระบบเวทมนต์ขึ้นมาเลย
ในเรื่องเก่าของกูเวทมนต์คือการหยิบยืมพลังมาจากตัวตนอีกโลกที่ในเรื่องเรียกว่ามาไค (แดนมาร) เป็นโลกที่อยู่อีกมิติหนึ่ง แล้วกูก็สร้างเรื่องขึ้นมาอีกว่าสิ่งมีในอีกโลกนั้นไม่มีกายเนื้อ แต่สามารถเรียกให้ปรากฎตัวหรือยืมใช้พลังได้โดยการแลกกับพลังเวทย์ของผู้ใช้ ซึ่งถ้าปริมาณพลังเวทย์จะใช้มากหรือน้อยก็จะขึ้นอยู่กับระดับพลังที่ยืมมา แต่ถ้าพลังเวทย์ไม่พอก็จะโดนดึงพลังชีวิตไปอะไรทำนองนี้ และหากใช้มากเกินลิมิตจะเกิดการกลายพันธุ์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างบิดเบี้ยวอะไรทำนองนี้ ทำให้ผู้ที่ใช้เวทได้จะต้องถูกลงทะเบียนและส่งไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ + ควบคุมโดยองค์กรศาสนาอีกทีนึง ซึ่งในเรื่องเวทย์ประเภทนี้คือเวทมนต์ที่คนทั่วไปใช้กัน
แต่กรณีเคสพระเอกกูพิเศษ เพราะกูกำหนดพระเอกมีพลังเวทย์น้อยเนื่องจากเพิ่งใช้เวทมนต์ได้ตอนโต กูเลยสร้างระบบเวทย์ขึ้นมาอีกอย่างโดนอ้างว่าเป็นเวทย์สายตะวันออกของพวกเซียน โดยแทนที่จะยืมพลังจากอีกโลก ก็เปลี่ยนใช้กระแสพลังของโลกที่กูโม้ว่ามันถูกเรียกว่าปราณมังกรแทน ซึ่งปราณมังกรสามารถหยิบมาใช้ได้เลย ไม่ต้องจ่ายพลังเวทย์ ไม่เกิดการกลายพันธุ์ โดยอ้างว่ามันคือพลังของโลกจึงสามารถใช้งานได้โดยไม่ผลกระทบ แต่ก็กำหนดข้อเสียไว้เช่นกันคือ ในแต่ละพื้นที่มีความเข้มข้นของปราณมังกรไม่เท่ากันงี้ ทำให้เวลาใช้เวทย์จึงต้องคำนึงถึงพลังที่มีด้วย อีกอย่างคือกูกำหนดให้มันเป็นศาสตร์ลับของกลุ่มคนเล็กๆ ที่เร้นกายอยู่ในพื้นที่ลึกลับ คนพวกนี้เลยถูกเข้าใจว่าเป็นเซียนอะไรทำนองนั้น
ก็ประมาณนี้ เรื่องที่กูว่ามานี่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากหลายๆ เรื่องแล้วเอามาสร้างเป็นของตัวเอง ที่กูเอามาแชร์เพราะเรื่องนี้กูเลิกเขียนไปราว 5-6 ปีละ คงไม่ได้เขียนต่อ จำได้ว่าตอนนั้นเขียนเพราะแนวเทพเซียนกำลังบูม กูเลยต้องมาปรับ Element อะไรให้ดูคล้ายๆ เซียนเข้าไปหน่อยด้วย
อนึ่ง แรงบันดาลใจของระบบเวทมนต์ชนิดแรก ถ้าจำไม่ผิดกูได้มาจากเกม Dragon Age Origin มั้ง
จำเนื้อเรื่องได้คร่าวๆ คือนักเวทย์ต้องเข้าญาณไปคุยกับปิศาจเพื่อทำให้มันเชื่อฟังเรา จะได้สามารถดึงยืมพลังเวทย์ของมันมาใช้งานได้ กลับกันถ้าดึงมามากไปก็จะโดนครอบงำ จึงต้องโดยส่งไปอยู่ที่วิทยาลัยเวทมนต์ที่มีสภาพคล้ายๆ คุก
ส่วนเคสพระเอก ถ้าจำไม่ผิดกูได้แรงบันดาลใจมาจากป้าร่ม Yakumo Yukari จาก Touhou นางใช้วิชาองเมียวและวิชาสายเขตแดน ตอนนั้นกูเลยต้องไปศึกษาเกี่ยวกับพวกวิชาซินแส วิชาฮวงจุ้ย และอีกหลายๆ อย่างเลยกว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ได้
แต่ก็นั่นล่ะ น่าเสียดายที่สุดท้ายเขียนไม่จบ วางแผนไว้เป็นสิบๆ เล่ม แต่พอเขียนจบเล่ม 3 แม่งมรสุมชีวิตเข้าหลายอย่าง + รู้สึกเริ่มเป็นภาระเลยเลิกเขียนไปดื้อๆ เลย ถ้ากูยังเขียนอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น ป่านนี้คงได้เป็นพันตอนละมั้ง
พวกมึงรู้ยัง โม่งจะต้องสมัครไอดีแล้วนะ
ต้นกำเนิดของระบบเวทมนตร์ที่มีความเป็นเกม สันนิษฐานว่ามาจาก Sword Art Online เป็นอนิเมะซีซั่นแรกๆ กับเว็บตูนเกาหลี The Gamer มันเห็นภาพชัดเจนกว่าอ่านนิยายโดยไม่ต้องพูดมากความเลย (แหงล่ะ สื่อด้วยรูปภาพ ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร)
ถามหน่อย คือเรากำหนดธีมไม่ได้ ซักที รู้สึกขัดๆ
อยากเขียนแนวแฟนตาซีอารมณ์ นางเอกโลลิ จากฝ่ายฮีโร่ โดนให้เข้าด้านมืดแต่นางเอกเข้าแค่ร่างกายใจไม่เข้า แต่ได้พลังop เทพซ่าไปละ
ไม่แน่ใจว่าจะเขียนออกโทน ดาร์ก หรือ โทนกาวดี ถ้าตัวเอกเป็นผู้ชายหัวดำแบบsolo leveling เราคงเขียนให้เอ็ดจี้ไปละ แต่พออยากลองอะไรใหม่ๆให้เป็นตัวเอกหญิงโลลิ นี่ เราคิดไม่แน่ใจแหะ โทนควรเป็นไง ผสมได้ไหม?
ถ้าเป็นโม่งจะเลือกยังไง?
ผสมไม่ได้หรอก โทนกาวมันตลกจัด โทนมืดมันดราม่าจัดๆ
ถ้ามึงเอาโทนกาว เลิกสนใจพลัง op แล้วหาทางคิดมุกตลกดีๆหน่อย กาวแล้วไม่ตลก อ่านยังไงก็ไม่ขำ
แต่ถ้ามึงเลือกโทนดาร์กและยืนกรานว่าพลัง op เป็นจุดขายนิยาย เคสมึงคือนางเอกได้พลัง op หลังเข้าสู่ด้านมืด เสียร่างกาย แต่จิตใจไม่แตกสลายใช่มั้ย งั้นกูขอแนะนำเลยว่า ตั้งกฎให้พลัง op ทำลายตัวเองมากกว่าเกิดประโยชน์ หรือเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย
ตอนแรกกะจะเขียนความยาวราวๆ ตอนละ 1000 คำเอาแบบง่ายๆ เบาสมอง แต่ไหงเขียนไปเขียนมาได้เฉลี่ยตอนละ 3000 เฉยเลยวะเนี่ย
1000 คำต่อตอน เรื่องย่อนี่หว่า
อันนี้กูก็สงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่านิยายเว็บตอนนึงมันควรยาวกี่คำถึงดูไม่น่าเกลียดและไม่ยาวจนยืดเกินไป
>>380 กูเขียนลองเขียนลอกจาก LN ญี่ปุ่น/จีนยุคนี้ แม่งก็ราวๆ 1000-2000 คำเองนะต่อตอน
แต่ถ้าเอายุคก่อนหน้านี้ก็น่าจะตกราวๆ 2000-3000 คำอะ สังเกตเอาว่ามันจะมีช่วงที่เขาจะเคาะเว้นบรรทัด 2 บรรทัด ทุกๆ 6-10 หน้า ซึ่งตีได้ว่านั่นคือช่วงตัดตอน 1 ตอน พอดี
อย่างกูเนี่ยเขียนพยายามให้ไม่เกิน 3000 คำแล้วลองกลับมาอ่านเองก็ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่สั้นไปและไม่ยาวไปนะ ในขณะที่เมื่อก่อนนี่พยายามยัด 5000+ แล้วรู้สึกว่าโคตรเยอะเลย
โม่งอยากถามว่าในมุมนักอ่านสมัยนี้มันจะชอบตัวเอกเทพแบบไหนมากกว่ากัน
1. เปิดมาไม่เกินตอนสองตอนก็เทพเลย ไม่ต้องฝึกไร อารมณ์ตกหน้าผาแล้วจู่ๆก็ได้รับพลังจากเทพไรงี้ หลังจากนั้นก็เก่งและมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆแบบก้าวกระโดด
2. ได้รับพลังเหมือนกันแต่ไม่เทพทันที ต้องฝึก ลองพลัง ผิดถูก ก่อนสองสามตอน หลังจากนั้นก็เก่งขึ้น เติบโตขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็วแต่ไม่ก้วกระโดดแบบข้อแรก
ส่วนตัวชอบแบบสอง มันไม่mary sue แต่เท่าที่รู้มาคนสมัยนี้ใจร้อน ไม่โชเทพเกินสองสามตอนดรอปละ
และจากที่เคยอ่านมาแนวฝึกฝนนี่มันต้องใช้เวลาหลายตอนอยู่ในการบิ้ว ซึ่งอาจไม่ถูกจริตคนอ่าน
แต่เราก็แต่งได้ทั้งสองแนวละ เลยอยากถามหน่อย อ่านฟรีแต่ไม่มีแฟนคลับมาก่อน มองในมุมคนอ่าน แต่งแบบไหนดี ไม่อยากแต่งแล้วร้างอะนะ
>>382 จากการที่กูไล่อ่านพวกติดท็อปเพราะอยากรู้ว่าเทรนด์เดี๋ยวนี้เบียวไปถึงไหนแล้ว มันจะเป็น1+2 คือเทพเร็วแต่มีฝึกนิดๆหน่อยๆพอเป็นพิธี บางเรื่องฝึกแบบไร้สาระไม่เป็นเหตุเป็นผลด้วยซ้ำ แค่เอาไว้อ้างฝึกแล้วเทพ(?) ถ้ามึงคิดบิ้วฉากฝึกหลายตอนคือเบื่อแน่นอน เต็มที่ต้องจบภายในหนึ่งพารากราฟ เพราะฝึกจบแค่สองสามบรรทัดยังมีมาแล้ว รูปแบบแนวนี้จะประมาณเจอกีกี้เก่งกว่า>>เราฝึกกลับไปตบ>>เจอกีกี้v.2>>เราฝึกกลับไปตบ>>เจอบอส>>เราฝึกกลับไปตบ สรุปฝึก=ฟาร์มเวลระยะสั้น
ตอนนี้เด็กดีลง nc ได้แล้ว ยอดเป็นไงบ้างวะ พอจะแข่งกับรีดอะไร้ได้ไหม
เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องh.a.c.k ของ อีนิกม่า
ในอดีตมีดราม่าอะไร เราไม่ทัน โม่งเหลาให้ฟังที
>>386 เรื่องนี้แม่งนานมากแล้ว เอาแค่ที่กูพอจำได้มันถูกแยกเป็น 3 ประเด็นใหญ่ๆ
1.นักเขียนพลาดเดินเรื่องไม่เหมาะกับธีมวิทยศาสตร์และเทคโนโลยีจนทำให้นักอ่านกว่าครึ่งออกมาโวยวาย ไอ้ตอนที่เกิดเรื่องคือมีการเปิดตัวให้ตัวละครหนึ่ง แล้วอธิบายว่ามีความสามารถแฮ็คเพื่ออ่านใจคนอื่นได้ พวกคนอ่านก็ ห๊ะ! ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมีความแฟนตาซีโผล่มาในเรื่องนี้ได้วะ ตอนแรกๆ ยังต้องหาทางอธิบายแทบตายกว่าจะโม้ว่าทำแลปท็อประเบิดใส่ตัวร้ายจนหนีมาได้แบบล้ำๆ แล้วไม่โดนจับผิดเรื่องพลอตโฮล
2.นักเขียนดองนิยาย สัญญาไม่เป็นสัญญา บอกจะมาต่อแล้วมันก็มา... แต่มาในปีถัดไป แถมพอมาก็ต่อได้ไม่เยอะแล้วหายหัวต่อ ทั้งๆ ที่หน้าเพจในเฟสมีการเคลื่อนไหวตลอด งานหนังสือแต่ละปีมีหนังสือเรื่องนี้ออกวางขาย แต่ความหนาของแต่ละเล่มแม่งน้อยลงเรื่อยๆ เล่มล่าสุดโดนล้อบอกนึกว่าการ์ตูนขายหัวเราะ
3.ประเด็นสดๆ ร้อนๆ ไม่นานมานี้คือความผิดปกติของท็อปนิยายในเด็กดวก เพราะนอกจากจะไม่ได้อัพมานาน จำนวนคนอ่านก็ไม่ได้เยอะแบบถล่มทลายอะไร แต่เรื่องนี้เสือกติดท็อปด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ คนก็เลยพากันสงสัยว่าติดได้ไงวะ
โม่งคนไหนมีข้อมูลเสริมก็เพิ่มให้กูด้วย เพราะกูไม่ได้เข้ามาในนี้นานแล้วเหมือนกัน
>>389 อ้อ นึกว่ามีดราม่าใหม่อีก
>>390 ก็ในข้อ3 คือติดท็อปค้างนานผิดปกติทั้งที่คนเขียนไม่อัปแล้ว พอมีคนมาถามในบอร์ดว่าแม่งปั้มวิวป่าว wm ทำไรอยู่ ดูก็รู้ว่าผิดปกติ wmค่อยโผล่หัวมารับเรื่อง มีบอกว่าก็จับตาอยู่ สงสัยเหมือนว่าทำไม(แต่มึงเป็นคนดูแลเว็บนะปล่อยทิ้งเฉยๆงี้เป็นเดือนเลยดิ) สักพักมาแถลงว่าพบการใช้บอทจริงเลยแก้กลับละ เออแม่งต้องให้คนมาท้วงก่อนอะถึงจะยอมจัดการ ถ้าไม่มีคนตั้งมู้ถามคือจะปล่อยเบลอไปเรื่อยๆอะนะ
พูดถึงtraining arc ในนิยายยุคนี้
เราไปอ่านLN มาหลายเรื่อง เอาจริงๆทั้งต่างโลกไม่ต่างโลก ถ้าไม่ใช่แนวเปิดมาopเทพซ่า เลยเราเห็นมันก็มีฉากฝึกเป็นตอนๆทั้งนั้น หลายเรื่องก็ดังๆเป็นเมะ เช่น ไอ้เรื่องรูดี้ นักฆ่าเกิดใหม่ assasin pride ฯลฯ
แต่พอเป็นนิยายเด็กดี ไหงถึงไม่ชอบฉากฝึกยาวหน่อย ต้องสั้นไม่กี่บรรทัด ถึงขายดี ฝึกแบบขอไปที การพัฒนาตัวละครเลยไม่ค่อยมี เหมือนคนไทยใจร้อนอะนะ
>>392 ไม่หรอกไอ้คนที่บ่นๆ กันนี่คือไม่ใช่คนอ่านอะ
คนอ่านจริงเจอฉากฝึกยังไงเขาก็อ่าน เพราะเนื้อเรื่องมันไม่ได้มีแค่การฝึกอย่างเดียว มันมีทั้งค้นพบอะไรใหม่ๆ วิชาใหม่ๆ การใช้พลังใหม่ๆ เข้ามาด้วย แต่ขึ้นชื่อว่าฝึกไง เลยยังเขียนออกแนวกั๊กๆ ไว้อยู่มันเลยดูเผินๆ เหมือนเรื่องไม่เดินทั้งที่มันก็เดินต่อตามปกติ
ส่วนคนบ่นอะ คือคนนอกหรือไม่ใช่ขาประจำเข้ามาคลิ๊กอ่าน แล้วเจอเหมือนกับตอนฝึกเลยบ่นว่าไม่ชอบ
>>395 เห็นด้วย ต่อให้นิยายเทพซ่าข้ามช่วงการฝึกยังไง ถ้าคนอ่านไม่ยอมฝึกฝนการอ่าน เขียนให้ตายได้รางวัลออสก้าหรือเน็ตฟลิกยังไงก็ไม่อ่าน สักแต่จะขอสปอยเรื่องท่าเดียว เดี่ยวเจอเวอร์ชั่นรีไรท์แล้วคนอ่านสายฉาบฉวยบ่นด่าว่า ทำไมคลิปสปอยไม่เหมือนหนังสือวะ ก็คลิปสปอยไม่ได้ตามรีไรท์ไง
เขียนตอนสั้นไป มีเรื่อง https://www.dek-d.com/board/writer/4083738/
>>397 เฮ้ย เขาวิเคราะห์ได้ดีอยู่นะไม่ได้แค่บ่นเอามัน อย่างจึ้งเลยตรงที่บอกนักเขียนเป็นไงก็ได้นักอ่านยังงั้น555 พวกนิยายตอนสั้นนี่เม้นทวงเยอะกว่านิยายตอนยาวจริง ไม่แค่เพราะจำนวนตอนเยอะกว่าด้วยนะ เนื้อหาเท่าๆกันเลยกูเคยลองเอาจำนวนคำมาบวกเทียบกันสองเรื่อง เรื่องนึงตอนสั้น 20 ตอน อีกเรื่องลงตอนยาว 15 ตอน ได้ประมาณสองหมื่นกว่าคำทั้งคู่เลย แน่นอนว่าตอนสั้น 20 ตอนเม้นเยอะกว่าตอนยาว 15 ตอน แต่ส่วนใหญ่คือจะเป็นเม้นเร่งอะแบบไรท์รีบลง ไรท์เมื่อไหร่จะมา ส่วนตอนยาวคือเม้นแบบนี้ก็มีแต่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคุยในตอนเช่นพระเอกโชว์เทพแล้ว รอตอนต่อไปนะไรท์ ไม่ค่อยมีการเร่งอะ
คุ้นๆว่าเคยมีโม่งบ่นไรงี้ไว้ สมัยนี้นิยายเน้นซอยตอนลงสั้นๆ ก็เหมือนบดให้คนอ่านกลืนง่ายไม่ต้องเคี้ยวเหมือนพวกนิยายสมัยก่อนที่ตอนยาวๆ ผลคือนักอ่านจะอิ่มง่ายอิ่มไวแต่ไม่อิ่มนาน แป๊บๆแม่งก็ย่อยอะ กลายเป็นนิยายมันจะไม่น่าจดจำเท่านิยายตอนยาว ทุกอย่างแม่งต้องไวแป๊บๆไทม์สคริป
>>399 เดี๋ยวพิมพ์ผิดๆ ได้ประมาณสี่หมื่นคำสิ อันนี้กูดูตอนยาวคือเขาเริ่มที่ตอนละ 3-5,000 คำ ส่วนตอนสั้นคือ 1,500-3,000 คำ เฉลี่ยๆนะ เพราะบางตอนยาวก็ล่อซะหมื่นคำในตอนเดียว แม่งสามารถซอยได้สองตอนเลยนะนั่น555 ส่วนตอนสั้นคือบทสั้นก็แม่งแค่พันสองงี้แบบมึงอั้นไว้เพื่อ
ส่วนจำนวนหน้ากูไม่ค่อยเชื่อว่ะ เจอจัดแบบโกงหน้ากระดาษก็มีเว้นวรรคไว้ปลูกหญ้า เคาะย่อหน้าเผื่อนิ้วเบียดตอนไถจอเรอะ ตอนนึงมีสิบหน้าแต่ทั้งตอนมีจำนวนคำแค่สองพันกว่าๆก็เจอมาละ
อยากสับนิยายต่างโลกในเด็กดีที่เขียนไปได้ประมาณ 20 ตอน ใครมีแนะนำบ้าง
กูเฉลี่ยอยู่ราวๆ 3000 คำ แต่ช่วงหลังๆ ก็เริ่มเหลือซัก 1800-2500 ละแฮะ คือสปีดกูปั่นได้แค่นี้ Orz
แต่กูเคยคิดนะว่า 3000 คำนั้นสั้น แต่พอเนื้อหาหลายๆ ตอนเอามารวมเป็น 1 ตอนใหญ่แล้วแม่งยาวกว่าสมัยก่อนที่กูเขียนอีก
>>401 งั้นลองสับเรื่องพวกนี้ดูโม่ง เราอ่านๆไปบ้างอยู่ เรตติ้งกับภาษา การเขียนถือว่าใช้ได้ และไม่ถึงกับซ้ำซากมากนัก
อนึ่งเราไม่ได้เป็นหน้าม้าให้ใครนะ
tentacles empress
https://writer.dek-d.com/Sikaii13/writer/view.php?id=2222255
น้องสาวพระเจ้า
https://writer.dek-d.com/MelonpangS/writer/view.php?id=1806750
ความฝันคือนักผจญภัย
https://writer.dek-d.com/Donlnwza/writer/view.php?id=1991311
เอิ่ม จำเป็นต้องเพิ่มหมวดเหรอวะ https://www.dek-d.com/board/writer/4083903/
>>409 ลองเรื่องนี่ดูซิโม่ง 24 ตอนน่าจะใกล้ๆ20ตอนอยู่ ลองอ่านดูบ้างอย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกเอ็จจี้ เบียว คชั่งฮาเร็ม นางเอกเป็นตัวเอก
>>410 อ่านได้แค่ 5 ตอน ทนอ่านต่อไม่ไหว จะอธิบายสิ่งที่กูเกลียดละกัน
1. ชื่อญี่ปุ่น ทำให้ดูเ บีย ว
2. การบรรยายห่วย ให้อารมณ์ไ ลท์โนเวล ทำให้เรื่องไปไวเกินไปเหมือนดูสปอยหนัง ขาดอารมณ์ร่วมมาก ๆ (ความไม่ชอบส่วนตัว)
3. ใช้ภาษาผิด ๆ ถูก ๆ เช่น "เชื่ออย่างจมปลัก" คือเชี่ยอะไร ต้อง "เชื่ออย่างสนิทใจ" สิ
เนื้อเรื่องคร่าว ๆ เท่าที่อ่านคือ นางเอกเป็นหุ่นยนต์ AI ที่ถูกสร้างขึ้นในโลกอนาคต (ที่ล่มสลายไปแล้วด้วยเหตุผลใดก็ไม่รู้ ฟีลหลังวันสิ้นโลก) พระเอกมันทนไม่ได้ที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นจะเอานางเอกไปใช้เป็นอาวุธ ก็เลยเปิดรูหนอนดูดทุกคนไป นางเอกได้ไปต่างโลก สู้กับโจรป่า ช่วยเหลือเจ้าหญิงเอาไว้ได้ เป็นเพื่อนกับเจ้าหญิง อะไรทำนองนั้น
ยิ่งอ่านยิ่งงงคนเม้นว่า มันเข้าใจจุดขายจองตัวเองจริงๆรึเปล่า
https://www.dek-d.com/board/writer/4084207/
นิยายบนเว็บ นักเขียนจะถูกกดดันจากนักอ่านถึงความเทพของพระเอก มึงลองไปเขียนฉากให้ตัวละครตายแบบหดหู่ดึงอารมณ์ หรือพระเอกกากแพ้สักครั้ง ฝึกยาวๆ อธิบายทฤษฎีของพลังในเรื่อง+หลักการของการได้พลัง + การฝึกสักที่มึงอุตส่าห์ใช้สมองคิดแทบตายสัก 3-4 ตอนดู มึงจะโดนนักอ่านหลายคนด่าทันทีว่า มีแต่น้ำ ขอเนื้อๆ ไม่คุ้มเงิน
กลับกันไอ้พวกนี่แม่งจะไปอวยนิยายระบบ นิยายที่ตัวเอกแม่งเป็นสวะ ดีแค่โชคดีได้ระบบช่วย เป็นหุ่นเชิดระบบ เก่งโดยไม่ต้องฝึก เป็นนักเรียนอยู่ดีๆ จับดาบปั๊บกลายเป็นเทพดาบทันที ทำนองนี้ ตบเกรียนวนลูบ อันนี้คือกูก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายถ้ามึงอยากได้เงิน ได้ยอดอ่าน มันก็บีบให้มึงต้องลดเนื้อหาเรื่องการฝึก + กับอธิบายพลังตัวเองอย่างเยอะเกินไป
นิยายเว็บตอนนี้มันประมาณนั้น นักอ่านกลุ่มใหญ่มันไม่สนด้วยซ้ำว่ามันอ่านนิยายมึงแล้วต้องแปลไทยเป็นไทยเพราะสำนวนกาก เนื้อเรื่องพลอตไปซ้ำซากกับใครไหม บางคนมันเข้ามาอ่านเพราะมันต้องการอ่านฉากตัวเอกแสดงความเทพตบเกรียนเอาสะใจ มันไม่สนหรอกว่าตัวเอกจะเทพเพราะอะไร สมเหตุสมผลไหม บางเรื่องตัวเองมันรวย เก่งแบบตบระดับ TOP ได้ ดัง ออกทีวี บางเหตุการณ์ตบเกรียนแม่งมีคนถ่ายออกทีวี แต่มันก็ยังจะมีไอ้โง่มาให้พระเอกตบเรื่อยๆ อะไรทำนองนี้ มันเกิดนิยายแบบนี้ได้ เพราะมันเสือกขายได้
ที่นั้นอ่านกลุ่มใหญ่ส่วนนึงสนคือ มึงต้องมีให้มันอ่าน เน้นความเร็ว สำนวนกากหน่อยก็ได้ เน้นเรื่องเดิน ฉากตบเกรียนเยอะ ตัวเอกพัฒนาเก่งแบบเว่อร์ๆขึ้นไปเรื่อยๆ เอาแบบไม่ต้องพยายามเลยก็ได้ แค่ระบบให้โน่นให้นี่ อยากขับรถเก่งไม่ต้องฝึกขับรถ เสกให้ระบบมอบความสามารถขับรถระดับพระเจ้าให้ บางเรื่องมันให้ความสามารถระดับพระเจ้ากับพระเอกเยอะเกินไปจนนักเขียนมันลืม พอถึงจุดนึงที่มันจะสร้างสถานการณ์ให้พระเอก มันก็เนิพพระเอกให้สวะซะอย่างนั้น เพราะมันลืม
>>415 เสริมให้อีกนิด ข้อพิสูจน์ของเรื่องนี้ก็คือ นิยายแปลจีนบางเรื่องที่มันไปก็อบของจีน เอามาแปล GOOGLE เกลาคำแบบคนไม่รู้ภาษาจีนนิดหน่อย แล้วเอามาลงให้อ่านเลย มันติด top 1 ในDEK D ได้ แถมโกยเงินได้ไปเป็นแสน
ถ้าพวกมึงจำกันได้ พันปักษาไง ที่ไอ้ห่านี่มันแต่งนิยายแล้วไม่รุ่ง มันเลยไป COPY PASTE นิยายจีนมาแปล GOOGLE แล้วแปะลงเว็บอัพรัวๆจนติด top DEK D ทุกหมวดอยู่เป็นเดือน แอบติดเหรียญได้ประมาณ 1 -2 อาทิตย์ได้เงินไปเป็นแสน เรื่องมันถึงแดง ไปสืบประวัติดูแม่งทำกับหลายเรื่อง มันมาโป๊ะแตกเพราะเรื่องล่าสุดที่มันทำเสือกดัง คนเลยเห็นเยอะ โดนแจ้งเยอะ ทว่ามันก็พิสูจน์ความน่าอนาจ+ความน่าเศร้าให้พวกมึงให้เห็นว่านิยายเว็บ แปล GOOGLE ติด TOP 1 !
คนจะฟ้องได้มันต้องเป็นเจ้าทุกข์หรือผู้เสียหาย มันไปก็อบนิยายจีนมา ผู้เสียหายมันคือนักเขียนจีนหรือคนถือลิขสิทธิ์ เพราะแบบนั้นมันเลยไม่มีใครอยากจะบินมาจัดการฟ้องข้ามประเทศ แค่ฟ้องในประเทศก็ยุ่งยากอยู่แล้ว ฟ้องข้ามประเทศกฎหมายต่าง ทนายฟันหัวแบะ ไม่ค่อยคุ้ม
ดังนั้นเดี๋ยวนี้มันมี 2 อย่าง ประเภทมักง่าย COPY PASTE ลงรัวๆเลย กับ COPY พลอตมาดัดแปลง น่าเกลียดหน่อยก็เอามา 70-80 เปอร์เซ็นต์ ปรับนิดเปลี่ยนหน่อย ไอ้แบบหลังนี่จับยากสุด
นิยายจีนมีเป็นหมื่นเป็นแสนเรื่อง ถ้าจะจับมันก็ต้องมีใครเคยไปอ่านนิยายต้นฉบับมาถึงจะเอ๊ะ เอ๊ะแล้วก็ต้องไปท้วง ไปติง เผลอโดนแฟนคลับมันถล่มอีก มันหลายต่อ และต่อให้ถูกจับได้ก็แค่ลบหรือโดนแบน สุดท้ายมันเลยมีพวกหน้าด้านเกิดขึ้นโครตเยอะ
อีกทั้งช่วงหลังโลกมันเปิดกว้างขึ้น คนส่วนใหญ่ก็มีแนวคิดที่ว่าคล้ายกันนิด คล้ายกันหน่อยไม่เป็นไร ถ้าไม่เหมือนทุกตัวอักษรไม่ผิด พอคนเริ่มมีมายเซ็ตแบบนี้เยอะเข้า มันเลยเกิดประเด็นอย่างที่บอก ยิ่งจับยากขึ้นไปอีก บางทีเราไปจับ ไปบอก มันกลายเป็นเรา = ผู้ร้าย ใจร้าย ด้วยซ้ำ
ที่น่าโมโหสุดคือ ขนาดไอ้พักปักษามัน COPY ทุกตัวอักษรมาแปล GOOGLE ลง ชื่อตอนยังเหมืองกันอะ ช่วงแรกมีเคลมเปลี่ยนนิดๆหน่อยๆ ตั้งใจไม่บอกว่าเป็นนิยายแปลเพื่อเคลมผลงานเป็นของตัวเอง ปิดการแสดงความคิดเห็นเพื่อไม่ให้มีใครมาจับผิด ชัดขนาดนี้ตอนมันโดนแบนยังมีนักอ่านไปการบขอร้องมาเพื่อจะเสียเงินอ่านต่อ ขอเพจ ขอกลุ่มลับ ไอ้พวกนี้แม่งสวะสัส ก็แค่ไปหาต้อนฉบับมาแปล GOOGLE เองจบแล้ว เสือกไม่สำนึกไปสนับสนุนคนผิด
กุคงเขียนแบบอิงพล็อตสถานเดียวว่ะ กุแค่รู้สึกว่าเอะอะโยนๆไปให้ตัวเอกมันเทพแบบไม่มีแก่นสาร กุคงเทเรื่องทิ้งกลางทางแน่ๆ ต่อให้กุกะเขียนเอาฮาก็ตาม
กุยอมรับคนที่เขียนแนวระบบเทพตัวเอกเทพซ่าที่เขียนจนจบมากนะ เพราะส่วนใหญ่แม่งจะยัดให้เทพตามใจตัวเองหรือคนอ่านจนเรื่องตัน จะเนิฟพระเอกก็ไม่ได้ จะสร้างคู่แข่งเทพๆก็ไม่ได้ สุดท้ายเททิ้งแล้วไปเรื่องใหม่ ไม่ก็เข้าดาร์กไซด์ไปเป็นนัก google translate นิยายจีนไปเลย
อ่านแล้วเป็นเศร้า
ตอนนี้กูกำลังอิจฉาคนที่กำลังเขียนได้ไม่ว่าจะแนวไหนก็ตาม
กูจะเรียกว่าตันได้มั้ย ...คือพล็อตมีเนื้อหามี แต่คือไม่มีกระจิตกระใจจะเขียนนี่สิ เปิดหน้ากระดาษมาพิมพ์ไปได้นิดหน่อยแม่งรู้ตัวอีกทีเป็น Youtube ดูซะงั้น ไม่มีสมาธิเลยให้ตายสิ
ไม่มีอารมณ์แล้วพยายามเค้นนี่งานออกมาห่วยไม่พอยังกินเวลาเยอะกว่าปกติอีกแฮะ นั่งอ่านเองแล้วกุมขมับเลยทำไมห่วยได้ขนาดนี้
แต่แม่งจะมานั่งรออารมณ์ก็ไม่ได้คนอ่านรอกดดันอยู่อีก orz
>>415 แต่มึงต้องไม่ลืมว่าเขียนยังไงได้คนอ่านอย่างนั้น เขียนไร้สมองไร้เหตุผลก็ได้แฟนคลับไร้สมองไร้เหตุผล ถ้าสนแต่เงินไม่สนห่าเหวอย่างอื่นก็คงพอได้ แต่ว่านะ เขียนแบบนั้นกูว่ากินระยะยาวไม่ไหวแน่ พอคนอ่านเริ่มมีสมองคงไม่กลับมาอ่านนิยายที่คนนี้เขียน ในอนาคตถ้านักเขียนอยากสร้างผลงานดี ๆ เรื่องนี้ก็จะเป็นตราบาป
ยุคนิยายระบบครองเมือง
ค่อยๆ เค้นเขียนออกมาได้ชั่วโมงละ 1 หน้า (350-400 คำ) แล้วแม่งรู้สึกเหนื่อยจังแฮะ
แต่จะหยุดพักนานก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่งจะกลายเป็นพักยาวจนขี้เกียจกลับมาเขียนอีก orz
โม่ง เราอยากลองเขียนพระเอกแนวใหม่ๆดู คิดว่าพระเอก เป็นลุงอ้วนแบบโดntr นี่มันพอน่าสนใจให้คนอ่านไหม เราลองค้นหาในเว็บแล้วมีอยู่สามเรื่องเองมั้งในเว็บที่พรัเอกเป็นลุงอ้วน แต่ในรี้ดก็เจออีกเรื่องนึง แต่ไม่แน่ใจคนอ่านถ้าเห็นแล้วจะอ่านไหม แต่ไม่มีntr ไรนะ พระเอกแค่เป็นลุงอ้วน ล้อเลียนโดจินเฉยๆ
ถ้าโม่งเป็นรี้ด โม่งเห็นโม่งแล้วคิดว่าอยากลองอ่านไหม?
>>431 ไม่มีระบบ ไม่ต่างโลก แนวสืบสวน ผสม แอคชั่น องค์กรสู้กัน ฝั่งพระเอกแก๊งลุงอ้วน สู้กับองค์กรมืดฝั่งตรงข้ามที่คอยลอบสังหาร/ก่อการร้าย/ โจรกรรม ลุงอ้วนเล่นเป็นนักสืบสายบู๊คอยเปิดโปงแผนการร้าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตัวละครหญิง พอลุงอ้วนเปิดโปงและสู้ชนะ ก็จะจับntr มาย้ายฝั่งทีละคน แต่ไม่มีncแค่ล้อเลียนโดจินเฉยๆไรงี้
>>430 ถ้าพระเอกเป็นลุงอ้วนแต่เนื้อเรื่องมันแบบ Sakamoto Days กูก็อ่านนะ
ในสายตากู ประเด็นพระเอกตัวอ้วนนี่เป็นเหมือนการสร้างปมหรือข้อจำกัดอะไรซักอย่างให้ตัวละครมากกว่า ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะสามารถเขียนให้ตัวเอกสามารถเผชิญกับเรื่องราวไปได้อย่างไรโดยที่มี Passive เป็นสกิลตัวอ้วนซึ่งถือว่าเป็น Debuff ในสายตาตัวละครอื่นน่ะ
ยกตัวอย่างเช่น พระเอกอาจจะอ้วนและเข้าเรียนวันแรกก็โดนบูลลี่ แต่ปูมหลังพระเอกคือฝึกยูโดระดับสายดำมาแล้วงี้ ใช้ทักษะและสกิลซัดคนที่มาบูลลี่เกลี้ยงงี้ มีลุคเท่ๆ โมเม้นท์พระเอกกับสาวอื่นแบบสุภาพบุรุษจนไป NTR แฟนของนายหัวทองงี้ ในสายตากูก็ยังถือว่าโอเคสามารถมองข้ามความอ้วนไปได้
แต่กลับกันถ้ามาแนวพระเอกตัวอ้วนไม่พอ โดนบุลลี่แล้วยังขี้แพ้ ขี้โวยวาย โทษโน้นโทษนี้ แล้ววันนึงดันได้พลังโกงมาแล้วเอาไปแก้แค้นนี้แล้วเย็บเมียนายหัวทองงี้ กูเห็นปุ๊บกูโยนทิ้ง + พิมพ์ด่าเรื่องนี้แน่นอน
ต้องลุงอ้วนขี้แพ้แต่เป็นคนดี ช่วยสาวไว้แล้วได้พลังขี้โกงมาตัวผอมรูปหล่อทีหลังจนมีjkjsjcมาหลง สาวเจ้าที่รู้จักลุงสมัยอ้วนยังบอกว่า อิฉันจำดวงตาคุณลุงได้ขร่ะ เป็นเหตุผลให้รู้ว่าไอ้ลุงรูปหล่อกล้ามแน่นคนนี้แหละคือคนเดียวกับลุงอ้วนเตี้ยพุงพลุ้ยคนนั้น
แต่ลุงก็ยังบื้อเพราะความขี้แพ้เกาะติดมานานพอๆกะไขมันในช่องท้อง มองไม่ออกว่าสาวๆที่แทบจะถวายกีให้พวกนี้ชอบตัวเอง
มึงติดใจสามเรื่องมาแน่ๆเลย ผู้กล้าฮีล กาวทมิฬ และ Isekai de Cheat Skill wo Te ni Shita Ore wa, Genjitsu Sekai wo mo Musou Suru: Level Up wa Jinsei wo Kaeta
>>430 มึงต้องคิดพล็อตก่อนหรือเปล่า คือตัวเอกมึงต่อให้ไม่หล่อ อัปลักษณ์ เป็นตาแก่วัยเจ็ดสิบ แต่ถ้าเนื้อเรื่องสนุก เขียนได้ดี คนก็ตามอ่านกัน เขาไม่ได้มานั่งสนใจว่าตัวเอกต้องหล่อเฟอร์เฟคหรอก แต่ที่คนเขียนแบบนั้นกันเพราะมันง่ายต่อการเขียน ง่ายต่อการดำเนินเรื่อง ก็เหมือนกับคำที่ว่าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งนั่นแหละ มึงไม่เขียนตัวเอกหล่อก็ได้ แต่ถ้ามันอยากให้มีเรื่องความรัก มึงต้องเขียนนิสัยใจคอ เขียนว่าทำไมผู้หญิงถึงตกหลุมรัก ผู้ชายหุ่นหมี หรือขี้เหร่แต่เมียสวยมีเยอะแยะในสังคม ทำไมเขาได้เมียสวยกันล่ะ ของแบบนี้มันไม่ได้มีดีที่แค่หน้าตา จะมากังวลอะไรกับตัวละคร โน่นไปกังวลเนื้อเรื่องกับสำนวนโน่น
โม่งเคยเจอปัญหาแบบเราเปล่า
เมื่อก่อนตอนเขียนนิยายเขียนแบบไม่คิดไรมาก กลับเขียนได้เร็วเขียนออก ทั้งๆที่อ่านนิยายมาก็ไม่ได้เยอะ ไม่ำด้หาข้อมูลไรก่อนเท่าไหร่ด้วย
พอวันนี้จะกลับมาเขียนนิยายใหม่ตอนโต ทั้งๆที่อ่านนิยายมาพอควร ทำการบ้านเขียนพล็อต เซตติ้ง ตัวละครมา สะสมคำศัพท์และประโยคในการเขียนมาพอสมควร พอจะเริ่มลงมือเขียนจริงๆหน้าคอม กลับ เขียนไม่ได้ ไม่รู้เขียนไรดี ทั้งๆก็มีพล็อตและตัวละครในมือ
โม่งแก้ปัญหานี้ยังไง
เราควรใช้วิธีแบบตอนเด็ก ช่างหัวมันเขียนพล็อตกับตัวละครคร่าวๆพอแล้วเขียนไปเลยดีไหม แล้วมาแก้ทีหลัง
ยังไงๆก็อ่านฟรี ไม่ได้ขาย
ช่วยแนะนำทีโม่ง ขอบใจ
>>438 ถ้ารู้ว่าสะดุดก็ควรเปลี่ยนวิธีการทำงานของตัวเอง ไอ้พวกวิธีการทำงานแบบมืออาชีพทำ มันไม่ใช่ว่าเหมาะกับทุกคน อย่างการเขียนพล็อตไว้ก่อนมันทำให้ความสนุกในการเขียนนิยายลดลง บางคนเริ่มจากเขียนนิยายเพราะอยากรู้ว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร ลองปรับจูนดูว่าควรวางพล็อตแน่นขนาดไหน ช่วงการพัฒนางานเขียนมันจะต้องพบเรื่องแบบนี้เป็นระยะ ๆ ต่อไปเมิงก็จะเจออีก เจอไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงจุดที่ กูจะอยู่ตรงนี้ละ กูพอใจตรงนี้แล้ว ไม่เดินต่อไปอีกก็จะไม่ต้องเจอกำแพงอะไรให้ติดแหงก
>>438 กูมีพล็อต มีโครงเรื่องคร่าวๆ มีต้น มีจบ ไม่มีกลาง กูใช้วิธีให้ตัวละครนำทางเอง และกูก็ไม่รู้ว่ามันจะเจออะไรบ้าง อย่างเช่นตัวเอกเย็นชา เดินทางไปเมือง A เจอสาวงามถูกทำร้าย ก็มีตัวเลือกสองตัวเลือกให้ตัดสินใจ A ช่วย B ไม่ช่วย ด้วยนิสัยตัวเอกไม่น่าจะช่วยก็ไม่ช่วย พอไม่ช่วยแล้วผลเป็นยังไงต่อก็ว่าไป หรือช่วยก็ช่วยเพราะอะไร ช่วยแล้วเกิดอะไรขึ้นก็ว่ากันไป สมมติสาวงามเป็นลูกเจ้าเมือง ช่วยได้รับคำยกย่อง ยกลูกสาวให้ ไม่ช่วย เจ้าเมืองคิดแค้น เกิดการไล่ล่า มันก็จะมีเนื้อเรื่องต่อๆ ไปอีก อันนี้คือคิดแบบนอกกรอบอะ ตัวละครจะดูมีมิติมากขึ้น ไม่เดินเป็นเส้นตรง ติดสินใจถูกบ้าง ผิดบ้างก็ว่ากันไป แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องไปให้ถึงฉากจบ ไม่อย่างนั้นมึงเตรียมออกทะเลกู่ไม่กลับได้เลย
คิดไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ลงที่raw แล้วคนไม่ค่อยคอมเม้นเท่าเด็กดี เอาแต่กดอีโมจิ ไม่ค่อยพิมพ์เท่าไหร่
เพื่อนในเฟสกูที่เป็นนักเขียนมืออาชีพเขาแนะนำทุกครั้งเลยว่าเขียนให้จบก่อนค่อยลง
แต่ปัญหาคือกูตั้งใจจะเขียนเป็น Web novel ยาวๆ เป็นร้อยๆ ตอนเนี่ยสิ มันจะรอให้จบยังไงฟะ ถถถถถถ
ไอ้เหี้ย บอร์ดนักเขียนโดนสแปมตั้งแต่เกือบ 5 ทุ่มว่ะ
นิยายเน็ตนี่ ตอนแรกต้องมีเบตแบบ มังงะ หรืออนิเมบางเรื่องไหม แบบ เปิดมามีฉากเรป ฉากโหดทารุณ ฉากntr ฉากฆ่าทรยศ จะได้เรียกแขกเรียกเรตติ้ง
แล้วปกติฉากเรียกแขกในเด็กดีนี่ต้องใช้ฉากแบบไหน nc?
กูนี่นับว่าหัวโบราณมั้ยนะ เขียนฉากเยสกันแบบไม่ NC
ที่จริงคือกูไม่ได้อยากจะขาย NC อยู่แล้ว แต่พอดีจังหวะนั้น พระเอก+นางเอก มันมาถึงจุดแล้วไง มันต้องเยสกันแล้ว แต่พอนึกถึงโทนเรื่องแล้วกูก็ไม่อยากจะใส่ NC มา สุดท้ายก็เลยไม่ได้ใส่ซะงั้น
สุดท้ายตัดกันที่เล้าโลมกันนิดหน่อย ก่อนจะตัดภาพไปอีกทีคือฟ้าเหลืองอะไรทำนองนี้
เอาไว้ฉาก NC ค่อยติดเหรียญขายราคาพิเศษล่ะกัน ถถถถถ
>>452 แค่ข้ามฉากไปเลย แต่จะบอกใบ้ด้วย show, don’t tell มึงไม่บอกมึง แต่จะบอกใบ้ด้วยบรรยายให้คนอ่านคิดเอาเอง เช่น พระรองโดนพี่สาวดึงเน็คไทลากเข้าไปห้องนอนเธอเอง แล้วตัดฉากไปที่ห้องซ่อมบำรุงอาวุธสงคราม ผ่านไป 20 ตอน กลายเป็นว่า พี่สาวเพิ่งคลอดลูกวันชัยชนะสงครามว่ะ
เรียบร้อยละ เขียนแค่ในระดับนั่งคร่อมจับนมกันนิดหน่อยแล้วตัดไปเช้าวันถัดไปพอ
นิยายระบบ DEK เริ่มเสื่อมแล้วว่ะ คนคงเริ่มเอือมแล้ว กลับมาเขียนเลยได้สังเกต เห็นนักเขียนหลายคนที่เขียนนิยายระบบออกมาขายปังๆหลายคน ลงเรื่องสองของตนที่เป็นระบบเหมือนกัน สุดท้ายไม่ปังเหมือนเรื่องแรกเลย
ควรมีหมวดนิยายแปลแยกเลยมั้ย https://www.dek-d.com/board/writer/4085262/
>>459 เมื่อก่อนกูชอบนิยายแปลนะ แต่ตอนนี้คือเชี่ยไรเนี่ย แย่กว่านิยายไทยอีก น้ำเน้น ๆ เนื้อน้อย ๆ ฮาเร็มจัดจ้าน ตัวเอกเป็นเชี่ยไรต้องฆ่าอย่างเดียว ฆ่าแต่ผู้ชายด้วยนะ ผู้หญิงต่อให้ระยำแค่ไหนก็ไม่ฆ่า แถมดีไม่ดีได้มาเป็นเมียเป็นภาระ อวยพระเอกจัด ๆ ตัวร้ายนี่แทบถอดสมองเวลาเจอพระเอก ไหนจะวนลูปอีก นิยายดี ๆ ดัง ๆ ก็มีแหละ แต่ไม่ชอบเอามาแปลกัน
ไอ้เรื่องนิยายแปลนี่ยังไม่จบอีกหรอวะ
เมื่อก่อนแม่งก็มาเบียดจนคนเขียนก่อม็อบเรียกร้องไปทีแล้วทำให้นิยายแปลไม่สามารถขึ้นติด Top ได้อยู่ช่วงหนึ่ง มาตอนนี้ปัญหากลับมาอีกแล้วเรอะ
เรื่องมันก็ตั้ง 5-6 ปีแล้ว ถ้าเด็กดวกมันไม่ทำอะไรก็คือแม่งคงปล่อยแล้วล่ะ
>>465 ช่วงหลังมันมีหนักหว่านั้นคืออาศัยกฎช่องว่าง เอานิยายแปลมาลงเพจฟรีวัน 1 -2 ตอน พอคนติดแล้วก็ฝากลิ้งไปจ่ายเงินเข้ากลุ่มลับอ่านล่วงหน้า
บางคนแม่ปกป้องตัวเองด้วยการเอาข้อมูลรูปเดียวมาลงบอกขอนักเขียนแล้ว ถ้าอ่านดีๆบางภาพแม่งไปขอผิดคน มันไปขอจากฝรั่งที่แปลมาอีกที แถมขอแค่ว่าขอแปล ไม่ได้บอกว่าจะแปลแล้วเก็บเงิน
เอาแค่หมวดแฟนตาซี คนที่ทำแบบนี้ติด top 10 อยู่ 2 เรื่อง มึงลองคิดดูว่านิยายจีนมาหลัก 3000 ตอนอะ มันลงวันละ 2 ตอน มันจะติด top ค้างอันดับแบบนั้นอยู่กี่ปี
>>466 นั่นล่ะคือประเด็นเดียวกับที่เคยเป็นเรื่องเมื่อก่อน
จำได้ว่าสมัยนั้นนิยายจีนจำนวนหลักพันตอนโผล่มาลงวันละ 2-3 ตอนทุกวันกลายเป็นว่า 8 ใน 10 ติด Top แม่งเป็นนิยายแปลหมดเลย มีทั้งแบบแปลเถื่อนทั้งแบบถูกลิขสิทธิจากกวีบุ๊คด้วยนะ ซึ่งทำให้คนเขียนหลายคนสไตรส์งานไม่เขียนแม่มจนเด็กดวกต้องทำให้พวกนิยายแปลไม่สามารถติด Top ได้ เพราะแม่งแข่งกันไม่ไหวจริงๆ
แต่ที่กูประหลาดใจคือปัญหานี้กลับมาอีกแล้วเรอะ? แถมเด็กดวกไม่ทำอะไรด้วย? แถมทุกวันนี้ยังไม่ออกหมวดนิยายแปลอีก?
อยากสับนิยายนะ แต่พอคิดไปคิดมาสับไปคนเขียนแม่งก็ไม่แก้ เอาเวลาไปแช่กับไฟนอล 14 ดีกว่า
คำเตือน : เนื้อหาการสับนิยายต่อไปนี้อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสมแก่เด็ก สตรีมีครรภ์ คนชรา และนักเขียนผู้อ่อนไหวรับความเห็นจากคนอ่านไม่ได้ และการสับนิยายนี้จะนำเนื้อหาบางส่วนของนิยายทั้งหมดมาสับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อ่อ แล้วกุชอบนอกเรื่องในวงเล็บบ่อยๆ อันนั้นคือความสงสัย + กวนตีน อาจขัดอารมณ์การอ่านอยู่พอสมควร แต่อดใส่ไม่ได้จริงๆ
เรื่อง : นักมิกซ์มอนสเตอร์สุดโกง
นามปากกา : Maxtimas
ลิงก์ : https://writer.dek-d.com/04082006cham/writer/view.php?id=2324579
คำโปรย : ในปี 2030 มีเกมออนไลน์แปลกใหม่ที่ชื่อว่าเกม Divine Realm มันดังไปทั่วโลก เขย่าฝันทุกคน มันมีระบบที่อนุญาตให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนเงินในเกมกลายเป็นเงินจริง ทำให้ดึงดูดความสนใจของคนมากมายเข้ามาเล่นเกมนี้
แท็ก : เกมออนไลน์ แฟนตาซี ผจญภัย เกม พระเอกเก่ง
หมวด : ฟรีสไตล์ > เกมออนไลน์
จำนวนตอน : 291 ตอน (แต่ตอนล่าสุดคือ 293 ที่ข้ามตอน 290 กับ 292 กุนับตามที่เว็บมันนับอะ)
สถานะเรื่อง : ยังไม่จบ อัพเดทล่าสุด 12 พ.ค.66
เห็นนิยายแปลในเว็บเด็กดีมันเกิดเถลิงอำนาจอาจหาญมาแย่งความนิยมจากนิยายระบบปลูกผักสุดที่ฟัคของกุ กุเลยขอเสียเวลาการปั้นจ็อบซัมมอนเนอร์ในไฟนอล 14 อันมีค่า มานั่งอ่านนิยายแปลที่ตัวเอกมีอาชีพเป็นซัมมอนเนอร์ที่ไม่รู้ว่าเป็นญาติโกโหติกาของจีเอ็มยังไงถึงได้พลังในการ "มิกส์มอนสเตอร์" แล้วมาสับให้พวกเมิงอ่าน และครั้งนี้เป็นการอ่านนิยายแปลแบบออนไลน์ครั้งแรกของกุ (เพราะกุอ่านนิยายแปลแบบรูปเล่มตลอดมาอย่าง แฮรี่บ้านหม้อ เพอร์ซี่ แจ็คสันกับนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่หายไป) เอ็นจอยครับ
ตอนที่ 1 : ระบบพรสรรค์การมิกซ์มอนสเตอร์
ณ ปี 2030 ในโลกสมมติแห่งหนึ่ง สมาพันธ์อะไรซักอย่างมีการรวบรวมองค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสิ่งหนึ่งขึ้นมา สิ่งนั้นคือเกมออนไลน์ที่มีชื่อว่า "Divine Realm" เกมเชี่ยนี่มี AI อัจฉริยะอะไรซักอย่างที่ "แฮ็คหรือแทรกแซงไม่ได้" (กุเน้นตัวโตๆนะ) และตอนเปิดตัวมันทำรายได้สี่พันล้านดอลล่าร์ในหนึ่งเดือน ขายไปได้ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกเลยทีเดียว (YESเป็ด Sony ได้แค่มอง Xbox ได้แค่ฝัน) หากแต่ว่าราคาเครื่องเกมนี้มันมีค่าตั้งหนึ่งแสนดอลล่าร์ ทำให้พระเอกอย่าง "ลอร์น" ไม่สามารถซื้อมันได้ (เอาล่ะคณิตคิดไว สี่พันล้านหารด้วยหนึ่งแสนได้เท่าไหร่ ใช่ สี่หมื่นเครื่อง ไม่เชื่อลองเคาะเครื่องคิดเลขได้ ไอ้ชิบหาย อีก 7 ปีคนทั้งโลกเหลือแปดหมื่นเหรอวะ) ลอร์นผู้มีฐานะยากจนข้นแค้นจากค่ารักษาของน้องสาวที่นอนเป็นผัก ซึ่งมีค่าเป็นล้านเลยอ๋อเพ่ จึงต้องตัดสินใจเข้าร่วมเล่นเกมนี้ ด้วยการเอาอุปกรณ์เครื่องเกมเชี่ยนี่มาจากไหนไม่รู้มาโมมาซ่อมให้ใช้งานได้ (ลอร์นก็ไม่รู้ ตอนนั้นมันวิ่งอยู่) ปรากฏว่าไอ้เครื่องเชี่ยนี่เล่นได้เฉย (ใช่ ไอ้หลอนมันเอาเครื่องแฮ็คมาเล่นเกมแท้ ไหนว่าเกมคุมโดยเอไออัจฉริยะ ใครก็แฮ็คไม่ได้ไงวะ) แถมได้ล็อคอินแบบ "พิเศษ" คือการได้ปั่นกงล้อกาชาว่าจะได้พลังอะไร แล้วลอร์นก็ได้พลังพิเศษในการ "มิกซ์มอนสเตอร์" เหมือนโช ทัคเกอร์จาก FMA ที่สามารถเอาอะไรก็ได้มายำรวมกัน แต่จะสำเร็จมั้ย มีแต่คนเขียนเท่านั้นที่รู้
ตัดแปป อักษรเกิน
กูไม่ได้รู้สึกไปเองแน่ๆ ว่ากูเขียน POV ตัวละครหญิงแล้วรู้สึกสนุกกว่าตัวละครชาย
โม่งเป็นกันบ้างมั้ย
ตอนที่ 2 : เข้าสู่โลกแห่ง “Divine Realm”
ลอร์นรู้สึกได้ว่าพลังที่เค้าได้มามันคือความผิดพลาด (มันผิดพลาดตั้งแต่เมิงเข้าเกมได้แล้วไอ้หลอน) แล้วลอร์นก็โดนวาร์ปไปเลือกอาชีพ แน่นอนว่ามีคลาสตั้งมากมายให้เลือกสรร แต่สวรรค์ลิขิตมาแล้วให้ลอร์นเล่นซัมมอนเนอร์ เค้าก็จะเล่นซัมมอนเนอร์ (มันจะได้เสกมอนมายำได้ ถึงใจมันจะอยากเล่นแทงค์ก็ตาม แต่กุ Trigger ตรงที่เมิงคิดว่าแทงค์เล่นง่ายนี่ล่ะ) และแน่นอน เมื่อถึงเวลาตั้งชื่อก็ต้องตั้งชื่อสุดเท่สุดเบียวสุดเอ็ดจี้ว่า "ไทแรนท์" (อ่าาา กุนึกถึงไอ้ตัวที่มันทำโดนัทใส่เวสเกอร์ใน RE1 เลยว่ะ ว่าแต่ตั้งชื่อไปทำไม ยังไงเมิงก็เรียกมันลอร์นอยู่ดีอะคนเขียน) พอตั้งค่าห่าเหวอะไรไม่รู้ของมันเสร็จสรรพ ก็โดนวาร์ปไปหมู่บ้านมือใหม่เพื่อเริ่มการผจญภัย เมื่อถึงเวลาอัพสเตตัส แน่นอนว่าคนนอกกรอบอย่างลอร์นย่อมไม่อัพตามเมต้าที่เกมให้มาแน่ๆ พี่แกอัพ STR และ AGI เข้มๆไปเลย (คือเมต้ามันอัพ INT นำ) รับเควสตบไก่ฟ้าพญาลอ แล้วไปนั่งเสกมอนมาช่วยสู้
ตอนที่ 3 : รวมสไลม์เข้ากับพิษ!
