Last posted
Total of 1000 posts
อาจารย์เดฟจะเปิดสอนคลาส Math for programmer แล้วนะ ตั้งหน้าตั้งตากดกันให้ดีครับ
มึงเคยได้ยินลูกค้าพูดเรื่องเงินเดือนเราในออฟฟิศกันไหม กุนึกว่าเค้าจะไม่รุ้เงินเดือนกุละ กุเป็น contract จะออก
แล้วกุเรียกบริษัท head ไป ลูกค้ากุที่ on site นั่งคุยกับแผนกอื่นแบบเบาๆ แล้วบอกว่า เนี่ย กุจะออกแล้วหมดสัญญา แผนกอื่นก็ถาม เงินเดือนเท่าไหร่ ปรากฏว่าลูกค้า onsite กูรุ้เว้ย ว่ากุเงินเท่าไหร่ เค้าก็คุยกันไปเบาๆ กุก้แกล้งไม่ได้ยินเพราะคุยกับอีกคนอยู่ แล้วเค้าก็ถามกันว่ากุขอขึ้นเงินเท่าไหร่ ปรากฏอีกว่า รุ้เรทเงินกุด้วยว่ากุขอขึ้นเท่าไหร่(ตอนกุขอขึ้นกุไปขอกับ head นะ ไม่ใช้บริษัทลูกค้า) ประเด็นคือพูดกลางที่ทำงาน ใครอยุ่ตรงนั้นแม้มรู้หมด 55555
>>951 โปรแกรมเมอร์ทั่วๆไปถ้าไม่ได้ทำงานเฉพาะทางบางด้านกูว่าก็ไม่ได้ต้องเก่งคณิตนะ
คณิตบางเรื่องที่แฝงมากับการเขียนโปรแกรมพื้นฐานมันก็ถูกใช้งานในอีกรูปแบบนึง
>>952 กูไม่เคยโดนเอง แต่เคยได้ยินลูกค้ากระซิบคุยกันเรื่องนี้ของคนอื่นในทีม เค้าคงเห็นกูใส่หูฟังอยู่เลคิดว่ากูไม่ได้ยินมั้ง
ประมาณว่าคนนี้ทำงานมาหลายเดือนแล้ว ปสก. หลายปี บริษัทต้นสังกัดก็โม้ไว้เยอะ ค่าตัวไม่ถูก แต่ทำงานไม่ค่อยดี เค้าเลยคุยๆกันรื่องนี้
กูเข้าใจว่าเค้าไม่ได้เห็นเงินเดือนโดยตรงนะ เค้ารู้แค่ว่าค่าตัวที่บรษัทต้นสังกัดเก็บเงินเท่าไหร่ จะให้เงินเดือนพนักงานเท่าไหร่ก็อีกเรื่อง
ถ้าเก่งชีวะน่ะรุ่งทุกคน
เดี๋ยวนี้อะไรๆ แม่งก็ big data ไงมึง
data จากงานวิจัยทางชีวะมันก็ใหญ่ขึ้น การจัดการ/วิเคราะห์ ต้องปรับตาม
ถ้าไม่เอาเด็กชีวะมาเรียนคอม ก็เอาเด็กคอมมาเรียนชีวะ ซักอย่างล่ะวะ
เพื่อนกูไปทำทาง neuroscience ช่วยแพทยสมองทำวิจัย
เงินเดือน 350 k ละ
หัวหน้าบอกว่าเราทำงานไม่ดี มีทางเลือกคือให้ลาออกเองซึ่งจะไม่เสียประวัติ หรือจะให้ไล่ออกแล้วรับเงินชดเชย จะเอาไงดี
นั่งอ่าน FB feed พบว่าคนในสังคมรอบตัวผมส่วนมาก เข้าว่า การ Coding โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์นั้นเป็นอย่างไร ดีอย่างไร และดีกว่าการสอน Coding โดยเริ่มจากการ "เขียนโค้ดในคอมพิวเตอร์" อย่างไร
ผมเองก็เขียนไปโพสท์หนึ่งเมื่อคืน ถึงจะไม่ได้เปิด public ส่วนหนึ่งเพราะผมขี้เกียจเจอกระแสสังคมแบบไม่จำเป็น
หลายคนอาจจะคิดว่าพวกนี้เป็น "ไดโนเสาร์" ที่เคยเรียนมาแบบนั้นมานานมาแล้ว และคิดว่าเด็กสมัยนี้ยังต้องเรียนแบบสมัยตัวเอง ..... หลายคนคิดว่ามันคือการเขียนโค้ดแบบเขียนในคอมพิวเตอร์ ลงกระดาษ .....
แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย
พวกนี้เข้าใจว่า Coding คือ Algorithmic Problem Solving ... และการเริ่มที่การเขียนโค้ดในคอมพิวเตอร์ นี่อาจจะเป็นอุปสรรคเสียด้วยซ้ำ ....
ในมหาวิทยาลัย วิชาสำคัญอย่าง Data Structures, Algorithms หรือวิชาอย่าง Problem Complexity Analysis ตลอดไปจน Theory of Computation นั้นไม่ถูกให้ความสำคัญ ทั้งคนเปิดสอนและคนเรียน
คนสอน ถึงอยากจะเปิดสอนก็เปิดสอนไม่ค่อยได้ เพราะไม่ค่อยมีคนเรียนหรอก ... ถ้าเป็นวิชาบังคับก็รอดไป แต่ถ้าเป็นวิชาเลือกนี่ ..... ผมเคยเปิดนะ มีคนลง 3 คน ... ปีต่อๆ มาก็เปิดไม่ได้ ... เพื่อนผมบางคนที่เก่งระดับสากล จะเปิดวิขานี้ก็ยังไม่มึคนลงเลย
จะไปเปิดวิชาพวกนี้ไปทำไมกัน ไปเปิดวิชาพวกสอน Syntax ภาษาโปรแกรมดีกว่า .... เด็กลงเยอะดี คิดว่าเอาไปทำงานได้เลย
จริงๆ แล้วจะเรียนภาษาโปรแกรมอะไรมา จะรู้ library แค่ไหน แต่ถ้าเรื่อง Algorithmic Problem Solving อ่อนแอแล้วล่ะก็ .... สุดท้ายก็ทำได้แต่งานระดับพื้นๆ
มันเหมือนกับเรียนภาษาไทย แต่ไม่เคยเรียนเรื่องโครงสร้างของการแต่งวรรณกรรม มันเหมือนกับเรียนกดคีย์เปียโน แต่ไม่เคยเรียนดนตรี ..... อาจจะเรียนเล่นดนตรี แต่ไม่เคยเรียนศาสตร์ของดนตรี หรือการสื่อสารด้วยดนตรี
อาจจะอ่านหนังสือได้ อาจจะฟังเพลงได้ อาจจะเขียนหนังสือลอกหนังสือเล่มอื่นได้ อาจจะเล่นเพลงได้ .....
แต่แต่งวรรณกรรมล่ะ? แต่แต่งเพลงล่ะ?
แล้วคิดว่าจริงๆ แล้ว Value มันอยู่ตรงไหนได้บ้าง? ..... เขียนโค้ดโปรแกรมแบบเดิมๆ ตลอดไปแค่เปลี่ยนภาษา? .... แค่ Maintain โปรแกรมที่คนอื่น (ต่างชาติ) เขียนมาแล้วตลอดไป?
หรือว่าจะทำ Innovation ใหม่ๆ ได้เพราะว่าเราแก้ปัญหาเป็นระบบ?
เห็นว่ามันมีได้หลากหลายมาก .... แต่การเขียนโค้ดในคอมพิวเตอร์เร็วเกินไป ทำให้เราโฟกัสกับปลายเหตุมากกว่าสิ่งที่สำคัญจริงๆ ที่แก่นของมัน
เอาจริงๆ แล้วทุกวันนี้ ผม "Coding โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์" นะ .... ผมใช้กระดานกับชอล์ค กระดาษกับปากกา ... และผมไม่ได้เขียนโค้ดแบบเดียวกับที่ผมเขียนโปรแกรม แต่ผมเขียนโครงสร้างของปัญหา เขียนนิยามของปัญหาต่างๆ และกลไกในการแก้ปัญหาพวกนี้อย่างเป็นระบบ .... และถ้าเป็นไปได้ ผมจะพิสูจน์ correctness ของมัน และเงื่อนไขต่างๆ ของพวกมันเสมอ ...
