ท่านพี่ยังคงจ้องฉันพร้อมกับรอยยิ้มบางเบา ยิ่งกระพือความโกรธให้สุม
“ทำเป็นเหยียดหยามฉันอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ท่านพี่ก็ไม่เคยทำอะไรให้ท่านพ่อกับท่านแม่ภาคภูมิใจเลยไม่ใช่เหรอ เสียแรงที่เกิดมาในตระกูลคิโชวอินจริงๆ”
“เธอคิดว่าฉันอยากจะเกิดมาในครอบครัวแบบนี้อย่างนั้นเหรอ”
รอยยิ้มที่ท่านพี่มักมีประดับใบหน้าอยู่เสมอหายไปแล้ว
“ถึงจะเป็นครอบครัวแบบนี้แต่ก็เลี้ยงคุณให้เติบโตมาอย่างสุขสบายตั้งหลายสิบปีไม่ใช่เหรอ” ฉันเหยียดยิ้มดูถูก “ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลคิโชวอิน คุณจะยังเชิดหน้าชูคอใช้ชีวิตหรูหราสูงส่งขนาดนั้นได้ยังไง ตอนนี้คุณก็ต้องอยู่ในสถานะคุกเข่าขอความเมตตาจากคนอื่นเหมือนกันนี่ เราก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
ฉันถอดสร้อยที่ท่านอิมาริสวมให้เมื่อตอนเย็น ขว้างมันใส่หน้าท่านพี่เต็มแรง จี้ไพลินกระแทกบริเวณคิ้วคงเจ็บน่าดู แต่ฉันไม่สนใจ
“เอาคืนไปเลยนะ!! แล้วก็ไปบอกเพื่อนของท่านพี่ด้วย อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก!!!”
ฉันวิ่งกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบกระเป๋าและรองเท้าของตัวเองออกมา ท่านอิมารินั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากแถวๆนั้น พอเห็นฉันก็รีบลุกขึ้นมาหา ยื่นมือมาเหมือนจะโอบประคอง
“เรย์กะจัง”
“ฉันจะกลับแล้วค่ะ รบกวนท่านอิมาริกดลิฟท์ให้ทีนะคะ”
ถึงจะไม่อยากพูดกับผู้ชายคนนี้แค่ไหน แต่การที่ฉันจะออกไปจากอาคารนี้ได้ก็ต้องมีคีย์การ์ดในการเข้าออกและกดลิฟท์ ท่านอิมาริดูจะเข้าใจและไม่ซักถามอะไรมาก เดินนำหน้าฉันออกมาจากห้อง
ในลิฟท์มีแต่ความเงียบที่น่าอึดอัด ฉันยืนคนละมุมกับท่านอิมาริ แตกต่างจากตอนขามา เขาเหลือบมองฉันเป็นระยะๆ สีหน้าดูเป็นกังวล
เมื่อไปถึงทางออก ฉันก็หันมาโค้งหัวให้
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาค่ะ ต่อจากนี้เราก็อย่าเจอกันอีกเลยนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ นี่ก็ดึกแล้วมันอันตราย ถ้ายังไงให้ฉันไปส่งนะ” เขาชูกุญแจรถให้ดู
“ช่างฉันเถอะค่ะ”
“แต่ว่า…”
สายตาของท่านอิมาริดูจะเป็นห่วง แต่ฉันไม่มีอารมณ์มาพิจารณาอะไรอีกแล้ว แค่คิดว่าผู้ชายคนนี้ข้องเกี่ยวกับท่านพี่ ฉันก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา
“หนวกหู!!”
“เอ๋!!”