ตามกฎของเกมเชี่ยนี่ ถ้าเสกมอนทันทีสแตทมันจะน้อย เลยต้องมานั่งกางวงเวทย์เสกมอนอยู่ครึ่ง 20 นาที ได้สไลม์น่ารักดุ๊กดิ๊กสามตัว (เอ่ออ เสกสไลม์สามตัวล่อไป 20 นาที ถ้าสไลม์ตายที วันๆกุไม่ต้องนั่งเสกมอนอย่างเดียวเหรอวะ) และด้วยความอัจฉริยะระดับโช ทัคเกอร์ ลอร์นจึงยัดยาผสมกับสไลม์แต่ละตัว ได้เป็นสไลม์พิษ สไลม์ฮีล สไลม์มานา ราวกับว่าเค้ามีลูกบอลสามลูกเป็น Injoker จากเกมหมา DOTO 3 ลอร์นนี่มัน อั ด ช ะ ฬิ ญ ะ จริงๆ
ตอนที่ 4 : ออกเดินทาง!
ลอร์นและสไลม์ทาสทั้งสามได้ออกไปทำเควสตีไก่ฟ้าพญาลอ ในขณะเดียวกันก็มีไนท์หญิงได้เห็นความแปลกใหม่อย่างซัมมอนเนอร์เสกสไลม์สามสีมาเป็นเบ๊ได้ ก็เกิดสนใจแอบตามลอร์นไปกะว่าจะชวนเข้ากิลด์แต่ชวนไม่ทัน (อย่าไปชวนมันเลยเจ๊ เดี๋ยวเจ๊ได้ไปรวมร่างกับหมาเฝ้าบ้านกิลด์เจ๊) ลอร์นได้มาทำเควสตีไก่ฟ้าพญาลอ โดยการส่งสไลม์ทาสทั้งสามไปสู้กับไก่ฟ้าพญาลอ ไก่ฟ้าพญาลอมันก็ร้อง "คาว!คาว!" แล้วก็ตายดรอปของ (เมิงรู้แล้วสินะว่ากุเจออะไร) แล้วก็อธิบายว่าเกมเชี่ยนี่ฟาร์มมอนคนเดียวไม่เท่าเสกมอนมาช่วยฟาร์ม เพราะเสกมอนมาช่วยได้ EXP 175% (ว่าง่ายๆ ซัมมอนเนอร์แม่งอาชีพโกง เวลขึ้นไวกว่าชาวบ้าน ว่าแต่เวลมอนกับเวลคนเสกในเกมอื่นมันคิดแยกกันไม่ใช่เหรอวะ) ลอร์นก็ค้นของที่ดรอปจนเจอ "ปีกไก่ฟ้าพญาลอ"
ตอนที่ 5 : ทดลองเพิ่มปีกให้มอนสเตอร์
เมื่อลอร์นได้ปีกไก่ฟ้าพญาลอ ลอร์นก็ได้เกิดความคิดแบบ"หลอนๆ"ว่าจะเอาปีกไปทำอะไร ไปติดให้สไลม์ดีมั้ย สุดท้ายก็ไปตบไก่ฟ้าพญาลอตัวอื่นให้ปางตายเพื่อทำการทดลองติดปีกเพิ่ม (เลือดเต็มไม่ได้ ตามหลักสูตรโXเกมอน) ปรากฎว่าได้ไก่ฟ้าพญาลอสี่ปีก ตามจินตนาการของไอ้หลอนมันจะต้องเป็นไก่เทพราวกับเทวดาสี่ปีก (ต่อไปนี้จะเรียกว่าไอ้หลอนแล้วกัน ตั้งแต่กัญชาเสรีนี่มีแต่คนหลอนๆเพียบเลย) จากเดิมที่ไก่ฟ้าพญาลอนี่บินได้ พอติดไปสี่ปีกแม่งหนักเกินไปบินไม่ได้ ด้วยความเกลือแล้วพาล ไอ้หลอนจึงสั่งให้สไลม์ทาสทำการุญยฆาตเจ้าไก่ที่น่าสงสารด้วยความเดือดดาล (เออ กุก็อ่านแล้วงงเหมือนเมิงนี่ล่ะ) จากนั้นไอ้หลอนกับสไลม์ทาสทั้งสามก็ไล่ตบไก่ฟ้าพญาลอไปเรื่อยจนไปเจอกับจุ๊บเหม่งสีดำ ซึ่งสำหรับไอ้หลอนแล้ว จุ๊บเหม่งตัวนี้จะเป็นเหยื่อการทดลองสุดวิปลาสเป็นรายต่อไป
หลังจากอ่านไปได้ห้าตอนแล้ว กุคงต้องแยกเป็นสองกรณีสำหรับคนเขียนกับคนแปล(?)สินะ
- คนเขียน
กุก็ไม่รู้ว่าต้นฉบับ"จริงๆ"มันเป็นยังไงนะ แต่เท่าที่อ่าน ver.eng มา แม่งสูตรสำเร็จถนนขาวโอโม่ของมาสเตอร์ปอปชัดๆ เสียงเอฟเฟคตุ๊บตั๊บผัวะ เช็ค เล่าเชี่ยอะไรเวอร์ๆไม่แคร์ตรรกะโลก เช็ค พระเอกเด็กพิเศษศูนย์รวมจักรวาล เช็ค สเตตัสยาวเป็นหางว่าวเอาไปทำอะไรไม่ได้ เช็ค อ่านแล้วปวดจิตปวดใจชิบหาย ก็นิยายเกมออนไลน์อะนะ แค่จากใจคนที่โขลกเกม MMORPG มาสิบกว่าปี มันควรทำอะไรที่ดีกว่าให้คนอ่าน log เกมดิวะ ไหนจะตรรกะของไอ้หลอนที่หลอนสมชื่อไปอีก แต่นับถือใจที่เขียนไปได้ 900 กว่าตอนจริงๆนะ (ของต้นฉบับนะ แบบแปล Eng มันประมาณ 300 กว่าตอน)
- คนแปล (?)
เ มิ ง แ ป ล เ ชี่ ย อั ล ไ ล ว ะ เ นี่ ย KUY เหอะแปลแบบนี้ สี่พันล้านดอลล่าร์พ่อเมิงดิ แบบ eng มันแปลไว้ สี่พันล้านคน ไอ้ห่า ใครมาอ่านเข้าก็รู้สึกแปลกๆมั้ยวะว่า 2030 แม่งเกิดเชี่ยโลกาวินาศรึยังไง ทำไมหารค่าเครื่องแล้วได้สี่หมื่นเครื่อง รู้ล่ะว่าใช้อากู๋แปลให้ แต่ตอนเอามาลงอะ อ่านซักนิดนึงเหอะพ่อว่ามันแปลกๆมั้ย ไม่ใช่มันแปลเชี่ยอะไรมาก็ยัดลงไปทั้งดุ้น เรื่องแม่งก็หลอนจะตายห่าอยู่แล้วยังเสือกเจอปลิงพี้กัญชาไปอีก หลอนหนักกว่าเดิม Ridiculous มันแปลว่าไร้สาระกุก็รู้ แต่ในบริบทของเรื่องมันคืออีเจ๊ไนท์สาวมันขำโว้ยยย แล้วแปลจากอากู๋เชี่ยอะไรมีคำผิด แม่งเกินกว่าสติสัมปชัญญะของมนุษย์จะรับไหวอะ ไหนจะเว้นบรรทัดให้พ่อเมิงจอดเครื่องบินได้สองลำอีก แล้วที่ระยำที่สุดในฐานะนิยายแปลคือ "เมิงไปให้เครดิตต้นฉบับตรงไหน" กุกวาดตาดูในบทนำ คำโปรยส้มจีนอะไรก็ตาม กุไม่เห็น กุไปเห็นตอนที่เมิงตอบเม้นว่าเมิงไปเอาต้นเรื่องมาจากไหน แล้วเมิงไม่แนบลิงค์ให้ซะด้วยนะ คนแต่งคงน้ำตาไหล เจอพยาธิในปลิงที่เกาะควายแบบนี้อะ
"ลอร์นหรือไอ้หลอน ที่ไม่รู้ว่าไปโดนใบห้าแฉก กาวทาท่อ หรืออะไรมาก็ไม่รู้ จะสามารถเอาความสามารถที่ได้จากการแฮ็คเกมจนบัคมาเสกเงินไปช่วยน้องสาวที่นอนเป็นผักให้หายได้หรือไม่ ไอ้หลอนจะสรรค์สร้างความวินาศสันตะโรให้เกมยังไง มันก็เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้อง ไป อ่าน เอง"
แนบลิงค์แบบ Eng ให้ ไม่รู้ใช่ที่ไอ้พยาธินี่ดูดมารึเปล่านะ
https://www.webnovel.com/book/online-game-i-possess-a-monster-merging-simulator!_20552408006606305/monster-merging-simulator_55527195682063170
โช ทัคเกอร์ but กัญชาเสรี / 10
หลังลองสับนิยายแปลไปเรื่องนึง กุเข้าใจล่ะว่าทำไมในโม่งถึงหยิบประเด็นนิยายแปลมาถกกัน ก็เล่นเอาอากู๋มาแปลทั้งดุ้นขนาดนี้
แล้ว 900 กว่าตอน น้องสาวรักษาหายแล้วยัง ถ้ากูเป็นไอ้หลอน ขายเครื่องแฮกพร้อมต่อรองดีกว่า
จะว่าไป นิยายต้นฉบับมาจากประเทศไหนว่ะ พล็อตเหมือนนิยายไทยเปี๊ยบ
เชี่ยกูเขียนจบเล่มแล้วเห็นว่าเนื้อหาเล่มนี้มันน้อยไปเลยตั้งใจเขียนตอนพิเศษท้ายเล่มเพิ่ม
เขียนไปเขียนมาตอนพิเศษท้ายเล่มแม่งจะล่อไป 20000 คำละ แม่งยาวกว่าตอนธรรมดาอีก
เอาเถอะ ถือว่าเป็นตอนพิเศษเลยให้ยาวหน่อยละกัน เดี๋ยวไปตัดแบ่งย่อยๆ เป็น 5 ตอนเอา
โม่ง ผมมาชี้เป้าความบันเทิงให้ ลองเข้าไปวิเคราะห์แยกแยะกันดู
>>490 เปล่า ประเด็นคือเรื่องนี้อยู่ๆก็เด้งขึ้นมาติด top หมวดรวมแบบไม่มีปลี่ไม่มีขลุ่ย
เผื่อไม่รู้กูจะขายความให้ TOP หมวดรวมมันต้องใช้ยอดวิวต่อวัน อันดับ 2 นี่คือ 5000-10,000 วิวถึงจะเด้งขึ้นมาได้
ทีนี้อยู่ๆนิยายโนเนมที่ไหนก็ไม่อยู่มันจะมียอดวิวแบบเด้งขึ้นมาจาก noname ติด top 2 เลย เป็นไปไม่ได้
ที่น่าสังเกตไปกว่านั้นคือยอดวิวระดับ 10k ต่อวันมัน ทว่าลองดู ยอดติดตามแทบไม่ขึ้น มียอดติดตามแค่ 300 มันจะไปเอายอดวิว 10k มาจากไหน? แถมยอดคอมเม้นท์ก็แทบไม่มี มันจะเป็นไปได้หรอวะ นักอ่าน หมื่นคนไม่แสดงความเห็นเลย
แถมนิยายติดอันดับแล้วมาตั้งกระทู้เนียนขอบคุณโปรโมทชุดใหญ่จัดเต็มที่บอร์ดนักเขียน มันดูแปลกๆ
กูแค่ตั้งข้อสังเกตนะ จะจริงหรือไม่จริงลองพิจารณาเทียบกับเรื่องอื่นที่เขาไม่ได้ปั๊มดีๆ
นิยายถ้ามันจะติดอันดับสอง มันก็ควรไล่อะนดับความนิยมขึ้นมา จากอันดับ 200 100 50 20 top 5 แบบนี้ แต่อยู่ๆโดดขึ้นมา อันดับ 2 จากที่ไหนก็ไม่รู้
แถมนักอ่านพิมพ์ว่า อาจจะติดเฉพาะวันนี้แล้วก็ตก เหมือนไปจ้างปั๊มโปรโมทมาอะ
>>491 แก้นิด นักเขียนพิมพ์ดักเองเหมือนรู้ชะตาว่าอาจจะติดเฉพาะวันนี้
top 2 หมวดรวมมันไม่ใช่ว่าอยู่ๆจะฟลุคขึ้นมาติดได้นะ เป็นไปไม่ได้ มันใช้ยอดวิวเยอะมาก ในหมวดรวม กูสิงอยุ่หมวดแฟนตาซี อันดับ 1 หมวดแฟนตาซียังแทบจะไม่ติด top 10 ในหมวดรวมเลยมึง มันยากขนาดนั้น แล้วอยู่ๆนิยายโนเนมไม่มีฐานอะไรเลยจะขึ้นมาได้ไง ถ้าขึ้นมาได้มันก็ควรแบบไต่อันดับมาจาก 200 100 50 10 5 2 อะไรแบบนี้ตามลำดับ ไม่ใช่โผล่ปาบมาเลย
แถมนักเขียนมาเสนอตัวตั้งกระทู้โปรโมทในบอร์ดนักเขียน เพื่อขอบคุณคนอ่าน ถ้าจะขอบคุณคนอ่านก็ขอบคุณในหน้านิยายสิครับ นี่มาโปรโมทเหมือนหิวยอด นิยายปกติถ้ามันขึ้น top 2 หมวดรวมได้ด้วยตัวของมัน แสดงว่านิยายนั้นมีดีของมันอยู่แล้ว
คิดดูแล้วก็แปลกจริงๆ เรื่องนี้แม่งมีเงี่ยนงำ
ปัจจุบันนี่ แนวสงครามอวกาศ space opera แต่อาจมีกาวหน่อย
กับ แนวองค์กรลับ ไซไฟจักรกล แต่มีกาวๆนิดเช่นกัน
อันไหนน่านิยมกว่ากัน ในเมื่อไม่ใช่แนวกระแสทั้งคู่
>>496 เออที่พูดมาก็จริงแหะ ไม่รู้ทำไมแต่ เราเรารีเซิจมาหลายเดือนละไอ้แนวองค์กรลับไซไฟ เหมือนต้องรีเซิจเยอะกว่ามากหยั่งกับไปเรียนหนังสือใหม่ป.ตรี ทั้งสายวิทย์ การเมืองในปท. ระหว่างปท. ธุรกิจ ข้อมูลทางทหาร วิธีhack ภูมิศาสตร์ ยันการเงิน บริหารองค์กร แล้วตูไม่ได้จบสายวิทย์หรทอคณะสายวิทย์ หรือบริหารองค์กร ด้วยนิ ถึงจะได้เรื่องการเมืองกับกฎหมายก็เถอะ
แต่ พอมาลองรีเซิจข้อมูลแนวอวกาศ กลับง่ายกว่ามาก ไม่นับนะว่ามีหนัง เกม เป็นต้นแบบให้ใช้มากมาย บางอย่างโม้มโนเอาง่ายๆ
ไซไฟ เหมือนกัน แต่ทำไมแต่ละแนวมันยากกว่ากันละเนี่ย
>>497 มันแล้วแต่ว่าเมิงจะไปทางไหน จะโม้ Yes ม้าเป็นเจมส์บอนด์ จะโคตรสมจริงเป็นแจ็ค รีชเชอร์ หรือจะไปสายเซอร์เรียลชิบหายแบบ Metal Gear แต่สามเรื่องนี้มีจุดร่วมอย่างนึงคือต้องยืนพื้นบนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพื่อให้การเล่าผลกระทบที่ตามมามันสนุกและต่อยอดไปได้ ข้อมูลพวกนี้เลยจำเป็นว่าจะยำยังไงให้เรื่องไม่มั่ว หรือถ้าจะมั่วก็ยังมีอะไรมารองรับว่ามันเป็นไปได้จริง ไม่ใช่ว่าพกระเบิดลูกเกลี้ยง ขว้างไปแล้วระเบิดมาฟุ้งเป็นดอกเห็ด 7 กิโลเมตร อันนี้คือมั่ว
ในขณะที่แนวอวกาศ เมิงจะโม้ Yes ม้าเป็นลิเกอวกาศยังไงก็ได้ Star wars Dune แต่โม้ที่ว่าก็ต้องทำให้คนอ่านรู้สึกอินไปกับเซ็ตติ้งและตัวละครของเรื่องด้วย ไม่ใช่ว่าลุคแม่งเกิดมาเจ็ดก้าวเอาไลท์เซเบอร์ไปเดี่ยวกับดาร์ธซีเดียสได้แบบนิยายเทพซ่าปัจจุบัน
เรื่ององค์กรไซไฟ ตอบให้ได้ก่อนว่าเป็นองค์กรเกี่ยวกับอะไร องค์กรที่น่าจดจำจะต้องมีความชัดเจน อย่างบริษัทอัลเบลล่าคือองค์กรผลิตอาวุธชีวิตภาพโดยใช้บริษัทยาเป็นบังหน้า หรือองค์กร the Patroit (Metal Gear Solid) เป็นองค์กรลึกลับชักใยความเป็นไปของโลกอยู่เบื้องหลัง ด้วยเหตุนี้มันทำตัวลึกลับ
>>499 กูคิดออกล่ะ งั้นลองเปลี่ยน worldbuilding เป็นสไตล์ retro futuristic เช่น สามก๊กแย่งชิงดาวอังคาร ม้าเซ็กเธาว์ไม่ใช่ม้าจริง แต่เป็นยานพาหนะ หรือยุคที่มนุษย์ไปนอกโลกได้ แต่ไม่รู้วิธีผลิตสันดาปหรือเครื่องยนต์ แต่ใช้เทคโนโลยีพายเรืออวกาศ ซึ่งไม่มีทางทำได้ในชีวิตจริง เพราะนิยายไซไฟเกิดมาขี้โม้อยู่แล้ว
อยากเขียนอะไรก็เขียน chatgpt ก็มี การหาข้อมูลหาข้อมูลแม่งง่ายมาก แต่ถ้าเขียนอะไรที่มึงไม่รู้จักหรือไม่ได้สนใจอยากหาข้อมูลตั้งแต่แรกก็ข้ามเถอะ ไปสร้างโลกแฟนตาซีที่มึงตั้งกฏขึ้นมาเองแบบ made in abyss เลยยังจะดีกว่า
>>504 ของกูเท่าที่จัดหน้าตอนนี้ตกประมาณ 80000-100000 คำได้ ไม่เน้นหนาเน้นซอยเยอะ แต่เล่มนึงก็ราวๆ 30 ตอนได้ พอมัดรวมก็ได้ 5-6 บท ความหนาราวๆ 300 หน้าเศษๆ กำลังดี
>>506 ถ้ามาตรฐานสมัยก่อนก็ประมาณนี้ แต่ถ้าเอาขนาดที่นิยมในปัจจุบันมาเทียบจะเล่มโคตรหนาเลย ซัก 500-600 หน้าได้มั้ง เว้นแต่จะเขียนอัดกันเป็นพรืดแบบนิยายไทยสมัยก่อนที่หน้านึงตก 500+ คำ
อย่าลืมว่าเวลาเขียนเราอาจจะเขียนในกระดาษ A4 แต่พอเอาไปแปลงเป็นขนาดหนังสือ จำนวนหน้ามันจะเพิ่มขึ้นมาอีกเกือบ 50% เลยต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย
จะได้เห็นโม่งสับนิยายของโม่งเร็วๆนี้มั้ย
https://www.dek-d.com/writer/32362 ขำ... ถึงขั้นต้องเอาบทความพี่น้อง 10 ปีที่แล้วมารีรัน
เดี่ยวนะ จขกท.ถามเรื่องนิยายเด็กดีกันไม่ใช่เหรอ ไปโยงอะไรกับนิยายของนักเขียนระดับชั้นครู
https://www.dek-d.com/board/writer/4086079/1/4
>>512 คงร้อนตัวกันมั้ง เอาจริง ๆ แต่งไม่จบก็คือแต่งไม่จบ จะแก้ตัวหรือยกตัวอย่างกันทำไม จะบอกว่าเพราะนักเขียนดังยังเขียนไม่จบได้ ฉันก็มีสิทธิ์งี้เหรอ บอกตรง ๆ นะ กูไม่ค่อยชอบทัศนคตินักเขียนที่ไม่ค่อยแคร์คนอ่านเท่าไหร่ว่ะ เหมือนหาเหตุผลล้านแปดเพื่อให้ตัวเองดูดี ทั้งที่วอนนาบีอยากได้ยอดวิว ยอดรายได้ เหมือนอยากให้คนอื่นให้ใจ แต่แม่งไม่เคยให้ใจใคร
>>515 การแต่งนิยายบนเว็บ มันต้องเขียนไปแต่งไป ระบบมันออกมาแบบนั้น ถ้าต้องแต่งให้จบเรื่องก่อนแล้วค่อยลง นักเขียนจะกินอะไร นิยายบางเรื่อง 500 600 ตอน 700 ตอน
เกิดเป็นมนุษย์ มันมีค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ยิ่งอายุเยอะขึ้นภาระมันก็จะยิ่งเยอะขึ้น
ดังนั้นเขียนไป ลงตอนเก็บเงินไปของนิยายบนเว็บมันไม่ใช่เรื่องผิด ซึ่งในบางครั้งการเขียนนิยาย เรื่องยาวแฟนตาซีมันเป็นงานคลีเอทีพ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับให้นักเขียนสามารถกลั่นกรองข้อมูลออกมาจากสมอง แล้วเขียนอย่างต่อเนื่อง 1 ปีจบเรื่อง สุดท้ายมันก็ต้องมีพักหาข้อมูล คิดเนื้อเรื่องเสริม อะไรกันบ้าง
เอาอีกมุมมาให้คิด งานถ้าไม่ได้รับการซัพพอร์ตเลย มันก็ยากที่จะเขียนจบได้ นักอ่านบางคนก็เรื่องเยอะ อยากได้แบบนั้น อยากเอาแบบนี้ เก็บนิยายตอนละ 2 บาทบ่นแพง
แต่ประเด็นคือ ไอ้นิยายที่โถ่ฉี่โซลาร์กับเคย์เซย์ยกมาอ้างส่วนใหญ่ไม่ใช่นิยายเว็บต่างหาก แถมไอ้ติดเหรียญที่จขกท.บอกมามักจะมาจากเด็กดีหรือ meb
กูค่อนข้างเฉยๆนะถ้านักเชียนจะแต่งไปติดไปละจู่ๆดองเฉย อาจตันไปต่อไม่ถูก มีธุระในชีวิตจริงยุ่งจนหัวหมุนงั้นงี้ แต่ไอ้พวกดองเพื่อไปปั่นเรื่องใหม่ แล้วก็ดองไปเปิดเรื่อฝใหม่เรื่อยๆ แบบอัปเดตงานตลอดแค่ไม่มทต่อเรื่องเดิมให้จบ อันนี้อะกูหมายหัวไว้เลย แม่งขยันงอกเรื่องแต่ขี้เกียจต่อให้จบเหรอวะ ตัดจบหน่อยก็ได้เหอะถ้ามึงจะชยันงอกงี้ กูเจอแบบเรื่องแรกเขียนไปได้สิบกว่าตอน พัก ไปเปิดเรื่องใหม่กำลังคึกเลยปั่นไปสิบกว่าตอนละพัก จากนั้นก็เปิดเรื่องที่สาม แล้วก็วนลูปแบบเฉลี่ยเปิดเรื่องเดือนละครั้ง อัปวันเว้นวัน แต่ไม่เขียนให้จบเป็นเรื่องๆไป กูงงมาก
คนอ่านไม่ได้เข้าใจหรอกว่านักเขียนจะเขียนแต่ละตอนออกมาให้ดีนี่ลำบากยังไง บางคนยังคิดว่านิยาย 10 หน้านี่ใช้เวลาเขียนไม่กี่นาทีเสร็จเลยทั้งที่ความจริงนั่นน่าจะเขียนกันเป็นวันๆ
อย่างอาทิตย์นี้กูเขียนไม่ออกเลย ทั้งอาทิตย์เขียนได้ตอนเดียวจากที่กำหนดต้องได้ซัก 3 ตอนอย่างต่ำ ขนาดพักมาหลายวันแล้วแต่อารมณ์เขียนไม่ได้มันก็เขียนไม่ออก
พวกงานดองหลักครึ่งปี-ทั้งปี ควรยกเลิกติดเหรียญนะ จะบอกว่าไม่ว่างทำทั้งปีนี่โม้ละ
โม่ง เราเจอนิยายที่ชอบมากแต่มันแต่งไม่จบ แถมติดเหรียญ โม่งว่าเราควรซื้อไหม คือมันไม่กี่ตอนเอง ไม่ถึงสิบตอน แต่มันก็ดองลืมละนะ
ใครเก่งจีน ช่วยรีวิวหน่อย https://www.dek-d.com/board/writer/4086816/
โม่งเคยสงสัยไหมว่า ทำไมแนวslow life ชิวๆ ตัวเอกop ผจญภัยสบายๆ
setting มันต้องเป็นrpg fantasy เซตติ้งอื่นๆ เช่น ไซไฟ โลกปัจจุบัน จะเล่นแนวนี้ไม่ได้
ไม่ได้เข้านาน ตอนนี้คนย้ายไปเว็ปไหนกันวะเพื่อนโม่ง หรือยังอยู่เดกดวกกันอยู่ แบบไม่18+อะ
สโลว์ไลฟ์ไม่เกี่ยวกับแฟนตาซี แต่คนส่วนใหญ่มีภาพจำแบบนั้นไปแล้ว
เอาเข้าจริง สโลว์ไลฟ์อยู่นานๆไม่ได้ บางคนชอบท้าทายไปจนถึงกัดปากตีนถีบ
>>525 ตอนที่ 2 ว่ะ https://www.dek-d.com/board/writer/4086909/
เป็นกันบ้างมั้ย แบบว่าเขียนมาจนจะจบตอนแล้ว จู่ๆ ก็เขียนต่อไม่ออกซะงั้น orz
คืออีกแค่ประมาณหน้าเดียวเท่านั้นก็จะจบตอนละ แต่เหมือนเขียนไปเขียนมาไฟมอดแล้วหัวตันขึ้นมาซะเฉยๆ จะเขียนต่อก็เค้นไม่ออกจนสุดท้ายก็ต้องพักเนี่ย โอ้ยยย
สนใจโม่งรีวิวมั้ย https://www.dek-d.com/board/writer/4087052/
>>532 มึงต้องฝืนดิ ผิดพลาดยังไงค่อยรีไรท์ตอนจบจนกว่าจะถูกใจ
>>533 เปิดอ่านแค่บทนำกุก็ขอลาละ
(บางส่วนในบทนำ)
"เขาลุกขึ้น ขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักฟื้นคนไข้ของแม่ เข้าไปในห้อง พบแม่ยังนอนอยู่ที่เตียงคนไข้ กำลังหลับอยู่ ปองภพเดินเข้าไปใกล้และจับขอบเตียงไว้ แม่กำลังหลับตา ไม่รู้ว่าเขามาหา"
ไม่รู้ว่าพี่พีเคเขียนไปกี่เรื่องแล้ว แต่จากประโยคข้างบนพี่เขาควรหาเวลาไปอ่านนิยายมากกว่ามานั่งเขียน บรรยายได้น่าเบื่อและยืดเยื้อยุ่งยากชิบหัย
ลองตัดไปเล่นๆ ดู
"เขาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักฟื้นคนไข้ของแม่ เข้าไปในห้อง พบแม่นอนหลับอยู่ที่เตียงคนไข้ ปองภพเดินเข้าไปใกล้และจับขอบเตียงไว้"
เขียนแค่นี้ก็น่าจะเข้าใจแล้ว เอาเถอะกุก็ไม่เคยเขียนนิยายหรอก แค่อยากมาด่าเฉยๆ ว่าถ้าเขียนได้แค่นี้ ได้เด็กไปอ่านหลักร้อยก็บุญแล้ว
>>533 จะว่าไป มีคนบ่นว่าตัวละครเยอะเกินไป เอ่อจริงแหละ นับเฉพาะนิยายที่ PK แปะมีตัวละครปรากฎหน้าหลัก 24 คน ไอ้สัส กูจำได้แค่ 2-3 คนเอง
กูว่า PK ได้แรงบันดาลใจจากอนิเมะ Mayoiga แน่ๆเลย โดยเฉพาะปริมาณตัวละครแบบ Game of Thrones แต่ฝีมือไม่ถึงเอง แนะนำพวกนักหลวม 30 คนขึ้นรถบัส (รวมคนอื่นก็จะเป็น 36 คน) เพราะทุกคนสำคัญหมด แต่ดูจนจบมีบทเด่นจริงๆไม่เกิน 10 คนเอง นอกจากจำชื่อไม่ถึงครึ่งแล้ว เกลี่ยบทก็ไม่ได้เรื่องอีก
พวกเขียนตัวละครเยอะๆ แล้วกระจายบทได้นี่น่านับถือนะ
กูแค่ตัวหลัก 3-4 คนก็กระจายบทไม่ทันละ
สงสัยมาสักพักละ ทำไมตัวละครชื่อจีนเยอะจังเลยวะ กลายเป็นเมืองขึ้นไปแล้วเหรอ 555
พันชั่งไม่มีอะไรที่ชมได้สักเรื่องในด้านงานเขียน สภาพเขาเหมือนคนต่อยแผ่นไม้ทุกวันแล้วหวังว่าจะไปสอบสายดำได้สักวันหนึ่ง คนที่ขาด ค.ว.ย. ทำให้คนอื่นมีความสุขกับนิยายของตัวเองไม่ได้หรอก
ชื่อจีนนี่กูไม่ค่อยรู้ว่าอ่านยังไง ส่วนใหญ่กูก็อ่านออกเสียงตามพินอินเลย
แต่โดยส่วนตัวแล้วกูชอบชื่อแปลไทยจากพวกแนวกำลังภายในยุคก่อนๆ มากกว่าแฮะ อย่างพวกพวกมังกรหยกงี้ เซียวฮื้อยี้งี้
กลับกันพอมาเจอวิธีออกเสียงแบบจีนกลางปัจจุบันนี่ทำเอากูมึน และยิ่งมึนเมื่อลองอ่านแนวจีนที่คนไทยเขียน ชื่องี้มั่วไปหมดเลย
ถ้ากูจะเขียนนิยายจีนจะหาข้อมูลการตั้งชื่อจากเว็บอื่นแทน แล้วก็ต้องจำง่าย ไม่ใช่สักแต่ความเท่หรือท่องสูตรคูณรัวๆ
จะว่าไป การตั้งชื่อก็สำคัญไม่แพ้กัน ตั้งชื่อเรื่องเท่ๆแต่โคตรโหล่ กูไม่เอานะ คนเขียนจำได้ แต่คนอ่านจะแยกออกมั้ยล่ะ
ฮาาาาา พอกูเขียนเริ่มขึ้นเล่ม 3 ก็เริ่มไม่สนใจความยาวความสั้นของเนื้อเรื่องแล้วแฮะ
จากปกติจะตกเฉลี่ยตอนละ 2500-3000 คำ แต่พอขึ้นเล่ม 3 มากูเริ่มยัดเข้าไปตอนละ 3500-4000+ แล้วซะงั้น
คือปกติกูก็เขียนตอนนึกราวๆ 4000 คำนี่ล่ะ ไอ้ความยาวไม่เกิน 3000 นั้นคือตั้งใจจะเขียนให้มันอ่านง่ายๆ เน้นชิล แต่ไปๆ มาๆ เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นจน 3000 รู้สึกไม่พอซะแล้วสิ สงสัยได้กลับไปเขียนความยาวเท่ากับสมัยก่อนนี่ล่ะ
ดีอย่างนะที่ตอนนี้กำลังรู้สึกสนุกกับการเขียน ส่วนหนึ่งก็เพราะกูยังไม่ได้อัพลงแล้วเห็นความ Toxic ของเหล่าคนอ่านนี่ล่ะ
>>554 เดาว่าน่าจะดูเจมส์บอนด์กันมากไป หนังชุดนี้โดนนักวิเคราะห์กับคนที่ทำงานแนวสายลับจริงๆ สับเละว่า ถ้าทำตัวแบบบอนด์ในหนังแล้วคงเจอเก็บภายใน 3-5 วันแน่นอน เพราะทำตัวเด่นโดยไม่จำเป็น ยุ่งกับสาวๆ เยอะ บู้แหลกระเบิดตูมตาม
จริงๆ มีโม่งในนี้เคยยกตัวอย่างพฤติกรรมหรือวิธีทำงานของพวกสายลับ/นักฆ่า มาพอสมควรแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เข้าใจแล้วพอมีเวลาว่างก็อยากให้ไปลองดูหนังอนิเมะสั้นเรื่อง Kite ของ Yasuomi Umetsu (แต่ระวังด้วยมีฉากเด้ากันอยู่เป็นพักๆ) ทั้งวิธีการทำภารกิจของนางเอก ไอ้หล่อที่คล้ายๆ จะเป็นพระเอก กับเด็กผู้หญิงตรงสนามบาสท้ายเรื่อง เนี่ยแหล่ะคือการเป็นนักฆ่าของแท้ จะเล่นใหญ่จนถึงขั้นใช้ระเบิดก็ต่อเมื่อจวนตัวเท่านั้น ก่อนฆ่า-หลังฆ่า ก็กลมกลืนไปกับฝูงชนได้แบบดูไม่ออกว่าเพิ่งจะฆ่าคนตายมา เหยื่อก็ตายแบบไม่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนฆ่าด้วยซ้ำ
นักฆ่าคือตรงตัวเลย ต้องสังหารเป้าหมายที่เป็นบุคคล แต่สายลับเหมือนคนของหน่วยข่าวกรอง ปฏิบัติการแทรกซึม รวบรวมข่าวไปให้เบื้องบน จัดการเท่าที่จำเป็น การฆ่าไม่ใช่งานหลักด้วย สิ่งที่เหมือนกันทั้งคู่คือพยายามทำตัว ไ ม่ โ ด ด เ ด่ น มิฉะนั้น ยิ่งศัตรูรู้มาก เรายิ่งเสียเปรียบ ข่าวสารรวดเร็วกว่ากระสุนปืนในโลกที่มีวิทยุสื่อสารกับอินเตอร์เน็ต ถ้าเป็นยุคโบราณ ข่าวสารมีความเร็วเท่ากับฝีเท้าคน (ถ้าไม่ควบม้า) แต่กระจายตัวยังกะไวรัส ไม่ใช่เส้นตรงแบบคนขี่ม้า
ถ้าพูดเฉพาะปฏิบัติการเป็นทีม สายลับทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองอยู่แล้ว หน่วยงานหรือหน่วยย่อยก็เถอะ แต่จะไม่จ้างนักฆ่าเด็ดขาด ส่วนใหญ่คนจ้างนักฆ่าจะเป็นแก๊งมาเฟียหรือบุคคลไม่กี่คน การสังหารคนไม่เคยเป็นงานขาวสะอาดอยู่แล้ว จะให้หน่วยข่าวกรองจ้างนักฆ่าก็จะเสี่ยงต่อข้อมูลรั่วไหล ลองคนแบบชูวิทย์เต็มประเทศสิ ไม่เพียงแต่คนฆ่าจะติดคดี ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรที่จ้างเขาด้วย
ปล. ดู Kite เสร็จแล้วอย่าลืมดู มezzo ฟorte ด้วยนะ อยู่จักรวาลเดียวกัน
โม่งมันมีวิธีเขียนแนวตัวเอกเป็นตัวร้ายหรือฝ่ายตัวร้ายทแล้วออกไล่ฆ่าคนบริสุทธิ์ ทำลายเมือง ปล้นสดม คุมมาเฟีย วางแผนร้าย พยายามล้างโลก ล้างมนุษยชาติ ทำเรื่องเลวๆประมาณนี้ โดยไม่ได้อ้างเรื่องแก้แค้นและไม่nc โดยไม่ให้รี้ดรู้สึกเกลียดหรือดูดาร์ก เอ้ดจี้เกิน ได้ไหม
อารมณ์ อ่านแล้วมีอะไรเบาๆ ขำๆ บ้าง แบบนี่ได้บ้างไหม
ถ้าให้ตัวเอกน่ารัก แค่นี้พอเปล่าว่า
>>558 เมิงจะฟุ้งฯอะไรก็ได้ กูได้แต่หวังว่ามันจะกระตุ้นให้เมิงลุกขึ้นมาลองผิดลองถูกกับสิ่งที่ตั้งคำถาม สิ่งที่คนอ่านต้องการมันเรียบง่าย เขาแค่คาดหวังสิ่งที่น่าสนใจจากนิยายเมิง
ไม่มีนักอ่านสนุกกับการเป็นคนรองรับอีโก้ของนักเขียนหรอกนะ ถ้าหัดเขียนเล่าเรื่องง่าย ๆ ให้น่าสนใจให้เป็นก่อนค่อยเล่นท่ายาก
>>558 เกมออนไลน์, ระบบคะแนนความเหี้ย, ลัทธิครองโลก อยากทำอะไรก็ทำ อย่าไปคิดเองเออเองว่าคนอ่านเขาจะสนใจมึง อย่าสำคัญตัวเองผิด มึงจะเบียวจะดาร์คเอ้ดจี้อิไตเหี้ยไรก็ไม่มีใครเขาสนมึงหรอก อ่านโม่งสับก็แค่ให้รู้ว่ามันมีประเด็น 1 2 3 แค่นั้น ไม่ต้องไปหลอนว่าคนอื่นเขาจะมองมึงยังไง คนอ่านเขาแค่อยากได้อะไรที่มันน่าสนใจ
อยากน้ำแตกแต่ไม่ยอมชักว้าว รออะไรอยู่ JUST DO IT!
เปิดระบบอย่างเป็นทางการ DNABET999
มาพร้อมแคมเปญสุดยิ่งใหญ่!!
แจกหนัก ! รางวัลใหญ่ Honda City 20 คัน
และ รางวัลอื่นๆอีกมากถึง 5,000 รางวัล
รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 30,000,000 บาท
เพียงมียอดสะสมเดิมพัน 10,000 ขึ้นไป ก็มีสิทธิ์ลุ้น รางวัลใหญ่ง่ายๆ
เริ่มสะสมยอด 1 - 30 มิถุนายน 2566 นี้
DNABET999 "มั่นคง ปลอดภัย ทันสมัย "
อยู่เคียงข้างลูกค้า อย่างมั่นคง และ ยั่งยืนตลอดไป
-ขนมปัง
>>558 กูตอบจริงจัง มึงต้องลองเรียนหรือหาอ่านหนังสืออาชญาวิทยาดู
มันเป็นวิชาที่มุ่งเน้นหาคำตอบว่า ทำไมคนร้ายถึงทำอะไรแบบนั้นแบบนั้น มีสาเหตุอะไร แรงจูงใจอะไร อะไรคือสิ่งกระตุ้น
ยกตัวอย่างอีกคนคือนาย H เป็นลูกชายนายทหารที่เข้มงวด พ่อเองก็คาดคั้นอยากจะให้ตนเองเป็นแบบเขา แต่ตัวเขานั้นไม่เห็นด้วบกับระบบการทำงานของราชการและกองทัพ พร้อมอยากจะเป็นอิสระจากการปกครองอันแสนต่ำตมมาตลอด แต่แล้ววันหนึ่งผู้หญิงที่เขาชอบผันตัวไปอยู่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เกิดการทะเลาะกันระหว่างหนุ่มสาว นาย H พลั้งมือฆ่าผู้หญิงคนนั้นตาย แล้วโทษว่าเป็นเพราะรัฐบาลที่บีบคั้นให้เธอต้องย้ายข้าง นาย H จึงย้ายไปอยู่ฝ่ายต่อต้านบ้าง ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้นำคอยดำเนินการอย่างลับๆ ต่อสู้เพื่ออิสระภาพที่เขาเชื่อ แต่ดวงซวยดันติดสาว + มีเพื่อน (พระเอก) เป็นสายลับของรัฐบาลเข้ามาตีซี้ด้วย ทำให้สุดท้ายนาย H โดนจับได้แล้วประหารชีวิตด้วยฝีมือพ่อของตนเอง
การสร้างตัวร้ายมันก็เหมือนการสร้างตัวละครนั่นล่ะ มันต่างจากตัวเอกตรงที่ว่าเราไม่ได้โฟกัสเล่าว่าตัวร้ายทำไมถึงทำแบบโน้นแบบนี้ แต่จะใช้วิธีเล่าผ่านการกระทำ + ย้อนอดีตเอา ซึ่งถ้าทำออกมาดีมันจะน่าสนใจกว่าตัวเอกด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยเราก้ไม่ได้เห็นช่วงน่ารำคาญแบบตัวเอก
>>558 ง่ายๆ ก็แบบสั่งให้ลูกน้องไปทำแล้วดันเข้าใจผิด เหมือนพระเอกใน Overlord เช่นถ้าอยากให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเมือง พวกตัวเอกกำลังเดินทางไปยังเมือง B ระหว่างเดินทางก็ตัดสินใจพักในหมู่บ้านใกล้ๆ ตอนเดินผ่านก็เจอเศษขยะเต็มไปหมดก็บ่นลอยๆ ว่า "หมู่บ้านแม่งสกปรกจังวะ คนทิ้งขยะเรี่ยราดเต็มไปหมด ไอ้คนที่ทนอยู่ได้ก็ไม่ต่างจากขยะหรอก เฮ้ย ลูกน้อง A พรุ่งนี้ช่วยเคลียร์ขยะแถวห้องพักเราหน่อยก็แล้วกัน กุนอนละ บาย" ลูกน้องแม่งก็ตีความว่าคนในเมืองก็ขยะ เลยไปแขวนแม่งทั้งคนทั้งขยะ จับไปเผาตอนเช้า แล้วตัวเอกตื่นมาเที่ยงชมลูกน้องที่ทำงานดีเกบขยะจนไม่เหลือ แล้วก็บ่นเซงๆ ว่าคนหายไปไหนหมดหว่า หาซื้อของกินไม่ได้เลย จบ ขำๆ ขมๆ กันไป ตัวเอกไม่เบียวไม่เห่อหมอeไม่เอดจี้
โอ้ พ่อคนหน้าบางไม่กล้าเขียนเบียว ระวังไว้เถอะมึง สุดท้ายเด็กๆ ไม่กดอ่าน วิวเหลือหลักร้อย
คนอ่านตัวจริงมันไม่คิดเหี้ยไรหรอก อ่านตอนนั่งขี้ รอหมดคาบ เบื่อๆ ไม่มีไรทำ
กูแนะนำนะ หลังจากหลายปีก่อนเคยขลุกกับพวกนักวิจารณ์ วิธีประสบความสำเร็จ ก็ห่างจากไอ้พวกเหี้ยนี่ก่อนเลย
โม่ง เห็นพิมพ์กันข้างบนบอกว่า เบียว ตกลงมันคืออะไรอะไร เหมือนกับ เอ้ดจี้ edgy ไหม แล้วดีหรือไม่ดี
กำลังสงสัยว่านิยายตัวเองที่เขียนอยู่ตอนนี้ในเข้าข่ายเบียวเปล่า
>>570 นิยามความเบียวก็คงราวๆ
ข้านั้นคือที่หนึ่ง คนอื่นอยู่ใต้ตีน ข้านั้นอายุแค่ 14 แต่มียศมีตำแหน่งมีอาชีพมีพลังพิเศษเหนือกว่าคนอื่น ทุกอย่างในโลกจะต้องหมุนรอบตัวข้าไปไหนก็มีแต่คงต้องยำเกรง ได้ยินแล้วขนลุกใช่มั้ย!? เลียตีนข้าสิแล้วข้าจะแบ่งขี้เล็บไปให้ต้มกิน
อะไรทำนองนี้ คือเขียนยังไงก็ได้ให้ตัวเอกมันดูล้ำกว่าตัวละครอื่นๆ แบบไม่สมเหตุสมผลอะ เพิ่มเติมคือต้องกร่างอวดดี
กลับกันถ้าแนว Edgy จะมีความคล้ายกันอยู่ แต่ลักษณะจะเป็นแบบขี้เก๊ก ลุคคูล มาดนิ่งสาวติดอะไรทำนองนั้น
>>570 https://www.brandthink.me/content/chuunibyou
แต่ถ้ามึงขี้เกียจอ่าน มาอ่านของกูก็ได้ ตัวละครจูนิเบียว (เบียว) คือคนธรรมดาที่มโนเอาเองว่าตนเป็นคนพิเศษกว่า มีพลังที่คนทั่วไปไม่มีทางมี แต่ตนมีอยู่จริง เช่น เนโฮฟาทูร่า
จะว่าไป พวกแนว isekai กับนิยายจีนเกรียนเทพบางเรื่องแม่งเบียวขายฝันนี่หว่า ดูอิริยาบภกับตัวพล็อตก็ได้ ลองเลียนแบบมาทำที่ชีวิตจริง คิดว่าคนรอบข้างจะชมยังไงว่ะ
>>573 มันคือตัวเอกที่กำลังได้รับความนิยมในยุคนี้ เนื่องมาจากนักอ่านรุ่นใหม่ๆ กำลังอยู่ในช่วงวัยนี้นั่นล่ะ
ถ้ากูพูดต่อก็เหมือนอคติอะนะ แต่เท่าที่สังเกตมาสาเหตุมาจากการที่อินเทอร์เน็ตมันเข้าถึงทุกคน แล้วพวกนอร์มี่ (คนธรรมดา) ที่เพิ่งใช้เน็ตเป็น หรือไม่ได้ท่องยุทธภพมาตั้งแต่เด็ก จะมีภูมิคุ้มกันเกี่ยวกับการเลือกเสพย์สื่อค่อนข้างต่ำ พอได้เจอกับงานมาตรฐานต่ำแบบนี้ก็หลงคิดว่านี่คืองานดีระดับเทพ โดยไม่สนว่าคุณภาพเชิงลึกมันเป็นยังไงกันแล้ว
และที่ขึ้นท็อปได้เพราะคนพวกนี้มันเยอะ รอบตัวกูก็มีแต่คนพวกนี้ อายุก็เลข 3 กันแล้ว แต่เพิ่งเคยอ่านการ์ตูนกันได้ไม่นานมันก็น่าจะราวๆ นี้ล่ะ
>>576 ไม่ได้ผล
ถ้าตัวเอกไปไม่สุด คนอ่านจะเริ่มบ่นเริ่มด่ากับพฤติกรรมตัวเอกที่ดูขัดใจและเทงานอย่างรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเคสที่กูเคยเขียน พระเอกเกิดใหม่มีอดีตชาติเป็นถึงเทพ แต่ติดข้อจำกัดด้านร่างกายบวกกับสูญเสียพลังจึงสู้ได้ไม่เต็มที่ ผลที่ได้คือคนอ่านแนวเบียวๆ มาเม้นท์แบบโคตร Toxic ด่าพระเอกกากบ้าง ขี้โม้บ้า อดีตเป็นเทพอะไรกันถึงกากขนาดนี้บ้าง โดยแม่งข้ามขั้นไปเลยว่าตอนนั้นตัวเอกอายุแค่ 10 ขวบ
คือถ้ามึงกำหนดไว้แล้วว่าอยากให้ตัวเอกเบียว ทางที่ดีคือไปให้สุดไม่ต้องสนตรรกะและเหตุผลทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเทพอานอสงี้ เบียวพลังเหนือล้น ปากดีปากเสีย คุยโม้กับตัวร้ายว่าแกอาจจะฆ่าข้าได้แต่ทำให้ข้าตายไม่ได้ ก่อนจะตบเขาร่วงแล้วตกสาวเข้าฮาเร็ม
นี่คือตัวอย่างพฤติกรรมสุดโต่งของ alpha male อันน่าหมันไส้ที่ใช้ชีวิตแบบไม่สนกฎเกณฑ์ถูกจัดเป็นหนึ่งในตัวละครเบียวที่มีคนจดจำตัวหนึ่ง แต่รู้สึกหลังๆ แม่งเริ่มคล้ายตลกคาเฟ่เข้าไปทุกที
โยนหนังสือซีไรท์หรือพวกขึ้นหิ้งให้พวกเบียวอ่าน จาก 100 คน ไม่อ่าน 99 คน อ่าน 1 คน
>>579 หนังสือซีไรท์ไม่ต้องเด็กเบียวหรอก กูก็ไม่อ่าน
หลายปีมานี่รสนิยมการอ่านกูเองก็เปลี่ยนไปเยอะ จากที่เคยคิดจะอ่านพวกขึ้นหิ้งอย่างที่ว่า กูก็เปลี่ยนไปหาเรื่องที่กูอ่านแล้วรู้สึกสนุกแทน
แต่ทั้งหมดที่ว่ามากูก็เลือกพวกเรื่องที่มีความเป็นเหตุเป็นผล มี lore มีเบื้องหลังเบื้องลึกเอาไปคุยกับคนใน community ได้ ส่วนเรื่องไหนที่อ่านแลัวรู้สึกว่าเบียว ตระกะตัวละครเพี้ยนหรือว่าเอ็ดจี้เกินกูก็ดรอปบวกกับด่าเหมือนกัน แล้วที่กูว่ามาไม่ได้จำกัดแค่นิยายด้วย สื่อทั้งหมดทั้งนิยาย มังงะ ซีรีย์ หนังโรง เกม
อย่างเกมที่กูติดอยู่ตอนนี้ก็ Arknights อะ เกมมือถือแต่เนื้อเรื่องโคตร deep dark world build อย่างเทพ ที่กูจะสื่อก็คือเรื่องราวดีๆ มันไม่ได้โดนจำกัดอยู่แค่การได้เป็นซีไรท์รึเปล่าอย่างเดียวแล้วในปัจจุบัน
เออ กูสงสัยเรื่องหนังสือซีไรท์ แม่งใช้เกณฑ์ไหนว่ามันจะกลายเป็นซีไรท์กับไม่ใช้ซีไรท์
เชี่ย... กูลองใช้ ChatGPT ช่วยเขียนบทตอนที่กูไอเดียตัน
ผลที่ได้คือแม่งออกมาดีกว่ากูเขียนอีก มุแง้ AI จะแย่งงานพวกเราแล้ว
กูไปเจอนิยายที่เจ้าตัวอ้างว่าเขียนจบเมื่อ 10 ปีก่อน แต่เขียนไปได้แค่ 3-5 ตอนแล้วไม่ต่อ อะไรของเจ๊ว่ะ
https://writer.dek-d.com/CirCuzxYou/writer/view.php?id=2233070
สงสัยอย่าง พวกแนวขายความเก่งโกงของตัวเอก ถ้าเขียนให้ตัวเอกมันมีพลังเก่งโกงจริง แต่ลดความฉลาดลงหน่อยให้มันเซ่อๆซ่าๆบ้าง
เช่น เข้าเมืองใหม่ๆ โดนพวกโจรหลอกไปปล้น แต่ตัวเอกเก่งเกินเลยเผลอจัดการได้โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นแบบนี้หลายๆครั้ง เผลอหลงไปดงมอนโหดๆ แต่ก็ชนะไม่รู้ตัว
รี้ดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจะรับได้ไหม คือ รู้สึกถ้าตัวเอกเทพ ฉลาดเกิน มันเขียนเรื่องยากอยู่นะ มีแต่โชพาว ไม่มีให้ลุ้น ให้ตัวประกอบฉลาดแทนไป คล้ายๆ one punch man อะ
ลองถามโม่งดูเผื่อใครเคยเขียนหรือมีประสบการณ์
>>591 ตัวเอกที่เพอเฟค มันจะมีความสนุกอะไร สนุกอย่างมากแค่ไม่กี่ตอนตอนโช พาว ถ้าเก่งเทพแต่รั่วๆ ยังมีความน่าสนุกบ้าง
นิยายเน็ตทุกวันนี้เหมือนหยั่งกับว่า ถ้าไม่ใช่แนวรัก แนววาย nc ถ้ามาสายแฟนตาซีจะสไตยุ่น หรือจีน ตัวเอกดูเหมือนต้องเพอเฟคทุกคน แนวที่ขายได้เหมือนมันมีน้อยลงเรื่อยๆ
อยากจะเขียนแฟนตาซีแบบอื่นๆอยู่นะ แต่ปี2023นี้ไม่มีคนอ่านอะ เมื่อก่อนตัวเอกและแนวยังหลากหลายกว่านี้ ตอนนี้ที่ขายได้เหมือนแคบลงๆ ยังไงก็ไม่รู้
>>592 ก็ใช่ไงมันไม่สนุก มันดูโอ้วโหวแค่ตอนแรกๆ เท่านั้นล่ะ แต่ถ้าโจทย์มึงคืออยากจะสร้างตัวเอกเบียวๆ ก็ต้องไปให้สุดอะ
ส่วนแบบไซตามะ ...บอกตามตรงมันดังได้เพราะมุกตลกในเรื่อง ไม่ใช่เพราะความเก่งตัวเอก ก่อนมันจะจับจุดได้แล้วขายเรื่องราวของตัวประกอบเป็นหลักแทนที่จะโฟกัสพระเอกอย่างเดียว ถ้ามึงมั่นใจว่าเขียนแนวตัวเอกเก่ง + ยิงมุกตลกได้ก็ดีไป
เรื่องสั้นอาจจะทัน ยิ่งตอนเดียวกว่าจะเบื่อก็จบไปแล้ว แต่เรื่องสั้นมันต้องอัดแน่นเข้าเรื่องตั้งแต่แรก เพราะงั้นอาจจะเบื่อก่อนจะจบตอนที่หนึ่งก็เป็นได้
เห็นแล้วสมเพชว่ะ จะเขียนนิยายต้องมาระแวงว่าจะเทพไปไหม โชว์โง่ละคนอ่านหายไหม มันใช่เหรอมึง ถ้ามัวประสาทแดกกับอะไรแบบนี้นะกุบอกเลยมึงไปไม่รอดหรอก ต่อให้มึงรอดมึงก็จะอยู่แบบทรมาน บังคับตัวเองให้เขียนนิยายในแบบที่มึงเองก็เกลียด ชีวิตในฝันสัสๆ
จะเขียนนิยายยังตัดสินใจเองไม่ได้เลยจะเอาแบบไหน ชอบแบบไหนก็เขียนแบบนั้นดิ ไม่มีความมั่นใจก็ไม่ต้องเขียน
เขียนมาได้ถึงจุดๆ หนึ่งแล้วจู่ๆ ก็คิดพล็อตตอนต่อไปไม่ออกแฮะ จู่แม่งก็ void หายไปเลย ไม่รู้ว่าจะปะติดปะต่อเรื่องยังไงดี
สงสัยเพราะโครงเรื่องที่วางไว้ไม่แน่นแหงๆ แบบนี้กูต้องมานั่งแก้งานงั้นเหรอเนี่ยยยยยย
คิดพล็อตออกแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กูเริ่มกังวลเรื่องอื่นมากกว่าแฮะ
คือเรื่องที่กูเขียนเนี่ยแม่งเกือบจะเป็นกึ่งๆ แฟนฟิคไปละ เดิมทีกูก็เขียนเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากเกมๆ หนึ่งที่กูเล่น ถึงระหว่างเขียนกูจะใส่นั่นโน้นนี่ที่เป็นของกูเองไปเยอะ แต่กูก็เอาสิ่งที่มันมีอยู่ในเกมมาดัดแปลงใส่เข้าไปเยอะเหมือนกัน จนเริ่มรู้สึกกังวลแล้วว่ะว่าจะโดนหาว่าลอกนั่นโน้นนี่มามั้ย
ก็ตั้งใจจะแก้ใหม่ตอน Rewrite ก่อนเริ่มลงอยู่นะ แต่อีกใจก็คิดว่าไอ้ที่เขียนไว้บางอย่างที่ดึงมามันก็ดีอยู่แล้วไม่ต้องแก้ ยกตัวอย่างก็เช่นเผ่าพันธุ์ของตัวละครบางตัว กูนี่ดึงรูปลักษณ์+คุณลักษณะมาจากเกมเลย แค่เขียนเปลี่ยนแก้ที่มาที่ไปให้ต่างออกไปเท่านั้น
โม่งรู้จักนข. นามปากกา omen ไหม เห็นเขาเขียนหลายเรื่องหลายตอนมาก ขายอีบุค ด้วย ตอนรวมๆกันก็หลายพันตอนแน่นอน โคตรขยัน แต่ชอบบรรยายเยอะมาก บางทีแทบไม่มีพูดกันเลย และหน้าปกอียุคพี่แกโคตรตลก
ทำไมแนวแฟนตาซียุคกลาง คนชอบเขียนกันจริง ไม่ใช่แค่นิยายเด็กดี นะ มังงะ ไลโนเวล ก็เห็นเยอะในช่วงหลัง โดยเฉพาะหลังจากแนวต่างโลกฮิต
มันเขียนง่ายกว่าsettingอื่นหรอ ทั้งๆที่ ถ้าเขียนจริงต้องมานั่งหาข้อมูลยุคกลางที่ถ้าลงลึกมันไม่ง่ายเลยนะ หรือ เข่ไม่หาข้อมูลแล้ว ตามเกม อนิเมที่เล่นเลย สมัยนี้
ถามจริง
>>607 คืองี้ ธีมที่ถูกหยิบใช้ส่วนมากเป็น Pseudo Medieval (ยุคกลางเก๊) หรือ Pseudo European (ยุโรปเก๊) เคสของมังงะกับไลท์โนเวลไม่ได้รับอิทธิพลของ TLOR แต่รับมาจากเกม Dragon Quest กับ Final Fantasy สมัยเกม 8 bit ต่างหาก สื่อเกม(และสื่อทีวี)มันเข้าถึงง่ายกว่านิยาย เห็นรูปจนมีภาพจำว่า ธีมแฟนตาซียุคกลางต้อง JRPG แต่ทั้งหมดนี้เป็นเคสของฝั่งเอเชีย แล้วคนไทยหาข้อมูลยุคกลางจากไหนง่ายกว่าล่ะ หนังสือประวัติศาสตร์ยุคกลาง หรือสื่อทีวีล่ะ
https://www.dek-d.com/board/writer/4089098/
พัฒนาขึ้นจริมๆ ล่าสุดใช้รูปใครก็ไม่รู้เป็นตัวละคร ยกนิ้วให้เลย
เพื่อนโม่ง แนวระบบนี่ ถ้าให้ตัวละครอื่น ที่ไม่ใช่ตัวเอกมีระบบบ้างได้ไหม เช่น ตัวร้าย พระรอง แล้วมีแบบ ระบบที่เป็นปรปักษ์กันมาปะทะกัน
และอีกคำถามนึง
แนวโลกแฟนตาซี ยุคกลางหรือยุคอื่นๆมีระบบได้ไหม เห็นมีแต่แนวโลกปัจจุบันที่มีระบบ
ขอบคุณสหายโม่งทุกคนที่ตอบ
>>616 คนอื่นจะมีระบบก็ได้แต่อย่ามีจะดีกว่า ระบบมันเหมือนไอเทมโกงๆ ที่ให้ตัวเอกเก่งเทพขึ้นมาเหนือคนอื่น ถ้าคนอื่นมีระบบแล้วมึงดันเขียนไม่ดีตัวเอกจะเสียความเทพซ่าที่มีอยู่น้อยนิดไปแล้วเรื่องมันจะน่าเบื่อ
โลกแฟนตาซี+ยุคกลางมันมีของน่าเล่นเยอะกว่าระบบอ่ะดิ พวกดาบหรือไอเทมในตำนาน ระบบมันเลยไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยให้ตัวเอกเทพขึ้นเท่าไหร่ สู้ให้ตัวเอกมันไปเป็นลูกครึ่งปีศาจ หรือเทพข้ามคืน แล้วไปโชว์เทพน่าจะสนุกกว่ารอทำตามระบบอีก ทั้งหมดทั้งมวลก็ความเห็นส่วนตัวกุ จะเอาไปอ้างอิงอะไรก็คิดให้ดีละกัน
กุชอบอ่านเรื่องที่พระเอก ฉลาด อิงชีวิตจริง
ระบบกาชา ก็ชอบนะ แต่ไม่ขอฮาเร็ม ไม่ขอเรื่องความรัก
กุจะอ้วกก
ว่าแต่พวกมึงยังยึดติดกับระบบเกมกับสิ่งที่ไม่ใช่เกมอย่าง "นิยาย" อีกเหรอ Game of Thrones ก็ไม่ใช่นิยายระบบนะโว้ย ส่วน Final Fantasy XVI ที่ว่าได้แรงบันดาลใจจาก Game of Thrones จัดเต็มๆ ที่ให้ระบบก็เพื่อพวกเกมเมอร์เล่นได้ด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้แปลว่าพวกพระเอกเก่งขึ้นหรอก ความเก่งของ Clive Rosfield ล้วนมาจากฝีมือของเกมเมอร์ ไม่ใช่ฝีมือของ Clive
ระบบแม่งเป็น keyword ดึงดูดคนอ่านในยุคนี้เฉย ๆ ในความเห็นกูคือคนเขียนแม่งขี้เกียจสร้างความแฟนตาซีที่มีกฎเกณฑ์และเป็นตัวของตัวเอง พอไอ้นิยายระบบดังมันก็เลยเกิดลัทธิเอาอย่าง คือแม่งเอาระบบอย่างหนึ่งไปใช้กับทุกอย่างแบบไม่เลือกจริง ๆ ทั้งสร้างโลกใหม่ ปลูกผัก slow life ยันวงการกีฬาอย่างเตะฟุตบอล กูเห็นแล้วหน่ายมาก
การเขียนนิยายลงเด็กดี ถ้าแนวที่แต่งมันเป็นแนวเมะ มังะอยู่แล้ว แล้วแต่งเป็นแบบไลท์โนเวล และใช้ชื่อตัวละครหลักเป็นยุ่น นามปากกาเป็นยุ่น สถานที่เอามาจากยุ่น
มีใช้วัฒนธรรมยุ่น มีtrope ของแนวเมะ มังงะ อยู่ เช่น กินข้าวบนดาดฟ้า เดินทางโดยรถไฟเป็นหลัก โมเอะ เที่ยวอากิฮาบะระ ยากูซ่า ฯลฯ แต่งเลียนแบบนิยายยุ่นไปเลยงี้
ถ้าขายแนวคุให้คุอยู่แล้ว ทำแบบนี้ถือว่าดีหรือไม่? จะเป็นการได้นักอ่านหรือไล่นักอ่านกันแน่?