ทีมงานผมต้องสื่อสารกับผมแบบนี้รู้เรื่อง ต้องอ่าน Mathematical Models และ Computational Structures ต่างๆ ออก
อีกครั้ง การโฟกัสไปที่ "การเขียนโปรแกรมในคอมพิวเตอร์" เป็นอุปสรรคกับการสร้างคนในวงการนี้ด้วยซ้ำไปครับ
อย่าเอาสองเรื่องนี้ไปเท่ากันเลยครับ
ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่ช่วยกันชี้แจงคนละไม้คนละมือครับ
แถมภาพ น้องในทีม Product Owners ของผม กำลังอธิบายแบบจำลองของปัญหาบางอย่าง และการแก้ปัญหา ให้ทีมงานฟัง
ป.ล. แยกกันให้ออกนะครับ การที่เราเข้าใจเรื่องนี้ และเห็นด้วย ไม่ได้แปลว่าเราเป็น "พวกของฝั่งการเมืองบางฝั่ง" ครับ .... เพื่อนผมหลายคนนี่ไม่เอารัฐบาล คสช. ต่อมาถึงรัฐบาลประยุทธ์ชัดเจนมาก แต่เราแยกแยะกันออก ...... บางคนเอาธงด่ารัฐบาลไว้ก่อน คิดว่ารัฐบาลโง่ไว้ก่อน ล้าหลังไว้ก่อน ..... ฯลฯ แยกแยะด้วยนะครับ
อ่ะ กลับมาโลกความเป็นจริงกัน ......
ปัญหาของการเรียน Algorithmic Thinking หรือ Algorithmic Problem Solving ของบ้านเรา มันก็จะเป็นเรื่องเดียวกับการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ครับ
คณิตศาสตร์ ..... กลายเป็นวิชาท่องสูตร วิชาคำนวน วิชาที่เราจะต้อง execute การคำนวนตามลำดับของการคำนวนอะไรบางอย่างโดยที่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องคำนวนแบบนั้น .... กลายเป็นการท่องจำ execution sequence มากกว่าเข้าใจ logical chain of reason และการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์
(แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ นี่ฟังดูยาก แต่จริงๆ แล้วเราอยู่กับเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เริ่มเรียนนะครับ เริ่มจาก "จำนวนและตัวเลข" ครับ ... ตัวเลขมันคือ abstraction/model ของจำนวน .... ดังนั้นเราหาเหตุผลกับตัวเลข มันก็จะนำไปใช้กับจำนวนของสิ่งต่างๆ จริงๆ ได้)
เราไม่สนใจ Language of Mathematics เลย ...... เราไม่เคยรู้ว่ามันมีด้วยซ้ำ .....
เหมือนกับเรียนดนตรีด้วยการท่องจำตัวโน๊ตทั้งเพลง หรือเรียนดนตรีด้วยการฝึกแต่เทคนิคการเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ โดยไม่เรียน "ความเป็นดนตรี" เลย .....
เราพลาดมหาศาลกับการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ..... ผมเห็นว่าทางออกหนึ่งของเราก็คือ การเรียน Algorithmic Problem Solving นี่แหละ ที่จะทำให้เราคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลกันมากขึ้น เหมือนกับที่เราควรจะทำได้เมื่อเรียนคณิตศาสตร์ ...
คณิตศาสตร์บ้านเรามันโดนทำลายไปหมดล่ะครับ จะกลับไปแก้มันตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว
ผมได้แต่หวังอย่าให้การเรียน Algorithmic Problem Solving กลายเป็นการท่องจำวิธีการแก้ปัญหา กลายเป็นการท่องจำ Sequence of Instructions ตายตัว โดยไม่เข้าใจแบบจำลองของปัญหาต่างๆ ... ไม่ว่าจะใช้หรือไม่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ตาม
สิ่งที่ทำให้ผมพอจะหวังในแง่ positive กับเรื่องนี้ได้ ก็คือ จริงๆ แล้วภาคการศึกษาของเราตื่นตัวพอสมควรในเรื่องนี้ คนที่เข้าใจมันจริงๆ ช่วยกันหลายคนอยู่ในการสอนคนที่จะต้องไปสอน (ครู) ในภาคส่วนต่างๆ ช่วยกันอบรมช่วยกันอะไรหลายอย่าง ......
