สอบเสร็จยัง
สอบเสร็จยัง
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ศึกษาตลาด ก็เลยอยากถามโม่งหน่อย
ระหว่างเขียนให้ตัวเอกเป็นผู้ชาย แล้วเนื้อเรื่องแบบดมกาวกันไปข้างนึงเลย กับให้ตัวเอกเป็นผู้หญิง แล้วเนื้อเรื่องออกแนวแมรี่ซูไปเลย
อันแบบไหนมันจะตอบสนองความนิยมในตลาดได้มากกว่ากันหว่า โครงเรื่องเอยอะไรเอยพร้อมเขียนละ ขาดแต่เลือกเพศตัวละคร + ตั้งชื่อเรื่อง
คือถ้าเป็นผู้ชายมันจะออกแนวเก่งอยู่แล้วจึงให้เน้นไปทางตลกเบาสมองแทน แต่ถ้าเขียนให้ตัวเอกเป็นหญิงแล้วเก่งรอบด้านมันจะกลายเป็นแมรี่ซูน่ะ
แมรี่ซูไม่เกี่ยวกับความเก่งความเทพ แต่เป็นเรื่องของความเพ้อฝันเชิงอุดมคติของนักเขียนโดยไม่สนตรรกะ หรือภาษาบ้านๆคือ การ SIMP ตัวละคร
>>912 มีคนเห็นก็ดี เรื่องก็อบผมไม่อยากตีให้มันใหญ่เกินไป ในโม่งก็ยิ่งไม่ชอบผม นิยายผมก็มีการกระทำผิดเอารูปมาใช้ ผมก็ไม่ได้คลีนร้อยเปอร์เซ็นต์ ปัญหาเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่มากถ้าวงการนักเขียนจะหยิบมาพูดกันจริงๆจังๆ ก็อบปี้ ทุกคนมีนิยามความหมายว่ายังไง? ถ้าหมายถึงการก็อบทุกตัวอักษรน่ะ ยังไงมันก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันไง เพราะถ้าคนมันฉลาดหน่อย อยู่เป็นหน่อย มันไม่มีทางก็อบแบบทุกตัวอักษร ไอ้คนที่จะทำแบบนี้มันคือพวกเด็กๆสิ้นคิด ถ้าโตมาหน่อยก็จะก็อบแล้วเอาไปดัดแปลง แต่ง เปลี่ยนจนจับยาก
ทีนี้ประเด็นเนื้อหานิยายผมมันเป็นเรื่องยาว 250 ตอน อีกเรื่องก็เป็นเรื่องยาว 500 ตอน ตีเป็นหนังสือรวมกัน 20 เล่มหนาๆกองเป็นตั้ง ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะอ่านได้หมด ดังนั้นถ้าจะไปกวาดตาอ่านว่าก็อบตรงไหน เหมือนตรงไหนโดยใช้เวลาแค่ 10 -20 นาทีมันจะจับไม่ได้เลยเพราะเขาไม่ได้ก็อบทุกตัวอักษร แต่เป็นการก็อบไอเดียไปทั้งดุ้น แล้วแปลง เปลี่ยน เขียนสไตล์ตัวเอง
ไอเดียทั้งดุ้นที่ว่าคือโครงเรื่อง สตอลี่ไลน์
เช่นนิยายผมเป็นแนวระบบแต้มบุญ ถึงแม้จะชื่อว่าระบบ แต่ผมไม่ได้ดำเนินเรื่องด้วยระบบ ระบบในเรื่องของผมเป็นใบ้ พูดไม่ได้ เป็นแค่ร้านค้าโง่ๆ ดังนั้นผมเลยต้องเสก AI BOB ขึ้นมาดำเนินเรื่อง ทว่าอีกเรื่องเปิดเรื่องด้วยระบบดาดๆตามกระแส ชื่อระบบเงินคืน 100 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นแนวระบบมอบให้ มอบนั่น มอบนี่ การดำเนินเรื่องมันจะคนละแบบ สตอรี่ไลน์ก็จะคนละแบบ
ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้นจะเห้นว่าวิธีการเขียนของนักเขียนเรื่องระบบเงินคืน 1-150 ตอนแรกจะเป็นอีกแบบ ทว่าหลัง 200 ตอนเป็นต้นไปหลังจากที่เขาเสก AI ชื่อบ็อบเหมือนเรื่องของผมเข้ามาในเรื่องเขา ทีนี้สตอรี่ไลน์เขาเปลี่ยนมาทับเรื่องผม ตัวเอกจากโง่ๆไม่มีอุดมการณ์ตบเกรียนไปเรื่อย กลายมาเป็นแนววิทยาศาสตร์ใช้ AI สร้างโน่นนี่เหมือนผม สิ่งประดิษฐ์อะไรต่างๆที่เรื่องผมมีและสร้างขึ้น เรื่องเขามีมาเหมือนกันหมดทุกอย่าง มียันลูกแฝด แม้แต่สำนวนการเขียนก็ยังมีคนตั้งข้อสังเกตุว่าเขาเปลี่ยนไปจากช่วงแรกจนมาคล้ายผม
เขาออกมาแถลง ลองไปอ่านที่เขาแถลงดีๆ แล้วตีความหมาย โครตตลก "ผมไม่เคยอ่านเรื่องนั้นเลย ไม่เคยจิ้มเข้าไปอ่าน ย้ำว่าไม่เคยอ่าน แล้วก็แก้ตัวว่าไอเดียที่มีคล้ายกันทุกอย่างในเรื่องคิดมาเอง โดยเคยเห็นผ่านตาจากนิยายแปลจีน บลาๆๆ ความหมายคือ เขาไม่ได้ก็อบเรื่องที่เป็นประเด็น แต่ไปก็อบแรงบันดาลใจมาจากเรื่องอื่น???? มันตลก" มาก