>>621 เอาจริงใช่เลย ช่วงก่อนโน้นก็มี Keyword เรียกคนอ่านอยู่ อย่างสมัยก่อน โรงเรียน ออนไลน์ เกิดใหม่ ต่างโลก ฯลฯ
พอมายุคนี้ก็มาเป็น ระบบ เนื้อหาจะเป็นยังไงไม่สำคัญขอแค่มี Keyword ไว้ก่อนมันก็ช่วยกระตุ้นเรียกคนเข้ามาอ่านได้เหมือนกัน
อย่างช่วง 5-6 ปีก่อนกูก็ตั้งชื่อเรื่องมีคำว่า เกิดใหม่ ทั้งที่ทั้งเรื่องมีกล่าวถึงเกิดใหม่แค่ต้นเรื่อง แต่ไม่รู้คนอ่านมาจากไหนเป็นหมื่นๆ ดันกูขึ้น Top 20 ภายในคืนเดียวเลย พอหลังจากนั้นกูก็เปลี่ยนชื่อเรื่องให้เป็นเรื่องเป็นราวเพราะชื่อแรกกูตั้งแบบสั่วๆ ตาม Keyword ไป สุดท้ายจบที่คนอ่านเฉลี่ยตอนละ 200 คน เอง
ระหว่างนิยายขายความเป็นญี่ปุ่นกับนิยายขายความเป็นจีน อย่างไหนดูโม่ยกว่ากัน ขอไม่ลำเอียงนะ
>>627 โม่ยของมึงคืออะไรล่ะ ถ้าแปลว่ากากสำหรับกุแม่งกากพอกันหมด นิยายที่เซตติ้งในต่างประเทศของไทยส่วนใหญ่มันก็จะแอบใส่ความเป็นไทยไปโดยไม่รู้ตัว ของก็อปยังไงก็เป็นของก็อปเพราะไม่ได้เติบโตและรู้จักวัฒนธรรมที่นั่นจริงๆ เลยต้องใช้การศึกษาผ่านงานคนอื่นมาอีกที ซึ่งมันก็เป็นวัฒนธรรมที่คนเขียนบิดเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาเองอีก สรุปขยะพอกันหมด
โม่ย เป็นศัพท์วัยรุ่นมาจากคำว่า คิโม่ย แปลว่าขยะแขยง อารมณ์แบบอี๊ ยี๊ แหวะ
เราสังเกตว่าพฤติกรรมคนอ่านนิยายเน็ตสมัยนี้ เหมือนอ่านโดจิน เฮนไต นสโป้ คือเน้นอ่านเอาสนองนี้ดตัวเองมากกว่าว่านิยายมันน่าสนใจ มีไรใหม่ๆ จะนำเสนอ บ้าง เลยสนใจมากกว่าว่าจะมีอะไรในเรื่องให้ตัวเองสนองนี้ดโดยไม่สนสปอย
นขยุคนี้ที่ขายได้เลยต้องใส่ tag หรือtw เยอะๆ รวมถึงคำใบ้ต่างๆ แม้มันจะสปอย ก็ตาม และก็ไม่ต้องสนใจเรื่องความใหม่ ฉีกแนว เพราะคนอ่านมันไม่สนเป็นของหลัก มีก็ดี ไม่มีไม่ผิด
โม่งเห็นว่าไง
ตัวละครร่างเดิม เป็น พวกไม่มีเพศหรือระบุเพศไม่ได้ เป็นhumanoid
ต่อมากลายเป็นผู้หญิง มนุษย์
ถือว่าเป็นแนวสลับเพศไหม?
>>635 แล้วนิยายเมิงนำเสนอปมของการสลับเพศเหรอเมิงถึงจะใส่ Tag สลับเพศ เมิงเคยคิดถึงมุมคนกดค้นหา Tag บ้างไหม เขาหานิยายแนวสลับเพศอ่านเพราะอะไร พอเจอนิยายเมิง กดเข้าไปอ่านแล้วมันไม่มีปกเกี่ยวกับการสลับเพศ เขาไม่ด่าเมิงแทนเหรอ
กุเห็นด้วยว่าเมิงควรเลิก ปสด. กับเรื่องหยุมหยิม แล้วไปดูที่ตัวนิยายจริง ๆ ของเมิงเถอะว่า เล่าเรื่องดีพอหรือยัง นำเสนอสิ่งที่อยากนำเสนอได้ตรงตามที่ต้องการหรือยัง
>>635 มันเคยมีนิยายจำพวก ตัวละครจีนย้อนเวลาไปอยู่ในยุคจีนโบราณด้วยระบบ ถ้าจะตีความการติด tag ให้ครบตามที่นิยายมีมันจะเยอะเหี้ยๆ #จีนโบราณ #ย้อนเวลา #ระบบ #แฟนตาซี #รักหวานแหวว #ต่อสู้ #ไม่ฮาเร็ม #พระเอกเก่ง #นางเอกฉลาด #ตัวร้ายไม่โง่ #LGBTQ+ #บลาๆๆๆๆ
มึงจะติดได้สารพัดเลย ถ้านั่นคือการตลาดของมึงก็โอเค แต่มันมีวิธีติด Tag แบบอื่นด้วย เช่นว่ามึงต้องการขายเรื่องอะไรเป็นหลัก เอาสิ่งนั้นมาเป็น Tag เพื่อให้ตรงกับกลุ่มคนอ่านมากที่สุด
นิยายขายดีเพราะเนื้อเรื่องดี = no
นิยายขายดีเพราะตัวละครดี = no
นิยายขายดีเพราะหน้าปก = no
นิยายขายดีเพราะ tag = yes
อ้าวเด็กดวกหันมาใช้วิธีติด Tags แล้วหรอวะ
เอาจริงแม่งควรทำมานานมากละ แต่ถ้าจะควบคุมไม่ให้ Tag มั่ว มันควรใช้ Tags official ที่ทางเว้ปสร้างขึ้นมาเป็นหลักอะ
ทำไมพวกโม่งมันเรียบร้อยกันจังวะ ช่วงนี้ จำได้ว่าแต่ก่อนปากแซบมาก หรือพวกนั้นตายห่าไปแล้ว
พวกคนเก่าแยกย้ายไปแล้ว นานๆทีกลับมา เพราะรู้ๆว่า รีวิวกี่เรื่อง เด็กดวกไม่คิดจะพัฒนาตัวเองห่าอะไรเลย จะเปิดเผยด้วยไอดีเดี่ยวมีการล่าแม่มด จะปิดบังตัวตนก็ทำเป็นเมินเฉย ปัญหาที่ตัวคนเขียนต้องแก้มีอะไรบ้าง เสือกไม่ทำ แล้วยังมีหน้าโวยวายว่าทำไมนิยายตัวเองไม่รอดสักที แล้วมันเป็นแบบนี้กี่ปีแล้วตั้งแต่นิทานบทแรกสุด ทำไปเสียเวลาแดกกับคนที่ไม่คิดจะรับฟังแก้ปัญหา มีแต่พวกแก้ตัว
ไอ้นิยายที่ คริ้น cringe นี่มันคือยังไง
สำหรับโม่งแล้ว เรื่องแบบไหนที่โม่งคิดว่าคริ้น บ้าง
>>646 ไม่เชิงครินจ์ แต่รำคาญได้ปะ
incest แบบเขียนออกมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ ถ้าจะมีตัวละครในเรื่องแสดงอาการรับไม่ได้ก็รับไม่ได้แต่น้อย จากนั้นก็ยอมรับ
rape non-con แบบเขียนออกมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ ถ้าจะมีตัวละครในเรื่องแสดงอาการรับไม่ได้ก็รับไม่ได้แต่น้อย จากนั้นก็ยอมรับ
cinderella complex แบบเขียนออกมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ กระหายให้ใครซักคนมาแก้ปัญหาให้โดยไม่คิดจะดิ้นรนเลย เกิดปัญหาปุ๊บมองหาเจ้าชายตลอดๆ
>>646 Cringe คือเห็นแล้วรู้สึกอับอายขายขี้หน้าแทน เมื่อรู้หรือพยานเห็นบุคคลอื่นทำตัวไม่เหมาะสมหรือสถานการณ์ไม่เข้าท่าเอาซะเลย
ถ้ามึงยังนึกไม่ออก ลองดูอันนี้แทน https://www.youtube.com/watch?v=sQpACqTcFLA
พันชั่ง โปรโมตนิยายใหม่ เรื่องที่โม่งชื่นชอบมากที่สุด จนไม่กล้าสับ
ถ้าเชื่อมั่นในจินตนาการของมนุษย์นักอ่านละก็ อย่าบอกข้อมูลแบบนี้ นิยายไม่ใช่หนังสือเรียนโว้ย
https://www.dek-d.com/board/writer/4090583/
ทำไมนิยาย แนวขายตัวเอกเป็นหลัก ยุคนี้ แนวได้พลังop เกิดใหม่ เกมออนไลน์ ตัวเอกถึงห้ามแพ้ ห้ามโชว์โง่ โชว์ว่าไม่รู้ โดนหลอก (ยกเว้นแนวแก้แค้นเอ็ดจี้ ซึ่งให้ได้แค่ครั้งแรกเท่านั้น)
ถ้าแพ้ได้ก็อนุญาต แค่แพ้ฮาเรมตัวเอง แพ้เเบบขำๆ เท่านั้น อย่างดีสุดก็สู้กันดับบอสใหญ่เสมอ แล้วห้ามเสมอบ่อยด้วย
ส่วนฮาเรม หรือเพื่อนตัวเอกก็ห้ามแพ้บ่อย แพ้ได้แค่ระดับบอส หรือฝั่งเดียวกันเองเท่านั้น
ถ้าตายต้องชุบได้ไม่นาน เช่น เกิดใหม่เป็นสไล
แม้จะเพิ่งมาต่างโลก เกมออนไลน์ครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์ ห้ามโดนพ่อค้า playerคนอื่น หลอก รูท scam เด็ดขาด แต่ตัวเอกทำได้ถือว่าฉลาด แล้วห้ามคนอื่นทำตามด้วย ดังนั้นตัวเอกไม่ต้องพัฒนากลยุทธอะไรทั้งสิ้น
แล้วสังเกตนะ ทั้งนิยายเน็ต เล่ม มังงะ เว็บตูน ไทย เกา ยุ่น จีน เป็นกันหมด ตัวเอกแพ้= หมดความสนุก ทุกประเทศที้วตะวันตก ตะวันออก เห็นะร้อมกันหมด อันนี้ดูมาจากคอมเม้นและการให้คะแนนนะ
แต่แนวตัวเอกชนะทุกคน ฆ่าเรียบ ฉลาดหลอกทุกคนได้ คะแนนแม่งดีทุกอัน
คนอ่านสมัยนี้มันเป็นพวกsnowflake หรอ รับความกดดันไม่ได้แม้แต่ในเรื่องแต่ง แล้วการพัฒนาตัวละครจะมีได้ไง ถ้าไม่เคยแพ้
ไม่เชื่อก็ดูเรื่องดังๆยุคนี้ก็ได้ เช่น overlord สไลต่างโลก arifureta แนวจอมยุทธดังๆในเว็บ เกิดใหม่ต่างโลก เกมออนไลน์บนเว็บ เป็นเหมือนกันหมด
แต่บางที การที่ตัวเอกมึงมันซูมากๆ op จัดๆ แล้วมาพลาดแบบควายๆ หรือมีเพื่อนควายๆ มันก็ไม่สนุกจริงๆ นะ และดูไม่ค่อยสมจริงด้วย ประมาณว่า ถ้าเพื่อนมึงจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ มึงจะคบกับมันทำมะเขืออะไร
>>669 นิยายตามใจคนอ่านอย่างเดียวก็พังเหมือนกันสิ เช่น คนอ่านอยากได้อะไร คนเขียนก็จัดตามสนองคนอ่านโดยไม่คิดไตร่ตรอง ถ้าอยากจะทำดีๆ ต้องคอยสมดุลสองสิ่งสิ แต่ถ้าเขียนตามใจตัวเองไม่สนใจคนอ่าน จะเรียกว่านิยายอินดี้ก็ได้ แต่อินดี้บางเรื่องแคร์คนอ่านบ้าง แค่ไม่ไหลตามคนอ่านซะทุกอย่าง
เอ่อ กูนึกออกล่ะ นิยายที่ชอบเปิดรับสมัครตัวละครจากชาวบ้านนี่แหละ เนื้อเรื่องที่คนเขียนจัดหาให้มักจะไม่สอดคล้องกับตัวละครที่คนอื่นเสนอมา ไปๆมาๆใช้ไม่ครบทุกตัว ใช้ไม่คุ้ม สุดท้ายเททิ้งหนีไปเขียนนิยายออริจินอลหรือแฟนฟิคแทน
>>668 พิมพ์แบบนี้แสดงว่าไม่เคยเขียนนิยายแล้วมีคนอ่านใช่ปะ? ลองไปเขียนแล้วมีคนอ่านสัก 500 - 1000 คนขึ้นไปดู
ตามใจคนอ่าน ตามใจคนไหน? ใคร? มันไม่มีทางตามใจคนอ่านได้ทุกเรื่อง เมื่อไหร่ที่นักเขียนเริ่มตามใจคนอ่านเพื่อเอาใจจนบิดไปจากพลอตเรื่องเดิมที่วางไว้ ความฉิบหายเริ่มเมื่อนั้น..ฟังเสียง วัดกระแสได้ แต่อย่าตามใจคนอ่านเด็ดขาด ร้อยพ่อพันธ์แม่ คนนั้นชอบแบบนี้ คนนี้ชอบแบบนั้น เขียนยังไงก็ไม่ถูกใจทุกคน ตามใจนักเขียน สร้างเอกลักษณ์ของตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว
นิยายเรื่องใหม่ของพันชั่งมาแล้ว และ ไม่ใช่แนวฆ่ากันแล้วด้วย ดีใจกันละไหมโม่ง
เฮ้อ รู้สึกหมดไฟกับนิยายเด็กดีแล้วว่ะ บอร์ดที่นั้นแม่งน่าเบื่อชิบหาย
เข้าใจว่า การเขียนนิยายตามใจคนอ่าน ไม่เท่ากับการเขียน "ตามคอมเม้นของคนอ่าน" แบบนั้นก็แย่สิ พล็อตเรื่องที่วางไว้ก็พังหมด
ถ้าจะตามใจคนอ่าน ปกติแล้วน่าจะหมายถึงการวางพล็อตเรื่อง "สูตรสำเร็จ" ที่คนอ่านชอบ เช่น พระเอกต้องเก่ง นางเอกต้องยังซิง ตอนจบต้องแฮปปี้ อะไรแบบนี้
ถามหน่อย ถ้าเขียนแล้วคนอ่านไม่เยอะเลย เม้นก็ร้าง เงินไม่ได้ ควรตัดจบตัวเองในกี่ตอน หลังจากลงที่พิมพิ์ตุนไว้ให้หมด แล้วควรเขียนอีกกี่ตอนก่อนตัดจบดี ไหนๆ คนมันก็ไม่ค่อยอ่าน
จะได้ไปเขียนเรื่องใหม่
เทแม่งสิ บอกคนอื่นทำไม เสียเวลาชิบหาย หรือแค่อยากได้ยอดวิวก่อนว่ะ?
ky รู้สึกคันไม้คันมือจริง เวลาอ่านชื่อกระทู้อันนี้ https://www.dek-d.com/board/writer/4091848/
นิยายแฟนตาซีสนุกๆหายากจัง
กูตั้งมู้ให้ทุกคนรีเซ็ตเวลากลับไป ทำไมบางคนอยากเล่นหวยว่ะ
https://www.dek-d.com/board/writer/4091971/
>>688 เรื่องกลศาสตร์ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนคนหมุนกงล้อสักคนหรือไปเปลี่ยนหลักของคนที่หมุนนะ ย้อนไปทุกงวดคือไม่ได้มีอะไรไปเปลี่ยนคณะที่ออกรางวัลตรงนั้นนะ กูว่าไม่น่าห่วงเรื่องผลหวยหว่ะ แล้วต่อให้บอกพ่อแม่มันไป มันก็ต้องมีอีเวนต์ต่อแหละว่าไปซื้อได้ ขึ้นรางวัลได้ พ่อแม่จะให้จับเงินไหมหรือสุดท้ายเอาไปทำเหี้ยไรไร้สาระหมด ละย้อนไป15ปีก่อน กูว่าต่อให้ไปหาแผงหวยใหญ่สุดในย่านนั้นมาได้ก็ไม่รับประกันว่าได้เลขรางวัลที่1เป๊ะๆมาเกิน10ใบ แต่ก่อนอื่นเลยคือ จำได้จริงๆเหรอว่าเลขรางวัลทุกงวดที่ผ่านหูผ่านตามาในชีวิตจะจำได้จริงๆ กูว่าจำได้ก็มีแต่งวดที่แบบเลขมันตองจัดๆเท่านั้นอ่ะ ....อีกอย่าง ซื้อช่วง15ปีก่อน ไม่คุ้ม เพราะมูลค่ารางวัลไม่ใช่หกล้านแต่แค่สองล้านเอง ซื้อ5ใบได้แค่10ล้าน พวกถูกหวย ร้อยทั้งร้อยใช้เงินไม่เป็น ไม่รู้จักบริหารเงินกันซะมากนะ จะให้แบบรวยแล้วรวยอีก กูเชื่อว่ายาก
โม่งถามไรหน่อย เวลาคิดพล็อตได้เยอะ จนเลือกไม่ถูก แต่เวลาก็ไม่มีพอเขียนหมด จะลองเขียนเลือกแรก มีเกณฑ์ยังไงในการเลือกพล็อตไหนมาแต่งจริงไหม
เขียนพล็อตนิยายแนวแฟนตาซี,ไซไฟ ที่คิดได้มาหลายเรื่องมาก แต่เนื่องจากทำงานแล้วเลยไม่มีเวลามานั่งเขียนทุกเรื่อง
เราจะเขียนเป็นเรื่องแรก แต่ก็เลือกไม่ถูกซักทีว่าเขียนเรื่องไหน บางวันคิดไปมาพล็อตงอกใหม่มาอีก555 ลำบากอีกละ แต่เรารู้ดีว่าคิดได้มากเท่าไหร่ ไม่เขียนก็ไม่มีค่าไรทั้งสิ้น คิดได้เรื่องเดียวทั้งชาติแต่เขียนจนจบดีกว่าคิดพล็อตเด็ดๆได้เป็นล้าน แต่ไม่ได้เขียนจริง
นั่นแหละครับ เลยอยากถามกูรูหน่อยว่ามี เทคนิค หรือ เกณฑ์ หรือ วิธีต่างๆ อะไรไหมที่รู้หรือเคยใช้ว่า ควรหยิบเรื่องไหนมาเขียนเป็นเรื่องแรกดี สำหรับนักเขียนมือใหม่
ถ้าทำงานจริงคงมี บก. ให้คำแนะนำ แต่เขียนบนเน็ตไม่มีก็ลองมาถามไรต์เก๋าๆในนี้ที่คิดได้หลายพล็อตบ้างว่าเลือกกันยังไง
ขอบคุณล่วงหน้าครับ ใครตอบขอให้เรตติ้งดี ปังๆ ขายได้ดีนะครับ
เขียนเรื่องสั้นเถอะ เพราะไอเดียเจ๋งจ๊าบบางอย่างแม่งแต่งเรื่องยาวไม่ได้
แล้วก็มู้ของ >>690 https://www.dek-d.com/board/writer/4092218/
>>693 เรื่องสั้นที่กูเข้าใจคือเป็นเรื่องแบบตามคอลัมน์นิตยสารหรือหนังสือขายหัวเราะยุคก่อนๆป่ะ? สมัยนั้นคือเปิดไปหน้าสักสองสามหน้ากลางๆเล่มนะ จะมีแต่ตัวหนังสือล้วนเลย แต่มันคือนิยายที่นักเขียนมือสมัครเล่นเอามาลงๆกันหรือเกร็ดเล็กๆน้อยๆในหนังสือทำนองนั้น ทีนี้พอมาถึงยุคที่นิยายลงแบบดิจิตอลได้เนี่ย เรื่องสั้นจะเป็นยังไงวะ? ตอนน้อยลง? หรือบางทีจบไปในตอนได้เลย?
>>695 มึงลองหาข้อมูลละกัน แบ่งเป็น 6 ตอน
https://www.youtube.com/watch?v=puXMgxHS7bk&list=PLdOpH2IsnusHJx9MRBm-Fk0vJXfybA49p
เขียนแนวไหนทำให้รวยเร็วบ้าง
เห็นเม้นบางคนแล้วเพลียใจ
ลืมแปะลิ้งค์ โทษๆ https://www.dek-d.com/board/writer/4092664/3/1
>>700 จะอะไรซะอีกล่ะ เขียนกันดูดีชิบหาย สรุปให้ง่ายเลยน่ะ [ระบบ]แม่งก็แค่ว่าPlot Deviceอเนกประสงค์ที่มรึงสามารถทำได้ทุกๆอย่าง ไม่ว่าแม่งจะฝืนเนื้อเรื่องหรือว่ามรึงจะบังคับตัวละครไปทางไหนก็ได้ ไม่ว่ามันจะประหลาดแค่ไหนก็ตาม
[สมมุติถ้ามรึงเขียนนางเอกไม่ให้อยากยุ่งกับพระเอกแล้วพระเอกก็เสือกไม่สนเหมือนกัน]
- โดยปกติพวกมรึงก็คงต้องสร้างสถานการณ์ เรื่องราวหรืออะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเหตุผลทางธุรกิจหรือครอบครัวเป็นSub Plot หรืออาจจะเขียนเป็นเนื้อเรื่องขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถพานางเอกและพระเอกสานสัมพันกันอย่างแนบเนียน ไม่ให้มันดูน่าเกลียดเกินไป กับมรึงแค่เขียนว่าระบบสั่งมาบังคับนางเอกให้เดินไปหาพระเอกแบบโง่ๆ เพราะระบบ(คนเขียน)บังคับสั่งมา แต่ความสัมพันธุ์และเนื้อเรื่องเดินเหมือนกับคืบหน้าเหมือนกัน
[พระเอกโนวิทสุดกากอยากล้างแค้นให้คนในครอบครัวแต่เสือกออกจากหมู่บ้านด้วยดาบโกโรโกโสโง่ๆ]
- โดยปกติพวกมรึงก็คงต้องให้พระเอกใช้ชีวิตสร้างตัว สร้างSub Plotขนาดเล็กในการให้เหตุผลถึงความสามารถพระเอกต่างๆว่าทำไมโนวิทกับดาบกากๆของแม่งถึงสร้างตัวได้ ศึกษาหาทางเรียนรู้เวทมนต์หรือหาทรัพยากรณ์มาช่วยตั้งรากฐานในชีวิต หรืออาจจะก็สร้างEventหรือStoryขนาดใหญ่สร้างสถานการณ์การพบปะผู้คนหนทางในการเรียนรู้สิ่งต่างๆและหาเพื่อนพ้อง ....กลับกันโนวิทกากกับดาบโง่ๆแม่งตีหาไรก็ช่างแล้วระบบ(คนเขียน)ก็อ้างตรรกะร้อยสี่ร้อยแปดเอาของห่าเหวที่มีประโยชน์เขียนเป็น10บรรทัดเปย์แม่งไปเลย จะให้EXPคูณล้าน หรือแจ็คพ็อตแตกให้เวทย์มนต์ล้างโลกกับแม่งให้จบๆไป
เนื้อเรื่องเดินไวย่อยง่าย คนเขียนก็ชอบ คนอ่านก็ชอบ ไม่ต้องสนตรรกะห่าเหวอะไร
>>702 กูว่าระบบมันโอเคต่อเมื่อไม่เอาไปใช้เป็นplot deviceอำนวยความสะดวกอย่างเดียวโง่ๆแบบโม่งว่าไว้อะ
แต่ถ้า เอาไปใช้สร้างปัญหา หรืออุปสรรคให้ตัวเอก หรือเพื่อบังคับให้ตัวเอกต้องทำอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบขัดกับนิสัยตัวเอง เช่นบังคับให้เป็นตัวร้ายสุดเบียว ทั้งๆที่ตัวเอกฝันอยากเป็นฮีโร่ อยากฝึกฝนได้พลังแบบพระเอกโชเน็น แต่โดนระบบบังคับ เลยต้องทำไปแล้วคนเข้าใจผิดว่าตัวเอกมันเบียวตัวร้ายจริงๆ อะไรงี้ ยิ่งทำตามยิ่งได้พลังมากขึ้นแต่ก็โดนสังคมมองว่าเป็นตัวร้ายมากขึ้นเช่นกัน เราว่าแบบนี้โอเค เพราะระบบไม่อำนวยความสะดวกแต่มันสร้างconflict อ่านแล้วสนุกได้ไม่แมรี่ซู เกิน มันทำให้เขียนแนวที่บังคับตัวเอกให้ต้องทำหรือแสดงออกที่แนวปกติทำไม่ได้ ส่วนตัวเราว่าตรงนี้สนุกดี
แต่ใช่เอาระบบว่าาอำนวยความสะดวกเฉยๆนี่ หายนะทางวรรณกรรมชัดๆ มันกลายเป็นเหมือนเล่นเกมละ แต่เกมเอาจริงยังสมเหตุสมผงกว่าเลย
สำหรับกูแอบใส่ตัวละครที่ทำหน้าที่คล้ายๆ ระบบมาเหมือนกัน
โดยหลักๆ กูให้บทเป็นตัวสนับสนุนพระเอกในฐานะ Google มีข้อมูลอะไรต่อมิอะไรครบ ยกตัวอย่างเช่นสูตรการผลิต พิมพ์เขียวแบบแปลน จุดอ่อนศัตรู ฯลฯ แต่ทั้งนี้กูก็จำกัดไม่ให้มัน OP เกิน โดยด้านตัวเอกที่มีทรัพยากรและเทคโนโลยีที่จำกัดในช่วงแรก จะได้ค่อยๆ ให้มัน Progress ไป ไม่ใช่ให้มาตูมเดียวของครบตั้งแต่ต้นเกมเลย
โดยส่วนตัวกูมองว่ามีระบบไม่ผิดหรอก อยากจะให้มีระบบเก็บเวล ระบบแสดงค่าพลัง ระบบฝึกฝนอะไรก็ไม่มีปัญหา
แต่ปัญหามันอยู่ที่คนเขียนจะออกแบบระบบมาให้มีผลกระทบกับเรื่องมากน้อยแค่ไหน อย่างเช่นไอ้เรื่องเกิดใหม่เป็นสไลม์พระเอกมันก็มีระบบอยู่ข้างๆ ใช้งานในฐานะตัวละครสนับสนุนให้พระเอกอันนี้มันก็ยังพอยอมรับได้อยู่ถึงจะโกงก็เถอะ แต่หลักๆ คือมันเป็นตัวช่วยให้ตัวเอกสามารถ progress เรื่องไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
แต่พวกเรื่องที่ระบบแทบจะเป็น Dev mode ให้พระเอกได้อะไรโกงๆ มานี่คือแย่ บางเรื่องนี่คือทำหน้าที่เป็น Story teller สร้างอีเว้นท์ให้ตัวเอกเจอแล้วแจกของแจกเลเวลเลยก็มี อันนี้อาจจะยังพอรับได้แต่ก็ไม่ค่อยชอบนักเพราะมันอำนวยความสะดวกมากเกินไป แต่พวกเรื่องที่เอะอะอะไรก็อ้างให้ระบบจัดการจนกลายเป็น Dev tools แก้ปัญหาได้ทุกอย่างนี่ล่ะคือเหี้ยเลย อย่างที่ >>702 ยกตัวอย่างมาว่าระบบสั่งให้ผู้หญิงเดินเข้าไปหางี้ ถ้ามันผ่านเงื่อนไขอะไรมาซักอย่างก็จะเป็นแบบ Story teller ซึ่งโอเค แต่ถ้าจู่ๆ ระบบบอกให้เข้าไปหาแบบไม่มีเหตุมีผลเหมือนโดน Dev tools สั่งนี่ก็เหี้ยเกินเยียวยาละ
กูคนถามเอง ขอบใจพวกมึงมาก สรุปคือมันใช้แบบมักง่ายแล้วนิยายจะพังนั่นเองสินะ
>>706 ถ้าสำหรับกูก็เรื่องที่เขียนมาหมุ่นรอบตัวเอง พระเอกทำส้นตีนไรก็ไม่ผิดแล้วก็อ้างว่าตัวละครอื่นโลกสวย บอกว่าฉลาดเจ้าเล่ห์แต่เสือกทำตัวไร้ภูมิภาวะแต่ก็เสือกได้ดีเพราะคนเขียนใส่ความขี้แพ้เก็บกดตัวเองเข้าไป
สำหรับกุ(คนเดียวน่ะ คนอื่นกุไม่รู้อันนั้นเรื่องของมรึง) จะเขียนมาห่วยแตกหรือ A:ตอบ B:ตอบ ยังกุบนิยายแชดพระเจ้าเห่า ถ้าตั้งใจเขียนมาแล้วสนุกกุก็อ่านได้หมดกุไม่ติดหรอก ถ้ามรึงตั้งใจเขียน
>>706 เดี๋ยวนี้คำว่าเบียวเอามาใช้กันเกร่อไปหน่อย มันเลยออกจะผิดความหมายไปบ้าง
ถ้าเอาแบบที่ชอบๆ ใช้กัน กูว่ามันก็ทรงๆ เดียวกับพวกแมรี่ซู+edgy แหละ ประมาณว่าพระเอก/นางเอกเก่งเทพเกินคน ได้อะไรมาง่ายๆ ตบตีตัวร้ายไปวันๆ เอาชนะได้ทุกครั้ง แถมยังต้องทำตัวเกรียนๆ ด้วย
>>706 สาบานนะว่ามึงเป็นโม่งตัวใหม่ ไม่ใช่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ คำถามนี้ราวๆแม่งต้องโผล่มาได้ทุกเดือน
เบียว ที่กูรู้มันคือพฤติกรรม "ทำเหมือนเป็นบางอย่าง ทั้งๆที่ไม่ใช่สิ่งนั้น"
อาจออกมาเป็นพฤติกรรมเลียนแบบหรือการแสดงออกด้วยความเข้าใจแบบผิวเผิน ให้ความรู้สึกไม่กลมกลืน
ดังนั้นอีกฝ่ายจะเบียวหรือไม่ เลยมักขึ้นอยู่กับมุมมองและความรู้ของคนตัดสิน ไม่ใช่แค่พฤติกรรม
เช่น นิยายจีนเสิ่นเจิ้น มองในอีกรูปมันก็คือนิยายเบียวจีน คล้ายๆกับนิยายเบียวญี่ปุ่น ที่พยายามเอาธีมประเทศนั้นมาใช้โดยมีข้อผิดพลาดมากมาย
เบียวตัวละคร ดูง่ายที่สุด เพราะส่วนใหญ่มักไม่สมเหตุสมผลหรือโอเวอร์เกินเหตุ เช่น ดาราดังแอบเป็นนักฆ่าขาใหญ่แบกปืนโตยิงคนแล้วหนีด้วยการขับรถสปอร์ตหรู จอมยุทธ์นร.ม.ปลายอันดับหนึ่งอดีตตัวทดลองพลังเวทล้างโลกแต่แดกมะเขือไม่ได้ สาว999IQทะลุมิติเป็นนางร้ายนิยายฉลาดขายแปะก๊วยจนได้เป็นเมียจักรพรรดิ
เบียวที่หมายถึงคริ้ง คือการจริงจังในเรื่องที่ไม่เห็นเป็นจริงจัง ประเภทนี้ขึ้นกับมุมมองความรู้สึกคนตัดสินเป็นส่วนมาก
เช่น การถกปรัชญา ถ้าเป็นคนที่ชอบ ก็จะรู้สึกอินในการถามตอบ ต่อให้เห็นบทสรุปมาไกลเป็นโยชน์นานแล้ว แต่ถ้ามุมต่างก็จะเห็นแต่ความคริ้งนั่นแหละ
นิยายสงคราม เขียนโดยคุทหาร ความรู้อัดแน่น เนื้อหาถูกต้อง แต่คนมันไม่เห็นเป็นจริงจัง ก็โดนยัดเป็นนิยายเบียวได้ง่ายๆ
สรุปแล้วก็ต้องดูฝีมือนข.อีกที ถ้าเจ๋งจริงเหตุผลข้อมูลมันจะชักนำให้นักอ่านรู้สึกอินจนไม่คิดว่าเบียวได้เอง เหมือนหนอนหนังสือไมน์กับต่างโลกยุคกลาง โลลิทาเนียกับเสกปืนที่ต่างโลกงี้
อยากรู้ว่าการินยังมีคนอ่านอยู่มั้ยอะ ไปถามห้องนิยายหลักแล้วแม่งเถียงกันแต่นิยายแจ่มใส
>>710 เอ็งหมายถึงนิยายหรือฉบับการ์ตูน ถ้านิยายน่าจะจบจริงจังละส่วนการ์ตูนเห็นค้างมาตั้งแต่ช่วงโควิด
ส่วนตัวกูว่าเขาน่าจะแพซีรี่ย์นี้แล้วไปปั้นเรื่องอื่นแทนแล้วมั้ง คนวาดหลักก็ออกไปแล้วคนหนึ่งแถมในนิยายเล่มท้ายก็เขียนไว้เป็นเชิงว่าอยากจะมูฟออนจากเรื่องนี้กันแล้วด้วย
โม่ง มีคำถาม
มีเหตุต้องออกไปต่างจังหวัด แต่ไม่มีโน๊ตบุคและไอแพดเลย จะเขียนนิยายบนมือถือก็ไม่ไหว มันเล็กเกินไป หน้ากระดาษไม่ตรงกับหน้าคอมอีก สมุดจึงเป็นทางเลือกเหลืออยู่ กะว่าจะซื้อไปจดนิยายหรือเขียนพล็อตคร่าวๆที่ต่างจังหวัด
สมุดมี 4 แบบคือ แบบว่างเปล่า แบบตีเส้นเหมือนสมุดการบ้าน แบบกริดที่เป็นตารางเล็กๆ และแบบจุดไข่เปล่าที่เรียกว่า dot สมุดแบบไหนเหมาะใช้เขียนนิยายมากกว่า
อยากอ่านจอมปราชญ์จอมราชันย์ต่อ ตามได้ที่ไหนมั่ง ตอนอ่านหนังสือยังไม่รู้จักเด็กดี
https://www.dek-d.com/board/writer/4094029/04/0 ประทับใจความขิงของอิป้าสัสๆ ตอบไม่ตรงคำถามแถมยกตนคุยข่ม จิตใจมันต้องกร้านโลกขนาดไหนวะ
คิดถึงโม่งเพลง
ในกลุ่มเฟสมีวิธีบล็อคพวกขายนิยายรัวๆ บ้างไหมวะ อยากอ่านว่าเขาคุยอะไรกัน ไม่ใช่ดูโพสขายนิยายกากๆ ขายเย รำคาญสัส
ไซไฟพ่อมึงดิ คิดเป็น %
https://www.dek-d.com/board/writer/4094297/
อันนี้น่าสนใจโม่งคิดว่าไง
ตัวเอกพลังop vs ตัวเอกกากแต่ดวงโคตรดี แบบไหนขายดีกว่ากัน
https://www.dek-d.com/board/writer/4094306/
มู้โฆษณานิยายของพันชั่งติดtop10 โม่งในนี้ไปแอบเม้นมาใช่ไหม?
บอร์ดเด็กดีกับบอร์ดโม่งเงียบแปลกๆ มีสอบกันเปล่าว่ะ
มู้โฆษณานิยายของ พันชัง ขึ้นอันดับ 1 แล้ว เอ้าตบมือ เขาจะได้วิวเยอะดั่งหวังหรือไม่
กระทู้ของพันชั่ง ติดtop10 2 มู้แล้วพร้อมกัน อันนึงติดtop #1 ด้วย
ยุคทองของพันชั่งได้มาถึงแล้ว
ประสบความสําเร็จในการสร้างตัวตนของตัวเอง ให้เป็นที่โจษจัน
นิขายพันชั่งใหม่มาอีกละ มียมทูตด้วยคราวนี้ ไม่ใช่ว่าพี่แกพึ่งโปรโมตเรื่องใหม่ไปหมาดๆไม่ใช่หรอ?