สุดท้ายมันคงไม่กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยกับคณิตศาสตร์
แถมครับ หนังสือดีๆ เล่มเล็กๆ อ่านคืนเดียวจบ ..... ลองอ่านหน้าแรกได้ครับ
เรียนโค้ดดิ้งโดยไม่ต้องมีคอมพ์ได้มั้ย ?
.
ส่วนตัวตอนสมัยยังเด็ก ที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน จะซื้อคอมพ์ใช้นี่ไม่ต้องหวัง แต่ตัวเองก็อยากเขียนโปรแกรมเป็นมาก ก็เลยต้องใช้วิธีออกแบบโปรแกรมลงกระดาษ แล้วค่อยไปลงโค้ดที่ห้องคอมพ์โรงเรียน
.
และก็ได้รู้ตอนนั้นว่าที่เขียนลงกระดาษกับที่เขียนลงตีพิมพ์มันคนละศาสตร์กัน
.
เรื่องแรกที่อาจต้องแยกให้ออกก่อนเลยคือ "Coding" กับ "Problem Solving" มันเป็นคนละศาสตร์กันโดยสิ้นเชิง
.
ศาสตร์ของการแก้ปัญหา (Problem Solving) เป็นเรื่องของการคิด การวางแผน การวิเคราะห์ ตรรกศาสตร์ ฯลฯ ส่วน Coding เป็นการลงมือเขียนโค้ดเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ออกมา
.
Problem Solving ไม่จำเป็นต้องใช้คอมพ์ มีวิชาที่ใช้สอนกันมาตั้งแต่สมัยชาติปางก่อนอย่าง Flow Chart สมัยนี้ก็ยังถือว่ามีประสิทธิภาพอยู่ ช่วยสอนวิธีการคิดเป็นขั้นเป็นตอนได้เป็นอย่างดี เขียนบนกระดานได้เลย สอบด้วยกระดาษก็ได้ อันนี้เห็นด้วย
.
แต่พอมาเรื่อง Coding ... มันเป็นเรื่องของการใส่โค้ดเข้าไปเพื่อดูผลลัพธ์ ไม่ต้องแก้ปัญหาอะไรก็ได้ โปรแกรมแรกที่เราเขียนคือเอาโปรแกรมภาษาเต่ามาวาดรูปกังหันลมบนจอคอมพ์ หมุนไปหมุนมา ไม่ได้ใช้ตรรกศาสตร์อะไรทั้งสิ้น แต่ที่ต้องใช้คือ ... คอมพ์
.
ถ้าให้เทียบกับการเย็บผ้า ก็เหมือนว่าเรียนเย็บผ้าแต่ไม่มีเข็มกับด้ายนั่นแหละ บอกให้เขียนการเย็บในกระดาษเอานะ ก็เรียนได้นะ แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
.
แต่ถ้าเปลี่ยนไปสอนเรื่องการด้นถอยหลังมีวิธีคิดยังไง การเย็บแบบซ่อนตะเข็บทำได้ยังไง อันนี้โอเค สอนในกระดาษได้ เอาไปคิดต่อได้
.
ดังนั้นคงต้องไปแยกแยะให้ได้ก่อนว่าตกลงอยากจะสอนโค้ดดิ้งหรือสอนการคิดแก้ปัญหากันแน่ คนละเรื่อง คนละศาสตร์ คนละเทคนิค
.
แต่ถ้าสุดท้ายจะสอนโค้ดดิ้งจริง ๆ แล้ว การไม่มีคอมพ์มันสอนแล้วหวังผลอะไรไม่ได้หรอกครับ
.
จะว่าไปราคาเรือดำน้ำลำนึงนี่ซื้อคอมพ์แจกโรงเรียนทั่วประเทศได้เป็นล้านเครื่องเลยนะ
.