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง มันรู้สึกแย่ แย่หนักที่มีนักอ่านอวยและสนับสนุนนักเขียนที่มักง่าย บางคนถึงกลับพูดว่า ไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่าน ก็รออ่านฟรีไปดิ คือผมงง ถ้าก็อบคนอื่นมามันต้องโดนลงโทษ โดนตำหนิปะ นี่ลอยหน้าลอยตาออกมาโกหกเหมือนว่าคนอื่นโง่ซะงั้น ทีมงานก็เหมือนจะช่วยนะ ช่วยโดยการแบนไม่ให้นอนเม็มไปถล่มเขาเยอะ ผมงงว่าทีมงานจะอุ้มอะไรขนาดนั้น
พูดลำบาก
>>918 เสริมให้อีกนิด ชื่อเรื่องมันระบบเงินคืน ถ้าไปอ่านจะรู้เลยว่ามันไปก็อบเขามา เพราะระบบเงินคืนที่เขาคิดขึ้นมันมีพลอตโฮลเยอะ เยอะจนกลบไม่มิด นิยายมี 500 ตอน ระบบเงินคืนชื่อเรื่องมันหายไปตั้งแต่ 100 ตอนแรก ไม่กล่าวถึงเงินคืนอีกเลย สุดท้ายเขียนวันละ 3 ตอนโดยการไปบิดเอาไอเดียจากนิยายจีน เรื่องนั้นที เรื่องนี้ทีมันแปะ เขียนไถๆตบเกรียนไป พอเริ่มถูกเรื่องผมแซงขึ้นมา พี่แกก็เลยก็อบไอเดียสตอรี่ไลน์ผมไปเขียนไถต่อแตกตังจากตอนที่ 200 ซึ่งแกเริ่มตัน ไถต่อจนมา 500 ตอนอะ
แจ้งทีมงานไปก็เท่านั้นขอหลักฐาน จะไปเอาหลักฐานมาจากไหน? ก็มันไม่ได้ก็อบทุกตัวอักษร แต่คนที่อ่านทั้งสองเรื่องตั้งแต่แรกดูออกทุกคน บอกได้แค่นี้
ที่หนักคือออกมาแก้ตัวหน้าด้านๆ ทุกอย่างที่เหมือนผมเขียนหลังผมตลอด อ้างว่าคิดเอง แล้วทำไมไอเดียที่เหมือนกันไม่เคยผุดมาก่อนเลย เข้าโหมดเครื่องบิน ไม่ตอบนักอ่าน ไม่มีปฎิสัมพันธ์ใดๆ มันเป็นอาการของนักเขียนที่ไม่รักนิยายตัวเอง เพราะนิยายไม่ได้สร้างขึ้นจากไอเดียตัวเอง แต่ไปก็อบเขามา เขียนได้เงินไปครึ่งล้าน ค่าจ้างวาดปก 2000 3000 ยังไม่เจียดมาวาด ดูก็รู้ว่าแม้แต่ตัวนักเขียนยังไม่อินกับเรื่อง ไม่รักนิยาย ไม่รักตัวละ เห็นแก่ได้
ทีมงานถามหาหลักฐานที่ชัดเจน ผมจะไปหาหลักฐานมาจากไหน? ก็อีกฝ่ายมันไม่ได้ก็อบทุกตัวอักษร ผมอาจจะหาหลักฐานได้แหละ แต่มันต้องเสียเวลาเอาเรื่องของอีกฝ่ายมาตีแผ่ วิเคราะห์ ทำรายงาน มันเสียเวลาหนักมาๆ แถมไม่รู้ว่าทีมงานจะตัดสินยังไง มันน่าอึดอัดตรงรู้ว่าถูกก็อบแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ผิดกฎชัดเจน
นักเขียนเรื่องระบบเงินคืนเนี่ย เงียบเป็นใบ้มาตั้งนาน ไม่ตอบ ไม่หือ ไม่เคลียร์ ไม่ชี้แจง เพราะคนโกหกถ้าออกมาชี้แจงก็จะอย่างที่เห็น ยิ่งแก้ตัวยิ่งเผยพิรุธ ปล่อยไก่ บอกว่าไม่เคยมาส่อง ไม่เคยอ่านเรื่องผม แต่สำนวนเปลี่ยนกลางคัน แม้แต่สำนวนการเขียนยังเปลี่ยนมาคล้ายผมนิดๆ วิสัยนักเขียนที่ติด top ร้อยทั้งร้อยจะส่องลิสต์ TOP หมวดในหมวดเดียวกันทุกวัน วันละหลายรอบ ส่องคู่แข่ง ยิ่งมีเรื่องไหนมาแรงแซงตัวเองขึ้นมาหรือกำลังจี้ตัวเอง เขายิ่งต้องส่อง ส่องเก็บข้อมูล ส่องว่าทำไมอีกเรื่องมีคนอ่านเยอะ เผื่อจะเอาแนวทางมาปรับใช้ นักเขียนมันต้องส่อง ยิ่งเขียนทุกวัน ยิ่งเขียนรายตอนต้องส่องคู่แข่ง ส่อง top หมวดนั้นหมวดนี้ ผมฟันธงให้เลยในฐานะที่เขียนนิยายมาหลายเรื่อง หลายปี ดังนั้นคำอธิบายแรกของเราที่บอกว่าไม่เคยมาส่องเรื่องผม ไม่เคยอ่าน แค่บังเอิญคล้าย มันไม่จริงหรอก ก็ถ้าแค่เรื่องแรกที่ออกมาอธิบายยังโกหก เรื่องอื่นๆจะเชื่อได้ไหมล่ะ?