ตอนเรื่องล่าสุดโดนยำตีนไป น้อยใจเลยเปิดเรื่องใหม่เลียแผลใจ
เขียนมากี่เรื่องแล้ว เขียนเสร็จสักเรื่องไม่ได้เหรอว่ะ
เปลี่ยนมุกกี่รอบแล้วว่ะ พล็อตมึง
https://www.dek-d.com/board/writer/4095223/
>>738 กูรีวิวคร่าวๆเอานะ ไม่ค่อยเข้าโม่งไม่รู้พวกมึงพูดถึงรึยัง อนึ่ง กูไม่รู้จักคนเขียน
ช่วยท่านแม่ครองโลกเซียน พล็อตแปลกดี กูไม่ค่อยเข้าหมวดแฟนตาซีแล้วเจอยุคปัจจุบันผสมจีนโบราณแบบนี้ มีพล็อตโดนเพื่อนเหลี่ยมตกงานตอนต้นๆแต่แทนที่จะทะลุมิติ แม่ที่หายไปทักมาทางโทรศัพท์แทน มีพล็อตโลกสองฝั่ง ตอนปลดฟรีทุกสองวัน เนื้อเรื่องวนๆอยู่ ไปช้า ตอนแรกเริ่มคุยกับแม่ เสร็จตอนห้า นางเอกทำให้กูเลิกคิ้วบ้างแต่รวมๆก็ใช้ได้ ไม่แมรี่ซู ภาษาใช้ได้ สลับไประหว่างสองโลกแล้วไม่รู้สึกผิดยุค (แต่สลับฉากบางทีกูตามไม่ค่อยทัน ค่อยรู้ตัวตอนเจอชื่อตัวละคร) อ่านลื่น ถึงมาตรฐานกูจะต่ำมากเพราะอ่านแต่นิยายจีนโบราณติดอันดับที่อ่านไม่รู้เรื่องมาก่อนหน้าก็เถอะ
อีกเรื่องกูพึ่งเจอเมื่อวาน
TRADE : แลกเปลี่ยนสินค้า ด้วยตลาดกลางจักรวาลมิติ ตกงานเหมือนกัน แต่ได้ระบบแทน ทำไมมีแต่พล็อตตกงานวะ อันนี้เขียนตัวละครดี ออกแนวคอมเมดี้มากกว่าจริงจัง แต่เขียนมิตรภาพออกมาดี เอาซะคนไม่มีเพื่อนอย่างกูอินได้ (ฮา) เขียนบรรยากาศมาดี พล็อตออกมาเตรียมพระเอกโกงได้ แต่เขียนออกมาให้กูรู้สึกเชียร์ตัวละคร (สิ่งสำคัญในนิยายที่ให้พระเอกโกง ทำไมเรื่องอื่นไม่ทำงี้บ้างวะ) การลงเงินอะไรตอนแรกๆไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีตบหน้าคน พระเอกออกแนวใจบุญ ไม่ฮาเร็ม แล้วก็เขียนออกมาไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนหลงรัก (แต่เขียนว่าตัวเอกหน้าตาดีโครตๆ) สรุปก็ ตัวละครดี ภาษาดี มีมุขตูดๆนมๆ(ไก่)บ้าง มานานๆที คิดว่าคนเขียนน่าจะมีประสบการณ์เขียนมาพอสมควร ตอนฟรีปลดทุกสามวัน pacing ดีกว่าเรื่องบน นอกจากอวยพระเอกเกินจริงไปหน่อยกับมุขบางอันแป้กก็โอเค ดีกว่าเรื่องอื่นที่กูเจอช่วงนี้
Ky นิยายใหม่มาแรงวัดจากอะไรถึงจะได้ เพื่อนโม่งมีใครพอทราบบ้าง
>>743 ตามรอยนิยายของคนดังหรือผู้ประสบความสำเร็จสูงๆ เช่น ถ้าตอนนี้นิยายผู้กล้าโล่ดังพลุแตก ต่อมา คนเขียนที่ทำแนวผู้กล้าโล่เหมือนกันก็จะดังกว่าคนอื่น แต่สัจธรรมข้อเดียวคือ ผู้ตามมักจะไม่เด่นไปกว่าผู้นำ เพราะเวลามึงสืบหาต้นต่อของความนิยมมักจะไปหานิยายของผู้นำ
เว้นเสียว่านิยายของผู้นำไม่เคยแปลไทยมาก่อน เช่นนิยายจีน ถ้าปรมาจารย์ลัทธิมารไม่ใช่ผู้นำเทรนด์จีนโบราณรายแรก เรื่องไหนล่ะคือผู้นำเทรนด์ที่แท้จริง จะบอกว่ามังกรหยก กิมย้ง โกวเล้งเป็นผู้นำเทรนด์รายแรก ทำไม dek-d ถึงมาดังเอาตอนปี 60 ล่ะ ห่างกันตั้ง 60-80 ปีที่แล้ว
กูขอลาบอร์ดนักเขียนชั่วคราว เพราะอีคุกกี้เป็นโรคหลงตัวเองแล้วว่ะ
https://www.dek-d.com/board/writer/4094946/
เอาไว้อ่าน
คนอ่านเด็กดีเวลาไหนเยอะสุด
ยังมีคนอ่านเด็กดี อีกหรอ ตั้งแต่หัวขโมยบารามอส
แม่งมีแต่เรื่องผิดเพศ ดีนะ ที่กุไม่บ้าไปตามนิยาย
ผิดเพศ? หมายถึงความเท่าเทียมทางเพศเรื่องการตั้งครรภ์เหรอ (หมายถึง mpreg)
สมัยนี้เขายังขอฉากโคมไฟทางเมล์กันปะ
สงสัยมานานละ พวกนักเขียนที่มาลงแค่ตอนเดียว ไม่ยาวด้วย บางทีแค่บทนำ แล้วหายไปเลย ไม่มีต่อ ไม่เปิดเรื่องใหม่
พวกนี้มาเพื่ออะไร แล้วบางทีมีเม้นตอบด้วยนะบอกว่าจะเขียนให้จบ อืมมมม
>>756 กุโดนเทหลายเรื่อง แต่มันว่าไม่ได้วะ เขียนนิยายDek Dก็เหมือนการทำการกุศล ไม่เหมือนเว็ปนาโรยของญี่ปุ่นหรือเว็ปนิยายของจีนที่ถ้าดังหน่อยก็หาทางทำเงินได้ ขายให้ค่ายรับซื้อทั้งมังงะอนิเมะ มีตั้งแต่พวกดันเรื่องเดียวแต่แต่งไม่จบไม่สิ้น กับพวกแต่งสเปะสปะหลายเรื่องแต่วนอยู่แค่เรื่อง2-3เล่ม เขียนได้นิดหนึ่งเปิดเรื่องใหม่ เพื่อโกยเงินเยอะๆ
แค่ทำฟรีๆ กว่าจะขายได้ก็ต้องมั่นใจฐานแฟนคลับ ซึ้งส่วนมากมันเขียนให้อ่านฟรี(คือไม่มีใครเขียนจริงจังเป็นอาชีพหรอก)
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครจะได้ตีพิมพ์ แต่ไม่มีใครคอยกำกับคุณภาพงาน โดยเฉพาะบรรณาธิการ เขียนนิยายลงเว็บด้วยตัวเองอะไรก็ง่ายไปหมด คุณภาพและเรื่องทุกอย่างจึงตกเป็นหน้าที่ของนักเขียนทั้งสิ้น ทำด้วยลำแข้งไม่มึผู้ช่วยเลย เพราะแบบนี้ไง คนที่มักง่ายแม่งขี้เกียจกว่าพวกนักเขียนที่มีบรรณาธิการอยู่แล้ว ว่าง่ายๆ DEK D ไม่มีบรรณาธิการช่วยตรวจสอบนิยาย นี่ยังไม่รวมถึงนักวิจารณ์ทั่วไป ซึ่งรีวิวทีไรโดนเจ้าของผลงานสวนกลับด้วยอีโก้สูง
>>759 ก็ตามนั้นแหละ แต่ปัญหาคือนิยายแฟนตาซีไทยสมัยก่อน โดน สนพ. เอาเปรียบด้วย
ยุคที่กูเขียนนะ (ก่อนเซวีน่า) แม่งบังคับให้มีความหนา ความยาวตามที่กำหนดด้วย ยกตัวอย่างคือ 1 หน้าต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่า 500 คำ ตัวอักษรขนาด 14 และทั้งเล่มตั้งมีความยาวไม่ต่ำกว่า 300 หน้า ฯลฯ ซึ่งผลเมื่อทำออกมาเป็นรูปเล่มแล้วความหนาแม่งแทบจะ x1.5 เลย เข้าใจได้ว่ายุคนั้นยังไม่มี Light Novel หรือนิยายเล่มบางๆ มาเป็นแบบฉบับเหมือนกับยุคต่อมา แต่จะให้เขียนนิยายความยาวเท่านิยายแปลเลยนี่ มันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จะใส่เนื้ออะไรไร้สาระลงไปเพื่อเพิ่มความยาวหน้ากระดาษนั่นล่ะ แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงจำกัดเฉพาะแนวแฟนตาซี ทั้งที่แนวอื่นอย่างแนวรักแม่งกำหนดขั้นต่ำแค่ 80 หน้า ในขณะแนวแฟนตาซีล่อไป 200-300 หน้า
ไฟล์นิยายเก่ากูยังอยู่ เปิดอ่านทีกูแทบจะลมจับ ตัวอักษรติดกันเป็นพรืด ทำเอากูประหลาดใจเลยว่ายุคนั้นกูเขียนไปได้ยังไง
และปัญหา บก. เองก็เช่นกัน เมื่อก่อนกูรู้จัก บก. อยู่เลยได้รู้ว่า บก. ไทยทำหน้าที่แค่หานิยายเข้าตาแล้วเอาไปยื่นให้ สนพ. ติดต่อไปพิมพ์เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรนักเขียนเลย มองดูก็เหมือนจะให้อิสระเต็มที่นะ แต่พอเป็นนักเขียนมีสังกัดแล้วก็ต้องเขียนให้ได้ตามที่กูบอกเอาไว้ข้างบน มันก็ทำให้งานออกมาดีไม่ได้หรอก
สงสัยอย่างนึง ยุคที่ai แปลภาษาได้เทพขึ้น ถ้าใครมีเบสิคภาษาตปท.อยู่บ้าง รู้คำศัพท์หลักๆ รู้โครงสร้าง รวมไปถึงคำแสลง ภาษาปาก คำย่อต่างๆ แต่อาจไม่ถึงเขียนเป็นนิยายได้
จะมีใครลองเอานิยายตนไปแปลเองบ้าง แล้วทำหน้าที่คอยตรวจดู คอยแก้อีกที แล้วเอาไปลง นาโร ของยุ่นไรงี้ เผื่อโชคดี มีสนพ. สนใจซื้อลิขสิทธิ์ไปทำนิยายเล่มต่อ
คิดว่าอนาคตจะมีไหม
ปล. กูเคยโพสคุยกับคนทำเกมกับโพสรีวิวเกม ด้วย ใช้เอไอแปล และมีเบสิก ภาษายุ่นหน่อย ปรากฎว่าคุยกับเขาได้แฮะ
ทู้ล่าสุดของพันชังแม่งทุเรศดีว่ะ
เห็นเม้นบางคนแล้วรู้สึกอนาจ เหมือนกำลังคุยกับพวกหัวอนุรักษ์นิยม ไม่ชอบสิ่งใหม่ๆ
https://www.dek-d.com/board/writer/4096490/
ปล.กูไม่ได้ตั้งมู้นี้ว่ะ
โม่งขอถามความเห็นหน่อยว่ะ
พอดีเรื่องที่กูเขียนอยู่กูจั่วหัวว่าเป็นแนวสร้างหมู่บ้าน บูรณาการดินแดนรกร้าง ปลูกผักใช้ชีวิตบ้านนอก
ทว่ากูดันเล่ารายละเอียดตอนสร้างนั่นโน้นนี่ไม่ละเอียด แต่ไปเน้นที่อีเว้นท์ที่เกิดขึ้นระหว่างก่อสร้างแทนแบบนี้ มันจะขัดใจคนอ่านบ้างมั้ยวะ
ยกตัวอย่างเช่นตัวเอกมีแผนจะสร้างบ้าน ตอนต่อมากูก็ Timeskip ไปช่วงเวลาลงเสาเข็มก่อปูนเลย ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าต้องเตรียมวัตถุดิบยังไง ปรับพื้น ถมดินยังไง แต่เลือกที่จะจัดให้มีอีเว้นท์นั่นโน้นนี่เกิดขึ้น เป็นอุปสรรค์ในการสร้างบ้านอะไรทำนองนี้แทนไปเลยอะไรทำนองนี้
กลัวว่าจะมีพวกคอมเม้นท์มาบ่นนั่นโน้นนี่อีก กูเลยไม่รู้ว่าควรจะยังไงดีละแฮะ
>>769 เลิกกลัวคอมเม้นได้ละถ้ามึงจะเป็นนักเขียน หัดมีความมั่นใจในตัวเองหน่อย สร้างสรรค์ผลงานไปถ้าใครเม้นด่าก็เมิน เม้นวิจารณ์ก็ลองดูว่าปรับใช้ได้ไหม เม้นชมก็อย่าเหลิง
ในนิยายของมึงคิดว่าการอธิบายการสร้างบ้านทุกกระบวนการมันจะทำให้เรื่องของมึงน่าสนใจขึ้นไหม ถ้าไม่ก็ไม่ต้องทำ ยิ่งถ้ามึงโง่เรื่องการสร้างบ้านอีก แนะนำว่าอย่าฝืน ข้ามไปบ้างก็ได้
>>769 คำถามคือ อยากเจาะจงกลุ่มตลาดแบบไหนล่ะ ถ้าอยากให้เป็นเรื่องอ่านชิลๆ ถอดสมอง ก็ไม่จำเป็น ข้ามๆเถอะ คนอ่านมันไม่อยากอ่านขนาดนั้น ภาระงานคนเขียนก็น้อยลง ไม่ต้องทำการบ้านอะไรมาก แต่ถ้าอยากเอาใจคนอ่านสาย geek การใส่รายละเอียดพวกนี้ก็ทำให้เพลินได้ แต่กลับกันถ้าข้อมูลผิดพลาดก็ระวังโดนตีน แต่ของแบบนี้ก็แก้ไขปรับปรุงได้แหล่ะ ถ้าใจไม่เปราะบางต่อคำติเตียนหรือด่าซะก่อน ลองชั่งใจดูละกัน รวมไปถึง %จำนวนคนอ่านแต่ละประเภทไหนบ้างที่อยู่ในเว็บก็น่าจะช่วยให้พอตัดสินใจได้
มีนิยายแฟนตาซีอะไรสนุกๆบ้างมั้ย กูอ่านศาสลับหลอมวิญญานซ้ำหลายรอบแล้ว MSOงี้ แฟนตาซีไทยดีๆมันไปไหนหมด เรเชบปม่งสนุกแต่คนแต่งดันมีประเด็นก้อบนั้นนี่ อีดอันที่แต่งเรื่องหญิงดาวก็หายทิ้งเรื่องใหม่ตามหาลูกแก้วมังกรต่อไป เทพแสงคนอ่านหายไม่พอคนแต่งหายดองทุกเรื่องอีก จะร้องงง
แนวปลูกผักมันมีอะไรน่าสนใจถึงคนขอบมากเป็นกระแสได้
หรือมันเด้าผักไปด้วย คนเลยชอบ
บ่นๆ หน่อย
ท้อใจจังแฮะ เขียนนิยายเดี๋ยวนี้คือยอดคนอ่านน้อยไม่พอ โดนเอาไปเปรียบเทียบกับนิยายจีนอีก
ถ้าเขียนแล้วได้ตังทันทีแบบนิยายจีนกูก็ขยันได้เท่ามันนะ แต่นี่กูเขียนแล้วไม่ซื้อกันคงจะขยันได้แหละ
>>776 ถ้างั้นเป็นไปได้มากว่านิยายมึงมีปัญหาไม่ตรงตามความต้องการของตลาด เว้นแต่ว่าเพิ่งลงนิยายไม่ถึงเดือนแล้ว fav น้อย นิยายที่คนตามน้อยก็เหมือนว่าวยังไม่ติดลมบน วิวต่อวันไม่กระดิก ส่วนพวกติดท๊อปแม่งก็วิ่งเอา ๆ มึงก็ใจเย็น ๆ หน่อย กลับไป research ดูว่าปัญหาซุกอยู่ไหน
ถ้าอยากจะเขียนนิยายแนวที่มีคนเล่นเยอะๆ แต่อยากเป็นที่จดจำในสายตาผู้อ่าน มึงต้องใช้สมองเยอะกว่านักเขียนทั่วไปสิ ที่คนอ่านชอบลืมนิยายง่ายเพราะคนเขียนมัวแต่เดินตามสูตรสำเร็จของผู้อื่นต่างหาก
นิยายเด็กดียุคนี้ ไม่ซิ เว็บอื่นๆก็ด้วย เหมือน ถ้าไม่ใช่แนวล้างแค้น ต้องเน้นขาย ความสบายๆ อีซี่ ง่ายๆ คลายเครียด เก่งๆโกงๆ ตั้งแต่ช่วงแรก เกือบหมดเลย ถึงขายได้ ถ้าจะใส่ดราม่า หรืออะไรที่เริ่มไม่ง่าย เครียดๆกดดันตัวเอก หน่อยท เหมือนต้องเขียนช่วงพาร์ทหลังๆ เท่านั้น หลังจากหลอกรี้ดให้ติดตามได้พอควรแล้วเท่านั้นท
หรือง่ายๆเลยคือ อยากเขียนดราม่า เครียดๆ เข้มข้นๆ แล้วมีคนอ่านต้องใช้วิธี ล่อด้วยน้ำตาลเคลือบยาพิษ เท่านั้น ไม่งั้นรี้ดยุคนี้ไม่อ่านเลย
โม่งเห็นว่าไง จริงไหม
นิยายพล้อตแน่นๆดีๆก็มีนะแต่ดันเป็นpwpทุกตอนอยู่ในrawพลอตแน่นตึ้บ แฟนตาซีสนุกๆต้องย้อนกลับไปหาเรื่องที่แม่งแต่มานานๆหลัก6-7ปีก่อนเอาไม่งั้นก้เจอแต่อิเซไกเข้นิยาย ย้อนเวลา ตัวร้าย เป็นแม่ตัวร้ายเป็นภรรยาท่างอ๋อง มีที่กูรออ่านแต่คนแต่งเลิกไปแล้วก็ สามชาติสามภพอภินิหารลูกแกล้วมังกร
กูตามอ่านมาตั้งแต่เรื่องแรกนางอิเซไกที่สนุกมากด้วย ว่าแล้วก็ขอแปะเลยละกัน http://writer.dek-d.com/lavender_blue/writer/view.php?id=1772222
อันนี้กูไม่เข้าใจแฮะว่ามันแค่มาปั่นหรือว่านั่นคือคอมเม้นท์ใจจริงคนอ่าน
ช่วงที่ผ่านมามีคอมเม้นท์นิรนามเข้ามาพูดประมาณ น่าเบื่อ ไม่สนุก นิยายขยะ ฯลฯ มาบ่อยมาก ระดับแทบจะเข้ามาคอมเม้นท์ทุกวัน แล้วที่เห็นคือไม่ใช่แค่กูคนเดียวที่โดน มีหลายคนเลยที่โดนโดยไม่มีจุดร่วมอะไรเลยซักนิด
ถึงจะพยายามมองในแง่ดีแล้วนะว่าแค่คอมเม้นท์เกรียนมาป่วน แต่เวลาเข้า dashboard แล้วเห็นมันโชว์อยู่นี่ก็ทำเอารู้สึกปวดใจเหมือนกัน
จริงหรือที่นักอ่านจดจำนิยายที่ใส่ความคิด ใส่ความแปลกใหม่เข้าไป มากกว่านิยายสูตรสำเร็จ
ในเมื่อนิยายติดท็อปเป็นนิยายสูตรสำเร็จที่ทำตามกันมา แทบไม่มีใครแตกแถว เอกลักษณ์เฉพาะตัวแทบเป็นศูนย์ ถ้ากูใส่ความคิดเข้าไปเยอะๆ นักอ่านจะจดจำนิยายจริงเหรอวะ
รบกวนช่วยไขข้อสงสัย
กูเลือกอ่านนิยายจากชื่อเรื่องก่อนเลยถ้าตั้งมาเกร่อๆโง่ๆซ้ำซาก ปัดทิ้งได้เลยถึงจะติดท้อปก็ตามเช่นในเด้กดีกูไม่อ่านสักเรื่องชื่อโคตรโง่
โทษนะ กูโมโหจริงว่ะ นิยายอันดับหนึ่งของเว็บ แย่ในแบบที่กูทนอ่านไม่ได้เลย อ่านไปกำหมัดไป ต้องหยุดอ่านเป็นระยะเพื่อตะโกนด่า พึมพำสบถให้กับความห่วย
คนที่สกิลเขียนนิยายแทบเป็นศูนย์ สามารถมีคนอ่านหลักหมื่นต่อวันได้ไงวะ บ่งบอกถึงคุณภาพนักอ่าน
พวกมึงก็อย่าพยายามมากไปนะ ไม่งั้นไร้อนาคต ห้ามพัฒนาตัวเอง งานชิ้นก่อนหน้าเมื่อหลายปีก่อนคุณภาพเป็นไง ผ่านมาหลายปี ห้ามพัฒนา ต้องเท่าเดิม หรือแย่กว่าเดิม จะได้อยู่ระดับเดียวกับคนอ่าน เก่งเกินเดี๋ยวคนอ่านตามไม่ทัน
นี่แหละ หนทางสู่การเป็นนักเขียนนิยายชั้นยอดในเว็บเด็กดวก กูยอม
นิยายเด้กดีจะหาเรื่องดีๆคือต้องกดหมวด แฟนตาซี เกมออนไลน์ กำลังภายใน มึงจะได้เรื่องที่พล้อตดีไม่แต่งโง่ๆ อันดับหนึ่งฝั่งเกมตอนนี้คือสมมงมาก MSOจริงๆมันก็ติดท้อป10มาตั้งแต่ภาคแรกมาเป็น10ปีแล้วอะนะ ฝั่งกำลังภายในคืออ่านตาแฉะกันไปข้างแต่คอมเม้นจะมีแต่ผช.อ่านซะมากกว่า
ถ้ากูเขียนเรื่อง 'เกิดใหม่เป็นฮามาสในโลกคู่ขนาน' ตอนนี้จะปังไหมวะโม่ง
>>795 มอนสเตอร์โซลช่วงแรกๆของภาค1จะแปลกๆบ้งๆกับความคิดพระเอกหน่อย สำนวนไม่ดีอะไรมาก แต่ผ่านไปสัก100+ฝีมือคนเขียดีขึ้นเยอะถ้าทนอ่านความอีโก้สูงของพระเอกช่วงแรกได้หลังจากนั้นคือสนุกจนวางไม่ลง แต่ตลค.ญบางตัวน่ารำคาญมากคนบ่นตรึมดีตรงนักเขียนฟังฟีดแบคนี่แหละ แต่มึงอย่าติดภาพเกมเกินไปมันคือนิยายกำลังภายในอะ555555 อีกเรื่องที่แนะนำก็ศาสตร์ลับหลอมวิญญาณประทับใจมากเขียนดีตั้งแต่ต้นจนจบ
พึ่งมาดูMSOอันดับลงไปอยู่2แล้วนี่หว่า คนแต่งลาหยุด2เดือนอันดับหล่นไม่แปลก
MSO กูตามอ่านไม่ไหว
ทำไมแนวปลูกผักตอนนี้มันเยอะจัง มันฮิตมาจากไหน
นิยายแนวเกมส์ออนไลน์
อยากถามเพื่อนโม่งว่า ปกติ ชอบแบบไหนมากกว่ากัน พวกระบบหลอดเลือด ระหว่างมีบอกบรรยายรายละเอียด กับไม่มี
แบบ1 ตัวละครxxxโจมตีใส่บอส คอมโบabc ผล ทำดาเมจ xxx เลือดบอสลดลงไปเหลือ 70/100
แบบ2 ตัวละครxxxโจมตีใส่บอส คอมโบabc ผล ทำดาเมจ xxx บอสมีท่าทีเปลี่ยนไป
พอดีช่วงนี้ได้ดูเมะ แชงกรีล่าฟรอนเทีย//น้องแมงมุมรีรัน แล้วคุยกับเพื่อนว่าหลอดเลือดมันไม่ make sense กับเกมในชีวิตจริงเลยรู้สึกรำคาน
แต่อันนัันเป็นเมะ
ถ้าเป็นนิยาย ที่บอกรายละเอียดจะรู้สึกรำคานกันไหมอะ
>>806 ไม่สนเท่าไหร่ ใช้สองแบบไปเลยก็ได้ แค่บรรยายออกมาให้ไม่ขัดจนกลายเป็น log battle เกมได้ก็พอ
โม่งตัดสินใจใช้ซุปเปอร์ซูพรีมทวินแสลชโจมตีต่อเนื่อง พิ้วๆๆๆ กุดุสๆๆๆ เพียงไม่กี่วิหลังจากนั้นบอสก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ย-แย่แล้ว HP บอสเหลือ 69 เปอร์เซ็น เผลอมันมือไปหน่อย สกิลป้องกันเรายังคูลดาวน์ไม่ทันเลย โฮกกปี้ปปปป บอสคำรามพร้อมกับแท่งเนื้อที่ชูชัน ปัปๆๆๆๆ โม่งดากขาด กลับจุดเกิด
ยุคนี้แนวเกมออนไลน์เรื่องใหม่ๆยังมีกระแสอีกหรอ นึกว่าไปทะลุมิติไปเกิดใหม่เป็นนางร้าย อ๋องน้อยพร้อมระบบปลูกผักในยุคโบราณหมดละ
แนวแฟนตาซีกาวๆ นี่ยังขายดี มีฐานคนชอบอยู่เยอะไหม เราว่าจะฝึกเขียนแนวกาวๆ เห็นมีงานแปลดังๆอยู่ แต่แนวกาวไทยเราไม่ค่อยอ่านแหะ
>>812 จะว่าไปตอนนี้สงสัยเหมือนกันว่าทำไมยอดอ่านนิยายไทยช่วงปีกว่ามานี้มันลดลงไปเยอะ เรื่องที่โพสใหม่ๆช่วงนี้ถ้าไม่ใช่มีแฟนคลับมาก่อน เหมือนคนอ่านไม่เยอะเลยเทียบปีก่อน นักอ่านไทยหายไปไหนหมด ติดเกมมือถือ หรืออนิเม ฟรีในท่อหรอ แต่ฟิคยอมรับว่ายอดเยอะจัด หรือเป็นแค่เด็กดีหว่า
ยุคนี้ตอนนึงเขียนให้เสพง่าย ไม่ยาว จะดีกว่าใช่ไหม 1500-3000 คำประมาณนี้ โม่งคิดว่าไง
เคยได้ยินคนพูดกันว่า คนนิยมเขียนตอนละ 1500-3000 คำ เพราะเรื่องแสงสีฟ้าบนหน้าจอจนคนอ่านอ่านไม่ไหว
เอานิยายเก่าๆมาขุดอ่านดู สังเกตว่าช่วงปี61-64 นี่มีแนวพลังพิเศษ พลังติต ไรงี้เนอะเลยแหะ ช่วงนั้นเขาฮิตหรอ บังเอิญเราพึ่งกลับมาเล่นเด็กดีปีนี้
มารู้จักไอ้พลังที่เรียกว่า ร ะ บ บ กันเถอะ
https://powerlisting.fandom.com/wiki/Video_Game_Physics
ถ้าแต่งแนวที่ไม่ใช่กระแสในตอนนี้ กะจะหาตลาดจากพวกที่เบื่อแนวกระแสตอนนี้ เน้นแต่งแนวที่เดาว่าน่าจะมีคนอยากอ่านแต่หาเรื่องดีๆใหม่ๆไม่ค่อยได้ จะได้ไม่มีคู่แข่งเยอะมาเปรียบเทียบงานเราในแนวเดียวกัน
แบบนี้คิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีไหม หรือ ความจริงแล้วแย่มากพังแน่นอน?
เคยอ่านมังแนวพระเอกเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าแก้แค้นน้องสาวที่โดนเรป พอตายมาต่างโลกที่มีโลกระบาดผู้ชายติดไวรัสซอมบี้หื่นไล่เรปผญ. จนตาย
สรุปคือไอ้แนว ๆ Urban สลับบทชายหญิงแบบนี้ ยังพอมีอะไรมาดัดให้น่าสนใจได้อีกแฮะ
ง่วงทั้งบอร์ดเด็กดีกับบอร์ดโม่ง วงการนิยายไทยท่าจะซาลง
มีแต่แนวเดิมๆ เรื่องเดิมๆ เหมือนคุณพี่พันชั่งเดินเป็นวงกลมจะมีเรื่องอะไรใหม่ๆให้คุย
ถ้าอยากคุย/แลกเปลี่ยนอะไรก็เริ่มมาเถอะ
เรื่องใหม่ของพันชั่งมาแนวเดิมอีกละ
https://www.dek-d.com/board/writer/4100487/2/0
กล้าฆ่าคนเพื่อเงินร้อยล้านบาทไหม
กูโพสถามไปแล้วว่าต้องเสียภาษีไหม ในเด็กดี
ว่าแต่เงินรางวัลจากเกมไล่ฆ่ากันนี่ มันต้องเสียภาษาจริงๆเปล่าวะ หรือแบบหัก ณ ที่จ่ายเลย
อยากอ่านประวัติเฮียพันชั่งครับว่าทำกรรมอะไรไว้บ้าง
เออ กูก็อยากรู้เหมือนกัน
กูไม่รู้มันต้องการอะไร https://www.dek-d.com/board/writer/4100561/
>>832 ชอบตั้งกระทู้ดักควายให้คนสงสัยใคร่รู้ (คลิ้กเบต) พอเข้าไปก็พบว่าเป็นการโฆษณานิยายเรื่องใหม่ของเจ้าตัว ผ่านมาหลายปีก็ยังคงใช้มุกเดิมๆ ไม่เปลี่ยน ขนาดชาวบอร์ดรู้ทันหมดแล้วก็ยังทำแบบเดิม (เหมือนที่ชอบแต่งนิยายแนวเดิมๆ ) ดักควายเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ได้เรื่อยๆ
จุดแข็งคือแต่งนิยายจบ ส่วนจุดอ่อนก็มุกซ้ำจนกลายเป็นประเพณีของคนในบอร์ดต้องมาเดาว่าตัวละครไหนในเรื่องที่จะโดนลักพาตัวในรอบนี้ (เหลือหมากับแมวที่ยังไม่เคยโดน แต่ในอนาคตอาจโดน)
ท่าไม้ตายประจำตัวตอนตั้งกระทู้ : "คุณเชื่อเรื่อง-xxx-ไหม?" (รู้สึกว่าจะวนเวียนระหว่าง ผี กับ เอเลี่ยน บ่อยๆ)
>>832 เพราะแม่งโรคจิตเรียกร้องความสนใจ เมื่อก่อนมันตั้งกระทู้โปรโมตแล้วชอบมีนอนเมมโผล่มาด่าสาดเสียเทเสีย พอหลายครั้งเข้า คนเลยจับผิดได้ว่าแม่งถอดเมมมาด่าตัวเองเพื่อเรียกดราม่า ตอนนั้นโดนแฉเพราะยังมีเลขIPแม่งเลยต้องยอมรับสารภาพ แล้วตอนนี้มึงดูดิ แม่งก็ยังทำเหมือนเดิม ตั้งกระทู้แล้วจะมีคนมาด่า ปั่นไปปั่นมาให้ได้ยอดวิว คือถ้าเป็นคนปรกติ ใครจะอยู่ๆมาด่ามันเพื่อ? อย่างกูไม่ชอบแม่ง ก็เฉยๆไม่กดดูกระทู้แค่นั้นจบ ถ้าโม่งไม่พูดถึงมันกูก็ลบมันจากความทรงจำไปแล้ว เปลืืองสมอง
กุไม่ได้คิดไปเองสินะว่าบางครั้งพันชั่งมันนอนเมมมาด่าตัวเอง
มีใครในนี้เขียนแนวปลูกผักบ้าง เขียนแล้วเป็นไงบ้างยอดมันดีตามกระแสไหม
เฮียแกบอกว่าไม่คาดหวังอะไรจากเด็กดวก แต่ลงโฆษณาถี่จังนะครับแหม่ ห้าร้อวกระทู้รึยังเอ่ย
ยุคนี้ตัวเอกเป็นแมรี่ซู นี่ไม่มีใครแคร์แล้วใช่ไหม? เห็นทะลุมิติ ย้อนเวลาแล้วมีระบบอะไรไม่รู้โคตรโกงติดไปด้วยคนเดียว ก็ขายได้ บอกว่าสนุกกัน โดยเฉพาะไอ้นิยายแปลจีน ตัวดี
>>843 ฝึกแล้วค่อยเก่งแบบโชเน็นมันมีคนอ่านน้อยลง ต้องโผล่มาแล้วเทพซ่าทันทีหรือมีฝึกสั้นๆ ช่วงแรกแค่ 1-2 ตอน (ขนาดไยบะฝึกช่วงแรกก็แทบแย่เหมือนกันตอนเป็นมังงะลงหัวจัมป์เกือบโดนตัดจบ) คนอ่านที่มักง่ายขี้เกียจรอมีเยอะก็ต้องจัดไปตามตลาด
จำได้ว่าข้างบนมีโม่งอธิบายไปแล้วเรื่องแนวระบบ ว่าเดี๋ยวนี้คนเรามันเข้าไม่ถึงคุณค่าของความพยายามกว่าจะฝ่าฟันมาถึงจุดที่เก่งแล้วได้ของตัวละคร แต่ดันชอบการได้รับผลตอบแทนทันที มีภารกิจมาให้ทำ ทำสำเร็จได้ของตอบแทนจนเก่งขึ้นแบบปุบปับ แนวระบบมันวางมาแบบนี้พอเสพมากๆ เข้าก็เคยชินกับความสะดวกด้วยพล็อตยัดเยียดให้เดินเรื่องตามภารกิจพาไป ไม่จำเป็นต้องมีจุดเปลี่ยนระหว่างทาง ไม่ต้องสนใจว่าเป้าหมายคืออะไร ไม่ต้องมีแรงจูงใจ ความจำเป็น หรือเหตุผลในการออกผจญภัย แต่ทำตามที่ระบบบอกให้ทำเหมือนหมาโดนสายจูงลากไปก็พอ
>>845 มาลองคิดกันดูเล่นๆ ก่อนว่า กลุ่มคนที่อ่านนิยายเล่มกับคนที่อ่าน web novel แตกต่างกันยังไง
อย่างแรกเลยคือสื่อที่ใช้ คนกลุ่มที่ยังสามารถอ่านจากหน้ากระดาษในนิยายเล่มได้ต้องมีกำลังซื้อพอสมควร ถ้าไม่ใช่เด็กที่พอมีเงินก็ต้องเป็นพวกวัยรุ่นขึ้นไปถึงจะยังพอซื้อรูปเล่มมาอ่านได้ ส่วนอีกทางคืออ่านบนคอมหรืออ่านจากมือถือที่ถ้าไม่ได้ยากจนสุดๆ ก็คงพอหามาใช้ได้ในปัจจุบัน กลุ่มผู้ใช้ก็เลยถือว่ากว้างกว่า อ่านได้ตั้งแต่เด็กโปกยันคนแก่ ข้อนี้ทำให้กูคิดว่าคนที่ทนอ่านจากหน้ากระดาษได้ก็คงต้องมีความอดทนหรือใจเย็นในระดับหนึ่ง ไม่เหมือนกับเด็กเจนใหม่ที่โตมาพร้อมกับสมาร์ทโฟน ซึ่งทำให้เกิดภาวะสมาธิสั้นและความอดทนต่ำ มันนำไปสู่นิสัยเรื่องการรอไม่ได้และรักความสะดวกเกินพอดี
อย่างที่สองคือช่องว่างระหว่างวัยจากที่กูบอกไปในข้อแรก แม้จะมีเด็กที่อ่านนิยายเล่มอยู่แต่ก็มีจำนวนน้อยถึงน้อยมากๆ คนที่ยังอ่านเล่มอยู่ก็เลยเป็นคนมีอายุหน่อย อาจยังคงติดอยู่ในภาพจำของตัวเอกที่ต้องฝึกฝนให้เก่งขึ้นเป็นขั้นๆ ยังเชื่อในพลังมิตรภาพ การฮึดสู้ หรือแนวคิดเก่าๆ มันเลยตรงกันข้ามกับเด็กและวัยรุ่นในปัจจุบันที่ชอบอะไรรวดเร็วทันใจ ถ้าทำอะไรชักช้าเกินไป ไม่เทพซ่าส์เร็วๆ ก็พาให้หงุดหงิดเลิกอ่าน กูมองว่าพออยู่คนละวัยแล้วเลยมองโลกต่างกัน ระหว่างยุคที่คนไต่เต้าทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีบ้าน มีรถ มีการงานมั่นคงเอาไว้สร้างกิจการธุรกิจที่ใหญ่โตขึ้นรอเลี้ยงลูก กับเด็กที่โตขึ้นมาภายใต้การดูแลของพ่อแม่(ซึ่งดีบ้างไม่ดีบ้าง) เรียนจบมาทำงานแค่รอรับเงินเดือนไปเป็นรอบๆ เพราะโดนสังคมทุนนิยมบีบให้เป็นอย่างนั้น เควสต่างๆ ในนิยายระบบเลยเข้าใจง่าย เหมือนเงินเดือนที่ออกให้หลังทำงานครบเดือน หรือค่าจ้างที่ได้หลังส่งของจบไปเป็นรอบๆ
อย่างสุดท้ายคือความเครียดจากปัจจัยทางสังคม กูเนี่ยเขียนมาแล้วทุกแบบ แต่อันที่แมรี่แกรี่รู้สึกว่าขายดีกว่า มึงอาจสงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไง คำตอบคือสิ่งที่โม่งคนอื่นและกูพูดกันไปหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า การอ่านนิยายคือการพักผ่อน นิยายที่ตัวเอกเก่งเทพนั่นนี่มันประโลมจิตใจให้ฟินน้ำแตกได้มากกว่านิยายโชว์เน็นต่อสู้ฝ่าฟัน ด้วยความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เราอาศัยอยู่ไม่ใช่แค่ในไทยแต่เป็นทั่วโลก เวลาคนเรามันเข้ามาอ่านนิยายก็อยากรู้สึกเหมือนเป็นตัวเอก เก่ง เจ๋ง มีคุณค่า เรืองอำนาจ กวยหอม กีหอม มีคนรุมล้อมคอยยกย่องสรรเสริญ อ่านแล้วมีความสุขได้หลบหนีจากความจริงอันโหดร้ายที่ตัวเองเป็นเพียงประชาชนชั้นกลาง-ชั้นล่าง ต้องคอยก้มหัวให้พวกคนรวยหรือคนที่ครองอำนาจบริหารและอำนาจมืด เป็นได้เพียงพนักงานทั่วไปทำงานแลกเงินเดือนวันต่อวัน เงินเก็บแทบจะไม่มีแล้วยังต้องจ่ายค่าน้ำไฟโน่นนี่แทบจะเอาตัวไม่รอด
มันเป็นสัจธรรมของโลกแหล่ะโม่ง ชายเงี่ยนก็หาอ่านเรื่องเสียว หญิงหน้าตาไม่ดีหรือแก่เกินแกงจนอาจต้องขึ้นคานก็หาอ่านนิยายเทพบุตรทาสซาตาน หรือมีคนหล่อรวยกวยเท่าแขนมาหลงชอบ วัยรุ่นจูนิเบียวหรือวัยทำงานโดนเอารัดเอาเปรียบอยู่ทุกวันก็หาอ่านนิยายเทพซ่าส์ที่ทำให้รู้สึกว่ากูเก่ง กูเจ๋ง กูแน่และเหนือกว่าใครๆ เพราะชีวิตจริงมันทำให้หดหู่ใจพอแล้ว การหนีมาอ่านอะไรที่ทำให้รู้สึกฟินได้เลยดีกว่าต้องมาเจอเรื่องยากๆ ปากกัดตีนถีบในนิยายซ้ำอีก มันจะไม่ใช่การพักผ่อนแต่ทำให้เครียดหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก
เรื่องนิยายระบบ กูขอยืมคำพูดจากโม่งในนี้คนนึงมาพูดแล้วกันประมาณว่า "พูดแบบเหยียดๆ เลยนะ นักอ่านสมัยนี้แม่งโง่ คิดอะไรซับซ้อนไม่เป็น แปลง show ที่มึงเขียนให้ออกมาเป็นภาพในหัวไม่ได้ อธิบายเห็นภาพแค่ไหนหรือวางปมให้เอะใจได้ง่ายๆ เพียงใดมันก็ไม่รู้ ดูไม่ออก มองข้ามกันไปหมด ถ้ามึงไม่เขียน tell ไปโต้งๆ ก็ไม่เข้าใจที่อยากจะสื่อ เนื้อเรื่องของมึงจะซับซ้อนไม่ได้ มันต้องเป็นเส้นตรงและเข้าใจง่าย เล่นท่ายากไปมันก็ไม่อ่านกัน เรื่องความโง่นี่กูพูดจริงๆ ไม่เชื่อไปหาอ่านการวัดผลทางวิชาการ เอาแค่คณิตกับอังกฤษก็ได้ บางคนขนาดเขียนภาษาไทยยังเขียนไม่ถูกเลย" จากข้อความที่ลากยาวมาข้างต้น แปลว่านิยายที่เขียนให้มีปมหรือเนื้อเรื่องสนุกเร้าใจคาดเดายากมันเป็นแบบแผนที่แย่ลงของนิยายเว็บ สาเหตุหลักมาจากนักอ่านไม่ได้วิเคราะห์เก่งเหมือนสมัยก่อน ติดการเล่าแบบบอกตรงๆ หรือดูสื่อภาพพวก มังงะ-อนิเมะ จนเคยตัว
และด้วยการที่นิยายระบบมันเล่าเรื่องด้วยเงื่อนไขจากภารกิจที่ระบบมอบให้ นักอ่านเลยตามทันได้ง่ายไปเป็นรอบๆ ว่าเควสนี้ระบบให้ไปทำอะไร ทำสำเร็จแล้วได้ของรางวัลอะไร นักเขียนมีหน้าที่แค่แทรกความเป็นไประหว่างที่ยังไม่มีเควสโผล่มาเฉยๆ เหมือนทำเควส ก. ได้ยารักษาโรค แล้วเล่าแทรกว่ามีคนกำลังป่วยต้องการความช่วยเหลือ อยู่ดีๆ เควส ข. ก็เด้งขึ้นมาว่า ต้องเอายาจากเควส ก. ไปช่วยไอ้แก่ใกล้เดี้ยง ช่วยสำเร็จได้รางวัลให้เลือกว่าจะเอาเงินตอบแทนหรือเส้นสายของไอ้แก่ แล้วพอเลือกเส้นสายก็มีเควส ค. มาต่อว่าจะใช้เส้นสายนี้ทำอะไรดี เออ ง่ายดี ไม่ต้องย่อย ไม่ต้องมีปม ไม่ต้องหักมุม เงิน อำนาจ ความสามารถ อะไรก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามจำนวนเควสที่ทำสำเร็จ เป็น plot device ที่มักง่ายเหี้ยๆ เลยในสายตากู ขับเคลื่อนเนื้อหาด้วยเควสและ hee ก็พอแล้วจ๊ะ
เอาแค่นี้ก่อนละกัน ยาวเกิน ไม่ได้เข้ามานาน จริงๆ กูมีโครงการจะสับนิยายเล่นๆ กับเขียนบทความเกี่ยวกับเทรนด์นิยาย/มังงะ/เมะ ที่กำลังมาในช่วงนี้เพราะเห็นโม่งคุยกันไปข้างบน โดยเฉพาะไอ้ที่โดนไล่ออกจากตี้กับแก้แค้นเนี่ย ทำไมมันถึงมีคนชอบ จุดอ่อนคืออะไร คลิเช่-โทรป ต่างๆ ที่ซ้ำจนโดนล้อเลียน ซึ่งมันก็หนีไม่พ้นเรื่องความเป็นนิยายประโลมโลกเพื่อสนองความต้องการของคนหลายๆ คนอีกเช่นกัน แต่จะสนองยังไง แล้วสนองคนที่เจอเรื่องแบบไหนมาในชีวิตจริง
ก็... โปรดติดตามชมตอนต่อไป (ว่างตอนไหนไม่รู้ ไม่ต้องรอ มู้มันร้าง ถ้าว่างเดี๋ยวมาเขียนเอง)
รอฟังๆ กูเพิ่งว่างวันนี้แหละ
ปกติ ผมไม่ค่อยอ่านตอนแรกครับ เพราะส่วนมากจะเกรินยาว แล้วผมจะกดสุ่มๆ สัก เลยห้า ตอนก็จะอ่านตอนนั้น ถ้าอ่านตอนนั้นแล้วเข้าใจ ผมจะอ่านต่อ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ผมจะปิดและไม่อ่านต่อ (ถ้านิยายเรื่องนั้นไม่มีแท็กที่เกี่ยวข้อง ผมก็ไม่อ่านครับ
กูไม่เข้าใจนักอ่านรุ่นใหม่ ไม่อ่านช่วงแรกแล้วจะเข้าใจหรือสนุกกับตอนหลังได้ยังไง
>>849 ถ้าอ่านมาเยอะๆ แนวเดียวธีมเดิม แล้วก็ตั้งใจจะอ่านแนวนั้นต่อ กุก็อ่านช่วงแรกข้ามๆ เอานะ มันเหมือนกันไปหมด
อย่างนิยายพวก โดนไล่ออกเพราะกาก ไม่นานเกินรอพระเอกก็รู้ว่าพลังมันเทพ หรือได้อะไรสักอย่างดีๆ ไปตบเกรียนพวกที่ไล่ออกจากตี้ แนวนี้กุแสกนแค่ช่วงเริ่มกลางจบถ้าคิดว่าโอเคน่าสนใจก็ค่อยๆ อ่านตามได้ แต่ถ้าตบเกรียนเสร็จแล้วเข้าลูปโดนตบ ได้พลัง ล้างแค้น ก็บาย หาเรื่องอื่นทำแบบเดิมวนจนกว่ากุจะไม่อยากอ่านละ
แนวโดนไล่ออกจากตี้นี่ มันเริ่มฮิตในเด็กดวกแล้วหรอ
บางทีการอ่านหนังสือน้อยเกินไปอาจจะเป็นข้อดีของนิยายเด็กดี คือ ยังไม่เคยรับรู้หรือเข้าใจปัญหามาก่อน อ่านนิยายกากยังไงก็สนุก แต่พอโตขึ้นซึมซับมากขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น เราก็ยิ่งเห็นปัญหาของนิยายไทยมากขึ้น จนเริ่มตั้งคำถามตัวเองว่า พวกกูอ่านหนังสือเยอะเกินไปรึเปล่า หรือว่าเด็กดีเหมาะกับมือใหม่หัดอ่านนิยายรึเปล่า
เทียบง่ายๆคือ นิยายเด็กดีเทียบเท่าการศึกษาระดับประถม แต่ระดับความคิดของกูกับพวกโม่งส่วนมาก เกินระดับประถมไปแล้ว อ่านไปก็เบื่อ อยากจะหาอ่านเหมาะสมกับระดับความคิดของตนแทน
ทำไมคนจีนมันไม่เบื่อแนวเทพซ่าส์บ่มเพาะพลังซะที อ้อไอ้แนวปลูกผัก ระบบด้วยอีกอัน
ทำไมนิยายผจญภัยโลกแฟนตาซีสมัยนี้มันจะออกไปผจญภัยเฉยๆไม่ได้ ต้องให้ตัวเอกหลุดจากต่างโลกหรือทะลุมิติมาก่อน ถึงจะผจญภัยได้แบบปกติ
>>861 เอาจากที่กูเคยคุยกับเจ้าของเรื่องในต่างประเทศมานะ
1.ตัวละครที่ไปต่างโลกกับตัวละครที่อยู่ในโลกแฟนตาซีอยู่แล้วมันปูพื้นการอธิบายเซตติ้งโลกไม่เหมือนกัน ถ้าใช้ตัวละครที่เกิดและใช้ชีวิตในโลกแฟนตาซีตั้งแต่แรกมึงต้องหาทางแทรกข้อมูลอธิบายว่าโลกนั้นเป็นยังไงระหว่างการเล่า ส่วนตัวละครที่อิเซไคทำได้ง่ายกว่าด้วยการอ้างอิงและพูดถึงภาพจำจากเกม JRPG ข้อมูลยุคกลางกลวงๆ ที่นิยมใช้กันอยู่ตอนนี้ หรือพูดได้ว่าตัวละครเอกมันรู้เกี่ยวกับโลกแนว Sword and Magic มาก่อนแล้วตั้งแต่อยู่โลกเก่า มันทำให้ไม่ต้องเทข้อมูลอะไรมากและไม่ต้องค่อยๆ สร้างโลกให้มีมนต์ขลังแบบแฟนตาซีดั้งเดิม
2.ระดับความสามารถในการ self-insert ไม่เท่ากัน ถ้าจะให้อธิบายก็คือเหมือนสมัยก่อนตอนเด็กมึงมีตราบาป เคยอ่านไวท์โร้ดแล้วจูนิเบียวคิดว่าสักวันหนึ่งพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวมึงจะตื่นขึ้นแล้วกลายเป็นเทพซ่าส์ ตู้ม ฟ้าว บึ้มๆๆๆ กับหัวข้อนี้ก็เหมือนกัน ระหว่างมึงจินตนาการว่าตัวเองเป็นมนุษย์พื้นเมืองของโลกแฟนตาซี กับมึงเป็นหนุ่มธรรมดาทำงานหนักทุกวันเหนื่อยเหี้ยๆ แล้วโดนรถชนไปเกิดใหม่ต่างโลก หลุดพ้นจากงานที่ทำไปวันๆ สู่โลกแฟนตาซีที่มึงมีความรู้ความเข้าใจพร้อมจะใช้ความรู้จากโลกสมัยใหม่มาโกงในยุคกลางปลอม กูว่าอย่างหลังมันฟินน้ำแตกง่ายกว่าเยอะเวลาอ่าน แถมยังอินได้มากขึ้นด้วยถ้ามึงกำลังเกลียดชีวิตประจำวันของตัวเองอยู่ (อย่างที่พวกคนทำงานในญี่ปุ่นต้องเจอมาตลอด)
3.ความชอบส่วนตัวของนักเขียน ถ้าแต่งด้วยพล็อตอิเซไคมันทำได้ง่ายกว่า สามารถลดขั้นตอนและการเทข้อมูลไปได้เยอะ element ต่างๆ มีแนวทางให้ยืมมาใช้ (ลอก) ได้หลากหลาย ทั้งแบบไปเกิดใหม่แบบมีสกิลโกง แบบมีหน้าจอสเตตัสในเกมโผล่มา/อิเซไคมาเกิดในเกมที่เคยเล่น หรือแบบมีระบบคอยให้เควส ไม่ก็มีเสียงพระเจ้าหรือเอไอคอยช่วยอธิบายข้อมูลในต่างโลกให้ฟัง ในทางกลับกันถ้าเป็นเพียวแฟนตาซี มันมีให้เลือกไม่เยอะ ธรรมดาสุดก็คือชาวบ้านฝึกจนแข็งแกร่งเพื่อเข้ากองทหารหรือไปเป็นนักผจญภัย นอกนั้นก็คือเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่จากสกิลหรืออาชีพที่ได้มาตอนเข้าพิธีรับสกิล หรือพล็อตยอดนิยมตัวเอกบ้านนอกถูกชะตาเลือกให้เป็นผู้กล้าต้องฝึกเพื่อไปปราบจอมมาร
สรุปคืออิเซไคมันง่ายกว่าไฮแฟนตาซีนั่นเอง
ขอบใจมากทุกคน
จะว่าไปแล้ว การทำให้นักอ่าน self insert ได้นี่สำคัญมากใช่ไหมในยุคนี้
แล้วแนวขายผู้ชาย แต่ตัวเอกที่ดำเนินเรื่องเป็น ญ นี่ รี้ดมันจะเซฟอินเสิท ได้อยู่ไหม
น่าแปลกดี ว่างช่วงปลายปีตลอดเลยแฮะกูเนี่ย
รอบนี้ที่มาเพราะแอบเห็นพวกมึงคุยกันเรื่องนิยายแนวแก้แค้น แล้วคนที่กูแอบปลื้มเขากำลังจะเขียนแนวนี้อยู่พอดี ได้ยินแบบนี้บางคนอาจตกใจที่คนแอบกระด้างปากหมาอย่างกูเกิดมีความรักในอายุโค้งสุดท้ายที่กำลังจะขึ้นคานเต็มที แต่บอกได้เลยว่ามีเรื่องที่น่าตกใจกว่ารออยู่ นั่นคือคนที่กูกำลังเนียนคุยและคอยแนะนำให้มันเป็นเจ้าของนิยายที่โดนสับไปแล้วในนี้ (กูเองก็ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันว่าจะเป็นไปได้) เริ่มต้นจากทักแชทเฟซไปถามว่าตอนใหม่จะมาเมื่อไหร่ สุดท้ายกลายเป็นกูที่ทำตัวเหมือนเด็กติ่งหูคอซองแอบชอบรุ่นพี่ไปซะได้ เจ้าตัวก็นิสัยดีแหล่ะ คุยแล้วถูกคอมีอะไรหลายๆ อย่างที่ชอบเหมือนกัน ถ้าไม่สมหวังก็ถือว่าได้เพื่อนที่ดีมาอีกคน โอเคจบช่วงคนอวด (ว่าที่) ผัวเพียงเท่านี้ ต่อไปเป็นช่วงสาระ
หัวข้อแรกที่กูจะมาคุยทั้งๆ ที่มันฝืนใจ คือเรื่องคุณภาพนิยายในเว็บเด็กดวก
อาจฟังดูเจ็บปวดแต่ต้องยอมรับความจริงว่าที่โม่งคุยๆ กันไปข้างบนมันเป็นเรื่องจริง คุณภาพนักอ่านมันแย่ มีแต่เด็กหน้าใหม่โผล่เข้ามาอ่านแล้วพอมันเริ่มโตก็ย้ายไปอ่านเว็บอื่นแทน เลยเกิดเหตุการณ์แบบที่โม่ง >>791 บอก อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะมันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่มีมานานแล้ว พอนักเขียนแต่งดีเกินไป ใส่ Show เยอะ พยายามจะภาษาสวย วางพล็อตรัดกุม เนื้อเรื่องซับซ้อน นักอ่าน (ที่มึงก็รู้ว่าอายุยังน้อย) ดันเข้าไม่ถึงแล้วย้ายไปอ่านนิยายคุณภาพทั่วไปหรือจนถึงขั้นกากแทนเพียงเพราะมันเข้าใจง่าย ไม่ต้องมาย่อยมาวิเคราะห์ให้เสียเวลา อ้าปากรอนักเขียนป้อนให้แบบไม่สนใจว่านั่นคือข้าวหรือขี้ พวกมึงเองก็เข้าใจใช่มั้ยเกี่ยวกับที่โม่ง >>857 อยากบอก ทีนี้นักเขียนต้องแก้ยังไง? สรุปคือต้องยอมลดคุณภาพของนิยายตัวเองลงหากมึงยังอยากอยู่ในเว็บนี้ต่อ ต้องเน้นไปที่ความสนุกก่อนสิ่งอื่นใด มึงไม่ต้องรีไรท์ก็ได้ พรูฟรีดเดอร์ก็ไม่ต้องมีเขียนผิดยังไงก็ทิ้งไว้ตามนั้น แต่ต้องเขียนให้จบแล้วมีลงให้เกรียนอ่านทุกวัน (ฟังดูทรมานดีมั้ย)
หรือมึงจะเอาแบบกูก็ได้ คือยอมผันตัวไปเขียนแนวที่มั่นใจว่าจะขายออกแน่ๆ แบบไม่จำกัดว่านักอ่านจะคุณภาพดีหรือแย่ สำหรับช่วงนี้ก็ยังคงเป็นแนววายทั้งหลายแหล่ รักตบจูบท้องกับพระเอกแล้วไม่ยอมบอก พาวเวอร์แฟนตาซีจะต่างโลกหรือไม่ก็ได้แต่ตัวเอกต้องแกรี่-แมรี่และฮาเร็ม จีนเทพซ่าส์บ่มเพาะพลังตบเกรียนวนลูป หรือแนวเคยเทพเกษียณตัวเองออกมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ทำไรไถนาปลูกผักพัฒนาหมู่บ้าน ไม่ก็ยอดหญิงย้อนยุคจีนไปเกิดช่วงปีไหนก็ตามใจมึงแต่ต้องมีเลี้ยงลูกและทำการค้าจนร่ำรวย (ถ้าผัวเก่าเหี้ยด้วยจะได้ผลดีมาก) ซึ่งที่พูดถึงมาทั้งหมดจะใส่ระบบเข้าไปด้วยก็ได้ ความลำบากอย่างหนึ่งที่มึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้คือแต่ละแนวเนี่ย ไม่ใช่ว่าปุบปับจะเขียนได้ทันที ถ้าปกติมึงไม่ได้ชอบเขียนแนวเหล่านี้อยู่แล้ว ก็ต้องสูงสุดคืนสู่สามัญด้วยการกลายเป็นนักอ่านก่อน
มันเป็นการลงทุนที่ใช้เวลาค่อนข้างนานสำหรับคนที่ไม่ได้มีพื้นฐานหรือเคยแต่งแนวนั้นๆ มา เพราะมึงต้องยอมกลับไปใช้ตรรกะและความคิดแบบคนหัดอ่านนิยาย เจออะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ว้าว โอ้ว สุดยอด แนวนี้มันสนุกเพราะแบบนี้นี่เอง ถ้าใครหัวไวหน่อยอาจไม่ต้องอ่านเยอะก็สามารถจำและนำมาใช้ได้ ส่วนใครที่ปกติไม่ชอบหรือต้องฝืนใจอ่านก็คงต้องใช้เวลานานหน่อย สำหรับคนที่สงสัยว่าแล้วพวกแนววิทยาศาสตร์ แอคชั่น จารชน ลักลับ ระทึกขวัญ สืบสวนสอบสวนล่ะ ทำไมกูถึงไม่พูดถึงบ้าง คำตอบคือมันขายไม่ได้ในเด็กดวก (ยกเว้นจะพ่วงความเป็นนิยายระบบเข้าไปในเรื่อง) คนที่ชอบก็มีแต่มันไม่ได้เยอะจนพวกมึงจะคาดหวังอะไรได้ ดังนั้นก็ให้ตัดใจซะ
หัวข้อต่อไป จากกระทู้ที่มีเพื่อนโม่งมาแปะ ความซ้ำซากและเดาทางง่ายเกินไปของแนวไล่ออกจากตี้/แก้แค้น (จะพูดถึงเฉพาะตัวเอกชายนะ)
- ตัวเอกอยู่ในปาร์ตี้แทบจะไม่มีบทบาทสำคัญเลย -
สำหรับช่วงเปิดเรื่องก็ใช่ แต่มีส่วนถูกแค่ครึ่งเดียว ตัวเอกมันก็มีบทบาทในปาร์ตี้อยู่แต่แค่อาจไม่ได้โดดเด่นเท่าหัวตี้ที่ สิ่งที่ทำให้คนอ่านคิดไปเองว่าตัวเอกกระจอกในช่วงแรก เป็นเพราะความเห็นของหัวตี้ล้วนๆ จากที่กูเคยอ่านมาส่วนมากตัวเอกมีความสำคัญทางอ้อมต่อปาร์ตี้อยู่ 3 แบบใหญ่ๆ คือ 1.เป็นฝ่ายวางแผนและเตรียมการรบ (หาข้อมูลก่อนลุย ซื้อยา-เสบียง ทำงานบ้าน-งานเอกสาร) 2.เป็นบัพเฟอร์/ดีบัฟเฟอร์ (เพิ่มความสามารถทีม ลดความสามารถมอนสเตอร์) 3.เป็นบูสเตอร์ (อยู่ในตี้แล้วเพิ่ม exp ที่ได้รับ เพิ่มโอกาสได้ของหายาก หรือเพิ่มโบนัสแยกพิเศษจากที่ได้ตามปกติ) ซึ่งมักมาพร้อมการถูกหัวตี้เหยียดหยามว่ามึงมันมีประโยชน์แค่นี้ พอพวกกูเทพซ่าส์กันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีมึงในตี้อีกต่อไป ก็เลยเตะตัวเอกออกหรือถ้าพยายามฆ่าตัวเอกแนวนั้นก็จะกลายเป็นแนวแก้แค้นไปแทน
- หลังถูกเตะออกไป ตัวเอกเทพภายในไม่กี่ตอน แต่พวกที่ไล่เตะดันกากลง -
แน่นอนว่าทิศทางของเรื่องมันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะส่วนมากการที่ปาร์ตี้เติบโตจนขึ้นมาถึง S rank ได้มักเป็นเพราะการช่วยเหลือจากตัวเอก
พอไม่มีเจ้าตัวอยู่ตี้ก็ง่อยลงแทบจะในทันที สำหรับเรื่องความเทพของตัวเอกเท่าที่เจอมาส่วนใหญ่คือหลุดพ้นจากการถูกจำกัดบทบาท หรือการถูกยัดเยียดความคิดแง่ลบให้จนรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ถ้าตัวเอกเป็นนักเวทก็มักถูกหัวตี้ห้ามไม่ให้ใช้เวทใหญ่โหดๆ กลัวจะเด่นเกินหน้าเกินตา ถ้าตัวเอกเป็นฮิลเลอร์ก็จะโดนไล่ออกเพราะเลเวลน้อย (จากการที่ไม่ค่อยได้เป็นคนฆ่ามอน) ถ้าตัวเอกเป็นบัฟเฟอร์หรือบูสเตอร์ก็มักโดนด่าว่าเป็นปลิงทำหน้าที่แค่มาอยู่ในสนามรบให้ผลของสกิลทำงาน อย่างมึงต้องแบกของเก็บขยะไปน่ะถูกแล้ว ทีนี้พอตัวเอกได้ออกจากตี้ก็มักจะเจอหนทางใหม่ๆ ที่ทำให้ตัวเองสามารถเก็บเลเวลเองได้ ไปเจอคนที่แนะนำว่าควรใช้ความสามารถของตัวเองยังไงถึงจะได้ประสิทธิภาพ หรือไปเจอไอเท็มโกงๆ ได้ลูกน้องเทพๆ มา ซึ่งมันก็คลิเช่จริงๆ นั่นแหล่ะ แต่มันช่วยไม่ได้ถ้าคิดจะเขียนเรื่องใน trope นี้แล้วก็จำใจต้องไปต่อ
- เหตุผลไล่ออกฟังดูดี แต่ลองตั้งใจอ่านดีๆ พบว่าเหตุผลปัญญาอ่อนทั้งนั้น -
ผิวเผินมันก็ประมาณนั้น แต่ลึกๆ แล้วมาจาก 3 สาเหตุใหญ่คือศักดิ์ศรี เงิน และหี บางเรื่องก็อยากไล่ตัวเอกออกเพราะอยากแย่งแฟน บางเรื่องในตี้สาวเยอะแล้วอยากเคลมไว้คนเดียว บางเรื่องก็ไม่อยากจ่ายเงินเกษียณอายุนักผจญภัยตอนตัวเอกขอลาออก ยิ่งเป็นสมาชิกตี้ Rank S ก็ยิ่งต้องจ่ายแพงตามไปด้วย มันก็เลยเกิดข้ออ้างว่าตัวเอกเลเวลน้อยบ้าง เป็นจุดด่างพร้อยของตี้ Rank S ที่ควรมีแต่นักรบฝีมือดีเท่านั้นบ้าง ซึ่งต่อให้พยายามทำงานส่วนอื่นแทนแค่ไหน คนในปาร์ตี้ก็มักจะไม่เห็นคุณค่าและมองว่าตัวเอกมีส่วนร่วมในการรบไม่มากเท่าที่ควร เอาที่งี่เง่าๆ หน่อยก็อิจฉาตัวเอกว่ามีคนชอบมากกว่าหัวตี้ทั้งๆ ที่เป็นแค่คลาสสาย support มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่การไล่ออกมาจากเหตุผลอื่นเช่น ไล่ออกเพราะกลัวตัวเอกตายหลังความสามารถมาถึงทางตัน ไล่ออกเพราะหัวตี้โดนปีศาจสิงแล้วพยายามกำจัดตัวสนับสนุนเพื่อให้ตี้ล่ม ไล่ออกเพราะตัวเอกไม่ตอบรับคำสารภาพรัก (ดีจริง อีดอก)
- ส่วนใหญ่ทุกคนให้ความสำคัญกับหัวหน้าทีมมากเกินไป -
อันนี้ก็พอเข้าใจอยู่ เพราะหัวตี้เป็นคนรวบรวมสมาชิกเข้ามา แถมมักเป็นหัวหอกในทีมบุกด้วย บางทีก็เถียงได้ยากว่าที่หัวตี้พูดมามันก็ฟังดูเข้าท่า
- ถ้าหัวหน้าทีมเป็นคนหลงตัวเอง โอกาสเตะตัวเอกไม่ต่ำกว่า 99% -
100% ต่างหาก ก็พล็อตมันมาแบบนั้น หัวตี้ก็แม่งเป็นตัวร้ายแบนราบแบบถูกสร้างให้ต้องหลงตัวเอง โดนอำนาจและพลังครอบงำ หยิ่งผยองในศักดิ์ศรี หรือติดหีจนมองไม่เห็นความเป็นจริง หรือไม่ก็ทุกข้อรวมกัน
- ก่อนไล่ออกสำเร็จ คนที่เห็นใจตัวเอกจะไม่กล้าเถียงหัวหน้าทีม -
โบราณว่าน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง การทำแบบนี้ในพล็อตที่แค่ไล่ออกจากตี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ดี แต่ถ้าเป็นพล็อตแบบพยายามฆ่า ต่อให้นิ่งเงียบก็เทียบได้กับการสมรู้ร่วมคิดเหมือนกัน
- หลังเตะตัวเอกไปแล้ว ลูกทีมคนไหนเลิกโง่ ลาออกเอง -
ถ้าตี้มันทำท่าจะล่มเป็นกู กูก็ออกเหมือนกัน
- ลูกทีมที่ลาออกส่วนใหญ่ จะไปหาทีมใหม่ของตัวเอกแทน -
ข้อนี้ไม่เสมอไปวะ ไอ้ที่จะตามไปจริงๆ คือหลงรักหรือไม่ก็หาทางกอบโกยผลประโยชน์จากตัวเอกต่อ
- ลูกทีมที่ทยอยลาออก ตัวเอกกลับลืมไปแล้วว่าคนนี้ทำก่อทำกรรมอะไรวันที่ถูกไล่ออก -
เออ ข้อนี้นักเขียนโดนด่ากันบ่อยมาก พวกหงายการ์ดใจดียอมให้อภัยแถมรับเข้าตี้เนี่ย สมัยก่อนโดนโขกสับไว้เยอะยังอภัยให้ได้เนอะ ถ้าเป็นแนวแก้แค้นนี่จะเป็นอีกเรื่องไปเลยเพราะต่อให้ตี้แตกหรือยังอยู่ด้วยกันก็ยังโดนตามคิดบัญชีย้อนหลังเรียงตัวอยู่ดี
- ทีมเก่าอยู่ rank สูงๆ ทีมใหม่มักจะอยู่ rank ที่โหล่ -
ก็เพิ่งตั้งตี้ใหม่อะจ๊ะ ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเนอะ
- แต่ทีมใหม่ที่ตัวเอกได้เข้าร่วม มักจะทำคะแนนหรือทำเควสดีกว่าทีมเก่าซะงั้น -
ก็เพราะตอนนี้ตัวเอก OP แล้วไง อะไรๆ มันก็ง่ายไปหมดแหล่ะ
- ถ้าตัวเอกเป็นผู้ชาย มักจะได้ผู้หญิงน่าจีบทั้งนั้น -
ก็พล็อตแนวนี้มันขายออกนี่หว่า นึกตามแล้วฟินน้ำแตก ได้คนเดียวไม่พอขออีกเยอะๆ เลย
- เรื่องไหนมี rank ระบุ เรื่องนั้นมักจะมีกิลด์หรือสำนักเสมอ -
มันก็ใช่ ไอ้สมาคมนักผจญภัยเนี่ยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของยุคกลางปลอมที่นิยมใช้กันอยู่ เดี๋ยวกูค่อยพูดถึงอีกทีข้างล่าง
- ระบบการจัดการของกิลด์นักผจญภัยแทบทุกเรื่อง ลอกมาจากระบบกรมจัดหางานยุคปัจจุบัน ยกเว้นเงินเดือน -
ทั้งถูกและผิดในเวลาเดียวกัน เพราะกรมจัดหางานไม่รับซื้อวัตถุดิบจากมอน หลายๆ อย่างอาจคล้ายแต่สมาคมนักผจญภัยมีขอบเขตในการทำงานโหดกว่าเยอะเลย
