กล่องที่เหลือก็เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวของผู้หญิงแบบพกพาใส่กระเป๋าได้ง่าย อย่างสเปรย์พริกไทยหรือพวกกริ่งขอความช่วยเหลือ
“คุณเอาของพวกนี้มาให้ฉันทำไมคะ”
“ไว้ป้องกันตัวไง...ถ้าเกิดว่ามีใครมาทำรุ่มร่ามกับคุณก็ใช้มันได้เลย” เอ็นโจมองฉัน ทำหน้าตาดูเคร่งเครียดนิดๆ “ขอโทษด้วยนะ แต่ช่วยยื่นแขนมานี่หน่อยสิ”
ฉันทำตามแบบงุนงง เอ็นโจจับข้อมือฉันไว้ ไม่ได้รุนแรงแต่ก็แน่นหนาแบบฉันสลัดแล้วไม่น่าจะออก
“ดูนะ ถ้ามีคนมาจับข้อมือคุณแบบนี้ คุณก็ต้องบิดแขนเข้าหาตัวแบบนี้…” หมอนั่นพลิกข้อมือฉันแบบช้าๆ “แล้วมันก็จะหลุด เห็นมั้ย”
“..….”
“ลองทำดูสิ”
เอ็นโจสาธิตให้ดูอีกหนึ่งรอบแล้วให้ฉันทำตาม ทำอยู่หลายรอบจนได้ประสิทธิภาพที่น่าจะพอใจ หมอนั่นก็ปล่อยมือฉันออก
“พอคุณสะบัดข้อมือหลุดแล้ว จะใช้จังหวะนี้ฉีดสเปรย์พริกไทยใส่หน้า หรือจะเล่นงานจุดอ่อนตามที่ต่างๆก็ได้” ว่าแล้วเอ็นโจก็ชี้ไปตามตำแหน่งต่างๆบนใบหน้าและลำตัวของตัวเอง “จุดพวกนี้คือจุดอ่อนหมด แต่ที่เล่นงานง่ายสุดก็แถวๆตา…”
“เดี๋ยวๆๆ นี่มันอะไรกันคะ”
“ท่าป้องกันตัวแบบพื้นฐาน...อันนี้คือท่าไอคิโด้” เอ็นโจจับมือฉันขึ้นมาอีกหน แล้วขยับไปในทิศตรงกันข้าม “ที่จริงมันมีอีกหลายท่า แต่เอาแบบรวบรัด ท่านี้ก็ง่ายที่สุดเหมือนกัน”
ยืนบิดข้อมือกันอยู่แบบนั้นจนฉันสามารถบิดแขนเอ็นโจไพล่ไปด้านหลังได้ก็เป็นอันจบหลักสูตรแบบเร่งรัด หมอนั่นนวดข้อมือตัวเองไปมา แต่ท่าทางเหมือนจะพอใจ
“จำไว้นะว่าคุณต้องมีสติ อย่าลนลาน”
“ทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ”
ฉันจ้องหน้าเอ็นโจพร้อมกับขมวดคิ้ววิเคราะห์สาเหตุไปด้วย
อย่าบอกนะว่าอีตานี่มาสอนฉันเพราะรู้สึกผิดขึ้นมาน่ะ
“เรื่องวันนั้นน่ะ….” อยู่ๆเอ็นโจก็พูดขึ้นมาเหมือนกับอ่านใจฉันออกและก้มหัวลง “....ต้องขอโทษด้วยนะ ผมไม่ควรทำแบบนั้นเลย”
ฉันเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกผิดคาดที่คนแบบหมอนี่ยอมขอโทษออกมาได้ง่ายๆ
“ช่างเถอะค่ะ...มันไม่สำคัญหรอก” สายตาของฉันเลี่ยงมองไปทางอื่น “ฉันก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ถือว่าเราหายกันไปก็ได้”
“ถึงคุณคิโชวอินจะบอกว่าอย่างนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่เคลียร์น่ะ ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างคงอึดอัดแย่” เอ็นโจเงยหน้าขึ้น สีหน้าดูสำนึกผิด “เพราะงั้น...คุณคิโชวอินจะต่อยผมก็ได้นะ”
“เอ๋ ไม่ต้องถึงขนาดนั้น…”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจหรอก ทำเถอะ”
“...จะไม่เก็บเอามาคิดบัญชีย้อนหลังแน่นะคะ”
“ผมเชื่อใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
เอ็นโจช้อนสายตามองฉัน ท่าทางหงอยๆแววตาโศกเศร้าแบบนั้น ถ้าผู้หญิงที่เป็นแฟนคลับหมอนี่มาเห็นเข้าคงยอมสยบแทบเท้า
“ต้องให้พูดออกมาจริงๆเหรอคะ”
“.....”