ก็อบด้านขนาดไหน ขนาด AI ที่ก็อบมามันยังเอาชื่อบ็อบเหมือนกันเลยคิดเอา ชื่อลูกสาวตัวเองเชื่อจันทร์เจ้า ก็ไปก็อบชื่อมาจากนางเอกแนวระบบอีกเรื่องที่ติด top นิสัยนักเขียนเรื่องเงินคืนเนี่ยเขามักง่ายแต่แรก เห็นได้ยากคำผิดไม่ยอมแก้ นักอ่านเตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่แก้ ชื่อตัวละครสลับกับอีกเรื่องก็ไม่แก้ พฤติกรรมหลายอย่างมันชวนให้คิดวิเคราะห์ได้อยู่แล้วว่าเป็นยอดนักก็อบ พล็อตเรื่องมันก็ก็อบมาจากนิยายจีนนั่นแหละ ถามดีกว่าว่าระบบเงินคืนเนี่ย มีตรงไหนคิดเองบ้าง ไอเดียน่ะ ไปบิดเอามาทั้งนั้น แค่จะรู้หรือไม่รู้ เขาทำจนติดเป็นนิสัยแต่แรก พอขายได้มีนักอ่านอวยมันยิ่งได้ใจ ได้ใจมากคิดว่าทำแล้วไม่ป็นอะไร จิตสำนึกมันก็ยิ่งลด ยิ่งล้ำเส้น สุดท้ายก็อบแม่งคนข้างบ้าน คนไทยด้วยกันนี่แหละ ง่ายดี เขียนไถขายได้เงินหลักแสน
ไม่รู้จะพูดยังไง เอาเป็นว่าคนโดนแล้วทำอะไรไม่ได้พูดเยอะก็ไม่ได้ กลายเป็นผู้ร้าย โดนหาว่าไปใส่ร้าย เชี่ยขนาดสตอรี่ไลน์ยังเปลี่ยนกลางเรื่องมาเหมือนผม สำนวนก็เปลี่ยนมาคล้ายผม เรื่องนี้ถ้าเคยเขียนนิยายจะรู้เลย ว่าสำนวนมันจะไม่นิ่ง สำนวนมันจะเปลี่ยนถ้าระหว่างเขียนเราไปอ่านผลงานของนักเขียนคนอื่นเยอะไป แล้วแบบนี้มันจะมาอ้างได้หรอวะว่าไม่เคยอ่านเรื่องผม ... สุดท้ายก็อย่างว่า ด้านไม่ยอมรับซะอย่าง จะทำไม? แถโง่ๆยังมีคนเชื่อเฉย
>>920 ขำๆนะผมด่าคนอื่นเรื่องคำผิด แต่พิมพ์เนี่ยก็คำผิดเยอะ แก้ไม่ได้ด้วย ขออภัยร้อนไปหน่อย ได้ระบายก็ดีขึ้น สุดท้ายที่ออกมาเปิดหน้าชกมันเนี่ย ไม่ได้หวังสูงอะไรหรอก แค่อยากจะให้มันรู้ว่าถ้ามึงก็อบของคนไทย มันไม่จบง่าย และมันจะได้มีประวัติไว้ว่าเคยถูกกล่าวหาว่าก็อบ ครั้งหน้าถ้ามันไปทำอีก แล้วถูกกล่าวหาอีก มันจะมาไถว่าบังเอิญไม่ได้แล้ว คนอื่นจะได้ไม่โดนเหมือนผม
เป็นเราจะให้ชื่อมันอยู่ในหมายละ เสียสุขภาพจิต
แต่ถ้าทางคุณจบตรงนี้ก็คือจบ เราก็ไม่ว่าคุณนะ แนะนำว่าอย่าเอาคำพูดของทางนั้นมาทำให้ใจตัวเองบางลง มั่นเข้าไว้ถ้าเราไม่ได้ทำผิด ทุกเหตุการณ์มีเหตุผลของมัน
https://www.dek-d.com/board/view/4069315
ตั้งกระทู้แล้ว หวังว่าจะไม่ถูกลบ
>>926 กูรู้นานแล้ว แต่จะให้กูทำไงได้วะ? คนก็หมั่นกูเยอะ ขืนกูโวยวายกระแสตีกลับกูก็ยิ่งแย่ แม่ง
กูโครตอึดอัดอะ ขืนกูออกมาแล้วกระแสไปเข้าข้างคนผิดกูไม่แย่หรอ มันไม่ใช่นิยายเรื่องสั้นที่กวาดตาอ่านแล้วมึงจะรู้เว้ยว่ามันก็อบ มันเป็นเรื่องยาวที่มึงต้องเสียเวลาอ่านเปรียบเทียบ และคนดูต้องมีสติปัญญาระดับนึง เข้าใจการเขียนระดับนึง ดูเผินๆไม่รู้เลย ไม่เชื่อมึงไปอ่านความเห็นในเรื่องมันดิ นักอ่านยังอวยมันอยู่เลย
ก็รู้ตั้งนานแล้ว กูสงสัยตั้งแต่ AI ชื่อบ็อบมันโผล่มาแล้ว ตอนแรกก็ว่าจะทำเฉยๆ แต่พอนานไป แม่งเอาจากเรื่องกูไปทุกอย่างเลย กูเลยรู้สึกแบบไอ้เชี่ย ไม่ไหวละ ก็ถึงเริ่มบ่นในหน้านิยายกู เรื่องมันถึงเริ่มมาแดงเนี่ย มึงไม่เป็นกูคงเข้าใจยาก
>>926 ฟ้องศาลแม่งก็ลำบาก เสียค่าทนายแถมต้องมาพิสูจน์ว่ามันก็อบยังไง พิสูจน์ยากมาก ขนาดเว็บยังบอกหลักฐานไม่พอเลย มันทำอะไรไม่ได้จริงๆ
ที่เจ็บกว่านั้นคืออะไรรู้ไหม ความด้านของนักเขียนคือมันมั่นหน้ามาก พอเรื่องแดงทีมงานคงติดต่อไปสอบถาม มันก็อธิบายให้ทีมงานฟังตามเหตุผลแถๆของมัน และมันคงคิดว่าทีมงานรับฟัง รอดตัวแล้ว เลยออกมาพิมพ์คำชี้แจงแบบกากๆอย่างมั่นหน้า ถึงได้เป็นประเด็นไง คนโกหก ยิ่งโกหกเรื่องมันก็ยิ่งโป๊ะ คิดว่าอธิบายทีมงานได้แล้วจะรอดตัว ดูถูกสติปัญญานักอ่าน คงคิดว่าเขียนอะไรไปคนก็เชื่อ ง่าย ทีมงานมีแอบช่วยด้วย แบนห้ามให้นอนเม็มมาเม้นในหน้านิยายมัน กลัวถูกถล่มมั้ง กูเลยต้องเปิดหน้าชกแม่งไง อย่างนั้นให้มันมีประวัติไว้ จะได้ไม่เสือกไปทำอีก
>>925 กระทู้ใน DEK D ถ้ามันถูกลบคือผมแจ้งลบเองนะครับ ไม่ต้องไปว่าทีมงาน สาเหตุคือผมรู้สึกว่าตัวเองดูแย่ ไปกล่าวหาคนอื่น ถึงตัวเองจะมีเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่าถูกก็อบ แต่การไปกล่าวหาเฟรมคนอื่นมันก็ดูไม่ดี ยิ่งดึงมาเป็นประเด็นสาธารณะแบบนีั้ด้วยแล้วยิ่งไม่ควร ประกอบกับที่ตัวผมขี้เกียจไปต่อความยาวสาวความยืดหาหลักฐาน เพราะหลักฐานมันอ่อนจนไม่พอ อีกฝ่ายไม่ได้ก็อบทุกตัวอักษร อย่างมากก็ก็อบไอเดียไปเขียน เปลี่ยน ดำเนินเรื่องในแนวทางของตน ซึ่งมาคิดดูแล้ว บางทีมันอาจจะอยู่ในขอบเขตที่กระทำได้มั้ง?