วันนี้เอาแค่นี้ก่อนเดี๋ยวรอบหน้ามาคุยเรื่องกิลด์นักผจญภัยกันต่อแบบครบวงจรกันไปเลย หัวข้อถัดๆ ไปก็จุดอ่อน-จุดแข็ง ของแนวไล่ออก/แนวแก้แค้น และแนวนี้เหมาะกับใครทั้งนักเขียนและนักอ่าน
ก่อนจากกันก็ฝากคลิปฮาๆ ไว้ให้ดู เอาไว้ศึกษาก็ได้สำหรับคนที่อยากเขียนแนวอิเซไคแฟนตาซีผู้กล้าจอมมาร
เพราะพล็อตมันมีอยู่แค่นั้นจริงๆ คลิปยาวแค่ 22 วิ
https://www.youtube.com/watch?v=TBQTntud1as
นิยายนักหลวมโอบกอดพวกขี้แพ้ที่ไม่มีใครต้องการ ปลอบใจว่าพวกเมิงไม่มีกุตี้ต้องพัง
เป็นนักหลวมแท้ ๆ ไม่ต่างกับพวกนิยายฮาเร็มโอทาคุเลย กุแค่มีปัญหากับนิยายขายนักหลวมเท่านั้นอย่างเรื่อง "ได้สกิลใหม่ทุกครั้งหลังถูกขับไล่ ผ่านมา 100 โลก ก็ไม่มีใครสามารถเทียบฉันได้" ในแมวดุ้นกุก็ชอบมาก
แต่ก็ไม่ผิดถ้าใครจะอ่านนิยายเพื่อเยียวยาความหลวมของตัวเอง เหมือนตอนหงี่เมิงไม่ไปเตะบอลก็ต้องตกเป็ดสาวหนอน
ระบบกรมจัดหางานยุคปัจจุบัน นีมันเป็นยังไงนะ ไม่เคยไปยุ่งด้วยเลย
>>872 ก็ตรงตามชื่อเลยโม่ง เป็นเหมือนสถานที่หางานสำหรับคนที่ว่างงานอยู่น่ะ อันที่จริงมันมีบริการอื่นๆ ด้วย เช่นให้ผู้ประกอบการมาแจ้งความต้องการว่าอยากได้ลูกจ้างแบบไหน ให้ข้อมูลลักษณะงานว่าต้องทำอะไรบ้างและทิ้งช่องทางติดต่อไว้ กับให้คนที่ว่างงานไปลงทะเบียนว่างงานเพื่อรับเงินชดเชยระหว่างกำลังหางานใหม่
ที่คุยกันว่ามันคล้ายกิลด์นักผจญภัย เพราะในกรมมันจะมีบอร์ดใหญ่ๆ ติดกระดาษข้อมูลงานอยู่ เอาไว้ให้คนว่างงานมาดูว่ามีงานไหนเหมาะกับตัวเองบ้าง ถ้าเลือกได้แล้วก็เอาไปคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อทำตามขั้นตอนต่อไป
>>869 เรื่องนี้กูชอบไอเดียอยู่นะ ก็ทำได้ดีในแบบของนิยายพาโรดี้ล้อเลียนแหล่ะ เหมือนพอเห็นคนแต่งแนวโดนไล่ออกมากๆ เข้า เกิดรำคาญเลยแต่งให้ตัวเอกได้สกิลโกงทุกครั้งที่โดนเตะออกตี้ในโลกมิติต่างๆ แล้วค่อยผูกเรื่องให้ตัวเอกย้อนมามิติแรกสุดเพื่อแก้ไขอดีตหลังวนครบ 100 โลก ถ้าเทียบเป็นแนวเกมออนไลน์ก็เหมือนได้จุติใหม่กลับมาเลเวล 1 แต่สเตตัสเทพซ่าส์ตั้งแต่เมืองเกิด เป็นแนว new game+ พระเอก OP แบบมีที่มาที่ไปให้คนอ่านลุ้นว่าตัวเอกมันจะเปลี่ยนแปลงอดีตได้มั้ย ส่วนองค์ประกอบเรื่องโดนไล่ออกตี้นี่ใส่มาแซวแบบใช้แล้วทิ้งเฉยๆ
ต่อจากคราวก่อนที่คุยกันไว้เกี่ยวกับกิลด์นักผจญภัย ตอนแรกกูว่าจะข้ามเรื่องนี้แต่พอมาคิดดูดีๆ มันอาจเป็นประโยชน์กับโม่งที่อยากได้ข้อมูลเชิงลึกเอาไว้ต่อยอดเวลาอยากแต่งแนวยุคกลางปลอม แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นกูอยากพูดให้ฟังก่อนว่าความเป็นจริงในยุคกลางของแท้ มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เคยเห็นมาในนิยายหรืออนิเมะหรอกนะ
อย่างแรกเลยคือถ้ามึงโดนอิเซไคไปโลกยุคกลางแท้
ติดตามๆ
ต่อจากคราวก่อนที่คุยกันไว้เกี่ยวกับกิลด์นักผจญภัย ตอนแรกกูว่าจะข้ามเรื่องนี้แต่พอมาคิดดูดีๆ มันอาจเป็นประโยชน์กับโม่งที่อยากได้ข้อมูลเชิงลึกเอาไว้ต่อยอดเวลาอยากแต่งแนวยุคกลางปลอม แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นกูอยากพูดให้ฟังก่อนว่าความเป็นจริงในยุคกลางของแท้ มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เคยเห็นมาในนิยายหรืออนิเมะหรอกนะ (กูว่ายุคโรมันยังดีเสียกว่า)
อย่างแรกเลยคือ ถ้ามึงโดนอิเซไคไปโลกยุคกลางแท้ (แบบไม่ผ่านการพูดคุยกับพระเจ้า/เทพธิดา และไม่ได้รับสกิลโกง) ด้วยเสื้อผ้าหน้าผมที่ผิดแปลกไปจากชาวบ้าน ถ้าเป็นผู้ชายมึงจะโดนจับไปตัดหัวด้วยข้อหาเป็นปีศาจที่พยายามเลียนแบบมนุษย์ อ้างว่ามึงพยายามเลียนแบบแล้วแต่ทำได้ไม่เนียน ลักษณะภายนอกอะไรก็ดูหลุดโลกไปหมด = ตายฟรี สำหรับผู้หญิงเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน โดยมีความต่างเพียงแค่หลังถูกจับตัวแล้วจะโดนเผาทั้งเป็น เพราะโดนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแม่มด = ตายฟรีเหมือนกัน
อย่างต่อมาคือ ว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เนี่ย หมออะไรมันก็พอมีอยู่ แต่การรักษาด้วยเวทมนตร์มันไม่มี ความก้าวหน้าทางการแพทย์ก็ติดลบรักษากันตามความเชื่อ ถ้าพลาดไปติดโรคอะไรรุนแรงขึ้นมา มีแต่ตายสถานเดียว เรื่องพวกนี้มันเป็นผลมาจากการสุขาภิบาลที่ขาดความรู้ด้วย ถามจริงๆ นะ พวกมึงอยากไปอยู่ในยุคที่ชาวบ้านเอาถังใส่ขี้/เยี่ยว สาดจากหน้าต่างห้องนอนลงมาบนถนนยามเช้ากันจริงๆ เหรอวะ มันไม่ได้น่าอยู่อาศัยเหมือนกับที่ถูกเล่าในยุคกลางปลอมทั้งหลายหรอก พวกชนชั้นสูงนี้ก็ตัวดีเลยเพราะมักจะไม่อาบน้ำ ชอบคิดไปเองว่าตัวเองสะอาดเลยไม่ต้องอาบ ไม่อยากนึกสภาพเกี่ยวกับโรคผิวหนังและกลิ่นตัวเลย (ถึงพวกแม่งจะพยายามใส่น้ำหอมก็เถอะ) เรื่องการระบาดเนี่ยของโรคก็ด้วย พวกมึงลองดูคลิปนี้ >> ( https://www.youtube.com/watch?v=jG1VNSCsP5Q ) ก็จะเข้าใจได้เลยว่ามันง่ายขนาดไหน
อย่างที่สามคือ มีโอกาสตายสูงเพราะเป็นยุคที่แถวนี้แม่งเถื่อนไม่แน่จริงมึงอยู่ไม่ได้ มีทั้งการรบพุ่งชิงดินแดนและการปล้นฆ่าจากพวกไวกิ้งอยู่พักหนึ่งด้วย ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานะชนชั้นสูง ก็มีโอกาสถูกฆ่าเอาได้ง่ายๆ หากไปขัดแข้งขัดขาคนพวกนี้เข้า วันดีคืนดีโดนคนอื่นใส่ร้ายแบบมีโทษถึงตายก็มีโอกาสเกิดขึ้นเหมือนกัน ถนนหนทางอะไรก็ไม่ค่อยดีมีแต่รกแต่พง ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องเข้าป่าล่าสัตว์ เอาแค่เดินทางข้ามหมู่บ้านแล้วไม่โดนงูฉกตายให้ได้ก่อน กลางค่ำกลางคืนไม่มีไฟส่องสว่าง โจรจะย่องมาปล้นนี่อย่างง่าย
อย่างสุดท้ายคือ การใช้ชีวิตของคนทั่วไปค่อนข้างลำบาก โอกาสลืมตาอ้าปากหรือเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้เองแทบเป็นไปไม่ได้ ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำการเกษตรส่งภาษีให้ขุนนางเจ้าของที่ดินตามกำหนดเรื่อยๆ (ปีไหนน้ำท่วม/ฝนแล้งก็ซวยอีก) ไม่มีสัตว์วิเศษหรือพวกอสูรเวทมนตร์มีแค่สัตว์ป่าธรรมดาให้ล่ามากิน/ขาย กิลด์นักผจญภัยนี่ก็ไม่มี ดังนั้นการไต่ Rank ไปจนถึงบนสุดแล้วลุ้นได้ทำงานให้พวกขุนนางใหญ่เพื่อรับยศเป็นรางวัลก็ไม่มีตามไปด้วย
ความโรแมนติคของยุคกลางเกี่ยวกับพวกชนชั้นนี่ก็อีกนะ เอาแบบต่ำสุดแบบยังไม่ได้เข้าสภาขุนนางแต่มันดูเท่ดีอย่างท่านเซอร์/อัศวินเนี่ย ไม่ใช่ว่าชาวบ้านธรรมดาอยู่ดีๆ จะเป็นได้ คือมันโอกาสน้อยเหี้ยๆ เพราะถึงเป็นชาวบ้านก็ต้องมีคุณสมบัติจำพวกต่อสู้เก่งในหลายแขนง เคยเป็นผู้นำและชนะในการรบป้องกันดินแดน ตัดสินใจเรื่องสำคัญอันมีผลต่อชีวิตของคนหมู่มาก หรือสร้างความดีความชอบใหญ่ๆ สักเรื่องก่อนถึงจะได้แต่งตั้งแบบพิเศษ ส่วนวิธีปกติคนจะเป็นอัศวินได้ต้องเป็นทายาทของอัศวินและเข้ารับการฝึกตั้งแต่เด็ก เรียนรู้ไปจนโตอายุ 21 ก็ยังเป็นได้แค่สไควร์คอยรับใช้พวกอัศวินคนอื่นจนกว่าอัศวินคนนั้นจะรับรองสถานะให้ไปเข้าพิธีรับตำแหน่งอัศวินหน้าใหม่ นึกตามแล้วยังคิดเลยว่าลำบากยุ่งยากเป็นบ้า ยิ่งพวกชนชั้นสูงกว่านั้นนี่ยิ่งร้ายขึ้นไปอีก หักเหลี่ยมเฉือนคม ผูกมิตรหลอกใช้ แต่งงานการเมือง หาทางขึ้นสู่อำนาจกันร้อยแปดพันเก้า
อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากแต่งโดยใช้เซตติ้งยุคกลางปลอมโดยไม่อิงประวัติศาสตร์หีแตDใดๆ ไอ้ที่อ่านมาข้างบนก็ไม่ต้องเอามาใส่หัวให้เสียเวลา
โอเค ทีนี้ก็ได้เวลาพูดถึงกิลด์หรือสมาคมนักผจญภัยกันเสียที
ตามปกติแล้วในเซตติ้งยุคกลางปลอมแฟนตาซีเนี่ย มันจะมีขั้วอำนาจใหญ่ๆ คอยคานอำนาจกันเองอยู่ไม่กี่แบบ แต่อันที่พบได้บ่อยสุดคือแบบ [ ราชวงศ์และขุนนาง-ศาสนจักร-กิลด์นักผจญภัย-กลุ่มการค้า ] ซึ่งแต่ละส่วนก็มีบทบาทและผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ ชนชั้นสูงมีหน้าที่คอยบริหารบ้านเมือง ป้องกันประเทศ กับคุ้มกันโบสถ์ โบสถ์ก็ควบคุมคนให้ราชวงศ์ผ่านทางความเชื่อ กิลด์นักผจญภัยคอยหาคนมาปราบสัตว์อสูรและหาวัตถุดิบ ถ้าเจอคนฝีมือดีมีความสามารถก็ส่งให้เมืองหลวงพิจารณา ส่วนกลุ่มการค้าก็เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ลองมองดูดีๆ จะเห็นว่าถ้ามีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกิดล่ม กลุ่มที่เหลือก็งานเข้าตามไปด้วย แล้วการขัดแย้งกันเองของกลุ่มเหล่านี้ก็มีผลเสียมากกว่าผลดี เลยทำให้ต่างฝ่ายต่างต้องรักษาระดับความสัมพันธ์ให้พอเหมาะ ไม่งั้นจะเกิดเหตุการณ์อีรุงตุงนังขึ้นได้ง่ายๆ ตัวอย่างของความเกี่ยวโยงพื้นฐานของกลุ่มต่างๆ ก็จะมีดังนี้
ราชวงศ์ให้การคุ้มครอง, มอบเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากภาษีมาสนับสนุนโบสถ์ และราชาก็นับถือศาสนานั้น ทางฝั่งโบสถ์ก็ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าราชวงศ์เป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกให้มาปกครองแผ่นดิน ใช้เงินของราชวงศ์กับเงินบริจาคช่วยคนยากไร้, เด็กกำพร้า และผลิตฮิลเลอร์ป้อนเข้ากองทัพ/กิลด์นักผจญภัย
กิลด์นักผจญภัยจัดหางานให้คนไปปราบมอนสเตอร์ คอยทั้งคัดคนเก่งๆ ไว้ใช้เองและส่งไปเสริมทัพหลวง เมืองหลวงก็จัดสรรกำลังรบได้ง่าย ไม่ต้องเสี่ยงถอนทหารจากชายแดนกลับมาปราบปรามการรุกรานของพวกสัตว์ประหลาด วัตถุดิบที่ได้มาก็รับซื้อไว้แล้วเอาไปขายให้พวกชนชั้นสูงหรือกลุ่มการค้าต่อ
กลุ่มการค้าได้ของก็ตรวจสอบคุณภาพแล้วขายทำกำไร ซึ่งวัตถุดิบต่างๆ จะมี กลุ่มวิชาชีพการผลิต/ช่างฝีมือ รับซื้อเอาไปสร้างเป็น อาวุธ/ชุดเกราะ กลับไปขายให้ทางกองทัพกับนักผจญภัยอีกที ยิ่งยุทโธปกรณ์ดีขึ้นแค่ไหนพวกนักผจญภัยก็ยิ่งหาวัตถุดิบคุณภาพสูงขึ้นได้อีกแค่นั้น พอสามารถทำกำไรได้มากขึ้น อำนาจการต่อรองและความสามารถในการจ้างงานก็เพิ่มตาม ระบบการขนส่งกับถนน/เส้นทางการค้าก็พัฒนาด้วย
ช่วงเกิดภัยพิบัติจากการทะลักของสัตว์อสูรออกมานอกดันเจี้ยนหรือมีการคืนชีพของจอมมาร ทางเมืองหลวงกับโบสถ์สามารถจัดตั้งปาร์ตี้ผู้กล้าออกปราบปรามได้ทันทีทั้งจากคนในกองทัพและคนที่ทางกิลด์นักผจญภัยคัดมา มีกองกำลังขนาดใหญ่พร้อมรบจากกองทัพปกติและทหารรับจ้างของกิลด์นักผจญภัย พวกพ่อค้าก็ช่วยได้ด้วยการลดราคาไอเท็มจำเป็นต่างๆ เช่นเสบียงอาหาร ยาฟื้นฟู อาวุธ ชุดเกราะ ยุทธภัณฑ์อื่นๆ
อันนี้คือพูดถึงแค่เผ่ามนุษย์อย่างเดียวก่อน ถ้าพูดเกี่ยวกับเผ่าอื่นด้วยมันจะออกนอกหัวข้อหลักไปไกล จบเรื่องความสัมพันธ์ของกลุ่มต่างๆ แล้วทีนี้กูจะกลับมาคุยลงลึกกับข้อมูลของกิลด์นักผจญภัยกันต่อ
กิลด์นักผจญภัยเป็นองค์กรแบบไหน ? ... สัส ง่วงเหี้ยๆ นอนก่อนแล้วกัน ไว้จะมาต่อนะ
โม่งเรากำลังฝึกเขียนนิยายส่ง เลยอยากถามหน่อยว่า
เวลาเขียนสิ่งที่ตัวละครกำลังคิดอยู่ในหัวเนี่ยมันต้องเขียนยังไง
ใช้ ตัวเอียง หรือ
ใช้ [ ] หรือ
ใช้ "" แต่เขียนว่ากำลังคิด คิดออกมาไรงี้แทน
เราอ่านนิยายมาเคยเห้นหมดทุกแบบเลย แต่มาตราฐานนิยายไทยใช้แบบไหนกัน
ky พวกนักเขียนยุคกลางจอมปลอมแม่งไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์แน่ๆ โดยเฉพาะเรื่องส้วม
https://goshujin.tk/index.php?topic=31862.msg791361#new
มีคนเปรียบเทียบว่ากิลด์นักผจญภัยคล้ายกับกรมจัดหางานซึ่งข้อนี้กูก็ไม่เถียง แต่รายละเอียดอื่นๆ ที่แตกต่างกันเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังเป็นข้อๆ
กิลด์นักผจญภัยเป็นองค์กรแบบไหน
ว่าด้วยเรื่องของกิลด์นักผจญภัย มันคือกรมจัดหางานที่มีบริการแบบครบวงจรมากๆ มักตั้งอยู่ภายในเมืองใหญ่ใกล้กับพื้นที่เสี่ยงจำพวกปากทางลงดันเจี้ยนเทียร์ 3 ขึ้นไป อันหมายถึงดันเจี้ยน (ทั้งแบบลงไปใต้ดินและแบบหอคอย) ที่มีจำนวนชั้นเยอะจนอาจเกิดการแตกตื่น/ทะลักออกมาของมอนสเตอร์จำนวนมาก (monster stampede) ได้จากหลายสาเหตุ หรือในเมืองติดกับป่าขนาดใหญ่ซึ่งมีมอนสเตอร์หลากหลายชนิดอาศัยอยู่ ยิ่งเข้าป่าไปลึกแค่ไหนโอกาสเจอมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่าปกติก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
บางเมืองที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดในย่อหน้าที่แล้วก็อาจมีกิลด์นักผจญภัยสาขาย่อยขนาดเล็กไปตั้งอยู่ได้เหมือนกัน เช่น เมืองในเขตทุรกันดารบ้านนอกสุดๆ แต่ดันมีดันเจี้ยนเทียร์ 1-2 ล้อมรอบหลายแห่ง หรือเมืองที่เป็นเมืองท่าต่างๆ โดยเฉพาะท่าเรือ เนื่องจากต้องใช้เป็นศูนย์กระจายงานสำหรับนักผจญภัยทางทะเล ไปล่ามอนสเตอร์ตามเกาะนอกแผ่นดินใหญ่ หรือทำภารกิจล่ามอนสเตอร์ที่เจอได้เฉพาะใต้ทะเลลึกเท่านั้น
ใครสามารถสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัยได้บ้าง
สมัครได้ทุกเพศทุกวัย ชนชั้นวรรณะไหนก็ได้หมด ขอแค่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ต้องห้ามอย่างเผ่าปีศาจ เมื่อมีอายุถึงเกณฑ์หรือบาง setting คือผ่านพิธีกรรมเพื่อรับ gift/skill จากพระเจ้ามาเรียบร้อยแล้ว ใครอยากจะหาทางสร้างรายได้, ชื่อเสียง ก็สามารถมาสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัยได้เลย
เจ้าหน้าที่ของกิลด์นักผจญภัย
กิลด์มาสเตอร์ (หัวหน้ากิลด์) - ทำงานประจำที่สาขาหลักหรือสำนักงานใหญ่ คอยตัดสินใจในเรื่องสำคัญทั้งหลาย มักเคยเป็นนักผจญภัยแรงค์ S หรือไม่ก็เคยเป็นทหารยศสูงในทัพหลวงมาก่อน ถ้าเป็นหัวกิลด์ของสาขาย่อย บางเรื่องก็ชอบเนียนมาทดสอบเด็กใหม่ด้วยตัวเอง (เพื่อให้ตัวเอกได้โชว์เทพ) บางเรื่องก็เป็นตัวร้ายเกรดบีคอยกลั่นแกล้งตัวเอก ทำตัวทุจริตยักยอกทรัพย์ของกิลด์เข้ากระเป๋าตัวเอง หัวหน้ากิลด์อาจเป็นได้ทั้งมิตรหรือศัตรูของตัวเอกแล้วแต่ว่าถูกวางบทมายังไง
พนักงานต้อนรับ - ส่วนมากเป็นสาวสวย มีหน้าที่คอยบริการสมาชิกกิลด์ในเรื่องต่างๆ ต้องเก่งรอบด้านจริงๆ ถึงจะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เพราะนอกจากต้องรับมือกับนักผจญภัยที่อาจไม่ใช่คนนิสัยดีเสมอไปแล้ว พนักงานต้อนรับยังต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยว่าจะอนุญาตให้สมาชิกทำเควสที่เลือกมาหรือไม่ บางคนเข้ามาได้ไม่นานยังอยู่แค่ Rank E แต่ดันทะลึ่งอยากรับเควสปราบปราม Rank C พนักงานต้อนรับก็ต้องปฏิเสธการจ่ายงาน ทำอย่างไรก็ได้ให้แน่ใจว่าสมาชิกของกิลด์จะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น จัดสรรคนให้เหมาะกับระดับความยากของเควส ตรวจสอบวัตถุดิบที่สมาชิกหามาได้จากมอนสเตอร์แล้วส่งต่อไปให้ฝ่ายคลัง ทำเอกสารและวัตถุยืนยันตัวตนของนักผจญภัยหลังสมัครสำเร็จ ฯลฯ
หน่วยรักษาความปลอดภัย - ส่วนหนึ่งทำหน้าที่เฝ้ายามกับดูแลความเรียบร้อยใน bar/tavern ของกิลด์ ส่วนที่เหลือจะถูกแบ่งไปเป็นครูฝึกคอยดูแลโรงฝึก/อุปกรณ์ฝึก และฝึกวิธีการต่อสู้ให้กับนักผจญภัยหน้าใหม่ บางครั้งก็ต้องทำหน้าที่ทดสอบความสามารถของผู้มาสมัครเข้ากิลด์ด้วย ถ้าคนไหนหน่วยก้านดี มีฝีมือการใช้อาวุธประจำตัวที่โอเค และเอาชนะครูฝึกได้แบบขาดลอย ผู้สมัครรายนั้นจะได้รับการ promoted จาก Rank F ขึ้นเป็น E ทันที
พ่อครัว บริกร และผู้ดูแลห้องพัก - อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็คือทำงานตามตามแหน่งของตัวเองใน tavern ของกิลด์ ถ้าสาขาไหนหรูๆ หน่อยก็จะมีโรงอาบน้ำ คอกม้า กับส่วนบริการซักล้างเสื้อผ้าเพิ่มด้วย
ฝ่ายการค้าและคลัง - แยกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกคือขายของต่างๆ ที่พวกนักผจญภัยหามาได้เพื่อหาเงินทุนเข้ากิลด์ ทั้งคนในแผนกการค้าและพนักงานต้อนรับส่วนใหญ่จะมีสกิลพวก "ตรวจสอบ" หรือ "ประเมิน" ติดตัวกันอยู่แล้ว การตั้งราคาตามคุณภาพสินค้ากับพวกพ่อค้าคนกลางจึงไม่ใช่เรื่องยาก การขายมักขายไปในราคาขายส่งถ้าไอเท็มมีจำนวนมาก สำหรับของหายากหรือเป็นที่ต้องการในตลาดจะถูกขายผ่านการประมูลในเมืองหลวง ส่วนที่ 2 คือพ่อค้าในร้านค้าสวัสดิการของกิลด์นักผจญภัย ทำหน้าที่ขายสินค้าผลิตเองให้บรรดาสมาชิก คุณภาพสินค้าอยู่ในระดับกลางจนถึงต่ำ ส่วนที่ 3 เป็นกลุ่มผู้ดูแลโกดังและคลังสินค้า จดบันทึกจำนวนไอเท็มต่างๆ รับเข้าและดูแลให้อยู่ในสภาพดี มีบริการชำแหละ/แปรรูปสินค้าให้กับสมาชิกที่มีเงินพอจ่ายและไม่ต้องการเสียเวลาทำเอง
เจ้าหน้าที่ข้อมูลและการข่าว - ก็ตามชื่อนั่นแหล่ะ แต่แผนกนี้พิเศษหน่อยตรงที่ทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ปกติแล้วอาจมีแค่รับซื้อข้อมูลข่าวสารที่สมาชิกเอามาขาย ในบางครั้งเวลาที่สมาชิกกิลด์แสดงพิรุธ ทำตัวน่าสงสัย หรือถูกแจ้งว่ากำลังกระทำความผิดอะไรสักอย่างเข้ามาจากบุคคลที่สาม พนักงานของแผนกที่มีสกิลซ่อนตัว, สะกดรอย ก็จะออกตามสืบข้อเท็จจริงทันที
เวร... ยังเหลืออีกเยอะเลย แต่ง่วงแล้วว่ะ ไปนอนละ บาย
(เมอร์รี่คริสต์มาส โม่ง มาต่อกันเลย)
ลำดับขั้นของสมาชิกกิลด์นักผจญภัย
อันนี้แล้วแต่นักเขียนว่าจะเลือกใช้รูบแบบไหน เท่าที่เคยเจอมาก็จะมี แบ่งด้วยวัสดุสร้างป้ายชื่อเริ่มด้วยกระเบื้องไปสุดที่ทองคำขาว แบ่งด้วยสีกรอบป้ายชื่อเริ่มด้วยดำไปสุดที่ทอง แบ่งด้วย Rank บนป้ายที่นิยมใช้กันเริ่มจาก F ไปสุดที่ S บางเรื่องแปลกๆ หน่อยก็ใช้สัตว์เริ่มด้วยกวางไปสุดที่มังกร และอื่นๆ
Rank และการเลื่อน Rank ของนักผจญภัย
F : ทดสอบความสามารถในการต่อสู้ตอนสมัครเข้ากิลด์ไม่ผ่าน โดนครูฝึกตบเกรียนแตก ช่วงแรกจะถูกบังคับให้ต้องเข้าโรงฝึกเพื่อฝึกพื้นฐานการต่อสู้จนกว่าครูฝึกจะเห็นว่าพร้อมสู้จริงไหว ในระหว่างนั้นจะรับได้แค่เควสกากๆ อย่างเก็บสมุนไพร ส่งของ/ส่งจดหมาย หรือตามหาสัตว์เลี้ยง เมื่อฝึกไปได้ระยะหนึ่งถึงจะได้รับอนุญาตให้จับกลุ่มปาร์ตี้กับพวก Rank F ด้วยกันเพื่อสอบขึ้นเป็น Rank E
*** ในบางเรื่องต่อให้สอบต่อสู้ผ่านก็ยังต้องได้ F ไปก่อนอยู่ดีก็มี ***
E : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับต่ำสำเร็จได้แบบไปเป็นปาร์ตี้ (หรือชนะครูฝึกตอนทดสอบสมรรถภาพได้อย่างขาดลอย)
D : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับต่ำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง
C : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับกลางสำเร็จได้แบบไปเป็นปาร์ตี้
B : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับกลางสำเร็จได้ด้วยตัวเอง
A : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับสูงสำเร็จได้แบบไปเป็นปาร์ตี้
S : ทำเควสปราบปรามมอนสเตอร์ระดับสูงสำเร็จได้ด้วยตัวเอง (ได้รับสิทธิ์ในการสมัครเข้าร่วมกองกำลังบุกปราสาทจอมมาร หรือการประลองเพื่อเป็นหนึ่งในสมาชิกของปาร์ตี้ผู้กล้า)
ในการเลื่อนขั้นนักผจญภัยจะต้องสะสมแต้มความสำเร็จจากภารกิจให้เพียงพอก่อน จากนั้นจึงแจ้งรับเควสที่มีความยากสูงกว่า Rank ของตัวเองไป 1 ขั้น หากท้าทายแล้วทำภารกิจสำเร็จทางกิลด์นักผจญภัยจะเรียกตัวสมาชิกเข้าตรวจสอบด้านจริยธรรม หากไม่พบว่ามีการร้องเรียนหรือปัญหาอะไรก็จะทำการเลื่อน Rank ให้ในวันเดียวกัน การ promote แต่ละครั้งจะเว้นระยะจากกันอย่างน้อย 3 เดือน (ไม่สามารถเลื่อนขั้นรัวๆ ได้)
note : ในบาง setting อย่างเช่นเรื่อง Goblin slayer จะมีการ promote เลื่อนขั้นให้เมื่อสะสมแต้มความสำเร็จจากภารกิจถึงจุดที่กำหนดโดยไม่จำเป็นต้องไปสอบล่ามอนสเตอร์ระดับกลาง/สูง (ล่าแต่ก๊อบลินที่ให้แต้มน้อยสุดจน Rank ขึ้นไปถึง silver ได้นี่ถือว่าไม่ธรรมดา) อย่างไรก็ตามใน setting แบบนี้มอนสเตอร์ที่เก่งกว่าก็ย่อมให้แต้มมากกว่าจนทำให้เลื่อนขั้นได้เร็วขึ้นตามไปด้วย
ปาร์ตี้ของนักผจญภัย
ลงทะเบียนได้ที่กิลด์เมื่อมีสมาชิกปาร์ตี้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศหรือความถนัดทางการรบ แต่เพื่อให้ปาร์ตี้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทางกิลด์นักผจญภัยจะมีข้อมูลรูปแบบการจัดปาร์ตี้ให้อ่านในห้องสมุดของแผนกข้อมูลและการข่าว ตัวอย่างคำแนะนำในการสร้างปาร์ตี้ก็เช่น
สำหรับปาร์ตี้ขนาดเล็ก
มีแนวหน้า (vanguard) กับแนวหลัง (rearguard) อย่างละ 1 คน หรือจะใช้ Attacker 2 คนเป็นแนวหน้าช่วยกันสู้ก็ได้
สำหรับปาร์ตี้ขนาดกลาง
จะเพิ่มแนวกลาง (middle guard) ขึ้นมาอีก 1-2 คน เพื่อให้ครบ role ของปาร์ตี้มาตรฐาน (Tanker-Healer-Attacker) รูปแบบสมาชิก 4 คนที่นิยมใช้คือ ตัวชน 1 ตัวฮิล 1 ตัวโจมตีกายภาพ 1 ตัวโจมตีเวทมนตร์ 1 ช่วยลดความเสี่ยงเมื่อต้องเจอกับมอนสเตอร์ที่มีพลังป้องกันด้านใดด้านหนึ่งสูงมากๆ (ทนกายภาพหรือต้านทานเวท)
สำหรับปาร์ตี้ขนาดใหญ่สมาชิกตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
มักมีการเพิ่มผู้มีบทบาทเฉพาะด้านเข้ามา หรือกลุ่ม hybrid role ที่ช่วยลดจุดด้อยของปาร์ตี้ให้น้อยลง เช่น 1.ถ้าเดิมทีใช้แนวหน้าเป็นนักรบ (บู้ได้ Tank ได้ปานกลาง) อาจเสริมแนวหน้าที่เป็น Tanker แท้เข้ามาเพื่อลดภาระของ Healer 2.ถ้าแนวหน้ามีทั้ง Tanker และ Attacker ตีใกล้ อาจเพิ่มนักธนูเข้ามาเพื่อเสริมความสามารถในการสร้างความเสียหายจากระยะไกล 3.สมาชิกคนที่ 6 อาจเป็นได้ทั้งตัวโจมตีเวทมนตร์เพิ่มเติม, ตัวฮิล หรืออาชีพกลุ่ม utilities support class (buffer/debuffer/booster) อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ทำไมในแต่ละเรื่องชอบมีสมาชิกในตี้ไม่เกิน 5-6 คน
อันนี้กูเดาเอาว่าถ้าจำนวนมากเกินไปแล้วตัวหารมันจะเยอะ ทำให้การแบ่งรางวัลจากเควสและวัตถุดิบไม่คุ้มค่า อีกอย่างหนึ่งคือปาร์ดี้ แบบ 3 roles 4 members (ชน 1 ฮิล 1 โจมปกติ 1 โจมเวท 1) มันสมดุลทั้งรุกและรับอยู่แล้ว ดังนั้น slot สุดท้ายจึงควรเป็นของอาชีพกลุ่ม support class ที่ไม่ใช่พระ ซึ่งตำแหน่งนี้แหล่ะมักเป็นของตัวละครเอกในแนวโดนไล่ออกจากตี้จนกลายเป็นความคลิเช่ไปซะงั้น
การเลื่อนขั้น Rank ของปาร์ตี้
จะเลื่อนตามการสะสมแต้มความสำเร็จที่ได้มาจาก (1) ระดับความยากของภารกิจ (2) ระดับความยากของดันเจี้ยนที่เคยพิชิต (3) Rank เฉลี่ยของสมาชิกปาร์ตี้ทั้งหมด
การถูกลดขั้น (demoted) และการถูกลงโทษเมื่อนักผจญภัยทำผิดกฏของกิลด์ ... ไว้ค่อยมาต่อ นอนละ
ยาวไปไม่อ่าน
คุเบียวอิเซไคบุกโม่งว่ะ
อ่านที่โม่งเขียนแล้ว เอาไปแต่งนิยายไปชิวๆเลยไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่ม555
การถูกลดขั้น (demoted) และการถูกลงโทษเมื่อนักผจญภัยทำผิดกฏของกิลด์/กฏหมาย
เนื่องจากกิลด์นักผจญภัยเป็นองค์กรขนาดใหญ่ การรักษาความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงจึงเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกกิลด์สร้างความเสียหายต่อต้นสังกัด จึงต้องมีการตั้งกฏและบทลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดไว้ โดยพื้นฐานแล้วสมาชิกของกิลด์นักผจญภัยล้วนอยู่ภายใต้กฏหมายทั่วไปของอาณาจักร และเมื่อใดที่สมาชิกก่ออาชญากรรมแน่นอนว่ากิลด์นักผจญภัยมีหน้าที่ต้องจับตัวสมาชิกผู้นั้นด้วย สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ นั้นมีดังต่อไปนี้
(1) ไม่จ่ายค่าธรรมเนียมสมาชิกรายเดือน = ถูกตัดสวัสดิการต่างๆ ไม่สามารถรับเควสในกิลด์ และถูกยึดใบอนุญาต, เอกสารยืนยันตัวตน, member tag ชั่วคราวจนกว่าจะนำเงินมาจ่าย (ไม่มาจ่ายนานเกิน 3 เดือน = ถูกไล่ออกจากกิลด์)
อันนี้เป็นเรื่องพื้นๆ เพราะสมาคมนักผจญภัยไม่ใช่องค์กรการกุศล หากต้องการใช้สิทธิพิเศษต่างๆ ก็ต้องจ่ายค่าสมาชิกด้วย ไอ้ค่าใช้จ่ายที่ว่านี้เป็นการบีบให้นักผจญภัยต้องออกไปทำภารกิจทางอ้อม ไม่งั้นก็จะไม่มีเงินมาต่ออายุความเป็นสมาชิก
(2) ทะเลาะวิวาทกันในกิลด์นักผจญภัย = ถูกปรับเงินและไปสงบสติอารมณ์ในคุกของกิลด์ทั้งคู่ 1 คืน
(3) ทำเควสใน Rank ของตัวเองไม่สำเร็จ = ถูกปรับเงินและถูกลดแต้มความสำเร็จจากภารกิจ
นักผจญภัยบางคนโชคดีฟลุ๊คสอบเลื่อนขั้นขึ้นมาได้ แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับสู้เควสในขั้นใหม่ไม่ไหว บางคนพอสูสีแต่ใช้เวลานานเกินไปเควสก็ failed เหมือนกัน เพื่อให้แน่ใจว่านักผจญภัยเหล่านี้จะไม่ทำพลาดจนบาดเจ็บ ตาย หรือพิการ ถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จติดต่อกันหลายครั้งก็จะถูกพนักงานต้อนรับสั่งลด Rank ในที่สุด
(4) ไม่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็น Rank E ได้ภายใน 1 ปี = ถูกไล่ออกจากกิล (ก็คือมึงกากเกินไปนั่นแหล่ะ)
(5) ส่งหลักฐานการปราบปรามมอนสเตอร์ด้วยของที่ซื้อมาจากท้องตลาด = ถูกลดขั้นหรือไล่ออกถ้าทำหลายครั้ง
อันนี้เป็นมาตรการป้องกันพวกหัวหมอแต่บ้านรวย ใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการซื้อของเควสมาส่งเควส ปัญหาที่จะตามมาคือไอ้พวกลูกคุณหนูเหล่านี้มันไม่เคยลุยกับมอนสเตอร์จริงๆ ทำให้ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ ถ้าเลื่อนขั้นขึ้นไปแล้วเจอมอนสเตอร์โหดๆ อาจถูกฆ่าตายได้ในเควสแบบลุยเดี่ยว ทางกิลด์นักผจญภัยกับพนักงานต้อนรับก็จะถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการตั้งระดับความยากของเควสไม่เหมาะสม ซึ่งปัญหานี้ถูกแก้ไขด้วยการแอบทำเครื่องหมายไว้บนไอเท็มโดยพวกกลุ่มการค้าหลังซื้อของไปจากกิลด์
(6) ส่งหลักฐานการปราบปรามมอนสเตอร์ด้วยของที่ไม่ตรงกับความต้องการในเควส = ถือว่าทำเควสไม่สำเร็จ
เป็นเพราะพวกมักง่ายมันมีอยู่เยอะ สมาชิกบางคนก็มีสกิลสร้างของเลียนแบบ ดังนั้นพนักงานต้อนรับที่มีสกิลประเมินเลยเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าไอเท็มที่ส่งมาเป็นของจริงหรือของปลอมก็จะแย่เอามากๆ ส่วนใหญ่ในเควสจะมีระบุไว้อยู่แล้วว่าอวัยวะส่วนไหนของมอนสเตอร์เป้าหมายสามารถใช้เป็นหลักฐานได้บ้าง ยิ่งถ้าเป็นโลกที่มีเซตติ้งคล้ายเกมออนไลน์ พอมอนตายแล้วสลายร่างเหลือไว้แค่ผลึก, แกนกลาง, หินเวท อันนี้ก็จะยิ่งตรวจสอบง่าย สมาชิกบางคนเควสให้ส่งเขามอน 1 คู่ ดันส่งเล็บกับขน หรือเควสให้ส่งหูข้างซ้ายของก๊อบลินดันส่งผ้าเตี่ยวมาแทน สู้ไม่ไหวก็ไม่ยอมรับแล้วส่งของอื่นเข้ามาหวังจะจบเควสเลยต้องโดนบังคับล้มเหลว
*** ในนิยายบางเรื่องตัวเอกเก่งเกินไปสู้มอนสเตอร์ตัวไหนศพก็ไม่เหลือซาก ทำให้ส่งเควสไม่ได้จนโดนไล่ออกจากกิลด์ก็มี
(7) ใช้ยูนีคสกิลของตัวเองเอาเปรียบเพื่อนร่วมปาร์ตี้ = ลบแต้มความสำเร็จที่ได้มาจากการทำเควสจบแบบเป็นปาร์ตี้กับปาร์ตี้ปัจจุบันออกทั้งหมด บังคับเตะออกตี้ และแบนไม่ให้เข้าร่วมปาร์ตี้อื่นจนกว่าจะจ่ายเงินชดเชยให้สมาชิกปาร์ตี้เก่าครบตามที่กิลด์กำหนด
จะอธิบายยังไงดี... เอาเป็นตัวอย่างจากเรื่อง Goblin slayer ก็แล้วกัน เรื่องมันมีอยู่ว่ามีไอ้หนุ่มอาชีพสเก๊าท์ (Scout) คนนึงมาสอบสัมภาษณ์เพื่อเลื่อนขั้นนักผจญภัยกับทางกิลด์ ภายในห้องนั้นมีน้องพนักงานต้อนรับคอยถามคำถามต่างๆ โดยมีนายก๊อบสเลกับนักบวชสาวที่มีสกิลจับโกหกร่วมสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ตอนแรกมันไม่มีอะไรผิดปกตินอกจากการวางท่ากวนตีนของไอ้สเก๊าท์ แต่พอถึงช่วงหลังที่มีการพูดถึงเรื่องอุปกรณ์สวมใส่ของคนมาสอบ ว่าทำไมของพวกนี้มันเกรดดีกว่าของเพื่อนในปาร์ตี้ไปมากจนผิดปกติ บรรยากาศในห้องก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
น้องพนักงานต้อนรับมองหน้านักบวชสาวแล้วยิงคำถามต่อตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมว่า เวลาไปลุยกับปาร์ตี้กันในดันเจี้ยน ไอ้สเก๊าท์ใช้สกิลพรางตัวทำทีว่าจะย่องไปสำรวจจำนวนมอนสเตอร์ให้เพื่อน แล้วถ้าบังเอิญเจอหีบสมบัติก็จะถือโอกาสแอบหยิบของราคาแพงในนั้นมาเก็บไว้กับตัวใช่มั้ย คนโดนถามรีบปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ พอได้ยินแบบนั้นน้องนักบวชที่ใช้สกิลอยู่ก็พูดว่า "คนๆ นี้โกหกค่ะ" ไอ้สเก๊าท์พอรู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะไม่ได้เลื่อนขั้นแถมยังถูกลงโทษอีกก็โมโหเลือดขึ้นหน้า ในใจคิดจะพุ่งเข้าไปทำร้ายน้องพนักงานต้อนรับกับนักบวช แต่เหลือบไปเห็นพี่ก๊อบสเลนั่งกอดอกอยู่ใกล้ๆ เรื่องเลยจบตรงไอ้สเก๊าท์ไม่กล้าทำอะไรเพราะรู้ตัวว่ากูต้องโดนสวบก่อนแน่ๆ น้องพนักงานต้อนรับเลยแจ้งผลสอบว่าไม่ผ่าน พอสเก๊าท์ออกจากห้องไปแล้วก็ขอบคุณก๊อบสเลที่คอยมาช่วยคุ้มกันให้ (อาจไม่ถูกต้อง 100% แต่น่าจะประมาณนี้)
ที่สมาคมนักผจญภัยต้องเข้มงวดด้านจริยธรรมด้วย เป็นเพราะถ้าปล่อยให้นักผจญภัยนิสัยเหี้ยๆ ขึ้นไปถึง Rank สูงๆ คนพวกนี้มีโอกาสก่อเรื่องจนทำให้กิลด์นักผจญภัยต้องเสียชื่อเสียงได้ แล้วถ้าเกิดเรื่องใหญ่มากๆ ขึ้นมา โอกาสถูกทางการสั่งยุบกิลด์แล้วยึดทรัพย์ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ในนิยายบางเรื่องที่ไม่ได้มีการร้องเรียนหรือกล่าวหาคนมาสอบด้วยข้อกล่าวหาเฉพาะ คำถามเดียวที่จะถูกถามระหว่างนักบวชจับโกหกนั่งฟังอยู่คือ "เคยได้ทำเรื่องผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือผิดกฏหมายระหว่างอยู่ใน Rank นี้หรือไม่" แค่นั้นเอง
(8) แอบรับงานจากผู้จ้างโดยตรง = ถูกไล่ออกจากกิลด์ (กล้ารับงานเองมึงก็ออกไปเลย)
(9) ลวนลามพนักงานหญิง/นักผจญภัยหญิง = นอนคุกของกิลด์นานตามระดับความรุนแรงของการล่วงละเมิด ถ้าถึงขั้นข่มขืนก็โดนไล่ออกจากกิลด์ไปดำเนินคดีข้างนอกด้วย
(10) อาชญากรรมต่างๆ ทุกระดับความหนัก-เบา หากเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกกิลด์นักผจญภัยด้วยกันเองให้ลงโทษตามกฏหมายปกติ แต่ถ้าสมาชิกกิลด์ไปก่อเรื่องกับประชาชนทั่วไปข้างนอก จะต้องรับโทษเพิ่ม 3 เท่า โทษฐานทำให้ต้นสังกัดต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและโดนไล่ออกจากกิลด์ด้วย
ป้ายประกาศ "เควสที่เปิดให้รับได้" และขั้นตอนการจ้างงานจากบุคคลภายนอก .... ต่อพรุ่งนี้
กุไม่อ่านนะขี้เกียจ แต่พิมยาวขนาดนี้ไปแต่งนิยายเถอะ
เคงั้นเดี๋ยวกูพอก่อนละกัน ดูๆ ไปแล้วก็ไม่น่าจะมีคนอ่านสักเท่าไหร่เพราะมู้มันตายมาปีกว่าๆ ละ
>>894 ก็แต่งทุกวันอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เพิ่งแต่งเรื่องใหม่จบเลยแวะมาให้ความรู้กับเพื่อนร่วมสายงานหน่อย
>>899 ไม่เอาไม่หัวร้อนง่าย เมื่อวานก็ถือว่าพักผ่อนไปเพราะเขียนติดกันมาหลายวันละ
ป้ายประกาศ "เควสที่เปิดให้รับได้" และขั้นตอนการจ้างงานจากบุคคลภายนอก
อย่างที่เคยคุยกันไปแล้วข้างบน ป้ายประกาศเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้กิลด์นักผจญภัยดูคล้ายกรมจัดหางาน ป้ายที่ว่านี้ส่วนใหญ่มักติดอยู่ไม่ไกลจากเคาเตอร์ของพนักงานต้อนรับ ในบาง setting หรือในเกมบางเกมเราสามารถถามเรื่องเควสได้จากตัวพนักงานต้อนรับโดยตรง ส่วนตรงป้ายประกาศจะถูกเปลี่ยนเป็นใบรับสมัครสมาชิกปาร์ตี้แบบรอบเดียวแล้วแยกย้ายแทน (เหมือนใน Hunting Hall ของเกม Monster Hunter) สำหรับการแจ้งความต้องการเพื่อติดใบจ้างงานบนป้ายประกาศแบบคร่าวๆ ก็มีดังนี้
ขั้นตอนแรกคือผู้ว่าจ้างต้องมาติดต่อกิลด์ผ่านทางพนักงานต้อนรับ บอกรายละเอียดการจ้างงานว่าเป็นเควสแบบไหน รางวัลของภารกิจมีอะไรบ้าง พนักงานต้อนรับจะคัดกรองความเหมาะสมก่อนเบื้องต้น โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือของตัวผู้ว่าจ้าง สถานะทางสังคม กับความยาก-ง่ายเทียบกับรางวัลเมื่อทำเควสเสร็จสิ้น ถ้าเป็นเควสสำหรับพวก F Rank ที่เป็นงานแบบไม่มีความเสี่ยง พนักงานต้อนรับสามารถอนุมัติการรับงานได้เอง แต่หากเป็นงานสำหรับ E Rank ขึ้นไป เอกสารการว่าจ้างจะถูกส่งไปให้พนักงานระดับกลางและระดับสูงพิจารณาก่อน
รายละเอียดในใบจ้างงานจะมีหัวข้อต่างๆ รอให้ผู้ว่าจ้างเลือกเพื่อระบุลักษณะงาน ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ
(1) ชื่อและที่อยู่ผู้จ้าง/อาชีพ/สถานะทางสังคม
สองอย่างแรกเข้าใจได้ไม่ยาก แต่สถานะทางสังคมนั้นพิเศษตรงที่มีผลต่อการพิจารณาความเร่งด่วนในการเรียกคนมาทำงาน ถ้าเป็นเควสจากชนชั้นสูงจะได้รับการติดใบจ้างงานแบบพิเศษไว้เพื่อให้สังเกตได้ง่าย รองลงมาคือเควสจากคนของหน่วยราชการ โบสถ์ และกลุ่มการค้า ถ้าเป็นสามัญชนจะเป็นแค่กระดาษทั่วไป ส่วนใหญแล้วนักผจญภัยย่อมเลือกดูเควสพิเศษก่อน ถ้าตัวเองไม่อยู่ในเงื่อนไขที่รับเควสเหล่านั้นได้ถึงค่อยมองหาเควสที่มีระดับความสำคัญรองลงมา สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้เควสจากชนชั้นสูงและเควสตรงจากราชามีความสำคัญคือแต้มสะสมแบบพิเศษที่แยกต่างหากออกมาจากแต้มความสำเร็จปกติ
แต้มที่ว่านี้คือแต้มสำหรับยื่นคำร้องเพื่อแสดงความสามารถทางการรบในแบตเทิลอารีน่า อันถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับนักผจญภัยสามัญชนทั้งหลาย เพราะตามปกติแล้วผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในงานพิธีดังกล่าวจะมีเพียงนักเรียนผลการเรียนระดับดีเลิศจากสถาบันวิจัยและพัฒนาเวทมนตร์
กับนักเรียนเตรียมทหารที่ได้รับการรับรองจากผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกราชองครักษ์เท่านั้น สำหรับคนที่อยากหลุดพ้นจากความเป็นประชนชนธรรมดาผ่านการเป็นนักผจญภัย งานที่จัดขึ้นเพียงปีละครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญ ถ้าโชว์ฝีมือได้ดีน่าประทับใจ จะมีการติดต่อเพื่อเรียกตัวเข้ารับใช้ในฐานะอัศวินจากชนชั้นสูงระดับต่างๆ เป็นใบเบิกทางขั้นแรกสู่ความเป็นชนชั้นสูงระดับอื่นได้ หรือต่อให้ไม่สามารถเลื่อนยศขึ้นไปก็ยังเหลือสิทธิ์การฝึกฝนเป็น Page (เพจ) - Squire (สไควร์) ส่งต่อให้รุ่นลูกไว้ขึ้นเป็นอัศวินได้ต่อ
(2) ประเภทของเควส
ส่วนใหญ่เป็นเควสปราบปรามมอนสเตอร์กับเควสคุ้มกัน
เควสปราบปรามระดับพื้นฐานมักเป็นการกำจัด/ขับไล่มอนสเตอร์ที่มาทำลายพืชผลทางการเกษตรหรือปศุสัตว์ เควสคลิเช่ยอดนิยมที่ถูกมองข้ามจนเกิดเหตุสลดขึ้นในหลายๆ เรื่องก็คือเควสปราบปรามก๊อบลินเพราะผลตอบแทนไม่ค่อยคุ้มค่า ถ้าเอายากกว่านั้นก็จะเป็นปราบออค/หมาป่า/หมี ยิ่งมอนสเตอร์เป้าหมายในเควสเก่งแค่ไหน ระดับความยากที่ระบุบบนใบจ้างงานก็ยิ่งสูงตามไปด้วย ปัจจัยอื่นๆ ที่ใช้พิจารณาก็คือจำนวนของมอนสเตอร์ ถ้ามีมากเกินไปอาจต้องมีการประกาศจัดตั้งกลุ่ม expedition จากหลายปาร์ตี้มารวมกันเป็นคณะปราบปราม เควสคุ้มกันหลักๆ มาจากกลุ่มการค้าที่ต้องการคนคุ้มกันคาราวานขนส่งสินค้าจากกองโจร กับขุนนางทั้งหลายยามต้องเดินทางไกล
นอกจาก 2 อย่างนี้แล้วก็เป็นเควสสืบค้น เควสเก็บวัตถุดิบ เควสส่งของ เควสหาข้อมูล (โดยเฉพาะที่ตั้งของดันเจี้ยนใหม่ๆ) เควสทำแผนที่ เควสกู้ภัย และเควสจับกุม (อาชญากรมีค่าหัว, ต้องการตัวโดยทางการ)
(3) รายละเอียดเควส
ข้อมูลเพิ่มเต็มแบบเจาะลึกหลังจากระบุประเภทในข้อ 2 ไปแล้ว ถ้าเป็นเควสปราบปรามก็ตัวอย่างเช่น
ชนิดของมอนสเตอร์เป้าหมาย - สายพันธุ์ธรรมดา/พิเศษ
ต้องการให้ - ขับไล่/กำจัด/จับ
จำนวนของมอนสเตอร์ - เดี่ยว/กลุ่ม/ฝูง
ความเร่งด่วนของงาน - ต้องการทันที/ภายในกี่วัน
(4) รางวัลตอบแทนจากภารกิจ
ส่วนใหญ่เป็นเงินและวัตถุดิบจากเควส ในส่วนของเงินค่าจ้าง ผู้ว่าจ้างต้องวางเงินไว้ล่วงหน้าทั้งหมดที่กิลด์เพื่อป้องกันปัญหาการไม่ยอมจ่ายเงินหลังเสร็จภารกิจ หากไม่มีเงินในส่วนนี้ก็จะไม่สามารถติดประกาศจ้างงานได้ เงินที่ต้องวางจะขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนของมอนสเตอร์ ถ้าต้องการวัตถุดิบจากเควสด้วยจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม
ค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ คือค่าธรรมเนียมการติดใบจ้างงานตามระยะเวลาที่ต้องการ ยิ่งนานก็ยิ่งแพง หากครบกำหนดแล้วไม่มีใครรับเควสทางกิลด์นักผจญภัยจะแจ้งข่าวไปยังผู้ว่าจ้างให้มารับเงินรางวัลคืน โดยลูกค้ามีทางเลือกอยู่ 3 ทางคือ เข้าคิวเพื่อจ้างงานต่อที่เดิม ย้ายไปจ้างกิลด์นักผจญภัยแห่งอื่นที่ไม่ใช่กิลด์เดิม และติดต่อจ้างงานกับ Clan นักผจญภัยอิสระ
ข้อควรระวังในการจ้างงาน
(1) ผู้ว่าจ้างจะต้องกรอกข้อมูลต่างๆ ตามความเป็นจริง เพราะข้อมูลทั้งหมดมีผลต่อการพิจารณา Rank ของเควส หากไม่ทราบสาเหตุหรือชนิดของมอนสเตอร์เป้าหมาย จะต้องเปิดเควสสืบค้นหรือใช้บริการจากฝ่ายข้อมูลและการข่าวก่อน กรณีผู้ว่าจ้างจงใจบิดเบือนข้อมูลเควสเพื่อลดค่าใช้จ่ายจนเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของสมาชิกกิลด์ จะถูกลงโทษสถานหนักจากทั้งกิลด์นักผจญภัยและทางการ
(2) จะต้องมีเงินสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ เพียงพอ
(3) ไม่จ้างงานกับหลายๆ กิลด์พร้อมกัน (กรณี setting ในเรื่องนั้นมีกิลด์อยู่หลายกิลด์)
(4) ไม่จ้างงานปราบรามหรือล่ามอนสเตอร์ข้ามเขตชายแดนโดนไม่จำเป็น เพราะอาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ/อาณาจักร
ลักษณะงานไม่พึ่งประสงค์ที่จะถูกปฏิเสธและอาจทำให้ผู้ว่าจ้างถูกจับกุมตัวทันที
(1) งานลอบสังหาร การจ้างวานฆ่า
(2) ลักพาตัว จี้ปล้น ขโมยสิ่งของ
(3) เร่งรัดหนี้สิน (ทวงหนี้)
(4) ลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฏหมาย
(5) จ้างทหารรับจ้างเพื่อก่อการกบฏ
(6) การปองร้ายราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง
หัวข้อต่อไป
สวัสดิการและข้อได้เปรียบเมื่อเป็นสมาชิกของกิลด์นักผจญภัย ... ต่อพรุ่งนี้
สงสัยต้องจ้างคนทำหนังสือสารานุกรมกิลด์นักผจญภัยแล้วสิ
- สวัสดิการและข้อได้เปรียบเมื่อเป็นสมาชิกของกิลด์นักผจญภัย -
(1) บัตรยืนยันตัวตน, member tag ใช้แสดงเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ เช่น ใช้แทนบัตรผ่านเข้าประตูเมืองเวลาไปเมืองอื่นที่มีกิลด์สาขาย่อยตั้งอยู่ โดยจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทาง (แต่ยังต้องแตะคริสตัลตรวจการฆาตกรรมเหมือนเดิม) ใช้แทนส่วนลดได้ประมาณ 10 % กับร้านค้าต่างๆ ที่เป็น partner กับกิลด์นักผจญภัย เช่นร้านขายอาวุธ/ชุดเกราะ ร้านเช่าม้า โรงแรม ร้านขายโพชั่น ฯลฯ
(2) สิทธิ์การเข้าถึงบริการต่างๆ ของตึกสำนักงานกิลด์ได้ในราคาสมาชิกถูกกว่าร้านทั่วไป ได้แก่ อาหาร/เครื่องดื่ม ที่ขายภายใน bar/tavern ของกิลด์ ห้องพักพร้อมอาหารเช้า (คุณภาพแบบพอนอนสบายได้แต่ต้องใช้ห้องน้ำรวม) ห้องสมุดสำหรับหาข้อมูลก่อนทำเควส ร้านขายข้อมูลสถานที่ล่ามอนสเตอร์-แผนที่ดันเจี้ยนกับข้อควรระวังในชั้นต่างๆ ลานออกกำลังกายและสนามฝึกการต่อสู้แบบมีหุ่นฟาง,เป้าซ้อมยิงธนู (มีอาวุธทำจากไม้ให้ยืม) สมาชิกใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีทุนจะมีร้านค้าสวัสดิการขายของให้ในราคาถูก เช่น อุปกรณ์ป้องกันทำจากไม้ อาวุธจากโลหะเกรดต่ำ กระบอกใส่และลูกธนู ยาฟื้นฟูและสมานแผลระดับกลาง (แต่รสชาติค่อนข้างแย่) บริการซ่อมแซมอาวุธ-ชุดเกราะ บริการลับคมมีด/ดาบ/ขวาน ใครที่ยังจ่ายค่าห้องไม่ไหวก็มีคอกม้าให้นอน
(3) ไม่ต้องเสียเวลาหาผู้ซื้อวัตถุดิบและแรร์ไอเท็มต่างๆ เพราะสามารถขายให้กับกิลด์ได้ทันที สำหรับวัตถุดิบค่าตอบแทนจะอยู่ที่ราวๆ ครึ่งหนึ่งของราคากลางในท้องตลาด (แล้วกิลด์ก็จะขายต่อให้กับพ่อค้าคนกลางในราคา 60-70%) ถ้าเป็นไอเท็มชนิดพิเศษหรือหายาก ทางกิลด์นักผจญภัยจะนำของไปเปิดประมูลที่เมืองหลวงให้แล้วค่อยกลับมาส่งเงินในอัตราส่วน 80:20 หลังหักค่าใช้จ่าย
(4) มีงานให้ทำสม่ำเสมอตามจำนวนเควสที่ติดอยู่บนป้ายประกาศ ยิ่งถ้าเป็นกิลด์นักผจญภัยที่มีความน่าเชื่อถือ อัตราการล้มเหลวของเควสน้อย และมีสมาชิกกิลด์ Rank สูงๆ อยู่ในกิลด์ ก็จะยิ่งมีจำนวนเควสและผู้ว่าจ้างเพิ่มตามชื่อเสียง
(5) ไม่มีความเสี่ยงในการถูกโกงเงินรางวัลจากเควสเพราะผู้ว่าจ้างจะต้องวางเงินไว้ที่กิลด์ก่อน
(6) มีโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นอัศวินหรือตำแหน่งที่สูงกว่านั้นได้ในงานพิธีแสดงความสามารถ (ที่จะมีทั้งราชวงศ์และขุนนางระดับสูงมารับชม)
(7) เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างทำเควส สมาชิกปาร์ตี้ที่กลับมาส่งข่าวสามารถขอความช่วยเหลือผ่านเควสกู้ภัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
(8) เป็นที่รักของประชาชนในฐานะผู้ป้องกันเมืองจากมอนสเตอร์
- ข้อเสียในการเป็นสมาชิกของกิลด์นักผจญภัย -
(1) เมื่อทำภารกิจสำเร็จ เงินรางวัลจากเควสจะถูกหักเข้ากิลด์ 20% ก่อนจ่าย
(2) ได้รับเงินค่าตอบแทนจากวัตถุดิบเพียงครึ่งเดียว (แลกกับความสะดวกเรื่องแหล่งขายสินค้า)
(3) ไม่สามารถรับงานเองได้
(4) ต้องพบกับความเสี่ยงระหว่างทำงานตามชื่ออาชีพ
(5) มีเวลาให้ครอบครัวน้อยเพราะอาจต้องเดินทางบ่อย
(6) มีโอกาสกลายเป็นตัวละครเอกเพราะถูกไล่ออกจากตี้/พยายามฆ่า (555+)
เพิ่งจะ 3 ทุ่มเองกูอาจต่ออีกข้อ ถ้าหลังเที่ยงคืนไม่ลงแปลว่านอนแล้วนะ
การตั้งแคลน (Clan) ของนักผจญภัยที่แยกตัวออกมาจากกิลด์
แคลนกับกิลด์นักผจญภัยมันเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง ?