“บอกว่าหนวกหูไง ไอ้คนไร้ประโยชน์เอ้ย!!!” ฉันสะบัดมือที่พยายามยื่นออกมาหา และตะโกนใส่หน้าเขา “ฉันไม่น่ามาเสียเวลากับคุณเลย รู้งี้เลือกคนอื่นซะยังจะดีกว่า อย่างน้อยเขาก็คงพอทำอะไรให้ฉันได้บ้าง”
“...เรย์กะจัง”
“นี่ล่ะค่ะตัวตนจริงๆของฉัน” ท่านอิมาริยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มือที่ยื่นออกมาชะงักค้างอยู่ในอากาศ “ในเมื่อรู้แล้วก็อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกเลยค่ะ”
ฉันเปิดประตูออกไปจากตรงนั้น ก้าวเท้าเร็วๆเกือบจะเป็นวิ่งไปที่ถนน ใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา
รองเท้าส้นสูงราคาถูกที่ใส่วิ่งแค่เล็กน้อยแค่นี้ส้นก็หักพาฉันเกือบจะล้มลงไปที่พื้น ฉันเดินโซเซไปที่ม้านั่งแถวนั้นเพื่อพักขา แค่นยิ้มให้ตัวเองเมื่อมองรองเท้าพังๆข้างนั้น
ยังไม่ทันเที่ยงคืน แต่เวทมนต์ของซินเดอเรล่าก็เสื่อมสลาย
ฉันมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกร้านค้าที่ปิดให้บริการ ภาพในกระจกแสดงให้เห็น สารรูปของคิโชวอิน เรย์กะในตอนนี้ช่างดูไม่ได้เอาซะเลย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่หางตาและแก้มยังมีคราบน้ำตาติด ดีที่ใช้เครื่องสำอางแบบกันน้ำ มันก็เลยยังไม่ละลายเพิ่มความเละเทะมากไปกว่านี้
ทำทุกอย่างพังอีกแล้ว
ความรู้สึกเสียใจผุดขึ้นมา ฉันไม่น่าทำอะไรลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบนี่เลย ฉันควรจะอดทนนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในห้องรอท่านอิมาริกลับไปหา ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรเป็น ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ฉันก็เป็นนังโง่ที่ใช้แต่อารมณ์ไม่ใช้สมองอยู่เรื่อย
เป้าหมายที่ควรจับไว้ให้ได้ก็หายไปแล้ว จากนี้คงต้องเริ่มต้นหาคนใหม่ จะเป็นใครก็ได้ เจ้ารุ่นน้องที่ซุยรัน นักธุรกิจ นักการเมือง ผู้ชายคนไหนก็ได้ที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คราวนี้ต้องห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด ต่อให้ฝืนใจแค่ไหนก็ต้องทำ
ฉันถอดรองเท้าอีกข้าง หักส้นข้างที่ยังดีอยู่ออกแล้วสวมกลับเข้าไปใหม่ ท่าเดินยามเมื่อใส่รองเท้าพังๆแบบนี้คงจะแปลกไปบ้าง แต่ในเมืองที่เร่งรีบและทุกคนสนใจแต่เรื่องของตัวเองเช่นนี้ คงไม่มีใครจะมาสนใจฉันนักหรอก
เหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่เอ็นโจให้ฉันมา มันบ่งบอกเวลาห้าทุ่มสี่สิบสองนาที ก็ยังดีที่รถไฟยังไม่หมดเที่ยว จะได้ไม่ต้องเตร็ดเตร่ข้างถนนหรือไปฆ่าเวลาที่ร้านเน็ตเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่
ฉันลุกขึ้นยืน กระชับผ้าคลุมไหล่ผืนบางไว้ให้แน่น ก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อลมเย็นๆปะทะร่างกาย ก้าวขาลงบันไดของรถไฟใต้ดินที่ตอนนี้เกือบจะร้างผู้คน เมื่อรถไฟมาถึงก็ก้าวขึ้นไป ทิ้งความหรูหราและแสงไฟจากรปปงหงิเอาไว้ไม่หันกลับไปมองเหลียวหลังเหมือนอย่างที่วิ่งจากท่านอิมาริมา
--------------
ไม่ได้เขียนฟิคนี้นานมาก แต่รู้สึกอยากอ่านเลยเขียนต่อ