เอาจริงๆมันก็แยกยากนะเรื่องการก็อบไอเดีย ทำได้ขนาดไหน เส้นแบ่งขนาดไหน จริงๆเราหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาถกกันก็ดีนะ
ขออภัยทุกท่านที่เอาดราม่า และความร้อนของตัวเองมาให้เสพอย่างไร้สติ เอาเป็นว่าหลังมันเกิดประเด็นขึ้น นักเขียนต้นเรื่องคงได้รับผลกระทบและได้คิดทบทวนระดับนึงแล้ว
ผมเองก็ได้บทเรียนเยอะเหมือนกัน
เอาน่า มึงไม่ใช่คนแรกที่เจอเรื่องบ้าๆ แรงบันดาลใจกับลอกเลียนแบบยังเป็นปัญหาโลกแตกทุกวงการจนทุกวันนี้ นิยายต่างโลกไม่เห็นจะฟ้องเลย แต่ลอกไอเดียใช่ว่าทุกเรื่องจะสำเร็จ เขียนดีหรือแย่ การตลาดดีหรือแย่ สุดท้ายอยู่ที่ดวง ดีนะที่ไม่มีเรื่องของสิทธิบัตร อันนี้เหี้ยกว่าลิขสิทธิ์ เพราะแม่งผูกขาดทางความคิดสัสๆ ขืนนักเขียนท่านใดจดสิทธิบัตรเรื่อง "กิลด์นักผจญภัย" คนอื่นที่เขียนแนวกิลด์นักผจญภัยไม่ว่าอยู่สัญชาติไหน ไม่อยากขึ้นศาลก็ต้องจ่ายเงินให้ผู้จดสิทธิบัตรคนนั้น อย่าให้มีการผูกขาดทางความคิดเลย
ปกติกูเฉยๆ กับตุ๋นกบ แต่รอบนี้กูอยู่ข้างไอ้ตุ๋นว่ะ เพราะเรื่องแบบนี้กูเองเคยโดนมาเหมือนกัน จากที่อ่านมาดูเหมือนมึงจะเข้าใจดีอยู่แล้วว่ามันจัดการยาก ตอนกูโดนกูเองก็ไม่อยากเสียเวลาเลยแก้ด้วยการแต่งนิยายแบบหลอกด่าคนลอกผ่านตัวนิยาย เอาชื่อนามปากกามาดัดแปลง เอาชื่อเรื่องมาบิดหน่อยๆ แล้วแต่งแบบกวนตีนในนิยายเรื่องที่กำลังถูกลอก คนลอกที่อ้างว่าไม่เคยมาอ่านเรื่องกูเหมือนกับที่มึงกำลังโดนอยู่แม่งดิ้นเป็นหมาโดนน้ำร้อนเลย พวกนักอ่านก็ถามว่าถ้ามึงไม่เคยแวะมาอ่านจริงๆ ทำไมถึงรู้ได้ว่าตัวเองกำลังถูกหลอกด่า มันอ้างว่ามีแฟนคลับมาเจอแล้วเอาไปบอกมัน กูบอกต่อว่าแล้วมั่นใจได้ไงว่าเนื้อเรื่องกับชื่อเรื่องนั้นเป็นนิยายของมึงเพราะไม่มีอะไรตรงกันซักอย่าง พี่แกใบ้แดกแล้วหายหัวไปซะงั้น
ถึงจะแก้เรื่องที่ว่ามันมาทำตัวเหลือบไรเอาไอเดียเราไปหาผลประโยชน์ใส่ตัวไม่ได้ แต่กูมั่นใจว่าเวลามันมาดูเพื่อเอาไปลอก ก็ต้องมีหัวร้อนไม่มากก็น้อย เหมือนคนแอบขายตัวพอเห็นคำว่ากระหรี่แล้วมีอาการชะงักตอนอ่าน
มึงก็ไม่ต้องไปคิดมาก ของแท้มันย่อมดีกว่าของปลอมอยู่แล้ว อยู่ไปนานๆ เดี๋ยวมันก็แต่งเองไม่ได้ ทำได้แค่ไปหาที่นั่นที่นี่เอามาลอก จนตอนสุดท้ายคนจับได้บ่อยแล้วเลิกอ่านของมันไปเอง งานเขียนเป็นทักษะอย่างหนึ่งถ้าไม่ฝึกฝนเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ แย่ลง คราวนี้ก็ถือว่าทำบุญทำทานไป
เจอเคสนี้ก็รู้สึกผิดแฮะ สมัยกูยังเป็นเด็กเกรียนในเว็ปประมูลก็เคยทำพฤติกรรมแบบนี้ orz
พอก็อบจนถึงตอนล่าสุดที่เหลือก็เขียนเองมั่วนิ่มจนกลายเป้นอีกเรื่องไปเลย
ky กลุ่มอมรินทร์ เข้าซื้อหุ้น 51% ของ Dek-D คิดเป็นมูลค่าดีล 204 ล้านบาท
https://www.blognone.com/node/130902
เหยด ... งั้นก็กลายเป็นเจ้าของเลยดิวะเพราะถือหุ้นใหญ่
อมริน เป็นเจ้าของเด็กดีแล้ว จะมีผลไรกับพวกเรานักแต่งนิยายบ้างไหม หรือไม่มีไรเลย
แต่ขณะเดียวกัน โพสข่าวเดียวกันดันไม่มีคนเม้น หรือว่าคนสิงเว็บเด็กดีจะหลับหูหลับตาละหว่า
https://www.dek-d.com/board/writer/4069773/
พวกเอ็งรู้จักแค่ 2-3 แอพเองเหรอวะ
https://www.dek-d.com/board/writer/4069964/
เดี่ยวนี้พวกมึงสิงที่ไหนกันหยอ
visual novel นี่ยังใช้ได้ปะวะ กูว่าจะลองทำเป็นตอนพิเศษให้คนลองเล่นดู กะใช้โฆษณาอ้อมๆ+เขียนแบบเกมไงมีหลายรูท แต่เดี๋ยวนี้มันไม่บูมเหมือนเมื่อก่อนจะมีคนเล่นไหมอะ กลัวแป้ก
โม่งคิดอย่างไร กับพวกองุ่นเปรี้ยวในบอร์ด
อัลไลของมันวะ https://www.dek-d.com/board/writer/4070996/
นโยบาย 1 วิวต่อ 1 ไอดีคือการซุกใต้พรม?
