การเรียนรู้ตามปกติมีหลายระดับ ถ้าจะเอาแบบเต็ม spectrum เลยก็ตามรูปข้างล่าง หลายท่านอาจไม่เคยสังเกตว่าการเรียนในแต่ละระดับมีความแตกต่างกันในเรื่องของความเป็นรูปธรรม (concreteness) กับความเป็นนามธรรม (abstract)
ความเป็นรูปธรรมคือ อะไรที่จับต้องได้ เห็นได้จริง การสอนแบบนี้จึงต้องมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยในการสอนครับ เช่น หากจะสอนการนับให้เด็กอนุบาล ก็อาจต้องมีของเล่นให้นับ เป็นต้น
ส่วนความเป็นนามธรรมคือ อะไรที่จับต้องไม่ได้ ไม่สามารถเห็นได้จริง การสอนแบบนามธรรมจึงเป็นการสอนกระบวนการคิดที่อยู่ในสมองและกระดาษเป็นส่วนใหญ่ เช่น การคิดค้นอัลกอริทึมใหม่ ๆ หรือ การพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ เป็นต้น
การเรียนรู้ในแต่ละระดับจะมีการผสมกันของการเรียนรู้แบบรูปธรรมและแบบนามธรรม โดยการเรียนรู้ในระดับต้น ๆ จะเน้นแบบรูปธรรมมากกว่า และจะเพิ่มการเรียนรู้แบบนามธรรมในอัตราส่วนที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ระดับ จนไปถึงในระดับสูงสุดคือ PhD จะต้องสามารถคิดแบบนามธรรมได้ โดยไม่ต้องมีความเป็นรูปธรรมเข้ามาช่วยเลยครับ
การเรียนรู้ทั้งสองแบบสำคัญไม่แพ้กันครับ แต่เรามีแนวโน้มที่จะสอนและให้ความสำคัญกับแบบรูปธรรมมากกว่า และละเลยการสอนแบบนามธรรม แต่การคิดแบบนามธรรมทำให้เราสามารถคิดอะไร #จากอากาศ ที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ และความรู้ใหม่ที่ได้เหล่านี้ จะเป็นบ่อเกิดของเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้นั่นเองครับ การสอนการคิดแบบนามธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญในยุคปัจจุบัน #my2cents