ฉันแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินคำนั้น ส่วนท่านอิมาริหันมองพวกเรา แววตาดูเป็นกังวล แต่ก็เดินออกไปจากที่ตรงนั้น
“เธอกับพ่อคิดจะทำอะไร”
ไม่ต้องมีการอารัมภบททักทายอะไรกันให้เยิ่นเย้อ ดูท่าทางเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาคุยกับฉันมากนักหรอก
“จำเป็นต้องรายงานท่านพี่ด้วยเหรอคะ” ฉันกระแทกเสียงใส่ เน้นย้ำคำว่าท่านพี่อย่างจงใจ “ปกติก็ไม่เคยจะใส่ใจที่บ้านอยู่แล้ว จะอยากรู้ไปทำไม”
“ฉันจำเป็นต้องรู้ เพราะเธอกำลังจะพยายามก่อเรื่องที่จะทำให้ฉันต้องมาเดือดร้อนในภายหลังน่ะสิ”
“ฉันก็ตั้งใจทำมาหากินสุจริตเลี้ยงตัวเองอยู่นะคะ ไม่ได้ก่อเรื่องเดือดร้อนอะไรให้ใครซักนิด” ฉันส่งยิ้มหวานให้ท่านพี่ “อีกอย่าง การที่ฉันจะคบหาดูใจกับเพื่อนของท่านพี่จนมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่คะ”
“พูดจาตลกดีจังเลยนะ คิดว่าการที่อิมาริพูดจาหวานๆหรือซื้อของแพงๆให้ทุกครั้งที่ไปหาคือการคบหาแล้วเหรอ” ท่านพี่หัวเราะ น้ำเสียงแฝงแววขบขัน “อิมาริไม่เคยจริงจังกับใคร หมอนั่นก็จะนอนกับเธอแค่ไม่กี่ครั้งแล้วทิ้ง เธอจะไม่ได้อะไรจากมันหรอก”
ฉันสะดุ้งเมื่อสบตาเข้ากับท่านพี่ ก่อนจะก้มลงมองหัวเข่าตัวเองเพราะไม่อยากทนเห็นว่าถูกมองแบบสมเพชขนาดนั้นได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านพี่ ก็เหมือนฉันตัวหดเล็กลง แบบเดียวกับตอนเป็นเด็กที่ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อถูกขัดใจ สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่แผดเสียงร้องไห้ใส่ก่อนจะวิ่งไปฟ้องให้ผู้ใหญ่มาจัดการ อ่อนแอจนไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วยซ้ำ
“แค่นั้นเหรอคะ ที่ท่านพี่พยายามจะบอก” ฉันกำชายกระโปรงตัวเองไว้แน่น พยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น “แล้วยังไงคะ ฉันจะนอนกับใครหรือโดนใครทิ้งมันก็เรื่องของฉันรึเปล่า ท่านพี่เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“ฉันคงไม่คิดจะยุ่ง ถ้าเธอไม่คิดจะใช้อิมาริในการช่วยวิ่งเต้นคดีของพ่อ”
ฉันสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทำไมท่านพี่ถึงได้…
“ดูทำหน้าเข้าสิ คิดว่าทำไมฉันถึงรู้น่ะเหรอ คนอย่างเธอน่ะเดาไม่ยากหรอก”
“....”