https://www.dek-d.com/board/writer/4071158/
เออยังไม่จบอีกเหรอวะ กูจำได้ว่าในยุคสมัยนึงเมื่อจะดังมากเลยนิ นึกว่าแต่งจบไปเป็นชาติแล้วซะอีก อีปากกาแดงดำแม่งยังเขี่ยจนจบได้เลย แต่กูก็ไม่เคยอ่านหรอกนะ
กูเริ่มเบื่อนิยายจีนย้อนเวลาไปยุค 1980 ที่ติดท็อปหลายเรื่อง กูถามหน่อยเพื่อนโม่ง จีนยุคนั้นมีอะไรดีวะ ทำไมคนไทยถึงอยากย้อนไป ไม่ใช่ว่าช่วงเวลานั้นเป็นยุคมืดของจีนเหรอวะ หรือกูเข้าใจผิด ใครพอมีความรู้เรื่องนี้บ้าง
https://www.dek-d.com/board/writer/4071467/
เยกันแค่ฉากเดียวไม่นับเป็น NC... เหรอวะ? (เม้น 4)
พูดถึง nc เห็นในรี้ดเค้ามีดราม่าลดเรื่องพวกนี้อยู่ อนาคตจะเหมือนกับในเด็กดีไหมวะ
อยากรู้ว่านิยายของหมอนี้มีดียังไง https://www.dek-d.com/board/writer/4071689/
มีใครอยากเสนอชื่อมู้ใหม่ไหมฮาฟฟฟ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย (มู้นี้มันไม่ตายห่าได้ยังไงวะ?)
นิทานเด็กดีบทที่ 40 (DDN XL) มันจบแล้วอนาคิน เด็กใหม่สักแตเขียนไมคิดจะอ่าน พวกหน้าเกาก็เขียนนิยายเลียงชีพในเซฟโซน ดรามามัน ๆ ก็ไม่มี เจ้าของยังขายทิ้ง
นิทานเด็กดีบทที่ 40 (DDN XL) รู้มั้ยเกิดอะไรขึ้นกับวงการนิยายเด็กดีสมัยนี้ ชาวเด็กดีคือคนเขียน ไม่ใช่คนอ่าน โม่งต่างหากคือคนอ่าน แต่มีคนเขียนมั้ย อีกเรื่องนึง
กระทู้ใหม่ตั้งยัง?
เห็นเงียบมาชวนคุยซะหน่อย คือพูดถึงยุคนี้ไอ้ที่มีคำบอกว่านิยายติด TOP ตกต่ำลง ผมก็เป็นคนนึงที่ออกมาแก้ต่างให้บ้าง บอกว่าไม่ใช่บ้าง ก็จริงที่มันมีส่วนน้อยที่พยายามจะเปลี่ยนแปลง พยายามเขียนที่เป็นนักเขียนจริงๆ เขียนตามแนวทางของตัวเอง ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็มาถึง
เมื่อสามห้าหกปีก่อนโน่นผมเริ่มอ่านนิยายจีน หมายถึงจีนกำลังภายในยุคใหม่น่ะ ไม่ใช่พวกมังกรหยกอะไรนั่นนะ พวกนั้นอ่านตั้งแต่ชาติปางก่อนแล้ว
อ่านไปอ่านมาเราจะพบว่านิยายจีนยุคใหม่จะมีพลอตมาตราฐาน แบบเหมือนเป็นโครงเรื่องสำเร็จที่คนหยิบมาใช้จนเกลื่อน
ยกตัวอย่างก็แบบแนวเทพเซียนกลับมาเกิดใหม่ เริ่มเรื่องด้วยการที่ชาติที่แล้วเป็นมหาเทพเซียนขั้นสุด เก่งสุดในสามโลก ตายด้วยเหตุผลบางอย่าง หรือพยายามไปถึงจุดสูงสุดแล้วพลาด สุดท้ายตาย ย้อนกลับไปในร่างของตัวเองตอนยังเป็นไอ้ขี้แพ้ขยะถูกรังแกสมัยเรียน จากนั้นก็ใช้ความรู้วิชาที่ได้มาแสดงความเทพ จุดเริ่มเรื่องมาตราฐาน ถ้าแค่พลอตหลวมๆมันเหมือนกันยังพอทำเนา มันแปลกก็ตรงการดำเนินเรื่องยังเหมือนกัน มังงะที่ผมอ่านผ่านตาจีนมาจนเอียนเนี่ย การดำเนินเรื่องเหมือนกันเลยแบบเป็นสิบเรื่องนะ
แบบเริ่มต้นในร่างตัวเองตอนเป็นเด็กนักเขียนโดนบลูลี่ เริ่มมาด้วยการฝึกวรยุทธ สำเร็จยุทธขั้นแรกในเมืองเล็กๆในเวลาอันสั้น ออกไปแสดงความกร่างโชวความเทพกับแฟนเก่าหรือพวกจิกโก๋ แสดงความเทพในเมือเล็กๆสักพักบังเอิญไปเจอตาแก่ในสวนสาธารณะหรือโรงพยาบาล แสดงความเทพในการบอกโรคลับๆที่ตาแก่เป็น ตาแก่ตาโตรู้ว่าพระเอกไม่ธรรมดา ตาแก่มีหลานสาวโง่ๆคนนึงที่พามาและจ้องจับผิดตัวเอก หลานสาวไม่เชื่อพระเอก จ้องจับผิด ท้าพระเอกแบบโง่ๆ พระเอกพิสูจน์แสดงความเทพรักษาตาแก่ สรุปคือตาแก่กลายเป็นมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลในเมือง ตัวเอกได้คนหนุน เริ่มเรื่องมาแบบนี้และก็วนลูปเพิ่มสเกลพลังย้ายเมืองไปเรื่อยๆ