เอาจริงๆ มันก็คล้ายกันอยู่หลายส่วนเลย โดยเฉพาะเรื่องความเป็นองค์กรเอกชนแต่ยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของราชการ พนักงานในแคลนจะมีน้อยกว่ากิลด์เพราะบางตำแหน่งมันไม่จำเป็นอีกต่อไป เช่น แคลนไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายรักษาความปลอดภัยและโรงฝึก เพราะสมาชิกแคลนแต่ละคนมักมีฝีมือพอตัวและไม่ใช่นักผจญภัยหน้าใหม่ (หรือถ้ามีเด็กใหม่ก็จะให้สมาชิกแคลนสอนกันเองโดยตรง) ไม่มีร้านค้าสวัสดิการเพราะอุปกรณ์การรบต่างๆ ของสมาชิกแคลนล้วนเป็นของที่ดีกว่าของในท้องตลาด
ระบบการจ้างงานก็คล้ายกันคือจ้างที่พนักงานต้อนรับ เขียนชื่อ ที่อยู่ สถานะ รายละเอียดเควส แล้ววางเงินค่าจ้างไว้ ที่ต่างกันคือในเอกสารจะมีให้ระบุด้วยว่าเควสมีความต้องการพิเศษอะไรหรือไม่ เพราะเควสที่หลุดมาถึงสำนักงานของแคลนได้ทั้งๆ ที่ค่าจ้างที่นี่แพงกว่า ย่อมแปลว่ากิลด์นักผจญภัยทำเควสนี้ไม่สำเร็จ เช่น อยากให้จับเสือไฟสายพันธุ์พิเศษมาแบบเป็นๆ หรืออยากให้เก็บสมุนไพรแต่สมุนไพรที่ว่าดันขึ้นอยู่ในป่าที่มีสัตว์อสูรระดับสูงเฝ้าอยู่
เควสต่างๆ ในสำนักงานแคลนจะไม่มี Rank เขียนบอก สมาชิกแคลนสามารถรับงานได้เองอย่างอิสระ ทั้งแบบหยิบเอามาจากป้ายประกาศและแบบผู้ว่าจ้างติดต่อคุยกับปาร์ตี้นั้นตรงๆ นอกสำนักงานแคลน อย่างไรก็ตามสมาชิกแคลนต้องแบกรับความเสี่ยงกันเอาเอง ถ้าหากรับงานนั้นแล้วพบว่างานยากเกินไปจนพลาดมีคนตาย ก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรกับทางหัวหน้าแคลนหรือพนักงานต้อนรับได้
ใบจ้างงานบนป้ายประกาศของแคลนจะไม่มีวันหมดอายุ ถ้าปาร์ตี้แรกทำเควสไม่สำเร็จใบจ้างงานเดิมจะถูกนำกลับไปติดที่เก่า สิ่งนี้เป็นเหมือนการรับประกันทางอ้อมว่างานจะต้องเสร็จอย่างแน่นอน หากมองตามความสามารถของสมาชิกแคลนโดยรวม
การขายวัตถุดิบของแคลนมักขายไปที่ผู้ซื้อปลายทางโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เช่นขายแร่เหล็กให้กิลด์ช่างตีอาวุธ, ขายเกล็ดและหนังมอนสเตอร์ให้กิลด์ผู้ผลิตชุดเกราะ ทำให้ส่วนแบ่งของสมาชิกเพิ่มขึ้นและทางแคลนก็ยังเก็บเงินทุนเข้าส่วนกลางได้ตามปกติ สำหรับค่าจ้างจะมีการหักออกเพียง 10% ส่วนการประมูลไอเท็มหายากจะเป็นแบบเดียวกับกิลด์นักผจญภัย
ข้อหนึ่งที่แตกต่างกันมากๆ ระหว่างกิลด์กับแคลน คือแคลนจะจ่ายเงินให้กับสมาชิกแคลนในรูปแบบคล้ายกับเงินเดือนตาม Rank โดยมีเงื่อนไขว่าสมาชิกแคลนจะต้องทำเงินให้กับแคลนได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าของจำนวนเงินเดือน เช่นถ้า Rank C มีเงินเดือน 50 ทอง ภายในเดือนนั้นจะทำกี่เควสก็ได้แต่อย่างน้อยจะต้องทำกำไรเข้าแคลน 100 ทอง หากทำไม่ได้ก็จะถูกลด Rank ลงตอนปลายเดือน เป็นระบบเพื่อให้สมาชิกแคลนมีรายได้ที่แน่นอน และต้องพิสูจน์ด้วยฝีมือของตัวเองอยู่เสมอว่าเก่งพอจะให้ทางแคลนจ่ายเงินให้
แคลนเปรียบเสมือนการมารวมตัวกันของนักผจญภัยฝีมือดีที่รู้สึกว่าผลตอบแทนจากกิลด์นักผจญภัยนั้นน้อยเกินไป บางคนก็มาเข้าแคลนเพราะเคยถูกกิลด์นักผจญภัยไล่ออก หรืออาจย้ายมาเพราะมีความแค้นส่วนตัวกับหัวหน้ากิลด์/พนักงานกิลด์/สมาชิกกิลด์เดิม จำนวนคนในแคลนจะมีน้อยกว่ากิลด์นักผจญภัยอย่างมากจากการจงใจเน้นคุณภาพของบุคลากรมากกว่าปริมาณ รวมไปถึงระดับความยากของเควสแต่ละเควสที่ทำให้สมาชิกแคลนบางส่วนต้องถอนตัวออกไปเอง
ในเควส Rank S ของกิลด์นักผจญภัย บางครั้งทางฝั่งขุนนางผู้ว่าจ้างอาจถูกแนะนำให้จ้างคนจากทางแคลนมาร่วมในการปราบปรามด้วย แม้จะเป็นการสิ้นเปลืองเพราะต้องจ่ายเงิน 2 ทาง แต่เพื่อให้งานปราบสัตว์อสูร์เวทมนตร์ระดับมังกรขึ้นไปสำเร็จได้ง่ายขึ้น การใช้คนที่เก่งจริงๆ มาช่วยก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี นอกจากการทำเควสปราบปรามที่ใช้คนจำนวนมากแล้ว แหล่งเงินทุนสำคัญของแคลนอีกทางหนึ่งก็คือการพิชิตดันเจี้ยน
ด้วยความที่สมาชิกแคลนทุกคนรับงานได้อย่างอิสระ หากมีสมาชิกกลุ่มไหนเจอดันเจี้ยนที่ยังไม่เคยได้รับการสำรวจมาก่อน พวกเขาสามารถลงไปต่อสู้และทำแผนที่เองได้โดยไม่ต้องแจ้งกับทางแคลน ถ้าลุยไปจนถึงจุดที่คิดว่าไปต่อกันเองไม่ไหว สมาชิกแคลนมีหน้าที่ต้องกลับไปแบ่งปันข้อมูลกับสมาชิกแคลนกลุ่มอื่น เพื่อให้ทุกคนมีพื้นที่การล่าใหม่ๆ หรือให้หัวหน้าแคลนลงไปลุยจนกว่าจะเจอบอส ด้วยฝีมือระดับหัวหน้าแคลนอาจทำให้ปราบบอสแล้วนำดันเจี้ยนคอร์กลับขึ้นมาขายได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามอัตราส่วนแคลนที่อยู่รอดจริงๆ มีน้อยมาก (ต้องยุบไปหลังก่อตั้งมากถึง 95%) ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่สามารถสู้ความแข็งแกร่งทางด้านเส้นสายและพันธมิตรของกิลด์นักผจญภัยได้ แม้จะรู้โครงสร้างและวิธีการบริหารแบบกิลด์นักผจญภัย แต่ถ้าไม่มีแหล่งปล่อยขายวัตถุดิบ ถูกกดราคาสินค้า หรือไม่มีลูกค้ามาจ้างงาน อนาคตของแคลนนั้นก็ริบหรี่เต็มที่ ด้วยเหตุนี้เองสมาชิกแคลนบางส่วนถึงขั้นยอมกลับไปสมัครกิลด์นักผจญภัยอีกครั้ง แม้จะต้องถูกเหยียดหยามในระยะแรกก็ตาม
แคลน 5 % ที่เหลือมักเป็นแคลนที่มีเพียง 1-3 ปาร์ตี้ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เก่งและมีชื่อเสียงจนผู้ว่าจ้างติดต่องานเข้ามาให้ทำอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นแคลนส่วนน้อยที่บริหารงานแบบจำกัดได้สำเร็จ มีแหล่งปล่อยขายวัตถุดิบ พิชิตดันเจี้ยนความยากสูงกันได้เองอย่างต่อเนื่อง และข้อสังเกตอย่างหนึ่งของแคลนเหล่านี้คือเป็นกลุ่มรักความอิสระ ไม่สนใจเรื่องการขึ้นเป็นชนชั้นสูงเพราะไม่อยากถูกผูกมัดไว้กับทางอาณาจักร ถ้าใครคุ้นเคยกับเซตติ้งยุคกลาง ย่อมเข้าใจดีว่าการได้รับแต่งตั้ง มีศักดินา หมายถึงการต้องคอยรับใช้หรือบริหารในฐานะเจ้าครองที่ดิน ซึ่งอาจฟังดูไม่สะดวกนักสำหรับคนที่ชอบการผจญภัยอย่างอิสระ
โอเค นอนก่อน หัวข้อต่อไปคือ คนแบบไหนที่จะสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัย "เส้นทางของขุนนางตกอับกับสามัญชนผู้มีความฝัน" ซึ่งน่าจะเป็นอันสุดท้ายแล้วของหัวข้อยุคกลางปลอมกับกิลด์นักผจญภัย
โห... กว่าจะได้เขียนเกี่ยวกับแนว ออกตี้/แก้แค้น ที่ตั้งใจไว้จริงๆ แม่งแวะเยี่ยวนอกเรื่องไปหลายวันเลยนะเนี่ย
ขอถามมึงหน่อย ตกลงกิลด์นักผจญภัยเป็นองค์กรแบบไหน เอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ หรือว่างานราชการ?
>>906 ถือเป็นเอกชน เพราะบริหารจัดการกันเองในกลุ่มนักผจญภัยซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป
ที่กูเคยบอกว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของทางราชการหมายถึง ยังต้องถูกตรวจสอบข้อมูลอยู่เป็นพักๆ จากภาครัฐว่าองค์กรจะไม่เปลี่ยนไปเป็นกองกำลังแบ่งแยกดินแดนจากจำนวนสมาชิกที่มีมากเกินไป หรือมีการรวบรวมนักผจญภัย Rank สูงไว้ในกิลด์เดียวกันจำนวนมากผิดปกติ (ซึ่งอาจนำไปสู่การโค่นล้มอำนาจ)
มันไม่ใช่หน่วยงานราชการเพราะไม่ได้ถูกบริหารโดยตรงทั้งหมดจากภาครัฐ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจด้วยเพราะไม่ได้มีคนจากทางการมาเป็นส่วนหนึ่งในผู้บริหาร/เจ้าของ และกิลด์นักผจญภัยไม่ได้ทำกิจการเฉพาะด้านเพื่อสาธารณะ แต่เป็นเหมือนบริษัทรับจ้างสารพัดของทางเอกชนเสียมากกว่า (บริษัทรับงานจากผู้ว่าจ้าง -> เป็นสื่อกลางให้พนักงานออกไปทำงานที่เหมาะสม -> หักค่าธรรมเนียมเข้าบริษัท -> จ่ายเงินจากลูกค้าให้พนักงาน)
น่าจะอารมณ์เดียวกับ เอกชนที่ถูกจ้างมาโดยราชการอีกที ยุคนี้ก็อารมณ์ประมูลงานเอา
ว่าแล้วก็นึกถึงพวกส้วมตามสถานีขนส่ง แทนที่จะหาคนมาดูแลความสะอาด
ก็เปิดให้เอกชนมาจัดการกันเอง เก็บค่าบริการกันเอง ซึ่งถ้าทำไม่ดี เก็บเงินแพงไป ภาครัฐก็มีสิทธิตรวจสอบหรือไม่ต่อสัญญาได้ในอนาคต
คนแบบไหนที่จะสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัย ? "เส้นทางของขุนนางตกอับกับสามัญชนผู้มีความฝัน"
เช่นเดียวกันกับนิยาย มังงะ ไลท์โนเวล อีกหลายแสนเรื่องที่ใช้ setting แบบยุคกลางปลอม นิยายที่เราจะแต่งเองก็อาจหนีไม่พ้นทั้งเรื่องของการปกครองแบบฟิวดัลและความเป็นแฟนตาซีเวทมนตร์ หัวข้อนี้กูจะมาพูดถึง traits ต่างๆ ของตัวเอกในนิยายแฟนตาซียุคกลางปลอม ซึ่งจะพูดถึงแค่ต้นเรื่องจนถึงตอนไปสมัครเข้ากิลด์นักผจญภัยเท่านั้น เพราะถ้ากูพูดแบบละเอียดไปจนถึงช่วงท้าย มันจะกลายเป็น preset ของพล็อตเรื่องที่เอาไปเขียนนิยายอย่างมักง่ายได้ทันที (ซึ่งกูไม่แนะนำให้ทำ เพราะจะติดนิสัยจนคิดเรื่องเองไม่เป็น) ถ้าจะมองว่าหัวข้อนี้เป็น career path ของตัวละครก็ได้ สำหรับคนที่อ่านแนวนี้มาเยอะอาจฟังดูไม่น่าตื่นเต้นแล้ว (ก็มันมีอยู่ไม่กี่แบบนี่เนอะ)
- Commoner path -
เปิดฉากด้วยสายเกิดเป็นสามัญชนก่อน สายนี้คือมักจะไม่มีพลังเวทถือเป็น negative trait ที่คลิเช่สุดติ่งตามตำรา ก็เลยมักจะหาทางลืมตาอ้าปากผ่านการเป็นนักผจญภัยสายต่อสู้กายภาพ บางคนอยากเข้ากิลด์เพราะพ่อแม่เคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน เห็นว่าเท่ดีก็เลยอยากเป็นบ้าง (ซึ่งจะได้เปรียบตรงที่พ่อแม่มักฝึกฝนการต่อสู้ให้ตั้งแต่เด็ก) บางคนต้องอยากเข้ากิลด์ไปหางานทำหนีความยากจนของครอบครัว บางคนก็ฝันอยากเลื่อนยศขึ้นเป็นขุนนาง
จุดเปลี่ยนข้อถัดมาคือสิ่งที่ได้รับในนิยายที่ใช้ setting แบบมีการมอบ อาชีพ/ยูนีคสกิล/พร ให้ตัวละครตอนเข้าสู่วัยรุ่น ถ้าสุ่มได้อันที่เจ๋งๆ ก็ไม่ต้องไปเป็นนักผจญภัยแต่ตรงไปฝึกที่เมืองหลวงแทน แต่ถ้ามาแนวได้อาชีพธรรมดาใช้ในการรบไม่ได้หรือสกิลไร้สาระ สุดท้ายก็ไปจบที่กิลด์นักผจญภัยเหมือนกัน
ถ้าเป็นสามัญชนแล้วมีพลังเวท ครอบครัวมักจะพยายามผลักดันให้ลูกได้ไปเรียนในสถาบันเวทมนตร์ หรือถ้าข่าวรู้ถึงหูขุนนางท้องถิ่นแถวบ้านก็อาจได้รับทุนไปเรียนโดยแลกกับการเข้าไปทำงานให้หลังเรียนจบ คลิเช่เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือโดน bully ในโรงเรียนว่าถึงจะมีพลังเวทแต่มึงมันก็แค่สามัญชน ถ้าตัวเอกทนการกลั่นแกล้งต่างๆ จนถึงตอนเรียนจบได้ก็ดีไป แต่ถ้าทนไม่ไหวจนไปมีเรื่องกับลูกขุนนาง หรือโดนแกล้งจนไปสอบก่อนจบการศึกษาไม่ทันแล้วเรียนไม่จบ สมาคมนักผจญภัยก็ขอยินดีต้อนรับ
- Nobleman path -
ตัวละครแบบเกิดเป็นชนชั้นสูงลูกขุนนางนั่นนี่ นอกจากพลังเวทที่สืบทอดกันมาตามสายเลือด ยังมีอณูเวทมนตร์จากบาเรียป้องกันภัยที่คลุมอยู่รอบบ้านกับของที่แผ่รัศมีเวทออกมาอย่างไอเท็มวิเศษต่างๆ ในห้องเก็บสมบัติตระกูลอีก การอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ตั้งแต่ในท้องแม่ทำให้ตัวเอกสายขุนนางมักเกิดมาพร้อมพลังเวทโดยอัตโนมัติ ในทางกลับกันถ้าเกิดในตระกูลผู้ดีแล้วดันไม่มีพลังเวท จุดจบก็หนีไม่พ้นการโดนเอาไปทิ้งในป่าตั้งแต่แบเบาะ ไม่ก็พาแม่ซวยโดนเนรเทศไปอยู่บ้านนอกด้วยกัน
บางตัวละครเป็นลูกคนรอง ลูกอนุภรรยา ลูกเมียน้อย ถึงมีพลังเวทก็อาจโดนสกัดดาวรุ่งโดยเมียหลวง พี่ชายคนโต โดนใส่ร้ายต่างๆ จนมีอันต้องออกจากตระกูลไปก่อนเวลาอันควร (แล้วค่อยไปปลดปล่อยพลังเทพซ่าส์ทีหลัง) ตัวละครกลุ่มนี้กับตัวละครแบบมีพลังเวทอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าพี่คนโต บางครั้งอาจอยู่รอดไปจนถึงพิธีรับอาชีพ/สกิล ถ้านักเขียนใจร้อนหน่อยก็จะกำหนดให้ตัวเอกได้อาชีพ/สกิล ที่มันดีๆ ไปเลย ถ้าเป็นพวกอยากเล่าด้วยมุกอื่นๆ ก็อาจกำหนดให้ตัวเอกชนชั้นสูงได้สกิลกากที่ใช้ในการรบไม่ได้ หรือสุ่มโดนสกิลไร้ค่า บังคับให้ตัวเอกต้องถูกตัดออกจากกองมรดก โดนไล่ออกจากตระกูล ตัดขาดความเป็นพ่อ-ลูก, ความเป็นญาติ
สุดท้ายพอไม่มีที่ไปเลยต้องไปหาโอกาสใหม่ๆ ในกิลด์นักผจญภัย หลังจากนั้นก็คล้ายกันทุกเรื่อง คือมีเหตุให้ได้รับความเทพซาส์ 007 ได้พลังโหดๆ OP จนไม่มีใครสู้ได้ ทางบ้านพอรู้ข่าวว่าคนที่ไล่ออกไปจู่ๆ ดันเทพขึ้นมาก็มาตามง้อ แต่เพื่อความสะใจของนักอ่านเลยต้องให้ตัวเอกปฏิเสธอย่างเย็นชาไปด้วยความเอจจี้ จะกลับบ้านทำไมในเมื่อมีสาวๆ รอให้กูพาเข้าฮาเร็มอีกเพียบ คู่หมั้นคนเดียวมันจะไปพออะไร หาสาวเยพร้อมกันทีละหลายๆ คนดีกว่า
โอเคถึงตรงแล้วถือว่าจบหัวข้อกิลด์นักผจญภัยกับยุคกลางปลอมลงเพียงเท่านี้ ถ้ามีอะไรอยากจะพูดแถม คงเป็นเรื่องของ trope ก่อนจะไปถึงจุดที่ตัวเอกปลดล็อคความเทพซ่าส์ ใน setting แบบไม่ใช่แนวต่างโลก สมัยก่อนอาจคิดว่าฝั่งนิยายจีนเป็นแบบนึง แล้วนิยายญี่ปุ่นก็อีกอย่าง พอมาคิดดูดีๆ แล้วมันก็ใช้ trope เดียวกันคือ "ตัวเอกต้องตกต่ำ/โดนดูถูกก่อน แล้วค่อยกลับมาอย่างยิ่งใหญ่" ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กูกำลังจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป "แนวโดนไล่ออกจากปาร์ตี้กับแนวแก้แค้น" ทิศทางและวิธีเล่าอาจแตกต่างกันแต่หลายๆ อย่างแม่งก็เดิมๆ (แถมยังกลายพันธุ์เป็นแนวเทพซ่าส์ไปซะดื้อๆ กลางเรื่องได้ด้วย)
## ถูกไล่ออกจากปาร์ตี้ / ล้างแค้น ##
เอาจริงๆ ใจกูไม่อยากเรียก 2 อย่างนี้ว่าแนวเลยนะ เพราะการถูกไล่ออกจากปาร์ตี้มันเป็นได้แค่ "วิธีการเปิดเรื่อง" แบบหนึ่งของแนวเทพซ่าส์ ส่วนแนว ล้างแค้น/แก้แค้น ก็มีน้อยเรื่องเหลือเกินที่จะคงความเป็น "แนวแก้แค้น" ได้ตลอดจนถึงช่วงท้ายเรื่อง ถามว่าน้อยขนาดไหน... ถ้าจำนวนนิยายแฟนตาซีทั้งหมดเปรียบได้กับจำนวนเส้นxมอยของคนทั้งประเทศ จำนวนนิยายแนวแก้แค้นก็คงประมาณxมอยของคน 1 จังหวัด ส่วนเรื่องที่แก้แค้นแบบจริงๆ จังๆ จนถึงตอนท้ายเรื่องได้โดยไม่ออกทะเลหรือกลายพันธุ์เป็นแนวอื่นแม่งเหลือเท่าxมอยของคน 1 คน (ที่ค่อนข้างดก) บางทีทั้ง 2 หัวข้อนี้มันก็มาอยู่ในเรื่องเดียวกันได้ ถ้าการไล่ออกจากตี้มันเล่นใหญ่จนถึงขั้นวางแผนฆ่าตัวเอก
ก่อนจะคุยกันเกี่ยวกับ จุดแข็ง/จุดอ่อน ของทั้ง 2 อย่างนี้ กูอยากพูดถึงเรื่องของ Escapism ก่อน
Escapism ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันถูกพูดถึงในโม่งมาหลายพันรอบแล้วเพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนิยายอย่างช่วยไม่ได้ ล่าสุดก็ตอนที่โดนโม่งแซะไปข้างบนว่า ถ้าเป็นพวกขี้แพ้แล้วอยากเยียวยาใจตัวเองจากความขี้แพ้เลยหาอ่านนิยายเพื่อให้รู้สึกฟินมันก็ไม่ผิด ขนาดตัวกูเองยังเคยพูดเลยว่า นักอ่านชอบอ่านอะไรที่ทำให้ตัวเองได้ผ่อนคลาย หลีกหนีจากปัญหาต่างๆ ในชีวิตจริงได้ (แม้จะแค่ชั่วคราว) ถึงจะเจ็บใจแต่ยอดขายของนิยายพวกนี้มันสูงจริงๆ ต่อให้นักอ่านส่วนใหญ่ไม่ใช่พวก loser เป็นคนธรรมดาที่ชีวิตดีๆ เขาก็ยังอยากอ่านเรื่องที่ตัวเอกโดดเด่นเหมือนกัน เพราะมันสนุกกว่าการตามอ่านเรื่องของพวกกระจอกหรือเป็นได้แค่เบี้ยล่างของคนอื่นในสังคม
หัวข้อ Escapism เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า พอชีวิตจริงมันเหี้ยแค่ไหน สังคมที่เจอมามันแย่เพียงใด พอเป็นนิยายหรือสื่ออื่นๆ แล้วมนุษย์เราย่อมถวิลหาสิ่งที่สามารถปลอบประโลมจิตใจจากเรื่องพวกนั้นได้ ถึงขั้นสมัยก่อนในการอภิปรายของโม่งยังมีการแซวกันเป็นข้อๆ ว่า
(1) ทำไมต้องไปต่างโลก : เพราะโลกที่กูอาศัยอยู่มันเหี้ย ขี้เกียจทำงานแล้ววะ โดนย้ายไปต่างโลกกลายเป็นฮีโร่ มีพลังโกงๆ ดีกว่า
(2) ทำไมต้องฮาเร็ม : เพราะเป็นคนธรรมดา หน้าตาทั่วไป บ้านไม่รวย *วยก็เล็ก คารมไม่ดี หลีสาวไม่เก่ง ไม่มีอะไรเด่นพอให้คนเหลียวแล
(3) ทำไมต้องเทพบุตรพิศวาส : ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมานาน ทำงานหนักลืมดูแลตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็ใกล้จะขึ้นคาน หาผัวไม่ทัน เพราะแม่ห้ามมีแฟนแต่ตอนนี้เสือกอยากอุ้มหลาน
(4) ทำไมต้องย้อนไปอดีต : ชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาด รู้งี้ไม่น่าทำงั้น มีความรู้สึกเสียใจภายหลังมาเยอะ อยากแก้ไขชีวิตตัวเอง
(5) ทำไมต้องเทพซ่าส์ : อยากเป็นคนสำคัญ อยากขึ้นเป็นใหญ่ อยากพ้นจากความเป็นเบี้ยล่าง อยากได้พลังที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงโลกได้
และอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยให้ฟินน้ำแตกได้ง่าย โดยเฉพาะกับคนที่ชีวิตจริงมีปัญหาอะไรพวกนี้ แถมยังเป็นพวก low self-esteem อีก
** ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีช่วงนึงคุยกันเข้มข้นมากเกี่ยวกับไลท์โนเวล ใครสนใจก็ตามอ่านได้ที่นี่ >>>/webnovel/10275/336-352 **
ดังนั้นจุดแข็งหรือจุดขายของแนวโดนไล่ออกตี้/ล้างแค้น เลยเกี่ยวข้องกับ Escapism ที่เหมาะกับคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย รู้สึกสิ้นหวังในระบบยุติธรรม อยากจัดการคนที่มาเอาเปรียบแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งในโลกของเราที่เต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชน คนรวย คนมีอำนาจ ที่อยู่เหนือกฏหมายแล้ว ทั้ง 2 แนวนี้ก็ยิ่งเข้าถึงและอินได้ง่าย
เหมือนกับตัวเอกแนวโดนไล่ออกจากปาร์ตี้ ที่โดนสมาชิกคนอื่นเหยียดหยามสารพัด โดนโขกสับใช้งานเพียงเพราะมีส่วนร่วมในการสู้มอนสเตอร์น้อยกว่าเพื่อน วันดีคืนดีก็โดนเตะออกจากปาร์ตี้ด้วยเหตุผลบ้าๆ หรือข้ออ้างอย่าง "มึงมันหมดประโยชน์แล้ว เอาคนที่เก่งกว่ามาเข้าตี้แทนจะดีกว่า"
กับแนวแก้แค้นที่ตัวเอกถูกหลอกใช้ ถูกใส่ร้าย ถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจ บางเรื่องก็ตายไปทั้งๆ ที่ยังมีความอาฆาต บางเรื่องถูกส่งไปยังดันเจี้ยนมหาโหด ต้องหนีตายอย่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง บางเรื่องอยู่ไปก็เหมือนตายทั้งเป็นเพราะถูกป้ายสีจนหมดอนาคต
สิ่งที่ทำให้ทั้ง 2 แนวนี้มัน work คือการเล่นกับความรู้สึกด้านลบของคนอ่าน การหากินกับสันดานดิบของมนุษย์ที่ลึกลงไปล้วนก้าวร้าวและแสวงหาความรุนแรง เพิ่มความ satisfying หรือ "ความสะใจ" เข้ามาในเนื้อเรื่อง จากที่ปกติมีแค่ความ comforting, relaxing
เคยสังเกตเห็นกันใช่มั้ยว่าทำไมคนถึงสนใจฝั่งปาร์ตี้เก่ามากกว่าปาร์ตี้ใหม่ของตัวเอก และทำไมคนถึงสนใจวิธีการแก้แค้นของตัวเอกมากกว่าเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง คำตอบคือเพราะคนเรามันชอบความรุนแรงไง เหมือนรู้อยู่แล้วว่ายังไงตัวเอกมันก็ต้อง OP เทพซ่าส์ขึ้นเรื่อยๆ เลยไปโฟกัสกับความฉิบหายของพวกคนที่ไล่ตัวเอกออกมากับโฟกัสว่าอีกแนวจะแก้แค้นยังไงให้สาสมแทน กลายเป็นความบันเทิงรูปแบบใหม่ ได้ฟินจากทั้งเรื่องดีที่เกิดขึ้นกับตัวเอกและเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวโกง
แนวนึงมีบ่อเกิดมาจากความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีใครเห็นคุณค่า เลยอยากให้รู้ว่าถ้าขาดตัวเองไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น กับอีกแนวก็คือต้องเจอกับความอยุติธรรม เจอเรื่องเหี้ยๆ แต่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ เลยอยากเป็นศาลเตี้ย อยากได้พลังเอามาใช้แก้แค้น โดยสรุปแล้วก็มีอยู่แค่นี้ล่ะ
สำหรับจุดอ่อนกูขอยืมคำตอบส่วนหนึ่งจาก >>853 มาอ้างอิงว่า เนื้อเรื่องของทั้ง 2 แนวนี้มันตันเร็ว แนวออกตี้ถ้าตบคนในตี้ครบแล้วจะทำอะไรต่อ ? แนวแก้แค้นถ้าแก้ครบแล้วจะจบเลยมั้ย ? แล้วไอ้ช่วงต้นเรื่องกับกลางเรื่องนี่ก็ด้วย มันเขียนตามกันมาเยอะจนโดนคนอ่านเดาทางออกกันหมดแล้ว ว่าแนวแรกคือ โดนไล่ > ตี้พัง > เทพซ่าส์ > ตบเพื่อน กับแนวหลังคือ โดนฆ่า > รอดตาย/ตายแล้วฟื้น > เทพซ่าส์ > แก้แค้น ถ้าเลี้ยงเนื้อหาไม่ดีก็จะจบเร็วเกินไปหรือถ้าพยายามใส่ filler เข้ามายืดเรื่องก็จะโดนคนอ่านด่าเอาได้ แต่เรื่องนี้กูมีทางออกให้นะเพราะเคยอ่านเจอวิธีอย่างการขยายสเกลเรื่อง เช่น ตบตี้เก่าแล้วพบว่าพวกนี้โดนราชวงศ์สั่งมาอีกทีก็เลยตามไปล่อพระราชาต่อ แนวล้างแค้นก็เหมือนกันอาจตามไปเก็บคนที่อยู่เบื้องหลังพวกนักฆ่าอีกที
เดี๋ยวคืนนี้เอาแค่นี้ก่อน ช่วงต่อไปจะเป็นตัวอย่างแนวแก้แค้นกับแนวไล่ออกจากตี้ที่กูคิดว่าโอเค โดยเฉพาะวิธีเปิดเรื่องกับ setting ที่ใช้
กูแนะนำโม่งรวบรวมแล้วทำเป็นไฟล์ Docx เอาไว้ด้วย เพราะเป็นข้อมูลอ้างอิงให้คนอื่นได้ดีเลย
สำหรับกูรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วยังนั่งอ่านเอาเพลินๆ ได้ จึงอยากจะแนะนำให้ทำเป็น Sheet docx เก็บเอาไว้เลย
ชักเริ่มเห็นด้วยกับโม่งข้างบนแล้วล่ะ โม่งที่นี่คือแหล่งคนที่มีระดับการอ่านสูงกว่าเด็กดีซะแล้วว่ะ
สวัสดีปีใหม่ 2567 เพื่อนโม่ง
ก่อนเข้าสู่เนื้อหาส่วนของตัวอย่างเรื่องต่างๆ กูอยากคุยเกี่ยวกับการขยายสเกลเรื่องหลังจากหมดมุกแล้วความพีคมันดรอปลง แต่นักเขียนพยายามฝืนเดินเรื่องต่อโดยใช้วัตถุดิบเดิม ตัวอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนคือเรื่อง tate no yuusha no nariagari (ผู้กล้าโล่)
ผู้กล้าโล่เปิดเรื่องด้วยการถูกใส่ร้ายจนตัวเอกต้องหลุดจากปาร์ตี้หลักของ 4 ผู้กล้า เป็นการผสมผสานกันระหว่างทั้งโดนไล่ออกและแก้แค้นในระดับปานกลาง เนื้อหาระหว่างทางมันก็ทำได้ดีอยู่ แต่ไม่ว่าจะเคยอ่านนิยายหรือดูเมะมาก็คงรู้สึกได้เลยว่า พอจบจากฉากลงโทษอีดอกตัวร้ายไปแล้ว สิ่งที่สามารถสร้างความ satisfy มันก็หมดลงไปด้วย เข้าใจกันใช่มั้ยว่าฉากที่ความจริงเปิดเผยมันเหมือนกับการได้เคี้ยวอ้อยแล้วน้ำหวานกระจายทั่วปาก กลืนเสร็จก็เหลือไว้แค่ซากอ้อยที่แทบจะไม่มีรสชาติ ต่อให้นักเขียนมันขยายสเกลเรื่องว่าพวกที่โผล่มาใน wave ต่างๆ เป็นผู้กล้าจากมิติอื่น ความน่าสนใจที่หลอกล่อให้คนติดตามช่วงแรกก็ลดลงไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้วยิ่งใช้มุกอีดอกตัวร้ายตัวเดิมหลอกผู้กล้าคนอื่นๆ ให้หลงผิดอีกรอบ มันคือการบังคับให้คนอ่านเคี้ยวซากอ้อยในปากต่อ ซึ่งก็อาจพอเหลือความหวานอยู่บ้างแต่มันก็น้อยเต็มที ไม่น่าแปลกใจเลยที่คะแนนในอนิเมะ SS2 จะหล่นวูบขนาดนั้น แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นเจ้าของเรื่อง อยากยืดขายขนาดไหนก็คงต้องแล้วแต่เธอ
สิ่งที่กูอยากสื่อคือ ทั้ง 2 แนวนี้ถ้าวัตถุดิบหลักหมดไปแล้วมึงไม่แน่ใจว่าจะเอาเนื้อหาส่วนหลังจากนั้นอยู่ ขอแนะนำให้ตัดจบเสียดีกว่า
สำหรับอีกเรื่องที่กำลังอยู่ในกระแสหลักก็คือ Kingdom of ruins เรื่องนี้ถ้าไม่ติดว่านางเอกน่ารำคาญและโลกสวยเกินไปหน่อย ก็ถือเป็นแนวแก้แค้นที่ทำได้ดีพอสมควร มันใช้การแก้แค้นมาอธิบายแรงจูงใจและการกระทำของตัวเอกได้ชัด อันที่กูชอบมากคือการหักมุมไปมาแทบจะตลอดเวลา (จนบางทีกลายเป็นจุดอ่อนให้ถูกเดาเรื่องได้) เล่าเรื่องให้คนอ่านเข้าใจได้ว่าโลกเรามันก็เทาๆ ไม่ได้มีฝั่งไหนที่ดีจริงๆ หรอก ขนาดตัวเอกเองยังยอมรับเลยว่ามันไม่ใช่คนดี เรื่องนี้โดนนักอ่านบางส่วนติเรื่องพล็อตโฮล เกี่ยวกับตอนที่ตัวเอกถูกจับตัวได้แล้วทำไมไม่ฆ่า จะขังไว้รอจนโดนเจ้าตัวกลับมาเอาคืนไปเพื่ออะไร คำตอบมันอยู่ในเนื้อหาของภาคก่อนอย่าง Kingdom of Caliburn
**** ย่อหน้าถัดไปมีสปอย ถ้าอยากอ่านเองโดยไม่เสียอรรถรส ขอให้ข้ามกรอบสปอยไปได้เลย ****
[----------------- spoiler alert ----------------------]
โอเคก่อนอื่นกูอยากบอกว่า Kingdom of Caliburn ตั้งแต่ตอนที่ 9 จนถึง 176 หาอ่านในเน็ตไม่ได้อีกต่อไปเพราะเจ้าของลบเรื่องออกไปแล้ว ส่วน 177-186 ซึ่งเป็น arc สุดท้ายกูไปใช้กำลังภายในหาเวอร์ชั่นนิยายมาอ่านได้ (หายากจนเล่นเอาเหงื่อตกเลย) ถ้าจะให้อธิบายคือทั้ง 2 เรื่องนี้มันเป็นคนละจักรวาลกัน แต่มีวัฏจักรเดิมเกิดขึ้นแม้เนื้อหาจะแตกต่างกันอยู่บ้าง ไอ้วัฏจักรที่ว่าคือในแต่ละจักรวาล ตัวละครที่เป็นอาจารย์ของตัวเอกชายจะถูกฆ่า ตัวเอกชายกับตัวเอกหญิงที่มีเวทมนตร์แห่งรักจะหาทางไปสู้กับบอสใหญ่ด้วยกัน แต่จะจบลงด้วยตัวเอกชายถูกบอสใหญ่ตัดหัว แล้วเอาหัวตัวเอกชายไปต่อกับศพไม่มีหัวของตัวเอกชายจากจักรวาลก่อน ส่วนนางเอกในจักรวาลนี้จะหาทางข้ามมิติไปเป็นบอสจักรวาลใหม่เพื่อทำแบบเดียวกัน ถ้าอ่านแล้วงง ก็ให้อ่านต่อที่ย่อหน้าถัดไป
(1) ในจักรวาล-A พระเอก-A กับแม่มดชื่อดรอสเซลสู้บอสแล้วแพ้ พระเอก-A ถูกตัดหัว ดรอสเซลเสียใจเลยข้ามไปจักรวาลใหม่พร้อมร่างกายของพระเอก-A
(2) ในจักรวาล-B นายอัลเฟรด (พระเอกมิตินี้) กับโดโรธีสู้บอสแล้วแพ้ อัลเฟรดถูกตัดหัวไปต่อกับร่างกายพระเอก-A พระเอก-A ฟื้นคืนชีพ โดโรธีรับไม่ได้เลยพกร่างกายอัลเฟรดข้ามไปจักรวาลใหม่
(3) มาถึงจักรวาล-C โดโรธีกลายเป็นบอส สั่งกวาดล้างแม่มดซึ่งโคลเอ้ (อาจารย์ตัวเอก) ก็โดนด้วย นายอโดนิสกับโดโรกะเลยเดินทางไปสู้โดโรธี
ข้อ 2 คือเนื้อเรื่องในภาค Caliburn ส่วนข้อ 3 คือเนื้อเรื่องของภาคปัจจุบัน (ภาค ruins) เหตุผลที่พวกมนุษย์ไม่ฆ่าอโดนิสทันที เป็นเพราะโดโรธีสั่งไว้ การตัดหัวตัวเอกทั้งที่ยังไม่ได้เจอกับโดโรกะ (แม่มดที่มี Love magic ของจักรวาลนี้) จะทำให้เรื่องราวในวัฏจักรผิดเพี้ยนจนหัวของอโดนิสใช้คืนชีพให้อัลเฟรดไม่ได้ เหตุการณ์ในเรื่องมันเลยกลายเป็นอย่างที่เห็น
พอเป็นแบบนี้แล้วนักเขียนคงตัดสินใจลบเนื้อหาภาค Caliburn ออกหมดเพราะมันเป็นการสปอยเนื้อหาภาคใหม่ อย่างไรก็ตามลางสังหรณ์ของนักเขียนบอกกูว่าภาคนี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเกิดขึ้น โดยเฉพาะการสิ้นสุดของวัฏจักรแห่งความทรมานเนี่ย ถ้าไม่ใช่ว่าบอสใหญ่พ่ายแพ้เป็นครั้งแรกก็อาจเป็นนางเอกภาคนี้ปลงตก ไม่คิดจะต่อหัวให้พระเอกอีกต่อไป cirle แห่งความจังไรก็จะจบลงได้เสียที
[----------------- end of spoil ----------------------]
เป็นเรื่องแนวแก้แค้นที่กูว่า lore มันทำได้ดี มีการผสมผสานการเล่าด้วยพื้นหลังและสถานที่อย่างมีสเน่ห์ ถ้าให้ลองเทียบเกี่ยวกับสไตล์การเล่าของทั้ง 2 ภาค มันทำให้กูนึกถึงเรื่อง "จอมโจรจิ๊ง" ทั้ง 2 ภาคขึ้นมาเพราะมันคล้ายกันมาก ภาคแรกจะเล่าด้วยเซตติ้งแบบแฟนตาซีคลาสสิคแล้วภาคหลังจะเล่าด้วยแฟนตาซีผสมกับอารมณ์แบบไซ-ไฟ (ในเรื่องมีเทคโนโลยีล้ำสมัย)
ที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ต่อจากผู้กล้าโล่ เป็นเพราะการขยายสเกลเรื่องของเรื่องนี้ทำได้ดีกว่าแบบเทียบไม่ติด ตัวเอกมันไล่ระดับการแก้แค้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ได้โดยไม่ทำให้ความพีคลงลงเพราะศัตรูที่ต้องแก้แค้นมีหลายกลุ่ม ส่วนหนึ่งกูว่ามันเป็นเพราะผู้กล้าโล่ไม่ได้จะเน้นการแก้แค้นแต่หนักไปทางชีวิตที่ดีขึ้นของตัวเอก ดังนั้นการนำเสนอของนักเขียน King of ruins เลยดูเข้าท่ากว่า แล้วคงจบลงได้แบบไม่ต้องยืดเนื้อหาต่อด้วยน่ะ
- ตัวอย่างเรื่องแนวแก้แค้น - (มีสปอยแน่นอน ถ้าไม่อยากโดนก็ดูแค่ชื่อพอ) ที่กูพอนึกออกว่าแก้แค้นจริงๆ มีอยู่แค่ 3 เรื่องคือ
Fukushuu O Koinegau Saikyou Yuusha Wa, Yami No Chikara De Senmetsu Musou Suru (หรือที่รู้จักกันในชื่อไทยว่าผู้กล้าราอูล)
Koibito o netorare, Yuusha party kara tsuihou sa retakedo, EX Skill [Kotei Dameeji] ni mezamete muteki no sonzai ni. Saa, Fukushuu o hajimeyou (แดมเมจธาตุมืดตายตัว 9999)
กับ [Nidome No Yuusha] Maou yo, Sekai no Hanbun wo Yaru Kara Ore to Fukushuu wo Shiyou (โดนหักหลังจนเสียคน)
เรื่องแรกเป็นแนวผู้กล้าโดนหักหลังตอนจัดการจอมมารได้สำเร็จ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เนื้อหาแม่งทำเอาผู้กล้าฮิลยอดนักเย้ดกลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลย เดินหน้าเอาคืนเรียงตัวไม่มีพัก ใครใจไม่แข็งพอแนะนำว่าอย่าหาอ่าน จะเวอร์ชั่นนิยายหรือมังงะก็มีความกุโระหนักพอกัน นอกจากความป่าเถื่อนชนิดที่ไม่มีความหวังว่าจะได้ทำอนิเมะแล้ว ตัวเอกแม่งเน้นแก้แค้นแบบไม่มีความเงี่ยนเข้ามาเกี่ยว เอาจริงๆ มันมีแก้แค้นอีกหลายเรื่องที่โอเค แต่ส่วนใหญ่ชอบมีการเอาคืนด้วยการเด้าเข้ามาปนในเนื้อหาเยอะไป กูเลยข้ามเพราะถ้าลองคิดแบบตัวเอกสายแก้แค้นดู มันยากที่จะมีอารมณ์กับคนนิสัยแบบนั้น (แค่คิดก็ขยะแขยงแล้ว) ถือเป็นเรื่องเดียวที่กูอ่านแล้วประทับใจในความจริงจังต่อแนวเรื่อง ตัวเอกเป็นตัวละครแนว Lawful Evil มีการผสมผสานความเชื่อระหว่างหลายศาสนาทั้งคริสต์ พุทธ ฮินดู เชน เกี่ยวกับโลกหลังความตาย หลายๆ คนเลือกตัดจบเรื่องนี้ถึงแค่ตอนล้างแค้นนักบุญสำเร็จ เพราะในขั้นตอนการอัพสเกลเรื่องมันเริ่มจะออกทะเลนิดๆ ย่อหน้าต่อไปมีสปอยเนื้อหา ถ้าใครอยากอ่านเองเพื่อให้ได้อรรถรสมากกว่าขอให้ข้ามไป
[----------------- spoiler alert ----------------------]
ในช่วง 60% แรกของเนื้อหายังเป็นแค่การแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟันอยู่ หลังจากจัดการคนที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่บนโลกมนุษย์แล้ว ตัวเอกหลอกใช้น้องสาวจอมมารให้มาฆ่าตัวเองจะได้ลงนรกไปคิดบัญชีกับนักบุญต่อ เพราะอีนักบุญนี่มันมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำไปล้วนถูกต้อง (เพราะทำตามคำสั่งของเทพธิดา) ตัวละครแบบนี้แหล่ะที่สร้างความฉิบหายมานักต่อนัก ประเภท "ชั่วร้ายแต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองชั่วร้าย" แยกแยะไม่ได้ว่าที่ตัวเองทำมันเลวหรือไม่ ไร้สามัญสำนึกทำตามความเชื่อของตัวเองแบบสุดโต่ง เป็นความชั่วที่อันตรายสุดๆ ไปเลย ทีนี้พอจบจากทำให้นักบุญ mindbreak เรียบร้อย ตัวเอกรู้ความจริงมาว่าทุกอย่างที่ต้องเจอ เป็นแค่รายการเรียลลิตี้โชว์ของพวกเทพเจ้า ทุกความเจ็บปวดที่กูต้องเผชิญกลายเป็นความบันเทิงของพวกแม่ง นั่งดูกูโดนกระทำกันอย่างสนุกสนานมาตลอดแบบนี้ เดี๋ยวพวกมึงเจอกูแน่ การขยายสเกลใน arc ใหม่เลยเข้ารูทเหมือนเกม God of war มีเป้าหมายคือไล่ฆ่าพวกเทพเริ่มต้นจากท่านยมในนรกที่กำลังเดินเรื่องอยู่เป็นตัวแรก
บอกตรงๆ เลยว่า ณ จุดๆ นี้ของเรื่องคือไม่มีใครที่สภาพจิตปกติแล้วในกลุ่มตัวละครหลัก คนส่วนใหญ่ที่ติดตามเรื่องนี้อยู่ก็ทำได้แค่รอดูว่ามันจะจบยังไง
[----------------- end of spoil ----------------------]
เรื่อง 2 ก็โอเค ไล่เก็บทุกคนจนครบ ต้นเหตุของความฉิบหายมาจากความเงี่ยนของผู้กล้า กับแผนการใช้ตัวเอกเป็นเหยื่อสังเวยเพื่อให้ผู้กล้าเก่งขึ้น เพราะยิ่งตัวเอกจมดิ่งสู่ความมืดแค่ไหน พลังแห่งแสงของผู้กล้าก็ยิ่งมีอานุภาพมากขึ้นเท่านั้น ถ้าตัวเอกตายไปตอนต้นเรื่องทุกอย่างก็จบไปแบบเงียบๆ แต่เจ้าตัวดันรอดมาได้
เรื่องสุดท้ายพล็อตคล้ายกับเรื่องแรก แต่ต่างกันตรงตัวเอกเป็นผู้กล้าที่โดนอิเซไคมา ฆ่าจอมมารได้แล้วก็โดนเก็บเพื่อไม่ให้อยู่เป็นหอกข้างแคร่ เอาคืนแบบโรคจิตดีโดยมีจุดขายเป็นการแก้แค้นแบบ new game+ เพราะตายแล้วย้อนเวลากลับมาตอนแรกของเรื่อง คนบงการเบื้องหลังดันอยู่ในห้องอัญเชิญพอดีทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย ชีวิตแรกเขาเป็นคนดีแต่ชีวิตนี้เขาจิตไปหน่อย น่าเสียดายตรงหาอ่านนิยายยากแล้ว เพราะ web novel โดนไล่ลบออกหลังได้ตีพิมพ์กับ kadokawa Jp.