“เธอคงคิดสินะว่าจะใช้อิทธิพลของอิมาริช่วยเหลือพ่อ แต่เรื่องนี้อิมาริไม่ช่วยเธอหรอก ฉันถึงได้เตือนว่ามันเสียแรงเปล่า แถมทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงไร้ยางอายเที่ยวอ้าขาให้ผู้ชายไปทั่วอีกต่างหากล่ะ”
ขอบตาฉันร้อนผ่าวเหมือนน้ำตากำลังจะไหลจนต้องจิกเล็บเข้ากับฝ่ามือเป็นการห้ามตัวเอง ฉันจะร้องไห้ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถึงจะพ่ายแพ้แต่ก็จะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าศัตรูไม่ได้
“อย่างนั้นเหรอคะ”
ฉันเงยหน้าขึ้น แย้มรอยยิ้มให้ท่านพี่เหมือนว่าไม่ยี่หระต่อคำดูถูกนั้น
“ถ้าท่านอิมาริช่วยอะไรไม่ได้ในเรื่องนี้ ฉันก็ไม่มีธุระจะคุยด้วยอีกแล้วล่ะค่ะ” ฉันลุกขึ้นจากโซฟา แกล้งทำเป็นค้อมหัวให้ “ยังไงซะ ผู้ชายรวยๆก็ไม่ได้มีแค่ท่านอิมาริคนเดียวนี่คะ ถ้านอนกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็คงเจอคนที่ทำให้ความต้องการของฉันเป็นจริงได้เอง”
“พูดจาได้ไร้ยางอายดีนะ” รอยยิ้มของท่านพี่ยิ่งบาดลึก “ถ้าท่านแม่มาได้ยินคงเป็นลม ลูกสาวที่เลี้ยงมาเป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่ง พูดออกมาว่าจะเที่ยวเร่ไปนอนกับคนนั้นคนนี้ ...หรือว่าท่านแม่สั่งสอนให้เธอทำแบบนี้ล่ะ”
“....”
“เวลาที่เจอคนรวยๆ สองคนนั้นคงจะบอกเธอรีบเอาตัวไปประเคนให้เหมือนที่ทำกับเจ้าเด็กคาบุรากินั่นสินะ”
“อย่าพูดถึงท่านพ่อกับท่านแม่แบบนั้นนะคะ!!”
“แล้วฉันพูดผิดตรงไหน” ท่านพี่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงกับว่าพูดเรื่องสนุกสนาน “เธอเข้าไปทำงานนี้หลังจากติดต่อกับพ่อ ให้ฉันเดานะว่าพ่อคงบอกให้เธอไปทำงานที่มันเปลืองตัวกว่านี้ แต่ติดอยู่ที่เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เลยเป็นเด็กนั่งดริงค์หรือสาวโฮสเตสไม่ได้ เธอก็เลยต้องทำอาชีพนี้แบบเลี่ยงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ ก็สาวแคชเชียร์หรือพนักงานร้านอาหารทั่วไปคงแทบไม่มีโอกาสเจอกับคนรวยๆนี่นะ”
เมื่อถูกขุดคุ้ยสิ่งที่ปิดบังไว้ออกมาเปิดเผย ความรู้สึกอับอายก็ปรากฏขึ้นและแผ่ขยายไปทั่วร่างจนรู้สึกชาวาบเหมือนถูกตบหน้า
“นี่ก็ถูกอีกใช่มั้ย”
ท่านพี่เท้าคางมองฉันยิ้มๆ แต่สายตาเขาเต็มไปด้วยเย็นชา ทำเหมือนฉันคือศัตรูที่ต้องบดขยี้ให้ย่อยยับ ไม่ใช่น้องสาวของเขา
ความรู้สึกหลากหลายตีกันประดังประเดอยู่ในอก ต่อให้ฉันอยากเสแสร้งว่าไม่เป็นอะไรต่อคำพูดเหล่านั้น แต่คราวนี้ฉันคงเก็บมันไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ใช่ ถูกหมดทุกอย่างเลยล่ะ”
ฉันสบตาเข้ากับท่านพี่ ความขมขื่นแล่นปราดไปทั่วทั้งตัวจนรู้สึกจุกแน่นไปหมด
“ถึงจะถูก ก็แล้วไงล่ะ”
เมื่อได้พูดแล้ว คำพูดก็ไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุดเหมือนเขื่อนที่ถูกทำลาย ฉันตะโกนใส่ท่านพี่อย่างไม่คิดจะกลัวเกรงอีกต่อไปแล้ว
“ฉันหน้าไม่อายแล้วยังไงล่ะ!! ฉันไม่ได้มีสมองหรือเก่งกาจที่จะทำธุรกิจพันล้านเหมือนท่านพี่ซักหน่อย คนโง่อย่างฉันก็คิดได้แค่จับผู้ชายรวยๆเพื่อหนีจากชีวิตแบบนี้เท่านั้นล่ะ”