นิยายจีนพลอตมาตราฐานวนลูบแบบนี้ถูกนำไปดัดแปลงใช้กับทุกแนว แนวระบบ แนวกำลังภายใน แนวเทพเซียน นี่เป็นแค่แพทเทิลนึงที่ก็อบกันมาของแนวแฟนตาซีนะ แนวปลูกผักคงคล้ายเหมือนกันแค่ผมไม่เคยไปอ่าน
ซึ่งตอนแรกเมื่อ 6 -7 ปีก่อนมันเป็นแค่นิยายจีน ผมยังกลัวเลยว่าเฮ้ยก็อบพลอตกันหน้าด้านๆงี้เลยหรอวะ ไม่เป็นอะไรหรอ?? สุดท้ายมาช่วงปีนี้มันลามมาที่ไทยแล้ว นักเขียนเริ่มมักง่ายขึ้นเยอะ หลายคนแยกไม่ออกแล้วว่าแรงบันดาลใจกับการก็อบมันคืออะไร บางคนก็อบโครงเรื่อง ก็อบการดำเนินเรื่อง ก็อบเหตุการณ์มาทั้งดุ้นไม่ได้คิดเองเลย แค่เอามาเขียนเปลี่ยนชื่อเป้นคนไทย สลับเหตุการณ์ วนลูบตบเกรียนไปซ้ำๆ 300 400 500 ตอน
ช่วงแรกผมก็สงสัยว่าเฮ้ย อะไรแบบนี้ที่ดูถูกนักอ่านมันขายได้หรอวะ พอมาดูสภาพตลาดปัจจุบันที่นักเขียนมักง่ายขึ้นทุกวัน ก็อบพลอตกันเป็นว่าเล่น เรื่องแดงขึ้นมาแล้วนักอ่านก็ยังอวย ถ้าไม่ก็อบทุกตัวอักษรไม่ถือว่าผิด คือมันน่าอึดอัดใจมากๆเลยว่ะ ลองไปไล่ดูนิยายติด top แต่ละเรื่องแล้ว ถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญอ่านนิยายจีนมาอย่างกว้างขวางจะเห็นเลยว่าพลอตและการดำเนินเรื่อง มันแทบจะเลียนแบบลอกกันมาเลย
คือบางที่คำว่าแรงบันดาลใจ กับก็อบปี้มันก็แบบแยกยากเนาะ ต้องขนาดไหนคือก็อบ?
ขออภัยเพราะบางทีผมเป็นนักเขียนที่พยายามจะเขียนงานโดยไม่ลอกพล็อตคนอื่น หรือเอาแรงบันดาลใจมาแบบน่าเกลียดมันท้อนิดก็เลยมาชวนคุย วงการนิยายไทยมันตกต่ำลงจริงๆ แบบหันไปดูแนวแฟนตาซีแล้วระบบ ระบบ ระบบ เต็มไปหมดเลย ผมก็เขียนแนวระบบนะ เรื่องที่เป็นแนวระบบแม่งติดตลาดง่ายมากแค่ใช้ชื่อเรื่องว่าระบบ พอมาแต่งแนวอื่นแนวดาร์คแฟนตาซีเนี่ย ติดตลาดยากกว่ามากเลย ความต่างมันเยอะแบบเยอะจริงๆกับกระแส
บางทีนิยายที่ขึ้นนิยายแนะนำของ DEK D น่ะ ถ้าอ่านดูดีๆจะเห็นเลยว่าไปก็อบพล็อตมาแค่มันจับแบบคาหนังคาเขายาก
ไม่พอใจที่เขาจัดให้การก็อปพล็อตเป็นสิ่งที่ไม่ผิดใช่ไหม? หยิบพล็อตสนุก ๆ จากเรื่องต่าง ๆ เอามายำใส่เรื่องสะดวกไปไหม?
อยากให้ลองหลับตานึกถึงโลกที่ก๊อปพล็อตมีความผิดเหมือนหยิบเอามิกกี้เมาส์มาเป็นตัวละครของตัวเอง
นักเขียนใหม่จะไม่มีเวทีให้เล่นเลย เรื่องไหนดังก็เตรียมโดนฟ้องแบ่งรายได้เพราะพล็อตนั้นเคยถูกใช้มาก่อน นักเขียนใหม่เกิดยาก ความคิดสร้างสรรค์ถูกจำกัด ข้อหลังนี่ล่ะทำให้การก็อปพล็อตไม่ได้ถูกปกป้อง
ความคิดสร้างสรรค์ = ไม่ใช่
การตลาด = ไม่ใช่
ลอกการบ้าน = ใช่
>>977 การก็อบพล็อตมันควรจะมีขอบเขตครับ ไม่ใช่ลอกมาเหมือนเป๊ะเหมือนกระทั่งการดำเนินเรื่อง อย่างนั้นถ้าก็อบเกือบทุกอย่างได้กระทั่งเหตุการณ์การดำเนินเรื่อง แบบนั้นต้องขนาดไหนถึงจะเข้าข่ายการก็อบที่ผิด??