แนวไล่ออกจากปาร์ตี้ เดี๋ยวมาต่อให้พรุ่งนี้
เออแล้ว ไอ้แนวไล่ออกจากปาร์ตี้ใครเป็นคนต้นคิดรายแรกของโลกว่ะ
>>918 อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ะ
ก่อนจะโดนหยิบเอามาใช้กันเกร่อแบบนี้มันต้องมีคนจุดประกายเริ่มใช้เป็นคนแรกๆ อยู่ละ แค่ตอนนั้นยังไม่ดังหรือยังไม่มีเรื่องที่ทำให้แนวนี้มันฮิตขึ้นมา
เหมือนสมัยก่อนอินุยาฉะก็เป็นแนวต่างโลก เมจิคไนท์เรเอิร์ธก็ต่างโลก มันก็ใช้พล็อตนี้กันมาเรื่อยๆ จนมันมาดังเพราะเรื่องแนวต่างโลกยุคหลังๆ แบบที่ลอกกันแล้วใช้วิธีโดนรถบรรทุกชนเหมือนกันหลายๆ เรื่องอะ
มีใครนึกออกมั้ยว่าแนวโดนไล่ออกมาแล้วเทพขึ้นทีหลังเนี่ยมีอะไรบ้างที่เป็นเรื่องยุคบุกเบิก (นอกจากผู้กล้าโล่)
>>918 >>920 แรกๆ มันไม่ใช่แนวที่เรียกว่าออกจากปาร์ตี้น่ะ โดยรวมคือเรื่องแนวนี้ในเว็บนิยายต่างๆ ของญี่ปุ่นเขาใช้ Tag ว่า 追放もの (exile - เนรเทศ) ไม่ได้จำกัดแค่สมาชิกปาร์ตี้ปราบจอมมาร, ปาร์ตี้ Rank S หรือปาร์ตี้ฮีโร่ แต่เป็นโดนขับไล่ในลักษณะอื่นๆ ได้ด้วย เหมือนที่กูเคยให้ตัวอย่างไปในหัวข้อ "ใครบ้างที่จะไปสมัครเป็นนักผจญภัย" (+แบบอื่นๆ ที่กูพอนึกออก)
- ลูกขุนนางสุ่มได้สกิลกากเลยโดนไล่ออกจากบ้าน
- เพื่อนสมัยเด็ก 4 คนสัญญากันว่าจะไปเป็นนักผจญภัย แล้ว 1 ใน 4 ดันได้สกิลกากเลยโดนขับออกตี้
- โดนใส่ร้ายจนต้องจากเมือง แล้วไปเจอของเทพที่เมืองใหม่
- ปาร์ตี้นี้มีพระคนเดียวก็พอ!! บทบาทในปาร์ตี้ไปซ้ำกับเพื่อนอีกคน แต่โดนไล่ออกเพราะไม่มีหี (น่าสงสาร...)
- เคยเทพมากๆ แต่เจอคำสาปแล้วกากลง เลยโดนเชิญออกจากความเป็นฮีโร่ ก่อนจะมีคนมาถอนคำสาปให้แล้วกลับมาเทพซ่าส์
- เป็นคนล้มบอสได้ แต่ราชาอยากยกผลงานให้เจ้าชาย เลยโดนเนรเทศไปอยู่บ้านนอก
- โดนทำนายว่าจะทำให้ประเทศล่มจมเลยโดนไล่ไปอยู่ที่อื่น
เอาเป็นว่าแนวนี้มันก็ไม่ใช่แนวใหม่เหมือนกัน มีมานานแล้วจนเหมือนตัวอย่างแฟนฟิคที่ >>920 บอก ซึ่งก็อาจยืมแนวทางของแนวนี้มาอีกที
ถ้าเอาตามที่กูไปค้นข้อมูลมาอ้างอิงจากแนว exile ที่ตอนนี้ serialized จากนิยายเป็นมังงะ หรือเป็นอนิเมะ 5 อันดับแรกเขียนขึ้นในปี 2020 (อันดับท้ายๆ เก่าสุดเขียนปี 2013) เลยสงสัยว่าเป็นเพราะความแค้นส่วนตัวช่วง โควิด-19 ระบาด โดนไล่ออกจากงานแล้วมาเขียนนิยายระบายอารมณ์กันรึเปล่าวะ ส่วนมากโดนไล่ออกแล้วเทพภายหลัง Epic cumback ไปมีฮาเร็มและใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กันด้วยนะ ตกงานแล้วคงหา Escapism ปลอบใจตัวเองรึเปล่าหว่า
พักหลังก็เห็นแนว กองทัพหลุดไปต่างโลกชักบ่อย แต่พอเห็นบอกว่าเป็นทหารจากมณฑลไท่กั๋วแล้ว กุนี่หลุดขำพรืด ทุกที
>>923 ผมไปศึกษาศักยภาพทัพไทยมาแล้วผมนี่ตาสว่างเลย ผมได้รับรู้ว่าทหารเนี่ยไม่เกณฑ์คนก็แห่กันไปสมัคร ไปตุยกันที่ไหนเขาก็ไปกัน รบบ่อยคนยังอยากไปตุย ให้ทุนเรียนฟรี สวัสดิการรักษายกครอบครัว ตุยก็มีเงินเดือน ได้เป็นทหารผ่านศึกคือฮีโร่ คนธรรมดาได้ยินยังต้องบอกว่าขอบคุณที่รับใช้ชาติ ผมนี่อยากแต่งนิยายทัพเมกา เย้ย! ทัพไทยไปต่างโลกเลย
ไหนๆพูดถึงทหารแล้ว กิลด์นักผจญภัยก็แล้ว ทำไมไม่เห็นพูดถึง "ทหารรับจ้าง" ล่ะ
ทหารปกครองประเทศนี้บ่อยผ่านการปราบนักการเมืองโกงกิน จนกุคิดว่าควรเอางบส่งพวกทหารเรียนสูง ๆ ประเทศกุจะได้เจริญสักที พวกเมิงว่าดีไหม เพราะถ้าพวกท่าน ๆ ฉลาดกันบ้านเมืองเราคงเจริญเหี้ยไปแล้ว
>>932 เรียนสูงกับฉลาดมันคนละเรื่องนะ ไม่เห็นพวกwoke ที่จบดร. ฮาวาดหรอ
คนไทยเก่งแต่จำกับทำตาม มันคิดเองไม่ค่อยเป็น บ้ากระแสด้วย
ดูกระแสนิยายไทยได้อะ สะท้อนเลย สาละวันเตี้ยลงๆ คุณภาพต่ำลงๆ ภาษาที่ใช้ยังแย่ลงเรื่อยๆเลย แต่อีโก้ด้วยนะไม่ยอมรับ
คนไทยเก่งเรื่องวิชาชีพอะ แต่ไม่เก่งเรื่องวิชาการกับอะไรที่ต้องคิดเรื่องใหม่ๆ
เอาเรื่องพวกนี้ไปแต่งแนว AU ได้เลยนะ ในจักรวาลที่พวกอักษะชนะสงคราม
พวกมึงตีกันอีกแล้วเรอะ Mong ... Mong never changes จริงๆ (แต่ก็ดี กูชอบอ่านแล้วเอาไว้ทำพล็อตเรื่องใหม่ๆ)
ในที่สุดก็มาถึงหัวข้อหลักกันเสียที
เรื่องล่าสุดของแนวออกตี้ที่ได้ทำอนิเมะน่าจะเป็น Yuusha Party wo Tsuihou Sareta Beast Tamer, Saikyou Shu Nekomimi Shojo to Deau อืม... แน่นอนว่าทำมาแค่โปรโมตหลอกให้คนมาซื้อนิยาย กูเลือกเรื่องนี้มาคุยในแบบเดียวกับ Kingdom of ruins เพราะมันได้ทำอนิเมะเหมือนกัน และที่สำคัญคือแม่งเป็นเรื่องที่ "โคตรจะตามขนบแนวไล่ออกจากปาร์ตี้อย่างที่นิยายเรื่องหนึ่งจะเขียนตามสูตรสำเร็จออกมาได้" ไม่เคยเจอเรื่องออกตี้เรื่องไหนคลิเช่เท่านี้มาก่อน มีปาร์ตี้ผู้กล้าสมาชิกครบทุกบทบาท ตัวเอกไม่รู้ว่าตัวเองเทพ ด้านปาร์ตี้ก็คิดว่าที่ตัวเอกทำคือเรื่องปกติ ใช้ท่าไม้ตาย LN ทั้ง 3 ข้อได้ครบ (ตัวเอกที่ เซลฟ์-อินเซิร์ท ได้/สาวๆ ที่ใจง่าย/สกิลเทพที่มีมาตั้งแต่เกิด) และมีความสนุกในระดับพอใช้
ในหลายๆ จุดขาดความสมเหตุสมผล สาวๆ หลงรักตัวเอกง่ายเกินไป ปาร์ตี้ฮีโร่ที่โง่และกาก มีมุกหัวตี้เก่าแพ้แล้วพาลหาแหล่งยืมพลังมืดมาสู้ซึ่งถูกใช้มาแล้วหลายล้านครั้ง การควบคุม pacing ทำได้แย่ เล่นเอาบางช่วงกูต้องถอดสมองก่อนสกิมต่อไม่งั้นจะอดใจด่าทุกๆ 2 ย่อหน้าไม่ไหว จุดที่ควรเล่าเพราะมีโมเมนต์ซึ้งๆ เสือกเขียนนิดเดียว ฉากต่อสู้กับหัวตี้เก่า/ลูกขุนนางที่สามารถจบได้ใน 1 หน้า เสือกลากยาวเหมือนดราก้อนบอลยิงคลื่นเต่าทั้งตอนไม่เสร็จ แล้วได้ยินเสียงน้าต๋อยเซมเบ้พูดก่อนจบว่า "แล้วพบกันใหม่ในสัปดาห์หน้า" พร้อมตัวหนังสือ つづく มุมจอ เป็นแบบนี้กับการต่อสู้แทบทุกครั้งเพราะตัวเอกมีนิสัยตามขนบ MC ของญี่ปุ่นคือไม่อยากฆ่าคนและพร้อมให้อภัยถ้าอีกฝ่ายสำนึกผิด (naive จนบางทีน่าหงุิดหงิด) ซึ่งตรงกันข้ามกับตัวเอกจีน, เกาหลี ที่เดินหน้าฆ่าไม่เลี้ยง
สรุปว่า มันสนุกแบบพออ่านได้เพลินๆ เอาไว้อ่านตอนขี้หรือนั่งรอคิวนานๆ ก็น่าจะพอไหว แต่ถ้าหวังว่าเรื่องนี้จะ good read นี่ฝันไปเถอะ อย่างไรก็ตามใครอยากได้ตัวอย่างแนวไล่ออกจากปาร์ตี้ที่มีความเป็นแนวนี้โคตรๆ กูแนะนำให้ลองอ่านดู รับรองว่าจะสำเร็จวิชา "ออกจากตี้ไปเทพซ่าส์ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กับไวฟุ 101" ได้ในระดับผลการเรียนยอดเยี่ยมเลยทีเดียว มีข้อนึงที่กูคิดว่าเรื่องนี้ทำได้ดีคือ มันใช้ความเป็นเทมเมอร์มาอ้างอิงความแข็งแกร่งตัวละครได้อย่างถูกต้อง พวกสาวๆ ที่โดนเทมเนี่ยเก่งอยู่แล้วส่วนพระเอกก็ได้รับพลังใกล้เคียงกันกับสาวๆ มาใช้ ทำให้ความเทพมันไม่โดดสูงขึ้นไปจนเสียสเกลพลัง และถึงจะเก่งขึ้นแบบจำกัดแต่หลายๆ อย่างที่ได้มานี่ก็ทำให้เทพกว่าตี้ฮีโร่ไปหลายขุม ยิ่งเทมสาวได้เพิ่มก็ยิ่งได้ความสามารถอื่นๆ มากตามไปด้วย
แต่สมมุติถ้าอยากได้แนวออกตี้แล้วเทพสัสหมา OP แบบไม่สนว่าสเกลพลังในเรื่องจะพังพินาศหรือไม่ กูขอแนะนำเรื่องพวกนี้แทน
Keikenchi Chochiku de Nonbiri Shoushin Ryokou (โดนไล่ออกแถมเมียทิ้งแต่ได้ราฟทาเลียก้อปเกรด A มาฮิลใจ)
Fuguushoku "Kanteishi" ga Jitsu wa Saikyou Datta: Naraku de Kitaeta Saikyou no "Shingan" de Musou suru (นักประเมินฮาเร็มต้นไม้โลก)
Kouryakuhon o Kushi Suru Saikyou no Mahoutsukai ~< meirei sa sero > to wa Iwa Senai Oreryuu Mao Tobatsu Saizen Ruuto ~ (จอมเวทโดนไล่กับสารานุกรมครอบจักรวาล)
รับรองว่าเทพซ่าส์ชนิดว่ากู่ไม่กลับของแทร่
- ตัวอย่างแนวออกจากปาร์ตี้ - (จะมีอธิบายเซตติ้งและระบบความสามารถพื้นฐานด้วย) หามาให้ 3 เรื่องที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ
*** มีสปอยหนักหน่วงเพราะจะล้อเลียนเรื่องความคลิเช่ให้ฟังระหว่างทาง ใครไม่อยากโดนก็เอาแค่ชื่อไปอ่านเอง***
(1) S-Rank Party Kara Kaikosareta (ถูกเตะออกตี้เพราะเป็นนักทำไอเท็มต้องสาป)
สมาชิกปาร์ตี้เก่าโดนเนิฟสมองเหมือนทุกครั้ง เข้าใจว่าที่ฝ่าฟันมาถึงระดับสูงได้เป็นเพราะความเก่งของตัวเองก็เลยเตะตัวเอกออกตี้ เรื่องนี้โดนด่าเพราะตัวเอกแม่งขาดสามัญสำนึกบางอย่างไป เช่น ไอเท็มต้องสาปที่ทำขึ้นมามีเอฟเฟคโครตดีแต่เจ้าตัวดันคิดว่ามันเป็นของธรรมดา หรือดีบัพที่ใช้ใส่มอนสเตอร์จากแนวหลังช่วยให้เพื่อนในตี้สู้ได้โคตรง่ายมันไม่ได้เจ๋งเท่าไหร่ เป็นตัวละครสไตล์ปิดทองหลังพระที่โดนไล่ออกจากตี้เช่นเคย อาวุธและชุดเกราะของคนในตี้เป็นสิ่งที่ตัวเอกคราฟให้ ซึ่งเพิ่มสเตตัสให้อย่างมหาศาลแต่มีคำสาป "ลด exp ที่ได้รับ" กับ "ติดสถานะอ่อนแอตลอดเวลา" และเพื่อให้เพื่อนๆ ทุกคนไม่ต้องโดนคำสาปนี้ ตัวเอกเลยมัดรวมผลข้างเคียงของไอเท็มทุกชิ้นมาไว้ที่ตัวเองแทน จนสเตตัสต่ำลงอย่างมากและได้ exp น้อยจนเลเวลห่างจากเพื่อน
ก่อนออกจากตี้ตัวเอกเห็นว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องแบกรับคำสาปแทนเพื่อนอีกต่อไป เลยสั่งใช้สกิล Dispell ล้างเอฟเฟคบนของทุกชิ้นที่ให้เพื่อนออก จนดีบัพ exp กับดีบัพอ่อนแรงในตัวหายเกลี้ยง แต่นั่นก็ทำให้เอฟเฟคเพิ่มความสามารถต่างๆ บนไอเท็มหายไปด้วยเช่นกัน สมาชิกใหม่ที่เข้ามาแทนที่ตัวเอกรู้สึกได้ว่าพวกในตี้อยู่ดีๆ ก็กากลงไปโคตรๆ ตอนเวท Dispell ทำงาน จนสงสัยขึ้นมาว่าที่ผ่านมาคนพวกนี้มันเก่งได้เพราะผลจากไอเท็มที่ตัวเอกคราฟให้รึเปล่าวะ (เออ หัวไวดี) หลังจากนั้นก็คือต่างคนต่างไปโดยที่ตัวเอกของเราเบนเข็มไปเอาดีด้านการค้า กะว่าจะเปิดร้านขายอุปกรณ์ต้องสาปที่ตัวเองคราฟขึ้นมา ตอนแรกเปิดร้านในเมืองหลวงแต่มีเรื่องให้ต้องหนีไปเปิดร้านแถวบ้านนอกแทน
แล้วความตามสูตรก็บังเกิด สมาชิกใหม่ที่มาแทนตัวเอกพบว่าพวกตี้เก่าแม่งกากสัสจนสุดท้ายเควสล้มเหลว ด้วยความปากหมาและการไม่ยอมรับความจริงของพวกแม่ง เลยโดนน้องบัฟเฟอร์สาวสุดอึ๋มซ้อมเพราะทนฟังไม่ไหว ออกตี้แล้วไปหาเมืองอื่นทำเควสแทน ตอนขึ้นรถม้าข้ามเมืองก็มาเจอกับตัวเอกพอดีในรถคันเดยวกัน มีฉากให้ต้องช่วยกันสู้เพื่อป้องกันพวกมอนสเตอร์นิดหน่อย จนน้องบัฟเฟอร์เข้าใจว่าพระเอกแม่งเทพสัสนี่หว่า นอกจากสเตตัสกับเลเวลที่แท้จริงจะกลับมาแล้ว อาวุธต้องสาปกับดีบัพที่พระเอกใช้แม่งเทพเว่อร์ เช่น ลดความเร็วในพื้นที่ 90% (มอนช้าจนสโลว์โมชั่น) โดนสภาวะหวาดกลัวจนโจมตีไม่ได้ (ติด fear ขั้นสูง) มีดสั้นมีสกิลโจมตีทะลุ DEF และมีโอกาสเล็กน้อยที่จะสาปเป้าหมายให้ตายทันที (ไอ้เหี้ยมีด one hit kill)
มีฉากให้กุ๊กกิ๊กกันนิดหน่อยหลังจบการต่อสู้ แต่ด้วยความเป็นตัวเอกชายที่โคตรจะญี่ปุ๊น-ญี่ปุ่น เลยทำตัวซื่อบื้อไม่รู้ว่าสาวเจ้าคิดยังไงแล้วจบตอนด้วยการเข้าตี้กัน (ซึ่งก็ตามสูตรอีกเช่นเคย) ไอเท็มที่ตัวเอกคราฟมาแต่ละอย่างมีผลดีโคตรโหด เช่นใส่แล้ว Agi x2 กับ Str x4 ในชิ้นเดียวกัน หรือพลังป้องกัน x3 กับ ไม่ติดพิษอย่างแน่นอน ในชิ้นเดียวกัน ตามปกติ Curse item พวกนี้มักมาพร้อมผลร้ายที่หนักหนาเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เช่น ใส่แล้วคุ้มคลั่งไม่รู้ว่าใครเป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรู (โจมตีทุกเป้าหมายในระยะสายตา) หรือทุกครั้งที่โจมตีพลังชีวิตจะถูกหักออก 10% (ตีครบ 10 ทีก็เป็นลมตายเอง) แต่ๆๆ ... ด้วยความที่เป็น Cursifier ตัวเอกเลยสามารถถอดดีบัพนรกพวกนี้ออกจากไอเท็มได้ ทำให้ของที่มีเพียงข้อดีชิ้นนั้นกลายเป็นไอเท็มระดับสมบัติประเทศหรืออาจไปถึงขั้นเป็นอาร์ติแฟค, อุปกรณ์ในตำนาน (เพราะมีบางครั้งคราฟออกมาแล้วเสือกได้บัพ 3-5 ออฟชั่น)
ไอ้อาวุธกับชุดเกราะที่ว่านี้แหล่ะ ทำให้สมาชิกในตี้เก่ามันเทพเว่อร์ขึ้นในระยะเวลาช่วงสั้นๆ พอโดนลบออฟชั่นในอุปกรณ์สวมใส่มั้งหมดออกไป ความสามารถที่เคยคิดว่าเป็น A+ กำลังจะได้เลื่อนขึ้น S เลยกลับมาอยู่แถวๆ C หรือ D เท่านั้น พวกลูกค้าที่ซื้อของจากตัวเอกไปก็ประทับใจกันทุกคน เพราะเอฟเฟคด้านดีมันสุดยอด ผลข้างเคียงต่างๆ ก็ถูกลบออก เหลือแค่ข้อเสียที่ว่าติดตั้งแล้วจะถอดออกจากตัวไม่ได้ ซึ่งตัวเอกก็แถมแผ่นกระดาษเขียนสกิล Dispell ไว้ให้ลูกค้าไปคนละ 1 ใบ กรณีได้ไอเท็มใหม่ที่ดีกว่ามาแล้วอยากถอดชิ้นนี้ออก (แต่ของชิ้นนั้นจะกลายเป็นของธรรมดา)
พวกปาร์ตี้เก่าเข้าใจว่าที่พวกแม่งกากลงเป็นเพราะตัวเอกร่ายคำสาปแกล้งไว้ก่อนออกตี้ เลยพยายามตามหาเพื่อฆ่าทิ้ง แต่ด้วยความที่กากเกินทำให้เควสล้มเหลวรัวๆ ตกต่ำถึงขั้นไม่มีเงินเช่าห้องพักในทาเวิร์น ต้องนอนตามตรอกแคบๆ อย่างไรก็ตามนักเขียนก็มองเห็นแล้วว่าถ้าจบตรงนี้เดี๋ยวขายต่อยาก เลยเดินเรื่องให้พวกตี้เก่ามีโอกาส cumback ไปไลล่าตัวเอกทั้งๆ ที่อีกฝั่งกำลังหาทุนเปิดร้านขายของอย่างสงบสุขอยู่
เรื่องที่ทำให้นักเขียนถูกด่าคือความไม่รู้ประสาของตัวเอก บางทีโดนล้อว่าที่ผลิตของโหดๆ ออกมาได้นั้น ต้องแลกมาด้วยการโดนคำสาปทำให้สมองเสีย สามัญสำนึกขั้นพื้นฐานหายไป ซื่อตรงจนแอบปักธงสาวๆ ในเรื่องเพียบโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยนะว่าเขาเขินกันเพราะอะไร You dense motherf**ker !! คนอ่านเขาอาจหงุดหงิดปนสงสัย แต่กูเข้าใจดีเลยในฐานะผู้ผลิตเหมือนกัน ว่าการออกแบบตัวละครให้มีความออทิสติกอ่อนๆ แบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มันออกมาสนุกแบบแนวตลกโปกฮา เท่าที่อ่านมาจนถึงตอนที่กูเล่า กูว่าเรื่องนี้ออกตี้แบบเน้นไปที่ความคอเมดี้มากกว่าซีเรียส ตัวเอกไม่รู้ตัวว่าตัวเองเก่ง คราฟไอเท็มมาโดยคิดว่าคงเป็นได้แค่ของตกแต่งบ้าน ปล่อยของขายราคาครึ่งเดียวจากของทั่วไปในตลาด ปักธงสาวแล้วไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เป็นความ OP ที่มาพร้อมความไม่รู้เรื่อง ใช้ความเข้าใจผิดพวกนี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้เนื้อหาเดินหน้าไปได้เรื่อยๆ
โดยรวมคือแนวออกตี้ที่ใช้ trope เดิมๆ มาเปิดเรื่องในช่วงแรก แต่ต่างไปตรงที่ไม่มีการปะทะกันระหว่างตัวเอกกับตี้เก่า เพราะฝั่งนึงหมดสมรรถภาพกับอีกฝั่งนึงเลือกไปทำการค้าในดินแดนใหม่ เป็นแนวออกตี้ที่อ่านสนุกได้และชวนให้ขำมากกว่าสะใจ เดินเรื่องไปเรื่อยๆ เจอสาวๆ ก็ช่วยไว้แล้วเป็นมิตรกันแบบไม่ถึงกับหลงหัวปักหัวปำอะไรปานนั้น สมแล้วที่เป็น 1 ใน 3 เรื่องที่ถูกจับตามองในขณะนี้
สรุปรายละเอียดความคลิเช่ที่ถูกใช้ไปในเรื่องช่วงแรก
☑ ปาร์ตี้เก่าโง่และกาก
☑ ปาร์ตี้เก่าเติบโตขึ้นเพราะตัวเอกอยู่เบื้องหลัง
☑ ตัวเอกเป็นอาชีพสาย support
☑ โดนเตะออกจากปาร์ตี้ด้วยข้ออ้างว่าเป็นตัวถ่วง
☑ ออกจากตี้แล้วชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น และเทพซ่าส์ขึ้นเรื่อยๆ
☑ ปาร์ตี้เก่าเกิดเรื่องร้ายแบบกรรมติดจรวด
☑ สมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาแทนตัวเอกเป็นผู้หญิง
☑ สาวคนที่ว่าไปเข้าตี้ใหม่กับตัวเอก
☑ โดนปาร์ตี้เก่าตามล่า
☑ ปาร์ตี้เก่าตกต่ำจนน่าทุเรศ
☑ ปาร์ตี้เก่า cumback จากโอกาสที่ได้มาใหม่หรือใช้พลังที่ยืมมาจากด้านมืด
เขียนไปเขียนมาเหมือนเป็นการรีวิวเรื่องไปแทนแล้วแฮะ
ก็เออ... ช่างมัน เดี๋ยวไว้ค่อยมาต่ออีก 2 เรื่องทีหลัง แต่ตอนไหนไม่รู้นะ ต้นปีมันค่อนข้างยุ่ง (ระหว่างนี้เชิญทะเลาะกันต่อไปพลางๆ ก่อน)
พวกกูจะมีสารานุกรมของตัวเอง โดยพวกเด็กดีเลิกทำแล้วสินะเนี่น
ใกล้จะครบ 1000 แล้ว อย่าลืมคิดชื่อเตรียมบทใหม่ล่วงหน้าด้วย
Ky เลิกเขียนเกมล่าคนเพื่อแม่แล้วรึ https://www.dek-d.com/board/writer/4102506/
เรื่องต่อไป...
(2) Point Gifter "Keikenchi Bunpai Nouryokusha" no Isekai Saikyou Solo Life (โดนเตะออกกิลด์เหมือนของใช้แล้วทิ้ง)
ก่อนคุยกันเกี่ยวกับเนื้อเรื่องขอคุยเกี่ยวกับมังงะที่วาดจากนิยายเรื่องนี้ก่อน คือถ้ากูรู้ว่านิยายเรื่องไหนมันมีมังงะแล้ว กูชอบตามไปดูว่ามันแปลงจากนิยายเขียนมาเป็นนิยายภาพในรูปแบบไหน เอาไว้เป็น ref กรณีใช้เขียนอธิบายให้ออกมาเห็นภาพมากขึ้น (หรือที่เรียกว่าพยายาม steal วิธีการเล่าจากตัวอย่างในฉากนั้นๆ) อืม... อ่านไปอ่านมาแล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า "ทำไมลายเส้นแม่งเหมือนดาบพิฆาตอสูรเลยวะ" หน้าตาพระเอกนี่มันคือทันจิโร่เวอร์ชั่นผมสั้นชัดๆ แถมยังชอบทำหน้าเอ๋อเหมือนกันอีก จากที่ลองไปค้นชื่อคนวาดเทียบกับทีมงานของจารย์เข้ (คนวาด Kimetsu no yaiba) กูยังไม่พบความเกี่ยวข้องใดๆ ทำได้แค่เดาว่าผู้ช่วยของนักวาดคนนี้อาจเคยอยู่ในทีมจารย์เข้มาก่อน ก็เลยติดนิสัยใช้ลายเส้นเดิมกับงานเรื่องใหม่
เรื่องนี้มีความไม่สมเหตุสมผลหลายข้อมาก อ่านที่กูเล่าเดี๋ยวพวกมึงก็จะเข้าใจเอง
เปิดเรื่องมาพระเอกชื่อฟิลโด้ (อ่านทีไรชวนให้นึกถึง*วยปลอมทุกที) โดนหัวหน้าตี้ใช้ให้ไปซื้อของ ถูกโขกสับสารพัดเพราะตัวเองมีหน้าที่แค่ไปอยู่ในกลุ่มเพื่อเร่ง EXP ให้ได้โบนัสมากขึ้น พอซื้อกลับมาถึงที่พักหัวหน้าตี้ที่ควบตำแหน่งหัวกิลด์ด้วยก็บอกว่า เงินตอบแทนจากเควสรอบล่าสุดของเอ็งจะถูกหักออกนะ เป็นหนึ่งในความคลิเช่ที่ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไรชอบอ้างเรื่องความมีส่วนร่วมในแนวหน้า แล้วหักเงินของตัว support ไปจนแทบจะไม่พอแดก (เรื่องของต้องสาปข้างบนก็โดนทำนองนี้เหมือนกันแต่กูลืมบอก) หลังโดนหยามจากสมาชิกในตี้ทีละคนเสร็จ นายกวยปลอมของเราก็ไปนอนเหงาๆ ในห้องพักแล้วใช้สกิลของตัวเองจัดสรรจำนวน EXP ที่คนในตี้จะได้รับจากการไปลุยดันเจี้ยนรอบก่อนหน้านี้
การทำงานของสกิล Point Gifter ที่พระเอกมีคือ เมื่อเข้าร่วมกลุ่มใดๆ สมาชิกภายในกลุ่มนั้นจะได้รับโบนัส EXP จากการล่ามอนสเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ในเรื่องไม่ได้บอกไว้ว่าเพิ่มกี่เท่า แต่กูเดาได้เลยว่าโคตรเยอะ) นอกจากนั้นแล้วพระเอกยังสามารถควบคุม, แบ่งส่วน และจัดสรรผู้รับ EXP พิเศษนี้ได้อย่างอิสระ ซึ่งกลายมาเป็นความไม่สมเหตุสมผลข้อแรกที่กูรู้สึกข้องใจ ว่าทำไมพระเอกถึงยังอยู่แค่เลเวล 1 ในขณะที่คนในปาร์ตี้กลายเป็นนักผจญภัยแนวหน้าระดับประเทศ แถมยังเป็นตี้ที่มีเลเวลสูงสุดอีกด้วย
อ่านต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้คำตอบว่า พระเอกอายุน้อยที่สุดในตี้และเป็นพวกหัวอ่อน ถูกหัวตี้ยัยเยียดความคิดว่า booster อย่างเอ็งไม่จำเป็นต้องเลเวลอัพก็ได้ รอโอน EXP กับแบกของดรอปกลับเมืองให้พวกกูก็พอ แล้วไอ้กวยปลอมก็เสือกเห็นด้วยเฉยว่าสกิลของเรามันใช้ในการรบไม่ได้จริงๆ โอน EXP ไปให้พวกแนวหน้าแทนดีกว่า ถ้ายังนึกไม่ออกว่าการโอน EXP ของ setting ที่นักเขียนมันบอกไว้เป็นแบบไหน เดี๋ยวกูจะเขียนให้เข้าใจง่ายขึ้นเป็นข้อๆ
ปาร์ตี้มีกันทั้งหมด 5 คนไปล่ามอนสเตอร์ 1 ตัว
เข้าไปลุย 4 แล้วให้ไอ้ฟิวโด้ไปหลบอยู่ห่างๆ
พอมอนตายคนที่สร้างความเสียหายจะได้รับ EXP หารเท่า
สมมุติว่ามอนสเตอร์ให้ EXP 400 หาร 4 คนได้คนละ 100
สกิลของฟิลโด้ boost เพิ่มจาก 100 เป็น 3,000 สำหรับทุกคนในปาร์ตี้
เท่ากับว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ถูกปรับแต่งให้มอบ EXP 15,000 แทน
ฟิลโด้ที่ได้ EXP พิเศษมา 3,000 สั่งโอน EXP ของตัวเองไปให้คนอื่น
แต่ละคนในปาร์ตี้จึงได้ EXP 3,000 + 750 = 3,750 หน่วย
ส่วนพระเอกของเราไม่ได้เหี้ยอะไรเลยนอกจากเศษเงิน
นอกจากการเป็นสมาชิกปาร์ตี้แล้ว ฟิลโด้ยังเป็นสมาชิกกิลด์ของไอ้หัวตี้ด้วย นั่นเท่ากับว่าสมาชิกที่มาสมัครเข้ากิลด์ของไอ้คล้อด (ชื่อหัวตี้ตัวร้าย) จะได้รับผล EXP x30 ทันทีเมื่อออกล่ามอนสเตอร์แม้จะไม่ได้อยู่ในตี้เดียวกันกับพระเอก ตามที่คำอธิบายสกิลบอกว่าจะมีผลทันที "เมื่อเข้าร่วมกลุ่มใดๆ"
กลับมาที่ส่วนต่อไปของเนื้อเรื่อง กลางดึกวันเดียวกันนายดิลโด้ เอ๊ย! ฟิลโด้ โดนไอ้คล้อดเรียกไปคุยบอกว่าแต่วันนี้เป็นต้นไปมึงถูกไล่ออก พระเอกของเราก็ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายตามประสาพระเอกแนวโดนไล่อย่างสุดจะคลิเช่ว่า ถึงจะไม่ได้ออกรบแต่สกิลที่มีก็ช่วยให้ทุกคนเก่งขึ้น ทำเควสปราบปรามเสร็จกูก็ช่วยขนของกลับให้ พอมาถึงเมืองก็เป็นธุระหาซื้อของใช้จำเป็นแทนพวกมึงจนแทบจะกลายเป็นคนใช้ การมีส่วนร่วมทดแทนพวกนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลยเหรอ พอได้ยินอย่างนั้นไอ้หัวกิลด์ก็หัวเราะลั่นแล้วบอกว่าในเมื่อพวกกูเวลเยอะกันแล้ว ความโด่งดังของกิลด์ก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว (เป็นกิลด์ที่มีอัตราความสำเร็จภารกิจอันดับ 1) booster อย่างมึงก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปยังไงล่ะ
กวยปลอมช้ำใจน้ำตาแทบจะไหลขึ้นหน้าผากถามไอคล้อดเป็นครั้งสุดท้ายว่ามึงแน่ใจนะว่าจะไล่กูออกจากกิลด์ ถ้ากูออกไปจริงๆ นอกจากปาร์ตี้ของเราแล้วสมาชิกในกิลด์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยนะ ไอ้หัวกิลด์ได้ยินก็ไม่พูดอะไรแต่ถีบยอดหน้าพระเอกจนกระเด็นออกจากประตูทางเข้ากิลด์แทนคำตอบ พอประตูสำนักงานกิลด์ปิดลง ไอ้ฟิลโด้ที่ตาสว่างก็สั่งปลดสกิลตัวเองออกจากปาร์ตี้และกิลด์ของไอ้คล้อดแล้วเดินจากไปพร้อมเสียงแจ้งเตือนที่ดังว่า "เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น" ทุกๆ 3 วินาที
ตรงจุดนี้เรื่องจะเล่าแค่ว่าเลเวลของฟิลโด้มันพุ่งขึ้นอย่างเว่อร์ (แต่ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไร ถึงไม่ยอมบอกว่าเวลเท่าไหร่) สเตตัสต่างๆ ในหน้าจอก็เยอะสัสหมา พระเอกของเราพอไม่มีกิลด์อยู่ก็เลยไปของานทำที่สมาคมนักผจญภัยกลางซึ่งเป็นกิลด์นักผจญภัยประจำเมือง *** พอถึงจุดนี้กูคิดว่า setting ของคนเขียนมันไม่ได้กำหนดว่าให้มีกิลด์อยู่หลายกิลด์ แต่กำหนดให้ Clan ถูกเรียกว่ากิลด์เหมือนกัน พอไอ้โด้โดนเตะออกจากแคลน เลยไปหางานทำที่กิลด์นักผจญภัยแทน *** สมัครเสร็จพระเอกจำได้ว่าเมื่อคืนฝันถึงเนื้อมังกรที่เคยอยากกิน เลยขอเควสล่ามังกรจากพี่สาวพนักงานต้อนรับ คุณเธอก็ลังเลอยู่ว่าเควสแรกมามึงจะลุยมังกรเลยเหรอ ระหว่างที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะให้ทำเควสดีหรือไม่ ตาลุงนักผจญภัยคนนึงก็โผล่มาหาเรื่องให้พระเอกโชว์เทพและได้เควสปราบมังกรมาอย่างสะดวกสบาย (จนนักเขียนดูมักง่าย) ตรงนี้กูมีความเอ๊ะ! นิดๆ เพราะปกติกิลด์นักผจญภัยจะไม่อนุญาตให้รับเควสข้าม Rank ขนาดนี้ แต่ก็เอาเถอะ บางทีในโลกของเรื่องนี้อาจอนุญาตก็ได้ ช่างแม่ง
ช่วงที่ฟิลโด้เดินทางไปปราบมังกร สมาชิกใหม่ที่จะมาเข้าตี้พี่คล้อดแทนพระเอกกำลังทดสอบฝีมืออยู่ที่สนามประลองของกิลด์ นักดาบสาวฉายา sword saint โชว์เทพจนสอบผ่านเสร็จแล้วก็ถามหาไอ้โด้ทันที อืม... ตามสูตรเป๊ะ สมาชิกใหม่เป็นผู้หญิง, เข้าตี้มาเพราะอยากเจอตัวเอก พวกมึงคงพอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อใช่มั้ย
พี่คล้อดได้ยินแล้วก็เหงื่อแตกเหมือนคนท้องเสีย บอกน้องนักดาบชื่อ "ลูนาซิส" ว่าฟิลโด้มันลาพักร้อนไปเที่ยวอีก 2-3 วันถึงจะกลับให้เธอรอไปก่อน ที่ต้องโกหกแบบนี้เพราะกลัวว่าสมาชิกใหม่สุดแกร่งจะออกจากกิลด์ไปหาไอ้โด้แทนถ้ารู้ความจริง พอคิดว่าจะไปเชิญพระเอกกลับมาก็ไม่อยากเสียหน้าอีก แล้วจู่ๆ พี่คล้อดก็ทำตัวช่องคลอด คิดไปว่าถ้าไม่มีพระเอกแล้วน้องนักดาบก็ไม่มีเป้าหมายให้ไล่ตาม เลยจะออกไปตามหาไอ้โด้แล้วฆ่าทิ้งแบบให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุระหว่างไปเที่ยว (WTF! มึงคิดได้ไงวะไอ้นักเขียนนน)
เรื่องราวโดยสรุประหว่างนี้คือ ฟิลโด้เดินทางไปถึงพื้นที่เป้าหมาย เจอคณะเดินทางของพ่อค้าจากหอการค้าเมืองหลวงที่เดินทางต่อไม่ได้เพราะเห็นว่ามีมังกรอยู่บนถนนไม่ไกลนัก พระเอกของเราบอกว่าผมมาล่ามังกรตัวนั้นพอดีให้ลุงรอแป๊บนึง ฉากต่อสู้นี่น่าสมเพชดี เพราะไอ้โด้ไม่เคยต่อสู้แนวหน้า เลยเจอทั้ง ตีน, ไฟ, และหางมังกรไปจนน่วม ที่ยังไม่ตายเป็นเพราะเลเวลเยอะกับสเตตัสสูงมากเฉยๆ สู้ไปสู้มาก็ตัดหัวมังกรได้แต่ตอนกลับไปแจ้งข่าวให้ลุงพ่อค้า พี่ช่องคลอดกับพวกก็จับลุงเป็นตัวประกันเพื่อขู่ไม่ให้พระเอกขัดขืน ทว่าพอถึงตอนที่จะสู้กันก็เกิดความผิดปกติขึ้นหลายอย่าง เช่น ไอ้ช่องคลอดยกดาบที่เคยใช้ไม่ขึ้น เจ๊นักเวทใช้สกิลน้ำแข็งฟรอสไบท์แต่สิ่งที่ออกมาจากปลายไม้เท้ากลายเป็นสายลมเย็นสบาย ตัวชนเจอเตะทีเดียวอ้วก พระฮิลให้ก็ไม่ดีขึ้น พอเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็เลยพากันหนีไป ส่วนพระเอกขอให้ลุงย่างสเต๊กเนื้อมังกรให้เป็นการตอบแทน
สาเหตุที่พวกพี่คลอดกากลงเป็นเพราะเมื่อฟิลโด้ออกจากกิลด์ EXP พิเศษที่เคย boost ด้วยสกิล Point Gifter ทั้งหมดจะถูกดึงกลับไปหาเจ้าของนั่นก็คือตัวพระเอกเอง เรื่องนี้เป็นอะไรที่เลวร้ายมากจนไม่น่าแปลกใจที่พวกตี้เก่าจะสู้พระเอกไม่ได้ หลังจากโดนยึดโบนัส EXP ไปแล้ว จำนวน EXP ที่อยู่ในตัวของสมาชิกกิลด์คนอื่นจะเหลือแค่จำนวนปกติก่อน boost สิ่งนี้ส่งผลให้เลเวลของทุกคนลดลงฮวบฮาบ ดังนั้นการที่พี่ช่องคลอดจะยกดาบไม่ขึ้นจึงเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับพวกอาวุธในเกมที่ใส่ได้ตอนเลเวล 95 และต้องมี Str พื้นฐาน 200 พอเลเวลลดเหลือ 50 และ Str มีไม่ครบตามข้อกำหนดก็เลยใช้ไม่ได้ไปโดยปริยาย
แล้วก็มาถึงจุดที่นักอ่านโปรดปราน... ความฉิบหายของปาร์ตี้เก่านั่นเอง พวกพี่คลอดโดนพระราชาเรียกเข้าวังไปพบ เพราะมีข่าวว่าปาร์ตี้พี่คลอดจับตัวประกันและพยายามฆ่านักผจญภัยคนอื่น สมาชิกในตี้ได้คุกเข่าตัวสั่นแต่พี่หัวตี้ของเราตีหน้านิ่งอ้างว่า เป็นแค่พวกคนหน้าเหมือนมาแอบอ้างชื่อแล้วก่อเหตุ พระราชาเลยสั่งว่าให้กิลด์ของพี่คลอดหยุดการรับภารกิจไปก่อนจนกว่าจะจับตัวคนร้ายพวกนั้นได้ (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้) เรื่องนี้ทำเอาพี่คลอดหมดทางหากินเลยทีเดียว หลังจากปาร์ตี้เก่าออกจากวังไป พระราชาก็เรียกฟิลโด้เข้ามารับรางวัลปราบมังกรพร้อมเชิญให้มาเป็นขุนนาง เจ้าพระเอกของเราปฏิเสธเพราะคิดว่าตัวเองอายุยังน้อยและอยากออกไปท่องโลกกว้าง ราชาก็ไม่ว่าอะไรแล้วบอกให้หัวกิลด์จากกิลด์ใหญ่อีกกิลด์คอยจับตาดูเจ้าหนุ่มไว้ อันที่จริงพระราชารู้ความจริงหมดแล้วเพราะพ่อค้าที่ฟิลโด้ช่วยไว้เป็นคนสนิทส่วนพระองค์ ก็เลยสั่งยุบกิลด์พี่คลอดทางอ้อม ไม่ช้าก็เร็วกิลด์ที่รับงานไม่ได้ก็ต้องล่มสลายอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นก็มีความฉิบหายเกิดขึ้นกับพวกพี่คลอดอีกหลายอย่าง เช่น สมาชิกกิลด์ที่รับงานค้างไว้ก่อนโดนห้าม พากันกากลงจนเควสไม่สำเร็จทุกปาร์ตี้ คนที่บาดเจ็บกลับมาต้องใช้เงินของกิลด์รักษา นักผจญภัยส่วนใหญ่ก็พากันย้ายกิลด์เพราะอยู่ต่อไปก็รับงาน เหลือไว้แค่พวกไม่ออกไปทำเควสแต่กระดิกตีนรอรับเงินเดือน (ซึ่งตรงนี้แหล่ะทำให้กูคิดว่ามันเป็นแคลนมากกว่ากิลด์) เงินกองกลางของกิลด์ก็ลดลงเรื่อยๆ พอรับเควสไม่ได้ก็ต้องไปทำงานสาธารณะประโยชน์ เก็บขยะ ทำความสะอาด พอทนรับความอับอายไม่ไหวก็แอบไปรับเควสเถื่อนโดยตรงมาทำ แล้วเสือกสู้มอนสเตอร์ระดับกลางไม่ไหวจนเควสล่ม ได้รับบาดเจ็บมาพระในตี้ก็รักษาได้แค่ไม่กี่ครั้งเพราะเลเวลกากลง ต้องขายของเทพๆ ที่เคยมีประทังชีวิตแล้วเปลี่ยนมาใช้ของธรรมดาที่ขายในร้านอุปกรณ์ ทุกอย่างมันเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง... (อยากรู้ว่าพวกนี้จบยังไงก็ไปหาอ่านกันเอง)
เนื้อหาต่อจากนั้นเป็นการเข้าสู่ arc ใหม่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นายฟิลโด้เดินหาซื้อของในเมืองอยู่ดีๆ ก็โดนนักดาบสาวสมาชิกใหม่โผเข้ากอดแบบไม่ทันตั้งตัว บอกชื่ออะไรเสร็จก็อวยพระเอกจนออกนอกหน้า แล้วบอกว่าขอเข้าตี้กันได้มั้ย ไอ้โด้ที่ยังตกใจไม่หายก็ปฏิเสธ (เป็นกู กูก็ไม่เอาเหมือนกันวะ ทำตัวน่าสงสัยเกินอีนี่) ตรงนี้นะ เป็นความคลิเช่อีกเช่นเคย เพราะตัวละครไวฟุแคนดิเดตมีจุดมุ่งหมายว่าจะมาเข้ากิลด์พบตัวพระเอก น้องลูนาซิสหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี รู้ว่าฟิลโด้มีสกิลบูสและแบ่ง EXP ในกลุ่มได้ แถมยังใจดีแบ่ง EXP ให้ทุกคนในกิลด์ทั้งหมดอีกซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมาก ยิ่งรู้แบบนี้ไอ้โด้ยิ่งระแวงหนักขึ้นไปอีกว่ามึงวางแผนอะไรอยู่กันแน่วะ
หลังจากนั้นฟิลโด้พยายามหนีเข้าห้องสมุดเพราะทนฟังเสียงลูนาซิสตามตื้อขอเข้าตี้ไม่ไหว จนถึงจุดนึงพระเอกหยิบหนังสือเกี่ยวกับเอลฟ์มานั่งอ่าน ลูนาซิสเลยกระซิบถามว่าสนใจเรื่องเอลฟ์เหรอ ถ้าอยากเห็นเผ่าเอลฟ์ตัวเป็นๆ ล่ะก็ เรานำทางไปประเทศของเอลฟ์ได้นะ เจ้าหนุ่มถึงขั้นหูผึ่งตาเป็นประกาย คิดว่าถ้าน้อง sword saint เป็นนักผจญภัยระดับสูงแบบนี้ก็น่าจะเคยไปเมืองเอลฟ์มาแล้วจริงๆ เลยยอมทำตามข้อตกลงว่าจะเข้าร่วมปาร์ตี้กันชั่วคราวแล้วค่อยออกหลังทัวร์เมืองเอลฟ์เสร็จแล้ว
ช่วงกลาง arc รวบสั้นๆ ได้ว่าพากันเดินทางไปเมืองเอลฟ์ได้สำเร็จ แต่พอไปถึงจริงๆ พวกเด็กๆ ก็วิ่งมาทักแม่สาวน้อยของเราเหมือนรู้จักกันอยู่แล้ว สมาชิกฮาเร็มรายแรกเลยต้องเฉลยด้วยการดึงต่างหูปลอมตัวออก หูคนก็ยืดกลายเป็นหูเอลฟ์เหมือนประชาชนที่นี่ กลายเป็นว่าเอลฟ์ที่อยากเจอมันอยู่ข้างตัวกูมานานแล้ว นอกจากเรื่องนี้ลูนาซิสยังบอกอีกว่าที่อยากเจอตัวฟิลโด้เป็นเพราะประเทศเอลฟ์กำลังประสบปัญหาหนักที่อาจทำให้เอลฟ์สูญพันธุ์ได้ ก็เลยอยากขอความช่วยเหลือจากพระเอก ตรงนี้ก็เป็นความคลิเช่เหมือนกัน
ปัญหาที่ว่าคือประชากรเผ่าเอลฟ์วัยรุ่นขึ้นไปกำลังป่วยจากสภาวะ "มานาแห้งเหือด" ปกติแล้วเอลฟ์จะได้รับมานาจากธรรมชาติเรื่อยๆ พอได้มานาเพียงพอก็จะสามารถมีลูกได้ แล้วพอเด็กโตเต็มวัยก็จะมีการคืนมานาในตัวเอลฟ์กลับคืนสู่ธรรมชาติ แต่ว่าพักหลังๆ มานี้เอลฟ์โดนล่าโดยพวกมนุษย์เพราะรูปโฉมที่งดงาม พอโดนล่าไปมากๆ เข้า จำนวนเอลฟ์ที่จะคืนมานาสู่ธรรมชาติก็น้อยลง ทำให้ปริมาณสมดุลของมานาในวงจรลดต่ำป่าป่วย เอลฟ์ก็ป่วยตามกันยกประเทศ จนไม่สามารถมีลูกได้ ทำให้จำนวนมานาก็ยิ่งลดตามไปอีก ลูนาซิสในฐานะเจ้าหญิงของเผ่าเห็นว่าวิธีการที่พ่อ (ราชาเอลฟ์) ใช้ทำได้แค่ประวิงเวลาแต่แก้ไขอะไรไม่ได้ เลยหนีออกจากป่ามาเก็บเลเวลเองเพื่อเพิ่มจำนวนมานาในตัวจนหายป่วย แล้วตามหาวิธีช่วยประชาชนด้วยวิธีใหม่แทน
หวยก็มาออกที่นายฟิลโด้ของเรา เพราะถ้ารับพระเอกเข้าเป็นคนของเผ่า เท่ากับว่าเจ้าตัวได้กลายเป็นสมาชิกของประเทศเอลฟ์และสกิล Point Gifter จะทำงานทันที ถ้าให้พระเอกเข้าร่วมคณะสำรวจไปปราบปรามมังกรโบราณ แล้วแบ่ง EXP ให้ทุกคน ด้วยการบูสโบนัส EXP ที่โหดสัสจากการปราบสัตว์อสูรระดับเทพนิยาย ทุกคนในประเทศก็จะเลเวลอัพแล้วได้มานามาใช้ส่งคืนสู่ธรรมชาติ ตอนแรกลูนาซิสคิดว่าพระเอกจะเกลียดตัวเองเพราะพยายามใช้เขาเป็นเครื่องมือ แต่พอฟังคำอธิบายแล้วเจ้าหนุ่มก็เข้าใจถึงความจำเป็นของอีกฝ่าย แล้วรับปากว่าจะช่วยก่อนถามว่าต้องทำอะไรบ้าง
จากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ราชาให้ดาบเทพกับพระเอกเอาไปใช้ ยกพวกกันไปรุมมังกรตัวใหญ่เท่าภูเขา มังกรคงคิดในใจ กูนอนนิ่งๆ ตรงนี้มาพันกว่าปีแล้วกูผิดอะไรพวกมึงถึงมาตัดหัวกูถึงบ้านเนี่ย ปราบเสร็จแล้วก็กดแบ่ง EXP ไปให้ประชาชน ทุกคนก็หายป่วยเพราะมีการหมุนเวียนมานาในวงจรอย่างเพียงพอ พวกที่แก้มตอบซูบผอมก็กลับมาหน้าอิ่ม น้องสาวของลูนาซิสที่ตอนแรกใกล้ตายก็กลับลุกขึ้นมายืนได้ มีการจัดงานเฉลิมฉลองในวัง ประกาศเป็นวันหยุดสำคัญของปีให้รื่นเริงได้ 7 วัน 7 คืน เลี้ยงอาหารจากเนื้อมังกรไม่อั้น (สัส ฆ่ากูเอา EXP แล้วยังเอาเนื้อกูไปแดกด้วย) ฟิลโด้กลายเป็นแขกระดับสูงพิเศษที่สามารถ เข้า-ออก เมืองเอลฟ์ผ่านบาเรียในป่าลวงตาได้ตามต้องการ แถมราชาเอลฟ์ยังพยายามจะมอบตำแหน่งราชาองค์ต่อไปให้ด้วย (แต่ลูนาซิสมาห้ามไว้ทัน)
พอตกดึกคืนนั้นฟิลโด้ที่ไม่ถูกโรคกับการอยู่ท่ามกลางความสนใจแอบหนีออกจากเมืองหลวงเอลฟ์ แต่โดนลูนาซิสจับได้เสียก่อน พอถูกถามว่าจะไปไหน พระเอกของเราก็บอกว่าดาบที่พ่อเธอให้มามันสุดยอดมาก เป็นอาวุธที่พวกคนแคระตีขึ้นอย่างประณีต เลยคิดว่าจะหาทางไปเที่ยวเมืองคนแคระต่อ ลูนาซิสเลยบอกว่างั้นเดี๋ยวจะไปด้วย เพราะถ้ามึงเดินทางในป่าลวงตาคนเดียวตอนกลางคืนก็มีแต่จะหลงป่าตาย แล้วพอออกเดินทางกันมาได้สักพักก็พบว่าน้องสาวของลูนาซิสแม่งตามมาด้วยเพราะอยากไปเมืองคนแคระเหมือนกัน เท่ากับว่าเจ้าหญิงเผ่าเอลฟ์ทั้ง 2 คนตามไอ้โด้ออกมาหน้าตาเฉย (แล้ว พ่อ-แม่ พวกเธอไม่ว่าอะไรเหรอวะ) คือไม่มีคำอธิบายอะไรให้ แต่ตัดฉากไปถึงการเดินทางวันใหม่ในเมืองหลวงแบบงงๆ พร้อมกับภาพพี่ช่องคลอดที่ตอนนี้กลายเป็นฆาตกรเต็มตัว จ้องจะเล่นงานฟิลโด้ด้วยของอันตรายต่างๆ เพราะแค้นใจว่าที่ตัวเองตกต่ำแบบนี้เป็นความผิดของพระเอก
โอ้โห... ไม่เคยเห็นจุดเปลี่ยนแบบนี้เลยนะเนีย เป็นครั้งแรกของโลกจริงๆ ที่มีการเดินเรื่องแบบนี้ (ประชด)
โดยรวมคือแนวออกตี้ที่ใช้ trope เดิมๆ มาเปิดเรื่องในช่วงแรก ฝั่งปาร์ตี้เก่ากากลงทันทีหลังเตะตัวเอกออก กูเดาว่าหลังจากปราบพี่ช่องคลอดได้ก็คงไปหลั่นล้าตามประสาพระเอก OP ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กับ 2 พี่น้องชาวเอลฟ์เหมือนที่อาจารย์แดงเคยบอกว่า มี 2 xี ดับเบิ้ล xี แล้วก็คงเจอพวก damsel in distress ตามเมืองต่างๆ ให้ช่วยแล้วพาเข้าฮาเร็มอีก เจอศัตรูใหม่ๆ ที่เก่งขึ้นแต่ใช้พลังมิตรภาพและความเทพซ่าของตัวเอกปราบได้ แปลงร่างเป็นแนวฮาเร็มเทพซ่าส์ไปโดยสมบูณ์
ส่วนตัวแล้วกูมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับวิธีคิดของตัวละครต่างๆ อยู่หลายจุด เช่น ทำไมพี่ช่องคลอดตอนคิดจะฆ่าฟิลโด้ต้องจับตัวประกันให้มีพยานรู้เห็นด้วย ถ้ากูจะทำเรื่องผิดกฏหมายอะไรสักอย่าง กูต้องแน่ใจว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุดดิวะ เรื่องเตะพระเอกออกกิลด์นี่ก็เหมือนกัน กูว่าไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย รู้ทั้งรู้ว่าสกิลของพระเอกโคตรจะสำคัญก็ยังจะทุบหม้อข้าวตัวเองอีก (พาลูกกิลด์ซวยเกือบตายไปด้วยอีกตั้งหลายคน) แล้วเรื่องนางเอกคนแรกที่โผล่มาเนี่ยก็เหมาะเจาะเกินไปเรื่องที่เป็นเอลฟ์อย่างที่พระเอกสนใจอยู่พอดี มันเป็น plot device ที่ง่ายและสะดวกเกินจนน่าขำ ความไม่สมเหตุสมผลของการอนุญาตให้รับเควสมังกรของพนักงานต้อนรับ
ตัวเอกที่ไม่คิดทดสอบความสามารถของตัวเองก่อนลุยว่าเก่งถึงขั้นไหน ต่อให้เทพซ่าส์ขึ้นมาแบบฉับพลันยังไงก็ช่าง ก็ควรวัดเสียหน่อยว่าไหวพอสู้มังกรจริงรึเปล่า โดยเฉพาะกับคนที่ปกติไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการต่อสู้มาก่อนอย่างไอ้พระเอกด้วย การตัดฉากกับ Pacing นี่อีกอย่าง ออกกิลด์ได้คืนเดียวฝันเห็นเนื้อมังกรที่มีคนเคยกินให้ดูก็เลยจะไปล่าบ้าง (?) เดินเรื่องมาตั้งนานไม่มีการพูดถึงความชื่นชอบเอลฟ์ของตัวเอก แต่จู่ๆ ก็พูดถึงขึ้นมาตอนไปห้องสมุด (?) เรื่องเมืองคนแคระก็ด้วย เดินเรื่องแบบตามใจกูดีมาก อ่านเทียบระหว่างนิยายกับมังงะ ตอนแรกคิดว่ามังงะมันตัดออกเยอะเพื่อประหยัดหน้ากระดาษ ที่ไหนได้ในนิยายมึงก็ตัดฉากแบบเรื่อง Top up NOW ของจระเข้ผึ่งพุงเลยนี่หว่า วิธีการเล่ากูยังไม่ให้ผ่าน เรื่องที่ชอบจริงๆ คงเหลือแค่ลายเส้นมังงะที่คล้ายดาบพิฆาตอสูรล่ะวะ
สรุปรายละเอียดความคลิเช่ที่ถูกใช้ไปในเรื่องช่วงแรก
☑ ปาร์ตี้เก่าโง่และกาก (ประมาทเกินไปว่าถึงโดนหัก EXP แล้วก็คงจะยังเทพอยู่+มีการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล)
☑ ปาร์ตี้เก่าเติบโตขึ้นเพราะตัวเอกอยู่เบื้องหลัง
☑ ตัวเอกเป็นอาชีพสาย support (เป็น booster ที่ความสามารถทางการรบ = 0)
☑ โดนเตะออกจากปาร์ตี้ด้วยข้ออ้างว่าเป็นตัวถ่วง
☑ ออกจากตี้แล้วชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น และเทพซ่าส์ขึ้นเรื่อยๆ
☑ ปาร์ตี้เก่าเกิดเรื่องร้ายแบบกรรมติดจรวด
☑ สมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาแทนตัวเอกเป็นผู้หญิง
☑ ผู้หญิงคนที่ว่าไปเข้าตี้ใหม่กับตัวเอก (และรายนี้มาเพื่อใช้ประโยชน์จากตัวเอกด้วย)
☑ โดนปาร์ตี้เก่าตามล่า
☑ ปาร์ตี้เก่าตกต่ำจนน่าทุเรศ
☑ ปาร์ตี้เก่า cumback จากโอกาสที่ได้มาใหม่หรือใช้พลังที่ยืมมาจากด้านมืดเพื่อแก้แค้นพระเอก
เรื่องนี้เขียนซะยาวเลย แต่เรื่องหน้าอาจจะยาวกว่าเพราะต้องอธิบาย setting หลายๆ อย่าง ยังไม่รู้ว่าจะว่างลงวันไหน ระหว่างนี้เชิญต่อยกันรอไปก่อน
อุดมไปด้วยคนโง่และเลว ในนามตัวแทนแห่งความดี
คนดีจะเก่งแบบไม่มีเหตุผลเพื่อไปกระทืบคนชั่วและเลวมันผิดตรงไหน
กุรู้ว่ากูฟินก้พอล่ะ
สักวัน จะมีนิยายล้อเลียนปาร์ตี้ไล่ตัวเอกออกแบบ Scary Movie
ร้อนชิบหายเลย อ่านไม่ไหว
เคยเจอแบบยัยผมทองเหมือนกัน แต่เสริมหน่อยว่าดีกว่า(แบบแปลกๆแตกต่าง)ตรง..ผมมีเอกลักษณ์กว่าที่ค่อนข้างมืดมน
.
