เรื่องที่พูดวันนี้ meaning มันลึกมากกว่าที่จะอธิบายได้หมดทุกหัวข้อเลย หวังว่าจะสื่อได้ซักครึ่งนึงของภูเขาน้ำแข็งนะ
Culture ดึงคนที่ใช่กับผลักคนที่ไม่ใช่ อะไรคือใช่ เราก็กำหนดเอง เรากำหนดไม่ดี ก็รับผลเอง
เพราะทางเลือกที่ว่าถ้าไม่กำหนด ก็คือ culture happen by random ขนาดกำหนดเขียนยังเอาไม่ค่อยอยู่เลย ไม่เขียนนี่ random แน่นอน
เห็นคนถามสองสามคนถามประมาณว่ากำหนดยังไงให้ถูก ผิดเป็นยังไง ก็ผิด ก็พัง ก็เรียนรู้ เติบโต มันแค่นั้น คำตอบฟังดูง่ายและสั้นแต่มันมีความลึกนะ ตอนนั้นมีเวลาตอบแต่เอาตามที่เชื่อที่ตรงกับตัวเอง
เพราะทางเลือกอื่นมีอะไรบ้าง?
ไม่กำหนดและให้มันเป็น random ก็แย่กว่าแน่ๆ
กำหนดสิ่งที่เราไม่เชื่อจากใจ แต่เอาตาม best practice ถ้ามันไม่ดีขึ้นมาก็ “โห รู้งี้ไม่น่าเลย” แล้วเราก็ไม่ได้โตขึ้น ดีไม่ดีเรากลายเป็นตัวปัญหาในทีมเองอีก เพราะเลือกสิ่งที่เราอยู่ไม่ได้
“กำหนด culture ที่เชื่อจากใจ” นี่ก่อนจะมาบอกว่ามันง่ายแค่นี้ ผมผ่านการลองทางเลือกอื่นมาหลายทาง จนพบว่าสุดท้ายนี่แหละมัน simple but true ก่อนจะสรุปว่าทุก other complicated way มัน bullshit หมด คือลองมาแล้ว
ถ้าเราเชื่อจากใจแล้วโดนโลกความเป็นจริงตีว่าที่เอ็งเชื่อมันผิด มันโลกสวย มันใช้งานจริงไม่ได้ เราจะโตและ move on ได้ ถึงแม้จะเจ็บหนักมากๆ ก็เถอะ (ซึ่งผมก็ผ่านมาก่อน) แต่มันเจ็บแล้วจบ ไม่เลิกกับความเชื่อตัวเองแบบค้างๆ คาๆ
ความเชื่อก็เหมือนความรัก เลิกแบบค้างๆ คาๆ นี่มันหน่วงและคบคนถัดไปได้ไม่เต็ม คบความเชื่อถัดไปได้ไม่เต็ม และยิ่งมีความหลังค้างๆ คาๆ เยอะ ก็จะยิ่งเป็นลังเลจับยึดไม่ได้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาโดยไม่มีสาเหตุที่อธิบายให้กระจ่างได้ว่าเปลี่ยนทำไม ยิ่งนำทีมยากไปใหญ่
คำตอบสั้นๆ ว่า “เอาตามที่เชื่อ” มันลึกอยู่นะ และทั้ง 6 ข้อ ที่มีปัญญาพูดทัน สำรวจไปลึกแบบหยิบอันไหนอันนึงมาพูดทั้ง session ก็ได้หมดทุกหัวข้อ ก็หวังว่าจะแตะลงไปลึกพอที่จะเข้าใจและประยุกต์ใช้กันได้
ปล. เห็นมั้ยว่าผมยึด prioritization over completeness เป็นสรณะจริงๆ