แบบลอกทุกตัวอักษรแบบนั้นเลย?
พลอตมันคล้ายและเหมือนกันได้ แต่ผมคิดว่ามันไม่ควรจะคล้ายจนแบบเหมือนได้เกือบทุกอย่างกระทั่งเหตุการ การดำเนินเรื่อง เปิดเรื่อง อะไรทำนองนั้น มันเกินไป และมันทำให้วงการนิยายต่ำลง เกิดความักง่าย อย่างนี้นักเขียนไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อะไรเลยสิ ก็อบลูกเดียวเลย ไม่ต้องคิดเลย ถ้าเป็นแบบนั้นมันน่าเศร้านะ ที่ต้องทนเห็นอาชีพนักเขียนต่ำลงเรื่อยๆ โดยที่ทำอะไรไม่ได้เนี่ย
>>977 ผมมาขยายความอีกนิด เท่าที่ผมอ่านมังงะเกาหลีมา มันแทบไม่มีเรื่องไหนเลยที่ก็อบพล็อตแบบเป็นแพทเทิลเดียวกันอย่างน่าเกลียด แบบเหมือนกระทั่งการดำเนินเรื่อง
ทว่ากับจีน มังงะจีน นิยายจีน เราจะเห็นการก็อบพล็อคแบบหน้าด้าน แบบลอกกันมาเลยนั้นเยอะ แบบต้องเอ๊ะเลย
แล้วปัญหาคือที่ไทยกำลังได้รับอิทธิพลจากจีนและเดินตามแนวทางจีน ผมออกจะแบบ... คุณภาพมังงะจีนช่วงหลังๆเนี่ยผมไม่อ่านเลย แพทเทิลเดียวกัน กลับกันมังงะเกาหลีมันกับสนุกเกือบทุกเรื่อง แม้กระทั่งแนวมังงะกำลังภายในก็ทำได้เหนือกว่าจีน เหมือนงานคนละคุณภาพ
พูดไปก็คงพูดลำบาก แต่มันก็น่าเศร้าที่วงการนิยายแฟนตาซีเราเดินตามแบบจีนซะงั้น
>>979 ถามจิ้ง ยกตัวอย่างก๊อปมาเหมือนกันตั้งแต่ต้นจนจบ คนฉลาดที่ไหนเขาทำกัน มันสุ่มเสี่ยงโดยฟ้องแบ่งรายได้ สมัยนี้เขาก๊อปแบบเอามายำกันเอามาต่อยอด ไอเดียนี้ดีก็หยิบมา จับมายำ ๆ เวลาคิดอะไรไม่ออก นี่ไงขอบเขตที่อยากได้ใช่ไหม
กูว่าเมิงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แล้วก้มหน้าก้มตาเขียนไปเถอะ ถ้ามันก๊อปเรื่องเมิงจริงก็รวบรวมหลักฐานเอาไปฟ้องแบ่งรายได้ แต่ใครมันจะโง่เขียนให้มึงฟ้องได้
เห็นพวกมึงคุยกันแล้วกูก็อยากคุยด้วยนะ แต่ประเด็นนี้คุยกันไปเยอะแล้วตั้งแต่สมัยยังเล่นมู้นินทาอยู่ กูเลยไม่อยากพิมพ์อีกเป็นรอบที่ล้านแต่ก็ช่างแม่ง จริงอยู่ว่าเรื่องพล็อตคล้ายหรือโดนยืมมาแต่งมันมีเยอะจนน่าเบื่อ แล้วยังไงต่อ ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีเพราะมันยังคงมีคนที่ชอบและอ่านเรื่องพวกนี้อยู่เรื่อยๆ ไง มันคือความฮิตเมื่อแนวนั้นกำลังมาแรงหรืออยู่ในกระแส ไม่ต่างอะไรกับยุค รรวม. หรือ อล. เลย
ความแตกต่างของตอนนี้กับยุคก่อนคือความสามารถในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของทุกคน ทีนี้พวกอยากอ่านมีเยอะ อยากเขียนก็มีเยอะเหมือนกัน พอเจออะไรที่มีอยู่เยอะๆ ในเน็ตก็คิดกันไปเองว่านี่แหล่ะดี ทำตามนี้เลยดีกว่า ต่างจากสมัยก่อนที่ต่อให้เป็นออนไลน์หรือโรงเรียนเวทมนตร์ก็จะมีการเดินเรื่องที่หลากหลายกว่า บางเรื่องเริ่มที่มหาสงคราม บางเรื่องเริ่มที่ตัวเอกโนเนมไปเจอของเทพ บางเรื่องตกกระไดพลอยโจนไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่งจนกลายเป็นจุดสนใจ
สรุปได้ว่าสิ่งที่เป็นตัวแปรคือความมักง่าย เพราะนักเขียนรุ่นกูมันจะมีอีโก้บางอย่างที่อยากสร้างผลงานที่จะไม่ถูกครหาว่าไปลอกพล็อตคนอื่นมา ทีนี้พอตัวเองแต่งแนวไหนก็จะไปหาอ่านแนวนั้นเยอะๆ ที่ว่าเยอะนี่คือเยอะจริงๆ อ่านจนรู้ว่าใครแต่งแบบไหนชอบเดินเรื่องยังไงตัวละครที่ใช้มีอะไรบ้าง อ่านกันหลักร้อยเรื่อย มันจะได้ไอเดียมาต่อยอดจากฉากเจ๋งๆ ของคนอื่น ในเวลาเดียวกันก็ต้องตอบให้ได้ว่ายืมมาใช้ยังไงจะไม่ให้ถูกจับได้หรือเหมือนจนน่าเกลียด
