ฉันสลัดเรื่องเก่าๆออกไปจากหัว ดึงตัวเองให้กลับมาสู่ปัจจุบัน คิดทบทวนข้อผิดพลาดกับเรื่องที่เกิด
อันที่จริง ถ้าคืนนั้นไม่มียัยทาคามิจิหรือเอ็นโจโผล่มา ป่านนี้ทุกอย่างคงเรียบร้อยไปแล้ว
สองคนนั้นเป็นตัวมารขัดขวางฉันในทุกเรื่องจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอ็นโจ ไม่รู้จะตามจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหน
แถมตอนนี้ท่านอิมาริก็ค่อนข้างงานยุ่งมาพบฉันไม่ค่อยจะได้เหมือนเมื่อก่อน ฉันไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณว่าเขาจะเบื่อฉันแล้วหรือไม่ ฉันรู้จักเขามาเกือบปีแต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้าในความสัมพันธ์และจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ไม่ได้แล้ว
ฉันบีบมือตัวเองไว้แน่น สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างเตรียมตัวเตรียมใจในแผนการขั้นต่อไปที่จะมาถึง
.
.
.
.
การทำงานของฉันเริ่มต้นในช่วงเย็นเหมือนอย่างทุกที ฉันแต่งตัวออกจากที่พักเดินทางมายังร้าน และได้รับการแจกกระดาษที่บอกรายชื่อลูกค้าเอาให้แต่ละคนก่อนเวลาเริ่มงาน จะได้รู้ว่าจะต้องพบกับใครและรับมือได้ถูก
จากการทำงานมาเกือบสองปี และมีลูกค้าประจำมาจองตัวสม่ำเสมอ ฉันก็ไม่ต้องไปเป็นตัวแถมพ่วงไปกับเหล่ารุ่นพี่และได้รับการปฎิบัติอย่างเท่าเทียมเหมือนเป็นเกโกะอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เด็กฝึกหัดอีกต่อไป
ในคืนนี้ฉันมีผู้จองตัวแค่รายเดียวและกินเวลาไปจนถึงเลิกงาน แต่ชื่อของผู้จองที่ปรากฎอยู่บนนั้นทำให้ฉันเบิกตาค้าง
คนที่มาจองชั่วโมงของฉันในคืนนี้ก็คือเอ็นโจ
ฉันเหลือบมองผู้ชายคนนั้น รู้สึกหวาดระแวงอยู่ไม่น้อยว่าจะมาไม้ไหน แต่ก็ต้องทำเป็นยิ้มแย้มต้อนรับแขก ถ้าไม่มีใครนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยฉันคงวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้แล้ว
เอ็นโจไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับฉันเป็นพิเศษ ไม่ได้พูดคุยหรือแสดงท่าทีเหมือนว่ารู้จักฉัน อันที่จริงหมอนั่นคุยแต่กับโอก้าซังเสียเป็นส่วนมากด้วยซ้ำ และตอนนี้ยัยนั่นก็กำลังบรรยายสรรพคุณของฉันให้ฟังเพื่อเพิ่มฐานลูกค้า
“อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาทำพิธีเอริคาเอะของฮิเมะแล้วนะคะ”
“อื๋อ เอริคาเอะนี่คืออะไรหรือครับ”
“พูดง่ายๆก็คือพิธีเปลี่ยนปกเสื้อของไมโกะน่ะค่ะ ฮิเมะของเราจะกลายเป็นเกโกะเต็มตัวแล้ว” โอก้าซังหัวเราะป้องปาก แล้วทำท่ากระซิบกระซาบ แต่ได้ยินกันทั้งห้อง “ถึงเวลานั้นก็สามารถมีดันนะซังเป็นของตัวเองได้แล้วนะคะ”