อันนี้สอนในกระดาษกันได้อยู่ครับ ไม่ต้องใช้คอมพ์
ทำไมมึงไม่ไปโพสใน >>>/tech/6362/
ไอ้พวก ไอพี เขารู้ได้ไงว่าบ้านที่ไหน
อย่างไอ้ 192.168.1.1
https://www.facebook.com/groups/647718825333067/permalink/2121722874599314/
มีคนหมิ่นโค้ดสตาร์ของเราครับ
พวกมึง Outsource .net ปสก 2 ปีครึ่ง ฝีมือทั่วไป เงินเดือนเท่าไหร่กันแล้ววะ กุ 45k มากหรือน้อย
เพื่อนโม่ง ตอนนี้สายวิศวะคอม หรือ It สายไหนน่าเรียนกว่ากัน มีงานรองรับมากกว่า
พวกมึง
เวลาเขียนหน้าเว็บพวก html ต้องไม่ควร bind script หรือชื่อ function ต่างๆ ไปตรงๆ ใช่ไหมวะ กุเห็นเว็บใหญ่ๆดังๆ เคยกด f12 ไปดู เหมือนเค้าเขียน class ไว้ แล้วไปเขียนการทำงานใน class script อีกที กุเข้าใจถูกป่าว แล้วชื่อ class แม่งก็เขียนแบบชื่อไม่สื่ออ่ะ แบบไม่รู้เรื่อง แต่โปรแกรมเมอร์เค้ามี doc เรื่องชื่อแปลกๆ กันเอง (ชื่อแปลกเอาไว้ให้คนอื่นอ่านไม่ค่อยออกเวลามาแกะเว็บ) กุเข้าใจถูกป่าววะ ตอนนี้กุเขียนเว็บแม่งใส่ชื่อ function แล้ว bind กับ html ไปตรงๆ เกือบทุกอันเลย คือเวลาแกะดูแล้วเปลี่ยน html นุ้นนี่นั่น เว็บมันทำงานแปลกๆ หรือกรณีนี้ควรไปเช็คฝั่ง backend
อย่างบางเว็บของ google กุเหนเค้าใส่ html ประมาณนี้อ่ะ <span class="VfPpkd-Q0XOV"><div class="VVsfQ"></div></span>
กุควรเปลี่ยนวิธีดีไหม
เพราะมึงมันโง่ไม่ยอมเรียนกับโค้ดสตาร์
ทำไมพวกมึงต้องไปแขวะโค้ดสตาร์อะไรนี้วะ กูไม่รู้บอกกูที
เห็นคนแชร์เรื่องสัมภาษณ์งานในสมาคมอะไรซักอย่าง ทำให้อยากเขียนสิ่งนี้ขึ้นมาเลย
ชีวิตนี้ ผมสัมภาษณ์งานไม่ผ่านเยอะมากเลยนะ น่าจะเยอะกว่าที่หลายคนคิดไว้
แต่สุดท้าย เวลามันใช่ มันใช่ของมันเอง
ตอนที่ผมเข้า Taskworld ใหม่ๆ ใช้ Git เป็นงูๆ ปลาๆ มาก Javascript build รวมกันยังไงก็ไม่รู้ คนอื่นเขา Grunt เขา Webpack ของเราที่ทำมาตลอดยังแค่ใช้ script มารวมๆ กันอยู่เลย เขียน React ก็ไม่เคย ตอนนั้นได้งานทำ SPA มาคือเขียน Framework SPA เล็กๆ เอง เพราะไม่รู้จัก React
ที่อื่นจะไม่รับก็ไม่แปลก จะบอกว่าไม่เชี่ยวชาญพอก็เถียงไม่ได้แหละ
แล้วสุดท้าย ก็น่าประหลาดใจที่มันเป็นที่ๆ เหมาะกับตัวเองในช่วงชีวิตตอนนั้นมากๆ มันมีเคมีที่เข้ากัน และทั้งผมทั้งบริษัทก็ได้เติบโตจากกันและกันมากมายมหาศาล
=============================
ถ้าเรามองจากมุมของคนที่ออกแบบสัมภาษณ์ ไม่แปลกเลยที่จะหาวิธีการพัฒนาให้มันแฟร์ขึ้น แม่นยำขึ้น ดีขึ้น
แต่ถ้าเราเป็นคนสัมภาษณ์ ก็อยากจะให้มองมันอย่างเข้าใจ