แต่ยุคนี้มันหาอ่านผิวเผิน เน้นไปที่ Top หมวด อ่านอันที่อยู่ในกระแสหรือเรื่องที่ถูกนำเสนอขึ้นหน้าเพจเฟซบุ๊กว่าแต่งแบบนี้สิแล้วจะมีคนอ่านเยอะ ขายดีได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ไม่ได้อ่านหาไอเดียแต่อ่านเพื่อหาของมาลอก ดัดนิดเปลี่ยนหน่อยเอาแค่ไม่ให้เหมือนเป๊ะ คุณภาพไม่ต้องเน้นอัพได้บ่อย มีตอนลงรายวัน คิดไม่ออกแต่งไม่ทันทำไงดี ก็ต้อง ลอก! ลอก! ลอก! สิ พล็อตคล้ายแล้วไงใครๆ ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ถ้าจะจับกูก็ต้องไปไล่จับแม่งทั้งวงการนะ ด้วยชุดความคิดแบบนี้แหล่ะเลยทำให้นิยายเว็บปัจจุบันมันออกมาอย่างที่เห็น บางคนทำมานานแล้วพอมีฝีมืออยู่บ้างก็ได้ดีไป แต่พวกมือใหม่มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง
แต่กูคงต้องเห็นด้วยกับข้างบนว่า เออก็มันมีคนอ่านอะก็เลยมีคนแต่งแนวนี้ออกมาเรื่อยๆ เหมือนนิยายจีนแปลที่มาโผล่โฆษณา เปิดเรื่องว่าตัวเอกโดนดูถูกสารพัดทว่าพี่แกเป็นขั้นเทพปลอมตัวมา หรือจริงๆ แล้วผมเป็นประธานบริษัท ไม่ก็ได้รับมรดกชนิดใช้ไป 100 ชาติก็ยังไม่หมด ตอนที่ 2 ก็หลุดพ้นจากการถูกกดขี่แล้วไล่ทำตัวเทพซ่าส์ เอาเงินฟาดหัว ต่อด้วยไปรักษาคนแก่จนได้แบ็คมาหนุนหลังเพิ่มอำนาจใดๆ กี่สิบเรื่องก็มาทำนองนี้หมดเลย เพราะอะไร? ก็เพราะมันยังมีคนยอมจ่ายเงินตอนละบาทเพื่ออ่านอยู่ดี ถึงจะซ้ำซากก็ยังอ่าน
อะไรวะอยู่ดีๆ มู้ก็ Active คุยกันเยอะซะงั้น คุยกันต่ออีกหน่อยก็ดีนะ กูจะได้ตั้งมู้ใหม่ ช่วยกันถมหน่อยอีก 17 rep
>>975 ไอ้แนวนี้มันขายได้ เข้าใจง่าย เร้าใจ สนุกเร็ว คนที่ไม่เคยอ่านถ้าได้มาอ่านก็จะติด พออ่านถึงตอนล่าสุดหาแนวเดียวกัน เริ่มเห็นมันซ้ำไปมาก็เริ่มเบื่อ อีกอย่างนึงมันมาจากนิยายเว็บเหมือนกันด้วย สักวันจะมีคนเรียนพวกนิเทศเอาไปทำวิทยานิพนธ์หรือบทความไหมว่ะเนี่ย ดูมันน่าสนใจอยู๋
>>960 ไม่ได้อ่านของไทยนะ แต่ถ้าไปอีกโลก ย้อนอดีต ฯลฯ แนวนี้ของพวกจีนแท้ก็มีอย่างที่ดังๆก็ i really am a superstar. แต่อันนั้นใช้ไปโลกคู่ขนาน หรืออย่างim in hollywood อย่าว่าแต่จีนเลยฝรั่งก็มี ญี่ปุ่นก็มี เอาจริงกูอ่ะอยากเห็นคนไทยเขียนมากกว่าขอแนวการเมืองนะ เอาแบบย้อนเวลากลับไป2475 หรือ 2489 (แต่คนเขียนอาจจะได้พิซซ่าเดลิเวอรี่) ใช้วรรณกรรมไทยอย่างเรื่องขุนแผนในเว็บตูนนี่ก็ดีอยู๋ อยากได้แบบนี้อีกเหมือนกัน อาจซ้ำแต่มันก็ยังน่าสนใจ
พูดเรื่องนี้มาทุกกระทู้ ไม่เบื่อกันบ้างหรือครับ
ทุกวันนี้บอร์ดเด็กดีก็ไม่น่าสนใจอยู่แล้ว ยกเว้นดราม่า
ขนาดดราม่ามันส์ๆ แบบสมัยก่อนยังไม่มีเลย กลายเป็นพื้นที่บ่นของคนไม่แมสกับพื้นที่อวดของสายแมส
ถมโหน่ย
มีนิยายปลูกผักแนะนำกันไหมค้าบบบบ
โม่งขอความเห็นหน่อย ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้โกงยอดวิว เหมือนไอ้เรื่อง H.A.CK ปะ
อยู่ๆเด้งมาติด top ยอดคอมเมนท์ไม่มีสักคน
ตอนเยอะน่ะใช่นะ แต่อยากจะบอกว่าถ้านักอ่าน 1 คน อ่าน 68 ตอนพร้อมกันใน 1 วันก็ได้ยอดวิวแค่ 1 นะ มีกลิ่นนิดๆ เพื่อนโม่งว่าไง
https://writer.dek-d.com/dekdee/writer/viewlongc.php?id=2352403&chapter=19
กูไม่รู้ กูแค่มาถม
มู้ยังไม่เต็มอีกเหรอ โม่งนักเขียนไปไหนกันหมดละ
กูไม่อยากช่วยเจิมเดี๋ยวมันครบ 1,000 เร็ว
จะขึ้นบทใหม่แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยย
เดี๋ยวเลิกงานละจะมาเปิดมู้ใหม่ให้
มาๆวิ่งๆ
ปิดละน้า
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.