ผมสมัยเรียนปีแรกๆมองโลกแง่ร้าย ยิ้มบ่อยแต่เหมือนเสเเสร้งปนเหยียดและประชดเรียกว่าวอนตีนล้วนๆ แต่แปลกดีที่ไม่มีคนเกลียด การใช้บวกปรับสายตา(การขยัยกล้ามเนื้อรูปหนังตากับคิ้ว)เพื่อแสดงออกนี่ถ้าดูจากกระจกยังอึกเองเลยว่าตัวเองกำลังคิดไรอยู่ก็ไม่รู้ แถมทั้งหมดถูกจดจำมีแต่คนเป็นมิตรมาอยู่รอบตัวซึ่งทำสงสัยตัวเองมีดีอะไรนะถึงมีแต่คนคอยพยุงตลอดเวลา ตัวผมจะต่าง(กับตัวละครข้างบน)ที่ตรงไม่ค่อยเจอสายตื้อที่อยากเป็นเพื่อนแบบยันทอมในเรื่องแหะ ...
.
อ๊ะ!ใช่ว่าจะไม่เคยเจอนะ ผมเจอแค่ครั้งเดียวตอนปีหนึ่งเป็นหนุ่มหล่อขี้สงสัยจากคณะครุศาสตร์(ที่จ้วงหัวว่าแม่งตื้นเขินน่ารำคาญชะมัดแต่ก็ไม่เกลียด) และดูเหมือนผมจะถูกตีตัวออกห่างเองในหนึ่งวันแห่งความพยายามของเจ้าหมอนั่นซึ่งวันนั้นฝนตกซะด้วย ผมก็ไม่เห็นเจ้านั้นอยู่หลายปี.... ตื้นชะมัดเลยนะ ทั้งที่ทางนี้อุตสาห์เปิดหัวข้ออภิปรัชญา เช่น ความหมดศรัทธาว่ามนุษย์เป็นสัตว์ผู้มีเหตุผลหลังผ่านยุคโพสโมเดิร์น กับแนะนำหนังสือโลกของโซฟี่และนักปรัชญารุ่นเดอะ ต่างๆแท้ๆ การเมืองนู่นนี่ ความเป็นจริงและสิ่งที่ต้องจ่ายแม้จะทำตัวเมินเฉยในนาม "เป็นกลาง" ที่อ้างๆ กันของคนกลุ่มหนึ่งว่าตามจริงการอยู่เฉยก็มีราคาที่ต้องจ่ายเช่นเดียวกัน ....... ผมพูดแต่เรื่องเครียดรึไงไอ้บ้านั้นเลยหนี เฮ้อ น่าขยะแขยงชะมัด
เงียบเหงาจัง
E rank ไร้ค่าแก้แค้นเทพธิดา ได้ทำอนิเมะอีกเรื่องละ
ตอนแรกแนวออกตี้ ตอนนี้แนวแก้แค้น สงสัยกูต้องแต่งแนวนี้เพิ่มไว้บ้างเพราะดูเหมือนว่ากระแสมันกำลังมา ไอ้ที่เคยทำนายว่าจะได้ทำอนิเมะก็ทะยอยกันเป็นจริงมาทีละเรื่อง (ผู้กล้าฮิล - พี่เทพชายแดน - อยากเป็นพลังในเงามืด - เทมเมอร์กับน้องแมว - มนุษย์เทพในทัพมาร - เอลฟ์อ้วนลดน้ำหนัก)
ตอนนี้คือขึ้นอยู่กับเวลาว่า
6 เรื่องในตัวอย่างแนวแก้แค้น/ออกปาร์ตี้ กับพวกเรื่องชื่อ นิโตะฮิลกาก, การปฏิวัติของมังกรดูดวิญญาณ, คุคุคุ~ ขุนพลมารกากสุดได้เป็นครูฝึกปาร์ตี้ผู้กล้า, Live dungeon ฯลฯ อะไรพวกนี้จะได้ทำเมะตอนไหน เพราะเรตติ้งนิยายมันดีจนได้ทำมังงะ พอเป็นมังงะเรตติ้งก็ดีอีก ตามระบบเว็บโนเวลญี่ปุ่น โอกาสที่เรื่องพวกนี้จะได้ทำอนิเมะแม่งสูง เหลือแค่นายทุนค่ายไหนจะหยิบไปทำเฉยๆ
กูแม่งเสียดายที่ในไทยไม่มีระบบแบบนี้วะ ส่วนนึงมันเป็นเพราะถึงทำเมะก็ขายแผ่นไม่ได้แบบญี่ปุ่น รัฐและเอกชนก็ไม่สนับสนุน คนรักการอ่านก็ไม่ค่อยมี เลยต้องอาศัยแพลตฟอร์มอย่างเว็บนิยายต่างๆ ไป แล้วต่อให้ติดท้อปก็ไม่ค่อยได้ทำมังงะต่อเหมือนเดิม ยกเว้นคนแต่งไปจ้างนักวาดทำขึ้นมา หน้าละ 3,500 (แพงสาส)
บ่นเหี้ยไรไม่รู้ตั้งนาน จริงๆ จะมาบอกแค่ว่ากูติดงานเลยไม่ได้มาลงตัวอย่างแนวออกตี้เรื่องที่ 3 อีกไม่นานคงมาลงต่อ
บาย
>>960 ขาวดำ เส้นเนี้ยบอยู่ แต่ต้องร่างสตอรี่บอดร์ดกับวาด stickman ให้เขาคร่าวๆ แล้วเขาจะวาดสตอรี่บอร์ดแบบเต็มให้ดูตอนบรีฟรอบ 2 ก่อนเริ่มงานจริง
ส่วนมากกูจ้างวาดแทรกหน้าเดี่ยวแบบไลท์โนเวล (มีรูปท่าทางกับสีหน้า แต่ไม่มีตัวอักษร) ราคาจะถูกกว่าวาดมังงะเต็มรูปแบบ
กูบอกแหล่งไม่ได้วะ เดี๋ยวโม่งแตก
นิยายสลับเพศกูเคยสับไปเรื่องนึงแนวแฟนตาซี แต่มันไม่ใช่สลับเพศแบบ TS เป็นแนวสลับเฉพาะตอนแปลงร่างต่อสู้ก็เลยไม่นับว่าเป็นแนวสลับจริงๆ อยู่ในมู้ไหนวะ ไม่ 23 ก็ 24 เนี่ยละมั้ง
>>962 เหลือ 800 แฮะ
มันเป็นงานกึ่งคอมมิชชั่น มึงต้องมีตัวละครที่ออกแบบไว้เองอยู่แล้วก่อน บอกอุปนิสัยกับสีหน้าพื้นฐาน (อาจจะวาดกากๆ หรือใช้เว็บสร้างตัวละครที่มีปรับแต่งได้เยอะๆ ทำขึ้นมา) นอกนั้นคือขึ้นอยู่กับว่าเอาคุณภาพไหน (ร่างรัฟสเก๊ทช์หรือตัดเส้น) เอาพื้นหลังด้วยหรือไม่เอา (มีพื้นแพงกว่า) สัดส่วน (หัวถึงอก หัวถึงเอว หัวถึงเข่า เต็มตัว) ในภาพมีกี่ตัว (เพิ่มราคาตามจำนวนตัว) คอมโพสกับท่าทางต้องหาเรฟจากภาพอื่นมาว่าอยากได้ท่าประมาณไหน (ถ้าท่าพิสดารเกินอาจโดนเรียกเก็บเพิ่ม)
ล่าสุดกูเอาหันข้าง 2 ตัวละคร หัวถึงเอว สถานการณ์แบบตัวเอกำลังคว้าคอเสื้อตัวบี ตัดเส้นให้คม เอาฉากหลังโถงทางเดินโรงเรียนแบบไม่ต้องละเอียด (ได้บันไดกับบอร์ดมาอย่างละครึ่ง) รอบนี้โดนไป 800 แต่คนวาดใจดีเขาปรับ Resolution กับเว้นขอบให้วางใน A16 ได้เลยแบบภาพไม่แตก (มันสะดวกกว่าถ้าจะทำอีบุ๊ค) กับปรับ contrast รูปให้จางลงนิดๆ เหมือนภาพไลท์โนทั่วไป (เผื่อเวลาพิมพ์เล่มจะได้ไม่เจอปัญหาหมึกเลอะ) เอาจริงๆ ราคานี้ค่อนข้างถูกเพราะกูจ้างงานเขาบ่อยมาก ถ้าเป็นราคากลางในตลาดนี่กูไม่รู้แต่คิดว่าคงแพงขึ้นไปอีกไม่มาก
ตอนบรีฟเนี่ยพวกนักเขียนอย่างเราจะได้เปรียบหน่อย โยนนิยายให้อ่านแล้วนักวาดก็เข้าใจเหตุการณ์ อารมณ์ สีหน้าได้ทันที เวลาวาดตัวอย่างมาก่อน ตัดเส้น/ลงสี ก็เลยไม่ค่อยได้แก้อะไรนัก
>>964 ในไทยยังไงก็ไม่คุ้มหรอกโม่ง ถ้าเงินมึงไม่ได้เหลือใช้จริงๆ จนเอามาจ้างวาดได้แบบไม่คิดอะไร อีกอย่างคือเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ใช่แนวเฉพาะจริงๆ คนไม่ค่อยซื้อรูปเล่มเก็บกัน
ถ้าคิดหวังทำกำไรระยะยาวมันต้องใช้เวลาเยอะพอสมควร แต่มันก็พอมีโมเดลที่ยืมมาใช้ได้อยู่ เช่น เรื่องแรกๆ ถ้ายังไม่มีต้นทุน มึงต้องเริ่มด้วยแนวตลาดแบบไหนก็ได้ที่ขายง่าย แต่ใช้ปกฟรีจากเว็บแจกภาพปลอดลิขสิทธิ์ไปก่อน เพื่อนกูใช้วิธีนี้อยู่ก็พอไปได้
ปัญหาคือมันต้องใช้เวลาสร้างฐานแฟนนานด้วยไง ถ้าไม่มีพวกแฟนคลับเดนตายที่ชอบมากขนาดเปย์ซื้อทุกตอน ทุกแพ็คแบบไม่มีเงื่อนไข ก็จะไปยังขั้นต่อไปลำบาก
สมมุติเรื่องแรกๆ ปัง จนพอมีเงินจ้างวาด เรื่องต่อมาคือเอาแค่ปกก่อน เพราะส่วนมากโดนปกหลอกเข้ามาอ่าน ได้ปกแล้วหาจ้างคนทำงานอาร์ตให้เขาวางชื่อเรื่อง กับ ผู้แต่ง, วาดปก ไปตามปกติ ไอ้เรื่องที่ 4-5 เนี่ยเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะถ้าปกสวยแล้วยังรักษาฐานคนอ่านไว้ได้ มันจะไปต่อได้ยาวๆ
แรกๆ คือจะไม่มีกำไรเลยนะ ถ้ามึงยังเรียนอยู่ก็ต้องประหยัด หรือถ้าทำงานแล้วก็กอดงานไว้ทำงานไปก่อน อย่าให้ขาดรายได้ จนถึงจุดที่มั่นใจว่าขายได้ต่อเดือนเกิน 7-8k ช่วงนี้ถึงจะเริ่มคืนทุน แล้วไปจ้างวาดได้เต็มที่ถ้ารักษายอดขายแบบนี้ไปได้นานๆ ถ้านิยายติดลมแบบเอาไปลงเว็บไหนก็เกาะกลุ่มกลางตารางขึ้นไปได้ตลอด คราวนี้จะจ้างวาดแทรกแบบไลท์โนเวลทุกๆ 5 ตอนก็ยังไหว หรือถ้าเล่นใหญ่หน่อยก็จ้างวาดมังงะสั้นตอนพิเศษสัก 10 หน้าฉลองปีใหม่ก็ยังได้
แต่อย่าหาทางลัดคิดใช้ภาพจาก AI มาทำปกนะ ถ้าวันนึงมีคนรู้เข้ามันชอบเอาเรื่องนี้มาโจมตี แฉให้คนถ่มถุยนิยายมึงได้ง่ายๆ แต่จะใช้ก็ได้ถ้ามึงใจถึงพอแล้วก็ไม่มีอะไรจะเสีย หรือไม่คิดจะขายนิยาย
>>965 พูดถึงปก เอไอ ความจริงตามกฎหมายเขาก็ยืนยันแล้วว่าไม่ผิดกม. แค่ไม่มีลิขสิท ดังนั้นจะใช้ขายของก็ได้ เอาจริงสำนักข่าวทุกวันนี้ภาพอินโฟ มันก็ใช้เอไอกันทั้งนั้นแต่คนไม่สังเกต
แต่เหมือนวงการนักเขียน นักวาดไทย รู้สึกถูกแย่งงานเลยต่อต้าน อารมณ์ อัศวินแบนผงดินปืน สมัยก่อนเพราะกลัวโดนแย่งอำนาจ
มือถือสากปากถือศีลอะวงการศิลปินไทยเรา บอกให้เคารพกม. แต่พอกม.ไม่เข้าข้างก็แบนกันเอง แล้ววงการนิยายเรามันจะเจริญได้ยังไง
>>967 นักวาดอะลำบากแน่นอน มึงพูดไม่ผิด แต่ในฐานะนักเขียน อะไม่ใช่
ถ้านักเขียนใช้เอไอได้ แปลว่าจะลดต้นทุนได้อีกมาก แถมไม่ต้องต่อคิวรอเป็นเดือนเป็นปีด้วย
ถ้าต้นทุนลด นักเขียนก็ขายงานตัวเองได้มากขึ้น เร็วขึ้น ง่ายขึ้น หน้าใหม่มันก็เพิ่มขึ้น แนวทีาเขียนก็เปิดกว้างมากขึ้น ไม่ใช่มีแต่ตลาดซ้ำซากเพราะทุนจมเลยต้องเอากำไรไว้ก่อน
ส่วนคิดว่าไม่แฟร์อะไร คำพิพากษาศาลมันก็ออกมาแล้ว เปลี่ยนแปลงไรไม่ได้ อีกหน่อยไม่นานกระแสคงเป็นตามนี้
แต่นี่กูพูดโดย มองจากฝั่งนักเขียนนะ ไม่ใช่นักวาด
>>968 ai มันก็ดูดงานนักเขียนคนอื่นมาเจนอีกเหมือนกันล่ะว่ะ มึงกระสันอยากใช้ ai ขนาดนั้นมึงก็อย่าเรียกตัวเองเป็นนักเขียนเลย เป็นนักตัดแปะ นักก็อปปี้อะไรก็ว่าไป นักเขียนเขาเอาไว้เรียกคนที่สร้างงานผ่านสมองตัวเองด้วยสองมือตัวเอง ไม่ใช่ป้อนคำสั่งคีย์เวิร์ดให้คอมพิวเตอร์สร้าง อีพวกใช้ ai สร้างงานก็เหมือนอีพวกซื้อข้าวเซเว่นมาเวฟแล้วเสร่อเรียกตัวเองว่าเชฟ
>>969 อ้อ สงสัยเราคุยกันผิดเรื่อง
กูกำลังคุยเรื่องเอไอกับภาพวาด ไม่ใช่เอไอกับงานเขียน อย่าพึ่งหัวร้อน ถ้าอ่านดีๆ กูไม่ได้พูดถึงเรื่องงานเขียนเลย มีแต่ภาพวาด คำพิพากษาที่กูพูดมันก็ให้สิทธิแค่ภาพวาด
ถ้านักเขียนเราใช้เอไอเจนภาพใช้เองได้ ไม่คิดหรอว่าจะได้เปรียบมากขึ้น
คนทำงานสร้างสรรค์แต่ไม่สนับสนุนงานสร้างสรรค์ ไม่ต้องพูดต่อแล้วมั้งว่าอนาคตจะไปอยู่ตรงไหน ไม่ต่างกับโรงงานจีนก๊อบผลิตภัณฑ์ออกขายคิดแต่ต้นทุนกำไรโดยไม่ให้ราคางานสร้างสรรค์
>>970 อันบนกูก็พูดถึงงานวาดจ้าว่ามันไปดูดงานคนอื่นมา มึงก็แถแถกๆว่าในมุมนักเขียนห่าแตดอะไรของมึง ทำงานสร้างสรรค์แต่ไม่สนับสนุนการสร้างสรรค์ คิดแต่จะเอาเปรียบคนในสายงานอื่นด้วยข้ออ้างหัวดอพรรค์นี้กูก็อวยพรให้นะว่าขอให้มึงโดนดูดงานเขียนไปเจน ai หัวกวยนี่ออกมาเป็นนิยายบ้าง เผื่อจะมีสำนึกว่าไม่ควรเอาเปรียบใคร
แต่จริงๆงานมึงอาจจะไม่โดนดูดไปเจนก็ได้เพราะงานมึงแม่งกระจอกเกินกว่าจะเอาไปป้อนให้ ai เจน ก็คนมันมีความคิดกระจอกขนาดนี้มันจะไปเขียนอะไรดีๆได้ ก็ได้แค่อะไรกระจอกๆเสร่อๆแบบนี้แหล่ะ
>>973
ai มันก็ดูดงานนักเขียนคนอื่นมาเจนอีกเหมือนกันล่ะว่ะ มึงกระสันอยากใช้ ai ขนาดนั้นมึงก็อย่าเรียกตัวเองเป็นนักเขียนเลย เป็นนักตัดแปะ นักก็อปปี้อะไรก็ว่าไป นักเขียนเขาเอาไว้เรียกคนที่สร้างงานผ่านสมองตัวเองด้วยสองมือตัวเอง ไม่ใช่ป้อนคำสั่งคีย์เวิร์ดให้คอมพิวเตอร์สร้าง
มึงก็เขียนมาชัดเจนว่ามึงหมายถึงเอไอดูดงานนักเขียน แล้วจะพูดได้ไงว่ากำลังพูดถึงงานวาด เขียนเองลืมเองเปล่า
>>972 นักเขียนมันไม่ต้องมีรูปไว้ดึงคนหรอกถ้าเก่งอ่ะ เจนมาเป็นร้อยรูปก็ไม่ได้ทำให้นิยายขายดีขึ้น ดีไม่ดีพวกนักอ่านที่มีความรู้หน่อยเห็น AI มันก็ไม่ซื้อละ กลุ่มนักอ่านขาประจำกุที่คุยกันไม่มีคนซื้อนิยายปก AI เลย เพราะมีความเห็นตรงกันว่าคนเขียนมันดูมักง่าย จะขายทั้งทียังใช้ปก AI จะใช้ก็อย่าใช้ให้มัน AI ชัดเกินคนซื้อมันไม่ได้โง่หรอก
>>976 หรือถ้าพื้นที่ในสมองน้อย เกิดมาไม่พกสมองจากท้องแม่ ไม่สามารถประมวลผลได้ กูก็จะพิมพ์ให้ว่าทั้งงานเขียนและงานวาด ai มันคือการดูดงานคนอื่นมาเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นมาตัดแปะให้มึงเป็นภาพ 1 ภาพ เป็นนิยาย 1 เรื่อง หากินบนหยาดเหงื่อแรงงานคนอื่นนี่ฟินเลยป่ะล่ะ
>>976 อ่านแล้วไม่มีตรงไหนเขียนถึง งานเขียนนิยายนะ แต่บริบทก่อนหน้าคือคนเขาคุยเรื่องภาพวาดประกอบอยู่
มึงต้องโทษตัวเองแล้วว่าหัวร้อนเลยเขียนออกมากำกวม ไม่บอกว่างานอะไร
แล้วถามจริงคิดว่าอีกซัก 5-10 ปีนี้คิดว่าคนมันจะยอมรับภาพจากเอไอมากขึ่นหรือน้อยลงละ ตอนนี้คนมันก็ต่อต้านละ กูก็ไม่รู้สึกแปลกอะ เรื่องปกติ ใครจะใช้งานเอไอตอนนี่ก็ระวังสังคมหน่อย แต่เดี๋ยวสุดท้าย พอสังคมยอมรับมากขึ้น ใครไม่ใช้ ใช้ไม่เป็น ไม่ยอมใช้ ก็ตกกระบวนเอง
อ้อ อย่าลืมไปอ่านคำพิพากษาศาลเมกากับจีนด้วย มันไม่ได้ก็อปปี้ดูดงานคนอื่นแบบที่เข้าใจผิดกันนะ ถ้าดูดมาแบบนั้นศาลไหนก็ช่วยไรไม่ได้อะ
>>978 บริบทก่อนหน้ากูก็ด่า ai อยู่ไง มึงบอกมึงพูดถึงในมุมนักเขียน กูก็ด่า ai ต่ออีก เข้าใจไรยากจริง แต่โหง้สมเป็นเอไอโบรดี ทั้งโหง้และกระจอก เชิญยึดคำสั่งศาลแล้วผลิตงานกระจอกๆไม่มีปัญญาฉายแสงต้องพึ่งภาพ ai มาดึงดูดคนให้มาดูงานไปเถอะ งาช้างไม่งอกจากปากสุนัขฉันใด คนความคิดกระจอกก็ไม่มีปัญญาสร้างงานดีๆได้ฉันนั้นล่ะ แต่ก็มโนเพ้อฝันไปว่าลดต้นทุนงานภาพที่ทำนาบนหลังคนอื่นเพื่อมาพัฒนางานตัวเอง เอาแค่ตอนแรกมึงก็ไปไม่รอดเพราะคิดจะเอาเปรียบคนอื่นแล้ว
มีคำถามลับสมองประลองปัญญา ถ้าไม่ได้ก็อปปี้ดูดงานคนอื่นมาแล้วมันจะเอาอากาศจากไหนมาเจนเป็นผลงานน้า ติ๊กต่อกๆๆๆๆ แต่คนแบบมึงคงนึกไม่ออกหรอก มันคงเสกมาจากกาแลคซี่อันโดรเมด้าออกมาเป็นงานสวยๆให้มึงล่ะมั้ง
>>979 หัวมึงร้อนจนเริ่มเขียนมั่วซั่ว ตีกันเองละ อ้างนู้นอ้างนี้วนไปวนมา อ้างอย่างพอสู้ไม่ได้ก็ถอยไปอ้างอีกอย่างที่ไม่ได้พูดถึง ตอบคำถามกูก็ตอบไม่ได้ กูเกิ้ลมีแต่ไม่ใช้
คุยกับมึงคงเสียเวลาเปล่า
แต่เผื่อมีคนอื่นอ่านแล้วยังไม่ทราบ ถ้าสงสัยว่าเอไอมันเสกภาพมาได้ไง ถ้าไม่ได้ดูดภาพ
ลองหาว่า neuron learning หรือ machine learning มันทำงานไงดูนะ เอาง่ายๆมันแค่เรียนรู้ว่าวาดภาพอะไรยังไงแล้วมันก็รับคำสั่งมาแค่นั้น ถ้ามันดูดภาพมานิ้วมือไม่เน่าหรอก นิ้วมันเรียนยาก ภาพนิ้วมันเลยเน่าๆอยู่
ส่วนอีกประเด็น วงการนักเขียนไม่ต้องห่วงหรอก เอไอมันไม่เข้าใจมุก ความรู้สึก กาว โมเอะ มันเขียนไปก็ไร้อารมณ์ขายไม่ออก แถมของพวกนี้ต่างกันไปตามวัฒนธรรม มันทำได้แค่เขียนพล็อตอะ สุดท้ายไงๆนักเขียนต้องเขียนเองหมด
ณ จุดนี้เอไอทำให้นักเขียนนิยายได้เปรียบด้วยซ้ำ
เหี้ยไรเนี่ย กูพูดถึงเอไอย่อหน้าเดียว ด่ากันรัวๆ จนมู้จะเต็มแล้ว โม่งนี่มันโม่งจรืงๆ (แต่กูชอบอ่านนะ)
กุงง คำพิพากษาที่ไหนวะแปะลิงก์ข่าวหน่อยดิ กุรู้ว่าaiไม่มีลิขสิทธิ์เพราะไม่ใช่มนุษย์ แต่ไม่ยักรู้ว่าไม่ผิดกฏหมายกรณีเอาภาพนักวาดต่างๆมาเจน ข่าวที่กุรู้คือนักวาดหลายคนฟ้องศิลปินai ตอนนี้ศาลยกฟ้องไปเพราะสำนวนกว้างไป ให้ทำคำฟ้องแคบลงแล้วส่งใหม่ เรื่องมันยังไม่จบนะ เคสอื่นๆ กุก็ไม่เห็นจบสักคดี มึงสนับสนุนให้ใช้aiภาพทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิดต่อนักวาด? กุควรจัดมึงเป็นคนประเภทไหนวะ
>>960 จัดไป แต่กูไม่ได้เขียนแม่ง https://writer.dek-d.com/dekd/writer/view.php?id=2354228
>>983 ที่ศาลจีน เอไอชนะ มีลิขสิทธิ์ด้วย https://mgronline.com/china/detail/9670000004632
แต่เขาบอกว่าจะดูเป็นรายกรณีด้วย ก็แล้วแต่prompt ที่ใส่ไปอะนะ
นิยายจีนตอนนี้เต็มเว็บระวังอนาคตมันใช้ปกเอไอเอามาขายด้วยละ ถ้าทุนมันถูกกว่ามันก็ลดราคาแข่งได้ วิธีเดียวที่เราจะรอดคือต้องปรับตัวให้ทัน ไม่งั้นก็เปิดอ่านฟรีไป
ส่วนที่บอกว่าตรงไหนบอกว่าไม่ผิดกม. ก็โม่งเขียนไว้เลยไงว่ายกฟ้อง
กม. ถือว่าผู้ต้องหาบริสุทจนกว่าจะพิสูจว่าผิดจริง ถ้ายังไม่ตัดสินว่าละเมิด ก็ถือว่าวันนี้ไม่ผิด
ส่วนมันจะผิดต่อนักวาดไหม นั่นคือความเห็นของแต่ละคน มึงอยู่ฝ่ายนักวาด ก็เห็นว่าผิด แต่คนพัฒนากับบางคนเขาบอกว่าไม่ผิด ก็ไม่ผิด เพราะศาลเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าผิดไหม หรือถ้าผิดแบบไหนมันจะผิด ไม่ผิดก็ถือว่าใช้ได้ไปก่อน
ไอ้ที่บอกน่าจะผิด ถ้าอนาคตบริษัทมันตกลงกันได้ว่าให้ใช้เจนภาพได้ แล้วมันก็ไม่ผิด พวกที่บอกผิดจะทำยังไง? ถ้าต่อไปเขาระบุให้มันเจนภาพได้เฉพาะแหล่งไม่ไปเรียนจากรูปที่อื่นละ? ธุรกิจเดี๋ยวมันคุยกันได้แหละ ไม่นาน โม่งอย่ากลัว
ความรู้สึกก็อีกอย่าง แต่ความจริงคือตรงนี้ละ พวกโม่งก็รู้อยู่เดี๋ยวคนมันก็ยอมรับได้ไม่นานหรอก ส่วนพวกวาดคนก็อาจจะขายไปอีกสายเลย
แต่เผื่อพวกมึงหงุดหงิด คิดว่าไม่ชอบ กูจะบอกข่าวดีให้ เดี๋ยวมันก็ต้องมีกฎหมายมาคุมการใช้เอไอ กำหนดว่าเจนจากไหนได้บ้าง ระดับไหน ตอนนั้นก็เจนกันได้ถูกกม.เยอะแล้ว ตอนนี่อียูเริ่มคิดละ พวกโม่งสายนักวาดไม่ต้องกลัวเกินเหตุ
กูว่าลึกๆคือนักวาดบางกลุ่มกลัวโดนแย่งงานแค่นั้นแหละ แล้วgaslight ทุกคนไม่ให้ใช้
ส่วนนักเขียนใช้ภาพเอไอได้จะประหยัดทุนไปกี่บาท จะได้ไม่ต้องเขียนแต่เรื่องตลาด ระบบ ตัวเอกเทพ ปลูกผัก จีนโบ ต่างโลก ที่โม่งเบื่อไรงี้มากเพื่อคืนทุนไวๆ ก็คิดเอา
>>985 กรวยเถอะ ถ้าเมิงพูดว่าจิตสำนึกเป็นเรื่องของความรู้สึก ก็เท่ากับว่าเมิงไม่มีข้อจำกัดขีดล่างแล้ว ถ้ามีเครื่องมือเสกนิยายสุดวิเศษเพียงแค่เอาลิ้นเลียอุปกรณ์รูปร่างเหมือนตืน พวกเมิงก็พร้อมจะทำและมีข้ออ้างอันแสดงความเป็นอัจฉริยะ เหนือพวกโง่ที่ไม่ใช้อุปกรณ์รูปตีนสุดวิเศษนั้น จำเริญ ๆ นะไอ้สึด
ไหนๆ พวกมึงก็พูดขึ้นมากันละ งั้นกูขอเสริมบ้าง
เรื่องผลงานจาก ai ไม่มีลิขสิทธิ์ = ถ้ามีคนกดเจนรูปขึ้นมารูปนึงแล้วมันสวยสัสๆ พออีกคนมาเห็นแล้วถูกใจ ดูดรูปนั้นไปใช้บ้าง คนที่เจนรูปไม่สามารถอ้างตัวเป็นเจ้าของได้ เหมือนตกเป็นสมบัติสาธารณะ
เรื่องการเรียนรู้ของ ai = กูว่าสุ่มเสี่ยงจะผิดกฏหมายวะ ถึงตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปและการฟ้องร้องก็ยังไม่จบด้วย แต่เรื่องนึงที่เถียงไม่ได้คือ ก่อน ai จะเจนภาพออกมาได้เราต้องป้อนรูปให้มันดู ให้มันเรียน จะได้เลียนแบบลายเส้นกับท่าทางได้ ทีนี้ปัญหามันเลยเกิดขึ้นเพราะมีพวกนักเจนเอาผลงานต่างๆ มาให้ ai เรียนโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของภาพ มันก็คือการขโมย, ละเมิดลิขสิทธิ์ กลายๆ นั่นแหล่ะ
พวกที่ชอบเรียกตัวเองว่า AI artist = เป็นชื่อที่เสนียดปากเหี้ยๆ บ่องตงนะ ไม่ควรใช้คำว่า artist ในชื่อเลย เพราะผลงานที่ได้มามันไม่ใช่ศิลปะ ถึงจะอ้างว่าต้องเสียเวลาป้อนรูปให้มันเรียน กับกดเจนเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ภาพที่ดูดีออกมามันก็ฟังไม่ขึ้น เพราะภาพที่ใช้เรียนก็ขโมยของคนอื่นมา ในกระบวนการสร้างก็ไม่ใช่ตัวเองแต่เป็น ai ต่างหากที่สร้างขึ้น คนที่ทำแค่กดคลิ้กเพื่อสั่งเจนภาพน่ะ ไม่คู่ควรกับการเป็นศิลปินหรอก
กูพอเข้าใจอยู่นะว่าการใช้ ai เชิงสร้างสรรคมันก็มี เหมือนพวกที่เจนภาพวิวทิวทัศน์แบบเหนือจริงต่างๆ ขึ้นมาผ่าน promt ที่ใส่ลงไป แต่การเอาภาพวาดมีลิขสิทธิ์มาเป็นตัวตั้งต้นในการเรียนแล้วเจนภาพจาก ai มาขายนี่แม่งน่าเกลียดเกิน มีค่าไม่ต่างอะไรกับเด็กประถมทำงานภาพตัดปะ แค่เปลี่ยนจาก กระดาษ+กาว มาเป็นปัญญาประดิษฐ์+คอมพิวเตอร์เฉยๆ
ก่อนหน้านี้มีงานจัดแสดงและขายผลงานของพวก AI artist เปิดขึ้นมา ผลเป็นยังไงรู้ป่าว? ไม่มีใครเข้ามาในงานเลยแม้แต่คนเดียว เท่าที่เห็นคือมีแค่สตาฟจัดงานกับคนที่มาตั้งโตะขายสื่อต่างๆ ที่ผลิตจาก ai เท่านั้น เห็นได้ชัดว่านอกจากตัวคนเจนเองแล้ว การตอบรับที่สังคมมีให้งานจาก ai มันเป็นไปในทางที่โคตรแย่ ก็นั่งตบยุงกันไปจนกระทั่งงานเลิกนั่นแหล่ะ
ตราบใดที่ยังไม่มีกฏหมายควบคุมผลงานอย่างชัดเจน งานจาก ai ก็จะถูกมองแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อะ
การเปรียบเทียบงานจริงกับงาน ai = ในโม่งนี่คุยกันไปเยอะละ ถ้าเป็นงานภาพก็คือบ่อนทำลายวงการทางอ้อม นักวาดจะทะยอยกันวางมือเพราะคิดว่าวาดไปทำไมในเมื่อมีคนรอดูดงานกูไปเจนหาแดก กว่าจะเส้นเทพขนาดนี้ฝึกวาดกันมาเป็น 10 ปี เจอพวกกดคลิ้กไม่ถึง 1 วินาทีแย่งงานไปแบบหน้าด้านๆ เลิกดีกว่าแม่ง
ฝั่งงานเขียนก็มีโดนกันหลายแบบ หลักๆ คือเอานิยายให้ ai อ่าน แล้วเจนเรื่องใหม่ขึ้นมา คนแต่งเองก็แต่งตามไม่ทัน ผิดกับฝั่งใช้ ai ที่มีนิยายลงทุกวัน เจ้าของนิยายที่โดนเอาไปเรียนก็เจอละเมิดแบบทำอะไรไม่ได้ อีกแบบก็คือพวกนักแปลที่จะโดน ai แปลแย่งงานในอนาคต เพราะตอนนี้มันจะยังแปลออกมาไม่เป็นภาษาคน
ความเห็นส่วนตัว : ถ้าคิดจะใช้ ai เป็นตัวช่วย ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับผลกระทบด้านต่างๆ ไว้ด้วย ถึงนิยายที่เจนมาจะสะดวกกว่าแต่งเอง แต่มันก็เขียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ต้องคอยมาเกลาให้หรืออาจต้องแต่งแก้ทั้งย่อหน้า ในหลายๆ ครั้งที่กูลองอ่านเรื่องแล้วจับได้ว่าเป็นนิยายจาก ai สิ่งนึงที่รู้สึกได้เหมือนกันทุกเรื่องคือมัน "ขาดความมีชีวิตชีวา" ยิ่งใช้ไปนานแค่ไหน สกิลการเขียนก็มีแต่จะลดลง (แล้วได้สกิล บก.+พิสูจน์อักษร มาแทน)
อ่านแล้วมันจะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจมึง แบบที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไรแต่รับรู้ได้ว่ามันผิดปกติ ทางนึงมึงอาจพบว่ามันบกพร่องโคตรๆ เหมือนไม่ใช่มนุษย์แต่ง กับอีกทางก็คือสมบูรณ์แบบเกินไปจนน่ากลัว แถมสามารถเดาทางได้ง่ายด้วย
ภาพวาดนี่ก็พอกัน ดูรูปแล้วเห็นแววตามึงก็ดูออกว่าแม่งไม่ใช่แววตาที่บอกอารมณ์ได้ บางรูปมือเบี้ยว แขนขาด ขาลอย วิธีการลงสีก็เหมือนๆ กันไปหมด ถึงจะเปลี่ยนลายเส้นจากการให้เรียนมากแค่ไหน ก็ยังดูออกได้ว่านี่มันไม่ใช่ศิลปะที่สร้างจากการฝึกฝนมานานปี
จะเทียบความรู้สึกยังไงดีวะ... เหมือนมึงใช้จิ๋มกระป๋องกับเย้ดหีของจริงอะ มันแตกต่างกันมากๆ เลยนะเว้ย
>>985 เขาก็พูดกันไปแล้วว่ามันละเมิดลิขสิทธิ์ ดูดงานนักวาดมาเจน มึงก็ยังจะมาประหยัดต้นทุน ไม่ต้องมาเขียนแนวเรื่องตลาด โถ อีเถาะ แค่จ้างนักวาดไม่กี่พันก็ได้รูปดีๆ มึงพูดเหมือนขาดทุนระดับล้านต้องมาหาทางประหยัดต้นทุน นักเขียนถ้ามันมีหัวคิดสร้างสรรค์มันก็เขียนแนวอื่นนอกจากแนวตลาดได้ว่ะ มึงมันก็แค่พวก loser เฉยๆ ทั้งจนและขี้แพ้ หาข้ออ้างมาเอาเปรียบคนอื่นแบบหน้าด้านไม่ละอายใจ มึงนี่ต้องเป็นคนเหี้ยได้ขนาดไหนถึงได้มองว่ามันเป็นผลดีกับนักเขียน แล้วนักวาดที่ไปดูดงานเขามาคือช่างหัวแม่งไม่ต้องสนใจเพราะมึงได้ประโยชน์งั้นสิ ไอ้ขยะ
>>985 555ข่าวอะไรเนี่ย กุ>>983 เองนะ กุไม่ได้เหยียดนะแต่นึกว่าจะเป็นข่าวฝั่งเมกาหรือยุโรป หรืออะไรที่เป็นสากลพอยึดเป็นหลักแนวทางคำวินิจฉัย55 แล้วแมร่งเป็นข่าวมือเจนaiฟ้องมือขโมยภาพai ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนักวาดเลย555 แล้วคำพิพากษาคือ
'ในคดีนี้ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายลิขสิทธิ์ก็เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์งานด้วยเทคโนโลยีเอไอ และส่งเสริมอุตสาหกรรมเอไอที่เพิ่งเกิดใหม่'
คือศาลไม่ได้เอ่ยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลในการเจนภาพที่ถูกต้อง หรือไม่ อย่างไร จะขโมยมารึเปล่าก็ช่างศาลไม่ตัดสินเรื่องนั้น สรุปคนละเรื่องกับที่ถกกันในโม่งเลย555
ขอแก้ไขเรื่องที่กุบอกครั้งที่แล้ว ไปถามผู้รู้มาล่ะ กุใช้คำผิดเองแหละ ศาลไม่ได้ยกฟ้อง เรียกว่าศาลยกคำร้องมากกว่า และคนที่แนะนำให้ฝ่ายนักวาดเขียนคำร้องส่งใหม่คือศาลเอง ไม่ใช่ทนายโจทก์ คดียังไม่จบนะจ๊ะ ไม่ใช่ถือว่าaiไม่มีความผิด
กุบันเทิงมากๆกับข่าวจีนของมรึง ฮาปวดท้องเลย ชดใช้ตั้ง500หยวน555 แต่กุขอตามข่าวฟ้องหลายล้านเหรียญต่อดีกว่า สุดท้ายถ้ามรึงอยากยึดตามศาลจีนก็เอาที่สบายใจ แต่กุอยากให้มรึงจำประโยคข้างล่างไว้นะ หวังดี
'คำตัดสินของศาลอินเทอร์เน็ต พิจารณาเป็นรายกรณีไม่ใช่คุ้มครองทั้งหมด และสามารถถูกกลับคำวินิจฉัยได้ในศาลที่มีลำดับเหนือกว่าตามกฎหมายลิขสิทธิ์'
ถ้า AI ถูกต้องหมด ป่านนี้มนุษย์ไม่ต้องเขียนนิยายแล้ว ให้ AI ทำแทน ส่วนมนุษย์แค่ไปเที่ยวข้างนอก
เฮ้ยๆ ต้องขึ้นบทใหม่แล้วนะ ถึง 1000 เรปต้องย้ายห้อง
กุเริ่มก้ได้
นิทานเด็กดีบทที่ 41 (DDN XLI) จักรวาลโม่งที่หยุดหมุน เกานิ่งตั้งตรงตามต้นกก แสงเหลืองเรื่องจากปลายก้น ผลุดหนีหลุดจากร่าง ลอยเรียดลู่ลมบนผิวน้ำ ไหลไถลดิ่งจม หายไปตลอดกาล
ต๊ะตึงโป๊ะๆๆๆ
อยากขึ้นบทใหม่ แต่กูลืมว่าควรทำอะไรฟ่ะ
ไม่ได้มาแวะเกือบเดือน อ้าง จะจบแล้วเหรอ
ใครก็ได้ช่วยเปิดห้องใหม่รอไว้ที กูไม่เคยทำ
เชิญคั้บ
เอ้า ถมมมมม 999
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.