“เอาเถอะ ถ้าท่านเอ็นโจเสนอเรื่องนี้มาด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่ขัดค่ะ”
เอ็นโจหลับตาลง ยื่นหน้ามาเพื่อให้ฉันต่อยได้ถนัดๆ
ถึงฉันจะต่อยหน้า แต่ก็คงไม่มีแรงพอที่จะทำให้เจ็บหนักได้ ฉันจึงรวบรวมแรงทั้งหมดใส่ลงไปในหมัดขวา พุ่งตรงไปที่ท้องน้อยเอ็นโจสุดแรงเกิด
พอได้ต่อยก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที ถึงจะไม่ทั้งหมดแต่ก็รู้สึกดีขึ้นจากเมื่อครู่นี้โข
“เท่านี้ก็ถือว่าหายกันแล้วใช่มั้ยคะ ท่านเอ็นโจ”
ฉันก็ไม่รู้ว่าที่ฉันต่อยไปจะทำให้เอ็นโจเจ็บมากน้อยแค่ไหน หมอนั่นเอาแต่กุมท้อง พยักหน้าหงึกๆแบบไม่ส่งเสียง ก็คิดว่าคงแรงพอดูที่จะทำให้พูดไม่ออกได้
..ก็นายเป็นคนสอนฉันเองนี่นะ เรื่องจุดอ่อนผู้ชายน่ะ
“งั้นฉันต้องขอตัวก่อนล่ะค่ะ” ฉันเข้าไปใกล้ๆเอ็นโจ พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ฉันไม่อยากเห็นหน้าท่านเอ็นโจอีก หวังว่าเราคงไม่ต้องเจอกันอีกนะคะ”
เอ็นโจไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ได้แต่ก้มหน้าเอามือกุมท้องอยู่แบบนั้น
ฉันเดินกลับเข้าไปข้างใน รู้สึกสบายอารมณ์กว่าตอนเมื่อครู่ ถึงหมัดนั่นจะชดเชยความแค้นไม่ได้ แต่ก็ทำให้ความขุ่นมัวที่สะสมมาหลายวันจางหายไปได้บ้าง
เทียบกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด หมอนั่นโดนแค่นั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำ
.
.
.
.
การนัดหมายของฉันกับท่านอิมาริมีขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ท่านอิมาริมารับฉันจากหน้าที่พักเช่นเคย มาพร้อมดอกกุหลาบและลิลลี่ช่อใหญ่ ฉันแกล้งทำกระเง้ากระงอดเล็กน้อยที่เขาไม่มาหาในหลายๆเดือน ท่านอิมาริก็หัวเราะแล้วหยิบกล่องเครื่องประดับขึ้นมา
“นี่พอจะแทนคำขอโทษให้เรย์กะจังได้รึเปล่าเอ่ย”
ครั้งนี้ก็เป็นสร้อยสีเงินเส้นบาง ตรงกลางมีจี้ไพลินเม็ดเล็กๆน่ารักล้อมกรอบด้วยตัวเรือนแพลตตินั่มเป็นรูปหัวใจ มูลค่ามันน่าจะสูงพอตัว ทำเอาฉันใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย
ถ้าหากเขาไม่มีเยื่อใยกับฉันแล้ว คงไม่ลงทุนซื้อของแพงขนาดนี้ให้
“ท่านอิมาริคะ ฉันเคยบอกแล้วนี่นาว่าไม่ต้องซื้ออะไรแบบนี้ให้ เปลืองเงินเปล่าๆนะคะ”
“ไม่ได้หรอกจ๊ะ ก็ไม่ได้มาหาเรย์กะจังตั้งหลายเดือนนี่นา” ท่านอิมาริยิ้ม มองสร้อยที่ย้ายไปอยู่บนคอของฉัน ท่าทางจะพึงพอใจ