ฉันแกล้งทำเป็นยกชายกิโมโนปิดบังใบหน้าด้วยความเขินอาย แต่จุดประสงค์จริงๆแล้วก็เพื่อไม่อยากสบตากับเอ็นโจที่มองมาทางนี้ ส่วนยัยนั่นก็ยังพล่ามเกี่ยวกับพิธีต่อไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งเชิญเอ็นโจมาร่วมงานเฉลิมฉลองของฉัน
หมอนั่นยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เวลาที่เอ็นโจจองตัวฉันไว้ก็ได้หมดลง แต่งานในคืนนี้ฉันก็สิ้นสุดไปด้วยเหมือนกันเพราะไม่มีใครมาจองต่อ ก็ถือว่าดีที่ได้เลิกงานเร็ว
ฉันเหนื่อยและอยากพักผ่อนจะแย่อยู่แล้ว ขนาดไม่ได้คุยอะไรมากมายเท่าไหร่ แต่การเผชิญหน้ากับเอ็นโจแล้วต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลานี่มันกินพลังงานชะมัด
“รบกวนให้เธอไปส่งผมที่รถหน่อยได้มั้ยครับ”
“ได้สิคะ ไม่มีปัญหาเลย” โอก้าซังยิ้มแย้ม รุนหลังฉันให้ไปกับเอ็นโจแบบไม่ถามความคิดเห็นฉันเลยสักคำ “ไปสิจ๊ะ ฮิเมะ”
ฉันได้แต่เกร็งไปหมด ตอนที่พวกเราเดินไปด้วยกันตามทางเดินที่สว่างด้วยแสงจากโคมไฟ เหลือบมองเอ็นโจที่เดินอยู่ข้างๆกันด้วยสายตาหวาดระแวง รู้สึกอึดอัดจนอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆ
ภาพในวันนั้นปรากฎขึ้นมาในหัว ถ้าเกิดว่าหมอนั่นจะทำแบบนั้นอีก ฉันจะทำยังไงดีนะ
ระยะทางจากร้านไปที่ลานจอดรถนั้นสั้นมาก นิดเดียวก็เดินถึง แถมยังเป็นที่โล่งที่ใครต่อใครก็เดินผ่านมาได้ ถ้าเกิดว่าเอ็นโจจะทำมิดีมิร้ายฉัน ก็สามารถตะโกนขอความช่วยเหลือได้
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น และฉันที่กำลังจะโล่งใจ เอ็นโจก็เปิดประตูรถแล้วหยิบถุงใบหนึ่งออกมา
“ผมมีของจะให้”
เอ็นโจยื่นถุงกระดาษสีขาวใบใหญ่มาตรงหน้าฉัน ในถุงมีกล่องหลายใบซ้อนกันอยู่
“นี่คืออะไรคะ” ฉันลองกะน้ำหนักดู มันไม่ได้มีน้ำหนักมากมายเท่าไหร่นัก แต่ก็หนักเกินกว่าจะเป็นพวกเครื่องประดับแบบที่ท่านอิมาริชอบเอามาฝากฉันอยู่ดี
“อุปกรณ์ป้องกันตัวแล้วก็พวก smart watch” เอ็นโจอธิบายหน้าตาเฉย แต่ฉันกระพริบตากับคำตอบที่ไม่คาดคิด “หยิบกล่องบนสุดขึ้นมาสิคุณคิโชวอิน”
ฉันหยิบเอากล่องที่ว่านี่ขึ้นมาเปิดดู บนกล่องสกรีนโลโก้ของแบรนด์อุปกรณ์ไอทีและแบรนด์เครื่องหนังเก่าแก่ที่ฉันรู้จักดี ข้างในเป็นนาฬิกาสายหนังสีน้ำตาลอ่อน แต่ฉันก็รู้ราคาของมันว่าแพงแค่ไหน
เอ็นโจสอนวิธีการใช้แบบคร่าวๆให้ว่าต้องใช้งานอย่างไร และตั้งค่าให้มันเชื่อมต่อกับมือถือของฉันเอาไว้ด้วยกันเป็นพื้นฐานเบื้องต้น และให้ฉันไปจัดการต่อด้วยตัวเองตามคู่มือ