บางปัจจัยอย่างเราอาจจะท้องเสียวันนั้นพอดี คนสัมภาษณ์อาจจะรีบร้อนวันนั้นพอดี หรือแม้แต่บริษัทมีปัจจัยอะไรซักอย่างให้อยู่ดีๆ ต้องรัดเข็มขัด ตัด Headcount ที่จะรับเพิ่ม ทั้งๆ ที่กำลังจะรับอยู่แล้ว ก็เกิดได้
บางทีมันไม่มีใครผิดใครถูกหรอก หรือเปล่าประโยชน์ที่จะไปหา
มันก็แค่ไม่ใช่เวลาไม่ใช่โอกาส ก็แค่นั้น
=============================
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า กฎแรงดึงดูดมีจริงนะ
ผมเป็นคนที่ออกความเห็นเยอะ เขียนอะไรเยอะ
คนชอบก็มี คนไม่ชอบก็มี พูดมากขนาดนี้ คนหมั่นไส้ก็คงมีเยอะแน่ๆ
บางคนมาเห็นความเห็นแล้วจะตัดโอกาสของเราไม่อยากร่วมงานกับเรา ไม่อยากให้โอกาส คิดว่าแบบแนวคิดของเราไร้สาระ ตัดโอกาสทิ้ง เกิดขึ้นได้มั้ย ก็คิดว่าเกิดขึ้นได้
แต่ชีวิตมันกินทุกโอกาสไม่ได้
และการที่เราเลือกที่จะเป็นตัวเอง แสดงความเป็นตัวตน ก็จะนำพาโอกาสที่ใช่เข้ามาหา และผลักโอกาสที่ไม่ใช่ออกไป
ผมเชื่อว่า โอกาสที่ใช่ จะยอมรับความเป็นตัวเรา และทำให้เราดึง Best version ของตัวเองออกมาได้ โอกาสที่ใช่ จะรู้สึกอุ่นใจกับตัวตนของเรา
โอกาสที่ไม่ใช่ จะไม่ยอมรับความเป็นตัวเรา จะรู้สึกว่าตัวตนของเราไม่เหมาะกับเขา จะอึดอัดกับความเป็นตัวตนของเรา
มันเป็นธรรมดาของโลกนี้ ไม่ได้มีใครผิดใครถูก มันแค่เข้ากันไม่ได้
สัมภาษณ์งานก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่เหมาะ เวลามันไม่ใช่ โอกาสไม่ใช่ มันก็ไม่ได้ ก็แค่นั้นแหละ
=============================
อยากให้กำลังใจน้องๆ หรือเพื่อนๆ พี่ๆ ที่อาจจะกำลังย้ายงาน
วันนี้เราสัมภาษณ์ไม่ผ่าน เราอาจจะคิดว่า มันต้องมีใครผิด ไม่ฉันผิด ก็อีกคนผิด ไม่ฉันแย่ ก็บริษัทแย่ พยายามอธิบายด้วยแนวคิดผิดถูก
ความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา ผมผ่านมาเยอะนะ
แต่จริงๆ โลกมันซับซ้อนกว่านั้น เป็นสีเทามากกว่านั้น
อยากให้เชื่อมั่นว่าสุดท้ายโลกจะหาสิ่งที่ใช่เข้ามาหาเรา ผลักสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปจากเรา
กฎแรงดึงดูดมีจริงเสมอ ผมเชื่อ และก็ผ่านมาแล้ว
ย้อนกลับไปคิดก็ขอบคุณโลกนี้ที่สุดท้ายพาโอกาสที่ใช่เข้ามาในชีวิต ผลักโอกาสที่ไม่ใช่ออกไป มันอาจจะเป็นโอกาสที่ใช่ของคนอื่น เป็นโอกาสที่ดีในสายตาคนอื่น แต่ไม่ใช่ของเรา
แต่กฎแรงดึงดูดจะทำงานได้ดี เราต้องมั่นคง ต้องมี Integrity คอยพัฒนาตัวเองในแนวทางที่ตัวเองเป็นอยู่สม่ำเสมอ จนความเป็นตัวตนชัดเจนขึ้น
ถ้าเราไม่มี Integrity ไม่มีความชัดเจน หลอกลวงไปเรื่อย ทำตัวเฉไฉไปมาต่อโลกนี้ โลกจะเลือกให้เราไม่ถูก กฎแรงดึงดูดก็จะงง ไม่รู้ว่าจะดึงอะไรเข้ามา โลกก็จะดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิต อย่างมั่วซั่วสะเปะสะปะไปหมด ให้เราเสียเวลาปวดหัว
ความไม่ชัดเจนนั้นอาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจในตัวเอง หรืออาจจะเกิดจากเจตนาที่หลอกลวง ผมมิอาจตัดสินว่ามาจากเจตนาใด
แต่ผมเชื่อว่า โลกนี้จะงง สรรหาพื้นที่ให้คุณไม่ถูก กฎแรงดึงดูดจะสับสน ดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้ามาอย่างมั่วซั่วเละเทะ ถ้าคุณไม่มีความชัดเจน
ชีวิตช่วงไหนที่ผมสับสนกับตัวเองมากๆ โอกาสต่างๆ ที่เข้ามาก็จะสับสนมาก พอๆ กับความสับสนภายในจิตใจ
ผมถึงเชื่อในกฎแรงดึงดูด
และก็อยากเตือนด้วย
ถึงแม้จะเชียร์ว่า ให้เป็นตัวตนของตัวเอง แต่ก็อย่าให้ความเป็นตัวเรามันไม่ได้ไปบดบังคนอื่น Abuse คนอื่น
ว่าการทำให้ตัวเองเด่นโดยกดคนอื่นให้ด้อย โยนความผิดให้สิ่งรอบข้าง โดยอ้างว่านี่คือความเป็นตัวตน ฉันไม่แคร์ วางตัวเหนือกว่า มันไม่น่ารักนะ
มันผลักโอกาสต่างๆ ออกไปนะ มันจะดึงดูดคนที่คิดว่า "การกดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองเด่นเป็นธรรมดาโลก" เข้ามาในชีวิตนะ
แสดงความเป็นตัวตนในกาลเทศะและเวลาที่เหมาะสม ไม่กดคนอื่นลงเพียงเพื่ออยากขับเน้นตัวเองให้เด่นขึ้น
ทั้งให้กำลังใจและก็เตือนสตินะ
Bloc pattern เป็นไงบ้าง ดีไหม
Stack overflow ลุกเป็นไฟ
ไอ้ห่า genderpolitic ไปถึงไหน พังถึงนั่น
ใครเป็นแฟนขับอาจารย์
กบถาวร แห่ง ชวาไทยแลนด์บ้าง
ชมรมโปรแกรมเมอร์ใสๆไม่กินมาม่าหายไปไหน
ใครเคยทำ dtac มั่งวะ โบนัสเค้าได้กันกี่เดือน
แต่กุเหนป้ายโฆษณา เหมือนเค้าตัดโบนัสเปน ไตรมาส รึป่าววะ แล้วได้เยอะไหมแต่ละไตรมาส
โค้ดสตาร์ทำให้เน็ตเหี้ย
ควยถอกเย็ดแม่แอดมินกะเทยควายควยโค้ดสตาร์
เย็ดแม่แอดมิน หัวยควย แอดมินเย็ดกะเทยหัวควย
หัวควยกาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
หี
หี
หั
หี
หี
หี
หี
หี
หี
หี
หี
หรี
กะหรี่หน่อแต่ดหัวควยอิเล็กทรอนิกส์
ควยถอกเย็ดแม่แอดมินกะเทยควายควยโค้ดสตาร์
เย็ดแม่แอดมิน หัวยควย แอดมินเย็ดกะเทยหัวควย
หัวควยกาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
กาพี้
หี
หี
หั
หี
หี
หี
หี
หี
หี
หี
หี
หรี
กะหรี่หน่อแต่ดหัวควยอิเล็กทรอนิกส์
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.